Saturday, 17 May 2025
SPECIAL

ไม่ต้องรอมี ส.ส.!! ‘กรณ์’ นำทีมพรรคกล้า! ลงพื้นที่แก้ ‘หนี้นอกระบบ’ หวังช่วย ‘คนจนเมือง’ ลืมตาอ้าปากได้!!

12 ก.พ.2565 เวