Sunday, 25 May 2025
SPECIAL

Legal Sex Workers โลกของโสเภณี ที่มีใบอนุญาต | LOCK LENS GURU EP.27

???? GURU : ครูแพท แสงธรรม นักวิชาการอิสระ ด้าน Communication facilitator 

▶️ หัวข้อ : Legal Sex Workers โลกของโสเภณี ที่มีใบอนุญาต

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021052306

 ???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.

3 เคล็ดลับ เรียนออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ เรียนออนไลน์อย่างไรให้สนุก และได้ผลลัพธ์

ในยุคสมัยที่การเรียนออนไลน์ เป็นเรื่องปกติของน้องๆ นักเรียนไปแล้ว หลายคนมองว่า ตอนแรกก็ตื่นเต้นดี แต่พอนานๆ ไป กลับกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไม่สนุก และได้ผลลัพธ์น้อยกว่าการเรียนแบบออฟไลน์  วันนี้ผู้เขียนมีทริคดีๆ ในการเรียนออนไลน์อย่างไรให้สนุกและได้ผลลัพธ์มาฝากกันค่ะ

1. ทบทวนบทเรียน
ไม่ว่าจะเรียนออฟไลน์ในห้องเรียน หรือเรียนออนไลน์ผ่าน ZOOM หลังจากเรียนจบ ให้น้องๆ นักเรียนทบทวนบทเรียนในแต่ละวิชาบ่อยๆ และในระหว่างเรียนน้องๆ ควรจดโน้ตตามความเข้าใจ เพราะในขณะที่เราจด สมองกับมือทำงานสัมพันธ์กัน เท่ากับได้ตอกย้ำความจำและความเข้าใจในเบื้องต้น  น้องๆ หลายคนอาจจะจดโน้ตไม่ทันที่ครูสอน แต่ข้อดีของการเรียนออนไลน์คือ น้องๆ สามารถมาดูย้อนหลังได้หลังจากที่ครูสอนจบแล้ว เพื่อทบทวนความจำและทำความเข้าใจได้ดีมากยิ่งขึ้น 

2. สร้างบรรยากาศในการเรียน
บรรยากาศการเรียนสำคัญมาก เพราะบรรยากาศที่ดีจะช่วยทำให้น้องๆ มีสมาธิจดจ่ออยู่กับเนื้อหาที่เรียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งน้องๆ ควรหาห้องที่อากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนอึดอัด เป็นห้องที่เงียบสงบ ไม่เปิดเพลงเสียงดัง และไม่ทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วยในตอนเรียน เรื่องนี้ต้องทำให้ได้ โดยเฉพาะการเล่นโทรศัพท์มือถือ เข้าโซเชียลมีเดียขณะที่กำลังเรียนอยู่ หรือแม้แต่การเข้าไปเช็กข้อความเพียงไม่กี่นาที สิ่งเหล่านี้จะทำให้สมาธิเราหลุดโฟกัสจากเนื้อหาที่เรียนได้ ซึ่งถ้าหากเป็นช่วงสำคัญก็จะทำให้เราต่อไม่ติด พลาดเนื้อหาตรงนั้นไป และอาจไม่เข้าใจในเนื้อหาต่อไปได้ 


เพราะฉะนั้นควรหาห้องเงียบๆ และสร้างบรรยากาศการเรียนที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด เลือกโต๊ะ เก้าอี้ให้นั่งสบาย แสงไฟในห้องต้องสว่าง อย่าใช้ไฟสีส้ม เพราะจะทำให้ง่วงนอน โต๊ะขาวสะท้อนแสงอาจทำให้แสบตาถ้าต้องนั่นเรียนนานๆ รวมถึงการโฟกัสกับการเรียนอย่างเข้มข้น ลดกิจกรรมที่เข้ามาแทรกระหว่างการเรียนจะช่วยทำให้เรียนได้อย่างเข้าใจและเก็บข้อมูลแต่ละวิชาได้ครบถ้วน

3. การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอน
การเรียนออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ การนิ่งฟังอย่างเดียวคงขาดสีสันในการเรียน น้องๆ นักเรียนควรมีปฏิสัมพันธ์กับครูผู้สอน เช่น การพูดคุยทักทาย สอบถามในเรื่องทั่วไปเพื่อสร้างความเป็นกันเอง ถามตอบในสิ่งที่ไม่เข้าใจในเนื้อหา หรือแชร์มุมมองส่วนตัว เป็นต้น

ด้วย 3 วิธีนี้ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถทำให้น้องๆ นักเรียนบันเทิงไปกับการเรียนออนไลน์ และไม่ใช่แค่น้องๆ เท่านั้นที่สนุก แต่สามารถทำให้ครูผู้สอนสนุกไปกับการสอนในแต่ละครั้งด้วย 

ขอให้ทุกท่านเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีของกันและกันในโลกออนไลน์คะ

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิงข้อมูล:

https://www.chula.ac.th/news/40851/
https://www.hubbathailand.com/hubba-blog/8-tips-for-effective-onlinelearning
 

ตีมือแตก!! ดราม่า ‘เทนม’ ชนวนเหตุ ‘แบน’ รายการจีน สะท้อน ‘กฎหมายแดนมังกร’ ที่ไม่ได้เขียนขึ้นมาเล่นๆ

หยุด!! พฤติกรรมสิ้นเปลืองอาหาร 

จีนถึงขั้นออกกฎหมายปรามการสิ้นเปลืองอาหารเป็นการเฉพาะ โดยเมื่อหลายปีที่ผ่านมาประเทศจีนได้รณรงค์ให้ทั่วทั้งสังคมหยุดพฤติกรรมอาหารสิ้นเปลือง จนเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 ที่ผ่านมาได้ลงมติผ่าน “กฎหมายต่อต้านการสิ้นเปลืองอาหาร” และประกาศให้มีผลบังคับใช้ทันที 

บริบทของกฎหมายนี้เป็นอย่างไร?
-    การรับประทานอาหารระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ ต้องไม่เกินมาตรฐานตามที่กำหนดไว้ 
-    สามารถมอบรางวัลแก่ผู้บริโภคที่ “รับประทานอาหารเกลี้ยงจาน” ได้  
-    สามารถเก็บค่าบริหารจัดการขยะอาหาร กับผู้สั่งอาหารเยอะจนเกิดการเหลือทิ้งได้  
-    ภัตตาคารร้านค้าใด ล่อลวงลูกค้าให้สั่งอาหารเกินความพอดี จะต้องถูกลงโทษ ปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 หยวน หรือเป็นเงินไทยราว 5 หมื่นบาท
-    ผู้ผลิตและเผยแพร่คลิปวีดีโอ “กินทิ้งกินขว้าง” จะต้องถูกลงโทษ ปรับสูงสุดไม่เกิน 100,000 หยวน หรือราว 5 แสนบาท 

อ่านๆ ดูแล้ว บรรดาคนรุ่นใหม่ อาจจะมองว่ากฎหมายเหล่านี้ ดูไร้สาระ แต่ขอบอกคุณกำลังคิดผิด!! 

พิจารณาได้จากเหตุการณ์สะเทือนวงการไอดอลจีน หลังเกิดคลิป แฟนคลับซื้อนมมาเททิ้งเป็นจำนวนมาก เพื่อเอารหัส QR Code ใต้ฝา ไปโหวตให้กับผู้เข้าแข่งขันจากรายการไอดอลชื่อดัง อย่าง ‘Youth With You 2021'

ซึ่งผลิตภัณฑ์นม เป็นสปอนเซอร์ของรายการ ที่ได้ไอดอลเกาหลี ลิซ่า Black Pink ที่นอกจากจะเมนเทอร์ในรายการ ‘Youth with you 3’ แล้วก็เป็น 1 ในพรีเซนเตอร์ของผลิตภัณฑ์นมแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของจีนอีกด้วย ทำให้ประสบความสำเร็จขายดีเป็นเทน้ำเทท่าหลังสนับสนุนรายการ 

แต่แน่นอนว่า ไม่มีใครที่ซื้อสินค้าไปเพราะอยากจะบริโภค เพียงแต่อยากได้ QR Code ที่แถมกับนมทุกกล่อง เพื่อไปโหวตให้กับผู้เข้าแข่งขันที่ตนเองเชียร์ และชื่นชอบอยู่เท่านั้น 

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างรุนแรงในสังคมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมของประชาชนส่วนใหญ่ ได้ขัดกับสิ่งที่รัฐบาลจีนพยายามจะส่งเสริม นั่น คือ ‘การกำชับไม่ให้สื่อสนับสนุนการใช้อาหารอย่างสูญเปล่า’ ส่งผลให้รายการต้องยุติการฉายในรอบตัดสิน 

โดยโครงการต่อต้านการทิ้งอาหาร รัฐบาลจีนได้ออกมาให้ความเห็น ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า…

“นี่คือพฤติกรรมการต้องการแสวงหากำไร โดยไม่สนใจว่าจะต้องทิ้งอาหารอย่างสุรุ่ยสุร่าย แล้วยังเป็นการ ลบหลู่เราแรงงาน ที่ลงมือโรงแรงไปจนได้อาหารเหล่านี้มาซึ่งถือว่าขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน” การทำแบบนี้ยังจะสร้างค่านิยมที่ผิด และบิดเบือนให้กับคนรุ่นใหม่

แล้วทำไมจีนถึง ‘จริงจัง’ กับเรื่องนี้มากขนาดนั้น?

“ใครจะรู้ที่มาของข้าวสวยในถ้วย ทุกเมล็ดมาจากความขยันทำนา อันแสนเหนื่อยล้า” บทกวีโบราณหนึ่ง ภายใต้การชี้นำ ของผู้นำจีน สี จิ้นผิง น่าจะเป็นตัวสะท้อนเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

เหตุเกิดจากการสิ้นเปลืองอาหารในจีน เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมจีน แม้วันนี้จีนจะกลายเป็นประเทศที่เหลือกินเหลือใช้แค่ไหนก็ตาม โดยเขาไม่ต้องการให้ค่านิยมทิ้งขว้างเกิดขึ้นกับคนรุ่นหลังที่ไม่เคยประสบความยากลำบากเฉกเช่นผู้คนในอดีตมาก่อน 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนก็พยายามยืนหยัด ส่งเสริมการมัธยัสถ์ อดออม ต่อต้านการสิ้นเปลือง หรือจัดแคมเปญ “ทานเกลี้ยงจาน” เพื่อหยุดยั้งการสิ้นเปลืองอาหาร ซึ่งได้รับผลสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการจัดการงบประมาณของรัฐได้ลดน้อยลง แต่อย่างไร ในบางพื้นที่ก็ยังคงแก้ไขปัญหานี้ได้ไม่ดี

นั่นก็เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐ ชอบกินเลี้ยงด้วยเหตุผลต่างๆ ซึ่งงานเลี้ยงส่วนใหญ่มักจะ “กินทิ้งกินขว้าง” นั้น ถือเป็น “การบริโภคด้วยเงินหลวง” แม้สถาบันวิจัยจีนเคยประกาศว่า เฉพาะอาหารเหลือทิ้งจากโต๊ะของจีน มีปริมาณมากถึงราว 17-18 ล้านตัน จะพอเลี้ยงผู้คนได้มากถึง 30-50 ล้านคน แต่ปัญหานี้ก็ยังคงดำรงอยู่ในสังคมจีนมาเรื่อย ๆ 

จนกระทั่ง สี จิ้นผิง ได้เสนอวิธีแก้ไขปัญหานี้ว่า ต้องเพิ่มระเบียบทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กวดขันการกำกับดูแล ใช้มาตรการที่มีประสิทธิผล สร้างกลไกในระยะยาว รวมทั้งต้องเพิ่มการปลูกฝังแนวคิดการประหยัด นิสัยการมัธยัสถ์อดออม ตลอดจนแนวคิด “การประหยัดเป็นเกียรติ และการสิ้นเปลืองเป็นเรื่องน่าอับอาย” ให้เกิดขึ้นในทั่วทั้งสังคมจีนอย่างแท้จริง 
.
ภายใต้ภูมิหลังเช่นนี้ “กฎหมายต่อต้านการสิ้นเปลืองอาหาร” จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ในจีนในที่สุด…

และการเชือดครั้งใหญ่ บนรายการดังอย่าง ‘Youth With You 2021' ก็น่าจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า

กฎหมายจีน ที่เกิดจากความตั้งใจให้สังคมวิ่งเป็นเส้นตรง ‘ไม่ได้เขียนขึ้นมาเล่นๆ’

ข้อมูลอ้างอิง
https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000044594
https://www.jeenthainews.com/china-news/culture/15886_20210510


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทั้ง ‘รัก’ ทั้ง ‘เกลียด’ Idiot จริงๆ

หลาย ๆ คนอาจจะเคยเป็น ‘ติ่ง’ หรือ เป็นแฟนคลับของอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน ดารา หรือ การ์ตูน งานอดิเรกต่าง ๆ 

อย่างในสมัยก่อน (หรือสมัยนี้ก็ยังออนแอร์อยู่มั้งนะ อันนี้ส่วนตัวก็ไม่แน่ใจ) จะมีรายการชื่อ “แฟนพันธุ์แท้” ที่หลาย ๆ คนอาจจะไปแข่งขันในการเป็นคนที่รู้ลึก รู้จริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในสิ่งที่เราคลั่งมาก ๆ ผู้ชนะจะได้เป็นสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ 

ตอนที่ได้ดูก็รู้สึกได้เลยว่า โอ้โห ! ผู้คนเหล่านี้เขารัก และ เทิดทูนสิ่งที่เขาชอบเป็นอย่างมากเลยนะคะ จนบางทีก็สงสัยว่า แล้วถ้าเกิดเขารักมาก ๆ ก็ต้องมีอีกคนพวกนึงที่เกลียดมาก ๆ ขึ้นมาจะเป็นยังไง ??

อย่างที่หลาย ๆ คนพูดว่า มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด ซึ่งมันก็เป็นสัจธรรมอยู่แล้วล่ะค่ะ 
แต่เดี๋ยวนี้ มันแปลกตรง!! ใครที่เคยคนรัก เขาก็สามารถกลับกลายมาเกลียดได้ในเวลาเดียวกันด้วย…

มันมีจริง ๆ หรอ?

มีจริง ๆ ค่ะ ! สมัยนี้ Social Media มันรุนแรงจริง ๆ เพราะด้วยกระแสต่าง ๆ ที่รุมเร้าเข้ามานั้น หากใครยิ่งดังมาก แฟนคลับเยอะมาก ชีวิตส่วนตัวของเหล่าศิลปินนั้น ๆ ก็แทบไม่เหลือ 

บางครั้งถ้าเหล่าแฟนคลับเขาได้ไปรู้ลึกรู้จริงในเรื่องที่ศิลปินไม่ได้อยากให้รู้ และไม่ได้อยากให้ยุ่ง ถ้าเป็นเรื่องดี ๆ ก็ดีไป แต่ถ้ามันเป็นเรื่องแย่นี่สิ เหล่าแฟนคลับอาจนำมาแฉจนกลายเป็นการทำร้ายศิลปินกันไปเลยทีเดียว 

พอขยายวงกว้างจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง มันก็เลยเกิดเป็นกระแสแบนศิลปินดาราคนนั้นไปเลยก็มี 
อย่างตัวอิชั้นเอง เคยมีข้อสงสัยขึ้นมาว่า….ศิลปินที่โดนแบนขนาดนี้ หรือโดนทำร้ายจากเหล่า Social Media มากมาย โดยเฉพาะยิ่งเป็นพวกแฟนคลับที่ปากเคยบอกว่ารักนักรักหนา แต่สวนทางกับพฤติกรรมที่เขาทำ (แอบโรคจิต) เพราะยิ่งเห็นศิลปินดาราที่เรารักเจ็บมากเท่าไร พวกหล่อนยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น…. เอ้า ! มันยังไงกันล่ะเนี่ยยย

ท่านผู้อ่านอาจจะคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเรื่องมโน โลกใบนี้มันพัฒนาการความโหดร้ายไปถึงขั้นนี้แล้วหรือ?

เหล่าแฟนคลับทำร้ายตัวศิลปินที่เขารัก มันคงไม่มีหรอก!! 

ประสบการณ์ของอิชั้นที่เคยเห็นภาพชัดแบบ Full HD มาแล้ว เพราะได้ตามติดโปรไฟล์เชิงดิ่งทั้งทั้งไทยและเทศมาพอควร เลยอยากชวนมาเปิดหูเปิดตากันเบา ๆ

อย่างตัวอย่างแรกที่อิชั้นขอนำเสนอการแบนอย่างแรก อย่าง ‘วชิรวิชญ์ ชีวอารี’ หรือ ‘ไบร์ท’ หรือที่หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักในนาม ‘ไบร์ท-วิน’ นักแสดงซีรีส์วาย ที่กำลังเป็นที่โด่งดังมากในช่วงนี้ แต่เชื่อไหมคะว่าหนุ่มไบร์ทเนี่ยเคยโดนกระแสโดนแบนถึงขนาดขั้นติด #boycottbright กันเลยทีเดียว 


ในช่วงตอนนั้นที่มี # นั้นเกิดขึ้น ตัวอิชั้นเองก็ได้เข้าไปด้อม ๆ มอง ๆ เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น หลาย ๆ คนที่ตั้งโพสต์ลง Social Media ออกมาแฉ ออกมาแบน เพราะรับไม่ค่อยได้กับพฤติกรรมของหนุ่มไบร์ท มีทั้งการเตะบอลอัดใส่เพื่อน ทำลายการประกวดวงดนตรีในโรงเรียน เหยียดเพศ มีการฟอลแอคเคาท์ 18+ มีภาพตอนที่หนุ่มไบร์ทสูบบุหรี่ไฟฟ้า รวมไปถึงการลอกดีไซน์งานคนอื่นในสินค้าของตนเอง ซึ่งในตอนนั้นหนุ่มไบร์ทที่กำลังแจ้งเกิดจากซีรีส์โดนหนักมากๆ เลยล่ะค่ะ ทั้งแฟนคลับไทยและแฟนคลับต่างประเทศ ต่างออกมาแฉวีรกรรมแสบ ๆ ไม่หยุดกันเลยทีเดียว ซึ่งมีข้อสังเกตว่า…ถ้าไม่ใช่แฟนคลับก็อาจจะเป็นกลุ่มที่เกลียดหนุ่มไบร์ทมาตั้งแต่เด็กเลยมั้งคะเนี่ย 

แต่สุดท้ายหนุ่มไบร์ทก็พัฒนาตัวเองให้ทุกคนเห็นว่าตอนนี้เขาเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จนตอนนี้หนุ่มไบร์ทก็กลับมาทำงาน สร้างฐานแฟนคลับได้เยอะขึ้นมากกว่าเดิม เหล่าพวกที่แบนก็คงเลิกอคติและหันมาติดตามผลงานของเจ้าตัวมากขึ้นกว่าเดิมอีกค่ะ

ตัวอย่างต่อมาอิชั้นขอข้ามประเทศนิดนึงนะคะ หลาย ๆ คนก็คงจะรู้จัก Girl Group ตัวแม่อย่าง Girl’s Generation หรือ SNSD ตัวแม่แห่งวงการ K-pop ที่มีอายุอานามวงมากกว่า 10 ปี แต่กว่าจะประสบความสำเร็จมาได้ขนาดนี้ ใครจะคิดล่ะคะว่าพวกนางจะโดนแฟนคลับวงอื่น ๆ แบน ปิดไฟ เชิดใส่พวกนางมาแล้ว ! 


ย้อนไปไกลกว่าปี 2007 ในปีที่ SNSD ได้ออกมาปรากฏตัว เด็กสาว 9 คนจากค่าย SM entertainment ที่มีศิลปินตัวดังอย่าง Super Junior ที่ครองใจตกแฟนคลับในเกาหลีใต้ได้อย่างมากมาย พอพวกนางปรากฏตัว เดบิวต์เป็นศิลปินเท่านั้นแหละคะ…พวกนางโดนแบนเลย ! ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงมาก ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่ค่ายชอบจับ SNSD และ Super Junior ทำงานด้วยกัน ทั้ง 2 วงฝึกด้วยกันมานานก็ย่อมมีความสนิทกัน เป็นธรรมดา ทำให้มีภาพออกตามสื่อต่าง ๆ จากความน่ารักสดใส กลายเป็นความเกลียดขี้หน้า หมั่นไส้ เหล่าแฟนคลับของ Super Junior ก็โกรธสิคะ มายุ่งอะไรกับศิลปิน โอปป้าที่ฉันรักมาตั้งนาน และมีข่าวลือว่าพวกนางศัลยกรรมกันทั้งวง สวยปลอม ๆ 

จนในที่สุดก็มีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือ การแบนจากแฟนคลับทุกวง ! ในสมัยนั้นศิลปินจะมาแสดงโชว์เพลงของตัวเอง ก็มีเหล่าแฟนคลับต่างชูแท่งไฟ สีสันสวยงามของวงตัวเอง เมื่อ SNSD ขึ้นมาแสดง แฟนคลับทุกวงต่างพร้อมใจกันปิดไฟ จนเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า Black Ocean ซึ่งเป็นการแบนที่รุนแรงมาก ไม่มีเสียงเชียร์ ไม่มีเสียง กรี้ดใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ทั้งวงรู้สึกเสียใจ แต่สปริตพวกนางก็ยอมแสดงจนจบเพลง… ฮืออออ มันน่าเจ็บปวดใจจริง ๆ นะคะ  


ท้ายที่สุดแล้วพวกนางก็เก็บแรง ให้กำลังใจกันและกัน และฮึดสู้อีกครั้งจนพวกนางได้ปล่อยเพลง “Gee” เพลงที่พลิกโชคชะตา พลิกชีวิตพวกนางให้ดังไปทั่วโลก ผู้คนต่างมาเริ่มสนใจ ฟังเพลง และ ติดตามผลงาน มากยิ่งขึ้นจนในปัจจุบันวงก็ยังเป็นที่โด่งดัง และ ยังเป็นตัวแม่แห่งวงการ Kpop ที่ใคร ๆ ก็ไม่สามารถล้มได้

และนี้เป็นตัวอย่างของการแบนศิลปินและไอดอลทั้งไทยและต่างประเทศที่ในหลาย ๆ ครั้งการแบนก็เกิดจากเหล่าแฟนคลับที่รักและหลงในตัวศิลปินจนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้หลาย ๆ ครั้งศิลปินอาจจะรู้สึกเสียใจและต้องเสียความเป็นส่วนตัว หรือ เสียทั้งกำลังใจในการทำงาน เป็นแฟนคลับที่ดีต้องรู้จักแยกแยะ และ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนกันนะคะ 

ข้อมูลอ้างอิง
https://women.kapook.com/view227735.html
https://channel-korea.com/snsd-black-ocean/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘นักธุรกิจ_ใจบุญ’ มอบหมายให้  ‘ผู้นำคนพิการ’ เป็นสะพานบุญถวายเก้าอี้ แด่พระภิกษุสงฆ์

บุษราวรรณ  นวเลิศพร กรรมการผู้จัดการโรงแรมคูณ สุขุมวิท107 มอบหมายให้ ชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคสภาผู้แทนราษฎร


พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ เหมือนเพชร / นายสิทธิชัย เพ็งพานิช / นายชัชชัย แก้วธรรม (กลุ่มจิตอาสาเพื่อทำดี) เป็นตัวแทนเข้ากราบนมัสการ พระครูวิบูลย์สีลวัฒน์ หรือ ‘หลวงพ่อถวิล’ เจ้าอาวาสวัดบางหัวเสือ ต.บางหัวเสือ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ และ  ‘พระครูสุนทรสุตสาร’ หรือ ‘หลวงพ่อพยุง กตปุญโญ’   เจ้าอาวาสวัดท้องคุ้ง ต.บางหญ้าแพรก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ  นำ ‘เก้าอี้’ ถวายให้กับทั้ง 2 วัด วัดละ 50 ตัว รวมเป็นจำนวน 100 ตัว ใช้ในงานกิจกรรมต่างๆของทางวัด และเพื่อเป็นประโยชน์ต่อ ‘พุทธศาสนา’ และ ‘ฆราวาส’ ต่อไป

โดย ‘พุทธศาสนิกชน’ ต่างมีความเชื่อกันว่าหากใครได้ร่วมทำบุญให้แด่ พระภิกษุ สามเณร จะทำให้ไปเกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง มีความมั่งมีศรีสุขมากด้วยสมบัติและข้าทาสบริวาร และผลบุญกุศลที่ได้สะสม ในปัจจุบันก็จะส่งให้อนาคตในภายภาคหน้าจะมากไปด้วยทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ มีกิน มีใช้ไม่ขาดมือ  มีคนเคารพหน้าถือตามากมาย  จึงขออนุโมทนาผลบุญนี้ไปยังทุกๆท่านๆโดยถ้วนหน้า เทอญ. สาธุ
 

เรื่องวุ่นๆ ของมนุษย์ ‘โลกแบน’

บนโลกใบนี้ต่างมีความเชื่อมากมายซึ่งหนึ่งในความเชื่อที่เรียกได้ว่า ถกเถียงกันมาแล้วไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย อย่างเรื่อง ‘โลกกลม’ หรือ ‘โลกแบน’ ก็ยังเป็นข้อถกเถียงสุดคลาสสิค เพราะแม้ว่าจะมีองค์กรที่น่าเชื่อถือต่างๆ ออกมายืนยันมากมายว่า เฮ้ย! โลกเรามันกลมนะเว้ย!! แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ไม่เชื่อและยืนยันว่าโลกเรานั้น ‘แบน’ 

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เผื่อใครที่ยังไม่เคยทราบข้อมูลเกี่ยวกับ ‘โลกแบน’ ที่ถูกพูดถึงในเชิงของทฤษฎีสมคบคิด เราจึงขอพาผู้อ่านไปส่องสำรวจ ‘โลกแบน’ ของคู่สามี-ภรรยาชาวอิตาเลี่ยน ไปออกไปล่องเรือพิสูจน์ขอบโลกแล้วนำพามาสู่ทฤษฎีนี้กันสักหน่อย

เรื่องราวของ 2 สามีภรรยานี้ เคยถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์สัญชาติอิตาเลียน อย่าง La Stampa โดยคู่สามี-ภรรยาชาวอิตาลีมีความเชื่อในทฤษฎีโลกแบน ที่เชื่อว่าโลกใบนี้มีรูปทรงแบนอย่างกับแพนเค้ก ซึ่งก็แน่นอนว่าเมื่อมีความเชื่อ เช่นนี้แล้วก็ต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นกันสักหน่อย 

ทั้งคู่ได้เดินหน้าพิสูจน์ ด้วยการลงทุนขายรถยนต์ของพวกเขา เพื่อนำมาซื้อเรือที่จะใช้เป็นยานพาหนะพาพวกเขาไปพิสูจน์ขอบโลก โดยทั้งคู่มีความเชื่อว่าขอบโลกนั้น ตั้งอยู่บริเวณแคว้นซิซิเลีย ทางตอนใต้ของอิตาลีและแอฟริกาเหนือ เมื่อพวกเขาทั้งคู่มีจุดหมายปลายทางที่จะไปท้าพิสูจน์กันแล้วก็เดินหน้าออกเดินทางจากเมืองเวเนโต เพื่อจะมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่พวกเขาคิดว่าจะมีขอบโลกให้พวกเขาได้เห็น

ความเจ๋งของการเดินเรือจากคู่รักคู่นี้ อยู่ที่พวกเขาเดินเรือแบบไม่พึ่งเข็มทิศกันเลยจ้า เหตุก็เพราะว่าเจ้าเข็มทิศที่เราทั้งหลายรู้จักกันเนี่ย ถูกสร้างขึ้นมาในกรณีที่ ‘โลกกลม’ ยังไงล่ะ พวกเขาจึงจัดการปิดการทำงานเข็มทิศ เพราะมันขัดต่อทฤษฎีโลกแบนของพวกเขา

แน่นอนว่าพอปิดเข็มทิศปุ๊ปการเดินเรือของพวกเขาก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะสุดท้าย หลังจากออกเดินทางไปได้ไม่นาน พวกเขาก็ต้องไปลอยเคว้งอยู่กลางทะเลเพราะ ‘หลงทาง’ จนเจ้าหน้าที่ไปพบพวกเขาไปล่องลอยอยู่ใกล้ๆ กับเกาะอุสติกา ซึ่งในเวลานั้นที่ คู่สามี-ภรรยา ออกไปท้าพิสูจน์ขอบโลก ก็ดันอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พอดี เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำการช่วยเหลือแล้ว ก็ทำให้เขาทั้งคู่ต้องถูกกักตัวเพื่อรอดูอาการตามมาตรการของทางรัฐ 

แต่คิดหรอว่าการกักตัวจะหยุดความพยายามพิสูจน์ขอบโลกของพวกเขาได้!! ตอบเลยว่า ไม่!! พวกเขายังไม่ลดความพยายาม โดยทั้งคู่ได้หนีจากการกักตัว เพื่อมุ่งหน้าสู่ขอบโลกอีกครั้ง แต่ก็เช่นเคย ออกไปได้เพียง 3 ชั่วโมง พวกเขาทั้งคู่ก็โดนตำรวจหิ้วกลับเข้าฝั่ง เหตุเพราะการพิสูจน์ขอบโลกของคู่สามี-ภรรยา ไปจบยังจุดเก่าๆ ที่การนั่งคอตกบนเรือเฟอร์รี่ของพวกเขา ที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในโลกกลมๆ เหมือนเช่นเคย

เรื่องราวที่นำมาเล่าให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันในวันนี้ ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งของกลุ่มผู้มีความเชื่อในทฤษฎีโลกแบน ซึ่งที่นำมาเล่าก็ไม่ใช่การตัดสินว่าทฤษฎีของพวกเขานั้นถูกหรือผิด แต่ที่แน่ๆ การเดินเรือพิสูจน์ขอบโลกของสามี-ภรรยา คู่นี้ ผิดเต็มประตู เพราะฝ่าฝืนมาตรการของทางรัฐด้วยการไม่กักตัวอยู่บ้าน แถมยังหลบหนีการกักตัว แล้วออกไปท้าพิสูจน์ขอบโลกแบบไม่แคร์โควิดกันนี่แหละ 

ข้อมูลอ้างอิง : 
https://www.iflscience.com/editors-blog/flat-earthers-attempt-to-get-to-the-edge-of-the-world-ends-in-massive-disappointment/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘สื่อพลเมือง’ (Citizen Media) ‘อิสรภาพ’ ที่ไร้ความรับผิดชอบ

คำว่า 'สื่อพลเมือง' อาจฟังดูไม่ชัดเจนหรือดูเข้าใจง่ายเท่ากับคำว่า 'สื่อภาคประชาชน' หรือ 'นักข่าวประชาชน'

แต่คำๆ นี้เริ่มมีบทบาทกับโลกของสื่อยุคใหม่ โดยบางครั้งผู้ที่ทำหน้าที่เป็นนักข่าวเฉพาะกิจ ไม่ว่าจะทำเพราะเป็นกิจกรรมที่ชอบโดยส่วนตัว หรือด้วยความรู้สึกท้าทายว่าตนทำหน้าที่เสนอข่าวและข้อมูลได้ดี จนหวังการอวยยศให้เป็น 'นักข่าวอิสระ' ก็ตามนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ผมแอบห่วง!! 

สื่อพลเมือง สามารถเสนอเนื้อหาได้อย่างมีอิสระ ไม่มีใครควบคุมหรือกลั่นกรองข้อมูล

สื่อพลเมือง สามารถนำเสนอเรื่องราวได้ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งทางวิทยุ, ทีวี, พอดแคสท์, ยูทูบ, โซเชียลมีเดียทุกรูปแบบ, บล็อกและเว็บไซต์

สื่อพลเมือง อาจทำงานลำพัง หรือมีผู้ร่วมงานและทีม ช่วยกันคิดรูปแบบ คอนเทนต์ และสไตล์อันจะสร้างความแตกต่างให้ตนเด่นขึ้นมา

สื่อพลเมือง เกิดขึ้นได้ง่าย เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันที่หามาได้ในราคาไม่แพง ทำให้ความฝัน ที่อยากเป็น 'สื่อพลเมือง' กลายเป็นจริงได้ง่ายกว่าแต่ก่อน เช่น กล้องจากโทรศัพท์มือถือ มีคุณภาพสูงพอเพียงทั้งสำหรับภาพนิ่งและภาพวิดิโอ ซอฟท์แวร์ตัดต่อภาพและเสียง ที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อแบบจัดเต็ม ก็สร้างลูกเล่นจากฟังก์ชั่นที่สามารถผลิตคลิปวิดิโออันเร้าใจและอยู่ระดับมาตรฐานสากลได้ 

สื่อพลเมือง สามารถเพิ่มพูนทักษะของตนได้จากการอ่าน, คำแนะนำจากผู้อื่น, บทความออนไลน์, ดูจากคลิปออนไลน์, เรียนจากการสอนออนไลน์

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ คือ ศักยภาพของสื่อพลเมืองยุคใหม่ ที่เรียนรู้ทุกอย่างของอาชีพสื่อได้หมดโดยไม่ต้องจบการศึกษาด้านวารสารศาสตร์ หรือนิเทศศาสตร์จากมหาวิทยาลัยใดๆ

พูดแบบนี้ แล้วรู้สึกว่าต่อจากนี้ไม่ต้องมีระบบการศึกษาที่เกี่ยวกับสื่ออีกเลยก็น่าจะได้!! 

อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการเรียนรู้ในระบบอุดมศึกษา ไม่ได้ว่าด้วยการพัฒนาทักษะทางด้านเทคนิค หรือครอบคลุมเฉพาะเรื่อง 'เนื้อหา' ของการนำเสนอ ทั้งข่าว สารคดี งานบันเทิง การคิดเชิงวิเคราะห์ หลักการวิจารณ์ ที่ดูๆ แล้ว สื่อพลเมือง ก็คงเรียนลัดเองได้ไม่ยาก

แต่สิ่งที่ระบบการศึกษาได้สอน และเชื่อได้ว่า 'สื่อพลเมือง' จะไม่มีวันเรียนรู้ได้ คือ... 

จริยธรรมของการเป็นสื่อ!! 

สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับผู้อ่านในที่นี้ คือ ผู้ที่เรียนลัดและก้าวไปสู่การเป็น 'สื่อพลเมือง' นั้น มักจะมีข้อเสียสุดยิ่งใหญ่จากความเชื่อมั่นในวิจารณญาณของตนจนไร้ขอบเขต

สิ่งนั้น คือ ความรู้ด้านจริยธรรม หรือจรรยาบรรณของสื่อมวลชน!! 

ในกระบวนการด้านการศึกษาที่จัดทำเป็นรายวิชานั้น จะมีวิชาหนึ่งที่นักศึกษาด้านสื่อสารมวลชนต้องเรียน รวมทั้งยังมีหนังสือ, ตำราวิชาการ และเนื้อหาเชิงวิเคราะห์จากผู้ประกอบอาชีพสื่อและนักวิชาการที่มีชื่อเสียง มาถ่ายทอดเป็นความรู้แก่ผู้ที่ประกอบอาชีพสื่อโดยไม่ได้จบการศึกษาด้านสื่อสารมวลชนโดยตรงมากมายด้วย

อันที่จริงจรรยาบรรณของสื่อ ไม่ใช่กรอบความคิดที่นิ่งอยู่กับที่ หรือไม่แปรเปลี่ยน หากแต่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยไม่ต่างจากจรรยาบรรณในสาขาอื่นๆ

โดยบรรทัดฐานที่เคยใช้เป็นแนวทางในการเสนอข้อมูลต่อสาธารณชน จะมีการเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมและค่านิยมของผู้เสพสื่อ ยิ่งเมื่อทุกสิ่งถาโถมเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่เน้นการเสนอข้อมูลแบบแข่งขันกันด้วยความรวดเร็ว ความรอบคอบและความใส่ใจ ต่อความถูกต้องก็ลดน้อยลง เรื่องจริยธรรมจึงเป็นสิ่งที่ควรเข้ามามีบทบาทอย่างเข้มข้นขึ้น

ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ...ทุกวันนี้หลายคนคงเห็นข่าวปลอม ข่าวผิด ข่าวมั่ว ข่าวโจมตี ข่าวปลุกปั่น ที่ไหลซัดมาพร้อมกับความเร็ว แต่บังเอิญเป็นความเร็วที่มากับการมุ่งที่จะแข่งขันเพียงแค่หวังสร้างความนิยม และฉวยโอกาสจากยอดการติดตามเท่านั้น

หมายความว่าอะไร? 

สื่อพลเมือง กำลังเข้ามามีบทบาทในการ 'ลด' เพดานของจรรยาบรรณสื่อ เพื่อที่จะแต่งเติมให้พาดหัวข่าว กระตุ้นความสนใจได้ สื่อใช้ภาพประกอบที่ไม่ตรงกับเรื่อง หรือนำภาพของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับการอนุญาติ และทำให้สื่อหลักที่น่าเชื่อถือ ยังหลงประพฤติตนตาม เพื่อยอดรับชม

ประเด็นดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญที่ลุกลามในกลุ่ม 'สื่อพลเมือง' ส่วนหนึ่งผมมองแง่บวกว่าเพราะทำงานกันอิสระ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดการช่วยกันกลั่นกรองตรวจตรา ขาดประสบการณ์ที่ตกผลึก หรือผู้รู้ที่จะช่วยกรองข้อมูลที่ผิดพลาด ล่อแหลมและล่วงละเมิดออกไปจากเนื้อหาและพาดหัวเรื่อง

>> Citizen media is here to stay – สื่อพลเมืองจะอยู่ตลอดไป

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีประเด็นที่น่าเป็นห่วง ในบทบาทของสื่อพลเมือง แต่เชื่อว่า 'สื่อพลเมือง' จะอยู่กับเราตลอดไป และจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อโซเชียลมีเดียเข้ามาทดแทนสื่อหลักในอดีต  

ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากเห็น ในวันที่สื่อพลเมือง พร้อมจะแปลงร่างเป็นสื่อหลักได้ทุกเมื่อ คือ การยกระดับศักยภาพของสื่อพลเมือง เมื่อคิดจะเป็นสื่อ ต้องเป็นสื่ออย่าง 'มืออาชีพ' เหมือนกับสื่อที่มีสังกัดชัดเจน ที่เขียนข่าวหรือบทความให้กับหนังสือพิมพ์ ทีวี หรือค่ายวิทยุข่าว (ทั้งข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวสังคม ข่าวบันเทิง และข่าวกีฬา)

ผมไม่อยากเห็นสื่อพลเมือง อาศัยความเป็นอิสระและรู้สึกว่าไม่ต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่นำเสนอ

ยิ่งสื่อพลเมือง ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก มีอิทธิพลต่อการรับรู้และพฤติกรรมของผู้ติดตามมากไม่น้อยกว่าสื่อสำนักใหญ่ ยิ่งควรทำงานด้วยความระมัดระวัง 

>> เพราะนี่คือการก้าวเข้าเท้ามาในสายสื่อแล้วแบบค่อนตัว
>> จริยธรรมและจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์สื่อจึงควรพึงมี 
>> และจงพึงรับรู้ว่าทุกการสื่อสารของคุณ ควรต้องอยู่บนเกียรติและศักดิ์ศรีของตนและผู้อื่น
>> เนื่องจากสื่อของคุณอาจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตใครบางคน จงท่องให้ขึ้นใจว่า "อะไรคือความรับผิดชอบต่อสังคม" 

อย่างไรซะ ก็ไม่ใช่ว่าจะมาพูดจาเพียงเพื่อกล่าวโทษ อิสรภาพของสื่อพลเมืองที่นำมาสู่จริยธรรมอันมืดบอด แต่อยากบอกทางรอดให้ในตัว โดยผมอยากให้ภาคส่วนที่มีบทบาทต่อห่วงโซ่ของสื่อต้องตื่นตัว!!  

ควรมีการจัดอบรมเพื่อเติมเต็มให้กับความรู้และแนวคิดด้านสื่อสารมวลชนแก่ สื่อพลเมือง อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะจะเป็นสถาบันหรือหน่วยงานที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับอาชีพได้ ก็จัดมาให้เต็มที่ เช่น มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านวารสารศาสตร์และนิเทศศาสตร์ บริษัทโฆษณา สำนักนายกรัฐมนตรี กรมประชาสัมพันธ์ และอื่นๆ

หน่วยงานเหล่านี้ ต้องออกมาเล่นเกมรุก ต้องมุ่งอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับสื่อพลเมือง โดยมีเงื่อนไขที่ว่าอย่าพยายามยัดเยียดบุคลากรของตน หรือผู้อาวุโสทางตำแหน่งเข้าไปในการอบรม แบบนั้นมันเอาท์!! ในทางตรงกันข้าม ต้องคัดเฟ้นบุคลากรด้านวิชาการที่มีเครดิตเป็น 'นักคิด' และผู้มีประสบการณ์ในการทำงานสื่อตัวจริงในโลกยุคใหม่ ซึ่งตรงนี้ไม่ติดว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่า แต่ขอเป็นบุคคลที่เชื่อมโซ่ข้อกลางของวงการสื่อยุคนี้ให้ได้

จับคนเหล่านี้มาเจอกัน เรียนรู้กันและกัน แลกเปลี่ยนไปด้วยกัน ตรงนี้จะทำให้เกิดเครือข่ายด้านอาชีพที่มีลักษณะจับต้องได้ ยิ่งไปกว่านั้นจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำสื่อจากเพื่อนร่วมอาชีพที่หลากหลาย ซึ่งจะทำให้สื่อพลเมืองต้องพัฒนาตนเองเพื่อจะได้อยู่ในระนาบเดียวกับเพื่อนร่วมอาชีพในแง่ของมาตรฐานและจริยธรรม

นอกจากนี้ อยากให้ตระหนักถึง 'การคัดเลือก' โดยการเฝ้าติดตาม หรือสร้างการประกวดเพื่อมอบรางวัลแก่สื่อบ่อยๆ ฟังดูอาจเป็นวิธีที่ล้าสมัย แต่การชนะรางวัลเอย การมีวุฒิบัตรเอย โล่ห์เกียรติคุณเอย ย่อมผลักดันให้อาชีพนั้นๆ อยากรักษาและปรับปรุงคุณภาพของงานให้ดีขึ้นต่อไป ซึ่งอาชีพสื่อก็ไม่ต่างกัน

และนั่นอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บรรดา สื่อพลเมือง อยากก้าวเข้าสู่กระบวนการผลิตข่าวอย่างถูกต้อง ปัญหาการสร้างข่าว หรือเขียนข้อมูลขึ้นมาเองจะค่อยๆ หมดไป 

สิ่งที่จะตามมา คือ พวกเขาจะต้องแน่ใจว่าข่าว และข้อมูลที่นำเสนอทั้งหมดเป็นความจริง มีหลักฐานยืนยันได้ ก่อนนำออกเสนอหรือตีพิมพ์ จะต้องแน่ใจว่าไม่มีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น ทั้งโดยตัวอักษรหรือภาพ และต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย 

เชื่อไหมว่า ทุกวันนี้ สื่อพลเมือง หลายกลุ่มกำลังย่ำแย่ เนื่องจากไม่มีความเข้าใจในด้านกฎหมาย เพราะด้วยความที่ไม่มีสังกัด หรือองค์กร คิดว่าอิสรภาพของตนไร้ขอบเขต พอเจอฟ้องเอาผิด ก็หาคนช่วยเหลือหรือปกป้องคอนเทนต์ไม่ได้ สุดท้ายต้องมาเสียทั้งเงินและเวลาเอาง่ายๆ

แน่นอนว่า วันนี้จุดแข็งของ สื่อพลเมือง และผู้ผลิตสื่อในรูปแบบต่างๆ ทางอินเตอร์เน็ต คือ การสร้างสูตรในการนำเสนอ จนผมเชื่อมั่นเหมือนกันว่า บรรดาสื่อพลเมืองเหล่านี้ ก็ได้สร้างบรรทัดฐานของความสำเร็จ จนเหมือนเป็นนักวิชาการอิสระ ที่ช่วยชี้นำทิศทางของอุตสาหกรรมสื่อได้มาก

เพียงแต่พวกเขา ควรต้องมีพื้นที่ยืนอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เกิดเกียรติภูมิในอาชีพ มีตัวตนที่จับต้องได้ และมีความภูมิใจ ที่จะเสนอเนื้อหาที่มีพร้อมรับผิดชอบต่อสังคมต่อไป


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก ????  https://lin.ee/vfTXud9

กระเป๋าแบน ‘แฟนไกด์’ ใครเจ็บเท่าฉัน ในยุคโควิด

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทุกภาคส่วนในประเทศและผู้คนหลากอาชีพนั้น 

อาชีพที่เคยสาดแสงของคุณสวามีสุดเฉิดฉายอย่าง ‘มัคคุเทศก์’ หรือ ไกด์นำเที่ยว ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องเอาหัวแม่ทีนเกยก่ายหน้าผาก นับรอวันเปิดโลกแห่งการท่องเที่ยวมาราว 2 ปี

ยิ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่อย่าง ชาวจีน ที่หายไปพร้อมกับโควิดด้วยแล้ว ต้องบอกเลยว่านี่ คือ ความโหดร้ายของอุตสาหกรรมนี้ (ท่องเที่ยว) และผู้ซึ่งเป็นสามีที่อยู่ในห่วงโซ่อย่างเลี่ยงได้ยาก 

นั่นก็เพราะตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา การหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวจีนมาไทย ได้สร้างรายได้การท่องเที่ยวทะลุ 1 แสนล้านบาทเป็นครั้งแรก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 10% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมดจากต่างประเทศ 

ต่อมานักท่องเที่ยวชาวจีนกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย จน 10 ผ่านไป จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนมาจบที่ประเทศไทยแถว ๆ 10.9 ล้านคน สร้างรายได้การท่องเที่ยวกว่า 5.43 แสนล้านบาท คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด (ตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)


แค่เห็นภาพนี้ก็คงจะพอนึกภาพออกกันแล้วว่า ภายใต้วิกฤติโควิด-19 ระบาด แล้วนักท่องเที่ยวที่เคยเฟื่องฟูมาบ้านเรา แทบจะเป็นศูนย์ จนตลอด 2 ปีมานี้ ไกด์นำเที่ยว ผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและคอยอธิบายความรู้ที่น่าสนใจ รวมถึงข้อมูลที่ถูกต้องแก่นักท่องเที่ยวต่างแดน แทบจะไม่ได้มีโอกาสขุดทักษะของตนเองออกมาเท่าไร  

อย่างเคยอ่านเจอหนึ่งในผู้ที่เคยทำงานเป็นไกด์สายภาษาจีนอย่าง สายชล ชื่นชู ซึ่งทำอาชีพไกด์มาร่วม 25 ปี ที่มีรายได้ต่อเดือนสูงถึง 5 หมื่นบาท แต่พอมีโควิด รายได้ทั้งหมดเป็นศูนย์ ต้องหันมาขายน้ำผึ้ง ได้เงินวันละ 200 บาท แม้จะไม่พอต่อรายจ่ายในครอบครัวแต่ก็ดีกว่าไม่มีรายได้เข้ามาเลย 

หนึ่งในผู้ประกอบการที่พอรู้จักด้านทัวร์และตัวเองก็ผันเป็นไกด์ด้วย (ไม่ระบุนาม) เคยมีรายได้ร่วม 6 หลักต่อเดือน ในช่วงที่ทัวร์จีนมาลงไทยหนักๆ แต่บัดนี้ รายได้ของเขา คือ รายได้เก่าเมื่อ 10 ปีก่อน ที่นำมาปันจ่ายในแต่ละวัน บนความเจ็บช้ำที่ต้องปล่อยน้องๆ ทีมงานไป เพราะหากแบกไว้ กระเป๋าของเขาจะแบนจนเหมือนกระดาษ


ตลอดเวลาที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวเป็นจุดหลักในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ มัคคุเทศก์ หรือ ไกด์นำเที่ยว ก็เป็นด่านแรกของการต้อนรับขับสู้นักท่องเที่ยว และเป็นผู้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทย 

แต่ปัจจุบันคนสายอาชีพต้องกลายเป็นคนตกงาน ไม่มีความมั่นคงในชีวิต แม้จะมีใครค่อนแคะว่าแต่ก่อนทำไมไม่รู้จักเก็บเงิน แต่เชื่อเหอะ เราไม่ได้ใช้ชีวิตบนการมองอนาคตได้ไกลขนาดนั้นร้อก!!

แต่ที่ปวดร้าว คือ ในระหว่างที่หลากหลายมาตรการ ซึ่งพร้อมอุดหนุนให้นักท่องเที่ยวไทยออกมาเที่ยวในประเทศกันเองมากขึ้นนั้น ก็เหมือนจะไม่ได้มีนัยยะใดช่วยประคองกลุ่มอาชีพไกด์ได้มากเท่าไร เพราะคนไทยเที่ยวได้แบบไม่ต้องมีไกด์ การกระตุ้นในรูปแบบนี้จึงแทบไม่ส่งผลใดๆ ต่อความเป็นอยู่ หรือช่วยพัฒนาอาชีพให้คนกลุ่มนี้ได้เลย


เราคงไม่ต้องพูดถึงว่าคนกลุ่มอาชีพนี้จะเครียดแค่ไหน? และไม่ต้องถามว่าวันนี้กระเป๋าเงินของพวกเขาจะแบนลงเพียงใด?

2 ปีที่ผ่านมา และอาจจะมีอีก 2 ปีที่ผ่านไป ไม่ได้อยากเรียกร้องใคร เพราะพูดไปก็จะได้ยินแค่คำว่า ‘ต้องปรับตัว’ แต่แค่อยากจะบอกว่านาทีนี้ รูรั่วของสังคมมีหลายจุด อย่าลืมเรา ‘เหล่าผู้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศ’ ไปนานนักเลย!!

ปล.จากคนที่คุณแฟนกระเป๋าเริ่มแบน แต่ก็ไม่ทิ้งกันนะ!!!

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.admissionpremium.com/hotel/news/3144
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/899712
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/886749
https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/140620
https://www.bbc.com/thai/thailand-51500412


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก ????  https://lin.ee/vfTXud9

เกร็ดกฎหมายจากคดีน้องชมพู่

สัปดาห์ที่ผ่านมา คดีการเสียชีวิตปริศนาของ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่หายตัวจากบ้าน ในหมู่บ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งเมื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการออกหมายจับ “นายไชย์พล วิภา” หรือ “ลุงพล” ลุงเขยของน้องชมพู่หลังจากที่ได้มีการลงพื้นที่เก็บหลักฐาน และสอบปากคำพยานมานานกว่า 1 ปี 

โดยเจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาลุงพล 3 ข้อหาด้วยกัน คือ

1.) พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร

2.) ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และ

3.) กระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

ผมคงไม่สามารถฟันธงได้ว่าลุงพลจะผิดตามข้อกล่าวหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับหรือไม่ เพราะผมไม่ได้มีส่วนร่วมในคดีนี้แต่อย่างใด

แต่ที่จะนำมาเล่าให้ฟัง คือ เกร็ดความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย เพื่อที่จะให้ผู้ที่ติดตามคดีนี้ได้เข้าใจมากขึ้นถึงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ มาลองติดตามอ่านกันไปทีละประเด็นนะครับ

ตอนนี้ลุงพลมีสถานะเป็น “ผู้ต้องหา” หรือ “จำเลย” ในคดีน้องชมพู่

ความแตกต่างระหว่าง ผู้ต้องหา กับ จำเลย คือ ผู้ต้องหา หมายถึง บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด แต่ยังไม่ได้ดำเนินการฟ้องศาล ส่วนจำเลย หมายถึงบุคคลซึ่งถูกฟ้องศาลว่าได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหานั้นแล้ว

ดังนั้น ตอนนี้ลุงพลจึงมีสถานะเป็นเพียงผู้ต้องหา เนื่องจากคดีนี้ลุงพลยังไม่ถูกฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งกว่าคดีจะไปสู่ศาลนั้น ลุงพลยังมีโอกาสแก้ข้อกล่าวหาทั้งในชั้นเจ้าพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ซึ่งอาจจะมีคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องก็ได้

ทำไมลุงพลถึงถูกออกหมายจับ

ตามปกติแล้ว หากไม่ใช่กรณีที่เป็นความผิดซึ่งหน้า ตำรวจจะต้องไปขอศาลเพื่อออกหมายจับเสียก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าศาลจะออกหมายจับให้ในทุกกรณี 

โดยศาลจะพิจารณาออกหมายจับให้ก็ต่อเมื่อมีเหตุตามที่กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดไว้ ดังนี้
(1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หรือ

(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น

ซึ่งในกรณีของลุงพลนี้ ศาลคงได้พิจารณาจากพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเชื่อว่าลุงพลน่าจะได้กระทำความผิด และโทษตามข้อกล่าวหานั้นก็มีอัตราโทษสูงเกิน 3 ปี

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ลุงพลถูกออกหมายจับ ก็ไม่ได้หมายความว่าลุงพลมีความผิดตามข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด 

ลุงพลเป็นผู้ต้องหาและถูกออกหมายจับแล้ว ทำไมถึงบอกว่าลุงพลยังไม่มีความผิด

ที่บอกว่าลุงพลยังไม่มีความผิดนั้น เป็นเพราะ ตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศบัญญัติเอาไว้ว่า 

“ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษา อันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้”

ดังนั้น เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าลุงพลเป็นผู้กระทำผิด เราจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าตอนนี้ลุงพลยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่นั่นเอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะปฏิบัติต่อลุงพลเสมือนว่าเป็นผู้กระทำความผิดแล้วไม่ได้

ทำไมลุงพลถึงไม่ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา 

มีหลายคนสงสัยว่า การที่ตำรวจดำเนินคดีกับลุงพล 3 ข้อหา โดยไม่มีการตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตนั้นเป็นเพราะอะไร 

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ในการดำเนินคดีนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำไปตามพยานหลักฐานที่มี แม้ว่าจะน้องชมพู่จะเสียชีวิตจริง แต่ถ้าไม่มีพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงได้ว่าลุงพลเป็นผู้ลงมือทำ หากคดีขึ้นสู่ชั้นศาล ข้อกล่าวหานั้นก็จะถูกหักล้างได้โดยง่าย

เนื่องจากในการดำเนินคดีอาญานั้น หากมีเหตุอันควรสงสัย ศาลจะต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้กับจำเลย ซึ่งเป็นไปตามหลักการของกฎหมายที่ว่า 

“ปล่อยคนผิดสิบคน ดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธิ์หนึ่งคน”


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เทคนิครับมือ ของ 'คนสายชง' ประจำปี 'ฉลู' | LOCK LENS GURU EP.26

???? GURU : คุณอ๋า สมศักดิ์ ชาคริตฐากูร

นักออกแบบฮวงจุ้ยธุรกิจ ด้วยศาสตร์จีนโบราณแบบดั้งเดิม FengshuiBizDesigner

▶️ หัวข้อ : เทคนิครับมือ ของ 'คนสายชง'ประจำปี 'ฉลู'.

อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021011701

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

.

.

THE STUDY TIMES X DekThai Online, ClassOnline สัปดาห์ที่สี่ พบกับวิดีโอสรุปเนื้อหา เทคนิค แนวข้อสอบ แต่ละรายวิชา

????THE STUDY TIMES X DekThai Online, ClassOnline สัปดาห์นี้

????วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน - วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564

⏰ทุกวัน เวลา 18.00 น.

พบกับวิดีโอสรุปเนื้อหา เทคนิค แนวข้อสอบ 5 รายวิชา

.

????วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน

วิชาคณิตศาสตร์: เรื่อง เรขาคณิต มุมในวงกลม

โดย อ.ต้น Study Cadet

จบวิศวกรรมศาสตร์ วศ.บ.โรงเรียนนายเรือ

ศึกษา Afaps 42 ประสบการณ์การสอนกว่า 15 ปี

#สอนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ม.ต้น - ม.ปลาย, สอบทหาร

.

????วันอังคารที่ 8 มิถุนายน

วิชาฟิสิกส์: เรื่อง ความร้อนสำหรับ ม.ต้น

โดย คุณน้ำหวาน ภิรมณ กำเนิดมณี

นักเรียนทุน พสวท. (ฟิสิกส์) ปริญญาตรี-ปริญญาเอก สหรัฐอเมริกา

#สอนวิชาฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ เตรียมเข้าม.4

.

????วันพุธที่ 9 มิถุนายน

วิชาภาษาไทย: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาไทย)

โดย ครูต้นคูน ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์

ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (Ph.D. in Communication Arts) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

#สอนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

.

????วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน

วิชาภาษาอังกฤษ: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาอังฤษ)

โดย ครูพี่ทาม์ย ฐานุวัชร์ รินนานนท์

ศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (เรียนเน้นภาษาสเปน) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, อาจารย์ผู้สอนอบรม TOEIC ให้องค์กรภาครัฐและเอกชนระดับประเทศ

#สอนวิชาภาษาอังกฤษ ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

.

????วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน

วิชาสังคม: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (สังคม)

โดย ครูต้นคูน ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์

ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (Ph.D. in Communication Arts) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

#สอนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย

.

????ช่องทางรับชม

Facebook และ YouTube: THE STUDY TIMES

เยือน ‘อิสตันบูล’ (Istanbul) เมืองคูลๆ ที่ผสมผสานมหานคร ทั้ง 2 ทวีป อย่างมีเสน่ห์

ทั้งที่ยังไม่เคยได้ไปเยือนซานฟรานซิสโก แต่ความคิดแว้บแรกเมื่อไปถึงอิสตันบูล ผมรู้สึกว่าคล้ายเมืองริมทะเลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียนี้มาก อาจจะเพราะเคยดูหนังที่มีฉากเมืองซานฟรานซึ่งมีความคล้ายคลึงกันหลายส่วน เช่นเป็นเมืองใหญ่ติดทะเล บ้านเรือนปลูกสร้างลดหลั่นกันไปตามเนินเขา ถนนหนทางคดเคี้ยวและบางช่วงชัน มองเห็นวิวทะเลได้แต่ไกลจากหลายมุม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม อิสตันบูลก็คืออิสตันบูล (และซานฟรานซิสโก ก็คือซานฟรานซิสโก) ยังคงมีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดมากขึ้น

คนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าอิสตันบูลคือเมืองหลวงของตุรกี ที่จริงอังการาซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศต่างหากคือศูนย์กลางการเมืองการปกครองของประเทศนี้ แต่ด้วย “ความขลัง” กว่า ในแง่ที่มีประชากรหนาแน่นกว่าสิบห้าล้านคน นับว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังตั้งอยู่ ณ รอยต่อระหว่างสองทวีป คือเอเชียและยุโรป โดยมีช่องแคบบอสพอรัสกั้นไว้ ทำให้วัฒนธรรมและศาสนาของทั้งโลกตะวันออกและตะวันตก คลุกเคล้ากันผ่านช่วงเวลายาวนาน ถ้าสาวประวัติเมืองย้อนกลับไปก็คงตั้งแต่สมัยสองพันกว่าปีก่อนในยุคที่เรียกว่าไบแซนไทน์ อิสตันบูลในยุคนั้นมีชื่อว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิล จักรวรรดินี้ยืนยงคงกระพันนับพันปีและถือว่าเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่พวกออตโตมันซึ่งเป็นมุสลิม และอิทธิพลอิสลามก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อนำภาพในอดีตมาปะติดปะต่อเข้ากับสภาพเมืองในปัจจุบันก็พบว่าประวัติศาสตร์เป็นปัจจัยหลักที่สร้างมนต์เสน่ห์ให้กับเมืองนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับภูมิทัศน์สวยงาม สถาปัตยกรรมเก่าแก่ผสมผสานหลายยุคสมัย ยิ่งทำให้ใครก็ตามที่ได้มาเยือนอิสตันบูลตกหลุมรักเมืองนี้อย่างง่ายดายยามแรกพบเลยทีเดียว

อิสตันบูลเป็นเมืองทันสมัย สามารถเดินทางสัญจรภายในเขตต่าง ๆ โดยเลือกใช้ขนส่งมวลชนหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า เรือข้ามฟาก รถราง รถบัส ซึ่งเมื่อซื้อบัตรโดยสารใบเดียวก็สามารถใช้ได้กับทุกระบบขนส่ง หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากกว่าก็ใช้บริการแท็กซี่กับ Grab แต่วิธีดีที่สุดที่จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของสิ่งละอันพันละน้อย ก็คือการเดินนั่นเอง ยิ่งใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูปจะรื่นรมย์เดินชมเมืองมาก จะทอดน่องไปตามตรอกซอยน้อยใหญ่ เดินเล่นบนบาทวิถีริมทะเล เดินข้ามสะพานที่เต็มไปด้วยชายนักหย่อนเบ็ดตกปลา หรือเบียดแทรกตัวเองท่ามกลางฝูงคนในย่านช้อปปิ้งล้วนให้ความเพลิดเพลินทั้งนั้น บรรดาแลนด์มาร์กและสถานที่น่าสนใจกระจายตัวในระยะเดินถึง ถ่ายรูปวิวสลับกับการสังเกตการใช้ชีวิตตามปกติของชาวเมือง หรือนั่งพักแล้วสังเกตอากัปกิริยาผู้คนที่เดินผ่านไปมาทั้งหลายก็เพลินดี

ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวมักไม่พลาดการไปชมงานสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นอลังการงานสร้างสองแห่งซึ่งอยู่ในเขตเมืองเก่าสุลต่านอาห์เม็ด ได้แก่สุเหร่าสีน้ำเงินและฮาเกียโซเฟีย แม้ศาสนสถานทั้งสองจะสร้างในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ประกอบพิธีทางศาสนาที่แตกต่างกัน แต่มองผิวเผินแต่ไกลกลับให้ความรู้สึกเหมือนอาคารฝาแฝดเพราะมีรูปทรงค่อนข้างคล้ายคลึงกัน

แต่ละช่วงของวันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายที่แตกต่างกันด้วย ช่วงกลางวันที่แดดจัดจ้าจะเห็นน้ำทะเลใสสีฟ้า ฝูงนกนางนวลโฉบเฉี่ยวร่าเริง แมวจรทั้งหลายต่างย่องขึ้นไปบนหลังคาบ้าน หรือไม่ก็แอบอยู่ตามมุมถนน ส่วนบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำนั้นโรแมนติกกว่ามาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครที่เดินทางคนเดียวจะเกิดอาการเหงาจับใจเวลามองพระอาทิตย์ตกทะเลแต่อย่างใด เพราะแสงเงาบนท้องฟ้าสลับสีตระการตา คล้ายกำลังนั่งมองศิลปินผู้มีฝีมือล้ำเลิศละเลงสีเหลืองแดงชมพูม่วงส้มลงบนผืนผ้าใบชิ้นใหญ่มหาศาล ก็ทำให้หัวใจคับพองและ “อิ่ม” ได้เช่นกัน

ของคาวที่หาทานง่าย มีอยู่แทบทุกมุมเมืองคือเคบับ หิวเมื่อไหร่ก็แวะซื้อแล้วเดินทานไปด้วย เมนูปลาใกล้สะพานกาลาตาก็เด็ดไม่แพ้กัน หรือถ้าต้องการทานอาหารตุรกีที่มีความหลากหลายกว่าก็สามารถเลือกนั่งในร้านอาหารชนิดกินกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ได้ ของหวานขึ้นชื่อเห็นจะเป็นไอศกรีมตุรกี จุดเด่นนอกจากจะเป็นความเหนียวหนึบแล้ว พ่อค้าไอศกรีมยังใช้มุกหลอกลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาว ๆ และเด็ก ๆ (มุกเก่าแต่ใช้ได้ตลอด) 

ในขณะที่ของหวานอันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างคือบักลาวา หาซื้อได้ทั่วไปตามตลาด เปรียบเทียบแล้วน่าจะคล้ายกับใครมาเที่ยวเชียงใหม่ก็มักจะหาซื้อขนมกะละแมไปฝากเพื่อนฝูงญาติมิตรนั่นเอง ในส่วนของเครื่องดื่มยอดนิยมนั้นหนีไม่พ้นชาตุรกีซึ่งเสิร์ฟกันในแก้วทรงคอดตรงกลาง และกาแฟซึ่งต้มในภาชนะโลหะมีด้ามจับที่เรียกว่าอีบริก เสิร์ฟในถ้วยเซรามิกเล็ก เวลาจะจิบชาหรือกาแฟก็มักเติมน้ำตาลลงไปด้วยสักช้อนชาเพื่อตัดความขม และแม้จะเป็นประเทศมุสลิม แต่ก็มีความเป็นเสรีนิยมค่อนข้างสูง ดังนั้น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหลายอย่างเหล้าเบียร์หรือไวน์ก็ยังสามารถหาจิบได้โดยไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

ที่พักหาไม่ยากและมีทุกระดับตั้งแต่ดาวเดียวถึงทะลุห้าดาว ในสมัยที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เฟื่องฟู นักเดินทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกทุนต่ำแบกเป้ มักพกโลนลี่แพลเน็ต เสมือนคัมภีร์นำทาง เพราะมีข้อมูลที่จำเป็นแทบทุกอย่าง แต่ปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวแทบทั้งหมดหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ที่พักก็จองผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ จะพักที่ไหนจะกินอะไรก็ดูรีวิวเอา ร้านไหนสถานที่อะไรคนนิยมมาก ๆ ก็ต้องไปเช็คอินเมื่อไปถึง นักท่องเที่ยววัยรุ่นขาโจ๋ผู้นิยมสังสรรค์ปาร์ตี้จนดึกดื่น มักเลือกพักโฮสเทลในย่านทักซิม ซึ่งเต็มไปด้วยร้านรวงสมัยใหม่และผับบาร์อึกทึก มีถนนคนเดินเหมาะสำหรับคนเสพติดการช้อปปิ้งเป็นที่สุด ในขณะที่ย่านสุลต่านอาห์เม็ดนั้นเหมาะสำหรับคนชอบความสงบ พวกผู้ใหญ่ คนสูงวัย นักเดินทางผู้รักความสันโดษ หรือคู่รักฮันนีมูนน่าจะชอบย่านเมืองเก่านี้มากกว่า 

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นเพียง “น้ำจิ้มชิมลาง” เท่านั้น เพราะยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่น่าสนใจ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นฉันใด อยากรู้ว่าอิสตันบูลมีเสน่ห์มากแค่ไหนก็ต้องมาให้เห็นด้วยตัวเองนะครับ 


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ส่อง 'เวียดนาม' ตลาดเงินดิจิทัลสุดร้อนแรง แห่งย่านอาเซียน

จากปรากฏการณ์ตื่นเงินคริปโตเคอร์เรนซี่ โดยเฉพาะ บิทคอยน์ที่มูลค่าสูงขึ้นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา ดึงกระแสนักลงทุนที่ต่างพร้อมใจถลกแขนเสื้อ กระโดดลงมาเล่นในตลาดเงินดิจิตอลกันอย่างคึกคัก ไม่เว้นแม้แต่บ้านเราที่มีการพูดคุยกันถึงทิศทางการลงทุนในตลาดเงินคริปโตกันแบบรายวันไม่แพ้ตลาดหุ้น 

แต่ใครจะคาดคิดว่า ตลาดในประเทศเพื่อนบ้านย่านอาเซียนของเรากลับจริงจังในการลงทุนในคลังคริปโตเคอร์เรนซียิ่งกว่า จนมีสัดส่วนการถือครองเงินดิจิตอลที่มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก 

ประเทศที่กำลังพูดถึงนี้ก็คือ เวียดนาม 

จากการสำรวจของ Statista Global Consumer Survey ในปี 2020 พบว่าประเทศที่มีสัดส่วนประชาชนที่ถือครอง หรือใช้เงินคริปโตเคอร์เรนซี่ในการแลกเปลี่ยน ซื้อขายจริง ๆ ในโลก อันดับ 1 คือ ไนจีเรีย อยู่ที่ 32%  ส่วนอันดับ 2 ตกเป็นของเวียดนาม 21% และที่ 3 ก็ยังเป็นประเทศในย่านอาเซียน คือ ฟิลิปปินส์ 20%  ซึ่งห่างจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างมาก ที่มีสัดส่วนผู้ถือเงินดิจิตอลเพียง 6% 

นับว่าเวียดนาม และฟิลิปปินส์ มีการใช้สกุลเงินดิจิตอล นอกเหนือจากเงินประจำชาติของตนแพร่หลายมากกว่าใคร ๆ ในอาเซียน

แต่หากเทียบกันระหว่าง เวียดนาม กับ ฟิลิปปินส์ กับนโยบายด้านการเงิน การธนาคารของทั้ง 2 ประเทศ ก็พบว่ามีความแตกต่างกันตรงที่ รัฐบาลฟิลิปปินส์เปิดกว้างในการใช้เงินคริปโตในระบบการเงินมากกว่าเวียดนามอย่างมาก 

ธนาคารกลางของฟิลิปปินส์อนุมัติการซื้อ - ขายเงิน

คริปโตเคอร์เรนซีหลากหลายสกุลได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย แถมรัฐบาลยังลงมาร่วมเป็นเจ้ามือเองด้วยการพัฒนาระบบบล็อคเชนของตัวเอง ที่เรียกว่า bonds.ph ร่วมกับธนาคาร Unionbank และนำพันธบัตรรัฐบาลออกขายผ่านระบบบล็อคเชนนี้ด้วย และยังมีการติดตั้ง Bitcoin ATM ในใจกลางกรุงมะนิลาอีกต่างหาก

แต่สำหรับรัฐบาลสังคมนิยมแบบเวียดนาม ไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนทิ้งเงินดอง ไปถือครองเงินดิจิตอลขนาดนั้น แถมในช่วงแรก ๆ ที่มีกระแสเงินบิทคอยน์ในเวียดนาม รัฐบาลยังออกมาเตือนถึงความเสี่ยง และยังไม่อนุญาตให้ใช้คริปโตซื้อขายสินค้าได้ในตลาดจริง แต่ทำไมตลาดเงินคริปโตเคอร์เรนซี่ในเวียดนาม ยังคงคึกคัก แซงหน้าเป็นเบอร์ 1 ในอาเซียนได้อย่างไร

ถึงแม้ว่ารัฐบาลเวียดนามจะห้ามใช้คริปโตเคอร์เรนซี ในระบบเงินสดดั้งเดิม แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้ "ขุด" ชาวเวียดนามก็สามารถเปิดเหมืองขุดคริปโตกันได้อย่างเต็มที่เท่าที่อยากจะขุด ดังนั้นจุดเริ่มต้นของกระแสคริปโตบูมในเวียดนาม จึงมาจากสายขุด ไม่ใช่สายเทรด ที่ทำให้มียอดการสั่งซื้อเครื่องขุดเงินดิจิตอล หรือในบ้านเราเรียกว่าเครื่อง "เสียบปลั๊กรับตังค์" ในเวียดนามเป็นจำนวนมาก

ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา มียอดนำเข้าเครื่องขุดเหรียญคริปโต ไม่ต่ำกว่า 7,000 เครื่อง และสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่นอกเหนือจากการตั้งหน้า ตั้งตาขุดเพื่อเก็งกำไรแล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวเวียดนามมีทักษะคติในแง่ดีกับการมีอยู่ของเงินคริปโต อาจมาจากระเบียบข้อบังคับด้านการเงินที่เข้มงวดอย่างมากในประเทศ 

เลยทำให้การถือครองเงินดิจิตอลของชาวเวียดนามกลายเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพส่วนบุคคล ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโอนเงิน แลกเปลี่ยนทำธุรกรรมกับต่างประเทศ ที่สามารถทำได้รวดเร็วกว่าผ่านธนาคารที่มีขั้นตอนเยอะ และต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยรัฐบาลเวียดนาม

จนทำให้ทุกวันนี้มีชาวเวียดนามมากกว่า 1 ล้านคนที่ถือบัญชีกระเป๋าเงินคริปโตที่ใช้งานอยู่ประจำ และยังนิยมเทรดเงินคริปโตในแพลตฟอร์มต่างประเทศแม้จะไม่มีภาษาเวียดนามรองรับ เช่น Poloniex และ Bittrex ที่พบชาวเวียดนามล็อคอินเข้าทำการซื้อขายในระบบสูงมากติดอันดับต้นๆของลูกค้าจากหลากหลายประเทศทั่วโลกจนนักวิเคราะห์การเงินมองว่า ตลาดเงินดิจิตอลในเวียดนามจะเติบโตได้อีกมาก และอาจเพิ่มได้อีกถึง 30 เท่าภายในปี 2030  

เหตุที่ทำให้พฤติกรรมของนักลงทุนในเวียดนามเปลี่ยนไปในรูปแบบดิจิตอลอย่างรวดเร็ว มีอยู่หลายปัจจัย 

อย่างแรกคือ เวียดนามมีตลาดของผู้ใช้เงินนอกระบบสูงกว่าทุกชาติในย่านอาเซียน 

จากข้อมูลขององค์การสหประชาติพบว่า มีผู้ใหญ่ชาวเวียดนามทำธุรกรรมผ่านสถาบันผู้ให้บริการด้านการเงินเพียง 30% ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปริมาณธุรกรรมในระบบธนาคารของชาวอาเซี่ยนทุกประเทศที่สูงถึง 69% 

ดังนั้นจึงมีชาวเวียดนามที่เข้าไม่ถึงระบบบัญชีธนาคารอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ทำให้ระบบเงินดิจิตอลเข้ามาตอบโจทย์ในการทำธุรกรรมการเงินที่รวดเร็วกว่า เข้าถึงง่าย และมีอิสระกว่า 

แต่ทั้งนี้ แค่การขุด การเทรดเพื่อเก็งกำไร ก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดกระแสความนิยมเงินคริปโตได้ถึงระดับนี้ หากขาดการสนับสนุน ผลักดันจากภาครัฐอย่างจริงจัง 

ถึงแม้ว่ารัฐบาลเวียดนามจะยังไม่รับรองการใช้เงิน คริปโตแทนเงินสดจริงในประเทศ แต่สิ่งที่รัฐบาลพยายามผลักดันคือ Fintech หรือ เทคโนโลยีการเงินรูปแบบใหม่

รัฐบาลเวียดนามใช้งบลงทุนในโครงการ Fintech มากเป็นอันดับต้น ๆ ในอาเซียน เป็นรองเพียงสิงคโปรเท่านั้น ทั้งโปรเจคการสร้าง ฮานอย สมาร์ท ซิตี้ ตั้งเป้าหมายในการเป็น Hub ด้าน Fintech ในย่านนี้ หรือการสนับสนุน Start-up รุ่นใหม่ในประเทศที่พัฒนาระบบมาต่อยอดการใช้งานระบบ Fintech สู่คนในสังคม 

มีข้อมูลว่า ในช่วงระหว่างปี 2017 -2020 มีจำนวน Fintech Start-up ในเวียดนามเพิ่มขึ้นถึง 179% ในจำนวน Start-up เกิดใหม่กว่า 30% เป็นผู้ให้บริการด้านการเงิน ระบบจัดการกระเป๋าเงินอิเล็คทรอนิค รวมถึงแอบพลิเคชั่นสำหรับการลงทุนแลกเปลี่ยนเงินคริปโตโดยเฉพาะ 

การขยายตัวของธุรกิจ Fintech ในเวียดนามก็สร้าง Start-up ระดับยูนิคอร์น ที่มีมูลค่าธุรกิจเกิน 1 พันล้านเหรียญได้เป็นตัวที่ 2 ของประเทศได้ในที่สุด นั่นก็คือ VNPay 

แต่รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าไกลกว่านั้น นอกจากการบรรลุเป้าหมายโครงการ ฮานอย สมาร์ทซิตี้ ศูนย์กลางเทคโนโลยีการเงินใหม่ในย่านอาเซียนแล้ว เวียดนามจะต้องมี Fintech Start-up ระดับยูนิคอร์นให้ได้ถึง 10 บริษัทภายในปี 2030 

นั่นจึงเป็นเหตุให้เทคโนโลยีบล็อคเชน และความนิยมเงินดิจิตอลในเวียดนามเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงตลอด 5 ปีที่ผ่านมา บวกกับทัศนคติของชาวเวียดนามรุ่นใหม่ ที่เรียนรู้เทคโนโลยีได้เร็ว มีความมุ่งมั่นในเป็นผู้ประกอบการ และกล้าลงทุน 

ปัจจุบัน เวียดนามมีประชากรราว ๆ 96.5 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกว่า 7% ในแต่ละปี แต่มีเพียง 4 ล้านคนที่มีกระเป๋าเงินดิจิตอลทั่วไปที่ใช้ในประเทศ จึงยังมีกลุ่มตลาดอีกมากมายให้บริษัท Fintech รุ่นใหม่ได้เติบโต และอาจมีการพิจารณาแก้ไขกฏหมายเรื่องการถือครองสินทรัพย์ ดิจิตอลในเร็วๆ นี้ 

แต่ทั้งนี้ ก็ยังคงต้องเตือนประชาชนถึงความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดเงินคริปโต และด้วยโครงสร้างการเมือง การปกครอง รัฐบาลเวียดนามยังไม่อาจปล่อยให้เงินคริปโตไหลเวียนในระบบการเงินในประเทศได้อย่างอิสระ 

ถึงอย่างนั้นก็ดี สิ่งที่น่าสนใจคือ กระแสคริปโตเคอร์เรนซีในเวียดนามจะบูมจนทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาสับสวิทช์ หรือคิดใหม่อีกครั้งหรือไม่ และ โครงการ ฮานอย สมาร์ทซิตี้ จะกลายเป็นโมเดลเมือง Fintech ของหลายประเทศในย่านอาเซียนได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องจับตาดูกัน

 

ข้อมูลอ้างอิง

https://m.sggpnews.org.vn/business/vietnam-has-second-highest-rate-of-cryptocurrency-use-91737.html

https://www.asiablockchainreview.com/outlook-for-vietnams-blockchain-and-crypto-industries-in-2020/

https://www.citypassguide.com/blog/the-rise-of-cryptocurrency-in-vietnam

https://vietnaminsider.vn/why-vietnam-ranked-top-among-countries-use-cryptocurrency-the-most/

https://www.businesstimes.com.sg/asean-business/cryptocurrencies-have-driven-vietnams-fintech-boom-white-paper

https://news.bitcoin.com/vietnam-plans-to-regulate-digital-currencies-after-commissioning-a-crypto-research-group/

https://news.bitcoin.com/cryptocurrency-mining-soars-vietnam-7000-rigs-imported/

https://fintechnews.sg/45354/vietnam/2020-fintech-vietnam-report-and-startup-map/

https://e.vnexpress.net/news/business/companies/digital-payment-firm-vietnam-s-second-startup-unicorn-4199895.html


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“พอเพียงสู่ความยั่งยืน” จากมุมมองของครูบัญชี (ตอนที่2) 'ทางสายกลาง'​ ภูมิคุ้มกัน​ธุรกิจ SME​ ไทย ในมุมมองของครูบัญชี

ตอนที่แล้วผู้เขียนได้พูดถึงแนวทางในการเริ่มต้นการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurs) เพื่อประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะการเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-Size Enterprises หรือ MSME) ซึ่งหลาย ๆ ท่านยังมีคำถามในใจว่าควรจะเริ่มต้นประกอบธุรกิจในรูปแบบใดดี ในตอนที่แล้วมีคำตอบให้กับทุกท่านในเบื้องต้น  สำหรับในตอนที่ 2 นี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงประเภทและขนาดของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจในการเลือกประเภทของธุรกิจที่เหมาะสมสำหรับดำเนินงานของแต่ละบุคคล

พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 และกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2562 กำหนดประเภทและลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไว้โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

หมายเหตุ วิสาหกิจรายย่อยเป็นส่วนหนึ่งของวิสาหกิจขนาดย่อม

ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
สำหรับการเป็นผู้ประกอบการกิจการผลิตสินค้า การค้าและบริการ ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นั้น เมธสิทธิ์ พูลดี (2562) ได้อธิบายความหมายของประเภทกิจการแต่ละประเภทดังนี้ 

การเป็นผู้ประกอบการกิจการผลิตสินค้าเป็นลักษณะของการประกอบการเปลี่ยนรูปวัตถุให้เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ด้วยเครื่องจักรกลหรือเคมีภัณฑ์โดยไม่คำนึงว่างานนั้นทำโดยเครื่องจักรหรือด้วยมือ ทั้งนี้ การประกอบกิจการผลิตสินค้ารวมถึงการแปรรูปผลิตผลการเกษตรอย่างง่ายที่มีลักษณะเป็นการอุตสาหกรรม การผลิตที่มีลักษณะเป็นวิสาหกิจชุมชนและการผลิตที่เป็นการประกอบอุตสาหกรรมในครัวเรือน

การเป็นผู้ประกอบการกิจการการค้า ที่ประกอบด้วยกิจการค้าส่งและค้าปลีก หมายถึง การให้บริการเกี่ยวกับการค้าโดยที่การค้าส่ง หมายถึง การขายสินค้าใหม่และสินค้าใช้แล้วให้แก่ผู้ค้าปลีก ผู้ใช้ในงานอุตสาหกรรม ผู้ใช้งานวิชาชีพ งานพาณิชยกรรม สถาบัน และรวมถึงการขายให้แก่ผู้ค้าส่งด้วยกันเอง ส่วนการค้าปลีก หมายถึง การขายโดยไม่มีการเปลี่ยนรูปสินค้าทั้งสินค้าใหม่และสินค้าใช้แล้วให้กับประชาชนทั่วไปเพื่อการบริโภคหรือการใช้ประโยชน์เฉพาะส่วนบุคคลในครัวเรือน รวมถึงการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนการซื้อขาย สถานีบริการน้ำมัน และสหกรณ์ผู้บริโภค เป็นต้น

การเป็นผู้ประกอบการกิจการการบริการ หมายความครอบคลุมถึง การศึกษา การสุขภาพ การบันเทิง การขนส่ง การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ การโรงแรมและหอพัก การภัตตาคาร การขายอาหาร การขายเครื่องดื่มของภัตตาคารและร้านอาหาร การให้บริการเช่าสิ่งบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ การให้บริการส่วนบุคคล บริการในครัวเรือน บริการที่ให้ธุรกิจ การซ่อมแซมทุกชนิด การท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว

หลายท่านคงมีข้อมูลประเภทของธุรกิจในใจแล้วว่าจะเลือกดำเนินธุรกิจประเภทใดดี แนวโน้มของธุรกิจที่เลือกจะเติบโตในอนาคตหรือไม่ ผู้เขียนมีข้อมูลบางส่วนจากรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี 2562 รายงานโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ซึ่งรายงานบทบาทของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในปี 2562 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.3 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) รวมทั้งประเทศ หากมีการพิจารณาตามขนาดวิสาหกิจพบว่าวิสาหกิจรายย่อย (Micro) คิดเป็นร้อยละ 2.9 วิสาหกิจขนาดย่อม (SE) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.3 และวิสาหกิจขนาดกลาง (ME) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.1 

สังเกตรายละเอียดได้จากรูปที่ 1 ที่แสดงโครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามขนาดวิสาหกิจ

รูปที่ 1 โครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามขนาดวิสาหกิจ
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

สำหรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ในปี 2562 ภาคบริการยังคงเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญสูงสุด ลำดับถัดมาคือภาคการค้าปลีกและค้าส่ง และภาคการผลิต คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.8  31.1 และ 20.3 ตามลำดับ 

รายละเอียดตามตารางที่ 1 ภาพรวมของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ตารางที่ 1 ภาพรวมของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

คิดว่า ณ จุดนี้ผู้อ่านคงได้แนวความคิดในการเลือกประเภทของธุรกิจในการเริ่มต้นที่จะเป็นผู้ประกอบการได้แล้ว แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกประเภทธุรกิจใดก็ตามผู้เขียนมีข้อเสนอแนะว่าการสร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจมีการเติบโตแบบยั่งยืนนั้นปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) ซึ่งเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่พสกนิกรชาวไทย ก็ยังมีประโยชน์มากมายสำหรับการประกอบธุรกิจไม่ว่าในระดับใดก็ตาม เนื่องจากเป็นปรัชญาที่ยึดหลักสายกลางที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนทุกระดับให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรมประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำต่าง ๆ 

ดังรูปที่ 2 แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

รูปที่ 2 แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่พอประมาณ เป็นต้น

ความมีเหตุผล หมายถึง การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ

การมีภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องอาศัยความรู้และคุณธรรมเป็นเงื่อนไขพื้นฐาน 

ความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน

คุณธรรม หมายถึง การยึดถือคุณธรรมต่าง ๆ เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง 

จะเห็นได้ว่าพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ที่ทรงมอบให้ประชาชนชาวไทยในเรื่องของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) เป็นประโยชน์อันมหาศาลต่อชนชาวไทยทุกกลุ่มในการนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการในยุคใหม่ ๆ ที่ตลาดการค้าในปัจจุบันมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง อย่างน้อยในเริ่มแรกของการเป็นผู้ประกอบการจะช่วยสร้างให้องค์การมีภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

 

ข้อมูลอ้างอิง

- เมธสิทธิ์ พูลดี. (2562).  ตัวแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในประเทศไทย (ปริญญานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต).  กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีปทุม
- สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ.  (2559).  เศรษฐกิจพอเพียง.  กรุงเทพฯ : สำนักงาน
- สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม.  (2563).  รายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ปี 2563.  กรุงเทพฯ : สำนักงาน


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สวย เก่ง ต้องยกให้เธอคนนี้!! "ปราง กัญญ์ณรัณ" นักแสดงสาวสวยหน้าคม ทั้งร้องเพลงเก่ง เล่นดนตรีได้ และยังเป็นสาวที่เรียนเก่งอีกคนหนึ่งของวงการบันเทิง

“ปราง กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล” นอกจากผลงานทางด้านการแสดงที่ขึ้นชื่อแล้ว เธอยังมีพรสวรรค์ทั้งร้องเพลงเก่ง เล่นดนตรีได้ เดี่ยวไวโอลินให้ผู้ฟังได้เคลิบเคลิ้มอยู่บ่อยครั้ง และยังเป็นสาวที่เรียนเก่งมากอีกคนหนึ่งของวงการบันเทิงด้วย 

การศึกษา :
•  ระดับประถม โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบอน
•  ระดับมัธยม โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบอน / Trinity International School
•  ระดับปริญญาตรี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล สาขาการจัดการการท่องเที่ยวและการบริการ (เกียรตินิยมอันดับ 1 เกรดเฉลี่ย 3.78)

ตั้งแต่ระดับมัธยมเธอก็เรียกว่าเป็นคนที่เรียนดีมาตลอด โดยเธอได้เข้าศึกษาที่ สาขาการจัดการการท่องเที่ยวและการบริการ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล และเรียนจบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เกรดเฉลี่ย 3.78 เรียกว่าเป็นสาวสวย เรียนเก่ง และผลงานการทำงานด้านวงการบันเทิงดีแบบครบเครื่องเลยทีเดียว


ที่มา:

https://campus.campus-star.com/variety/42669.html
https://www.sanook.com/campus/1404195/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top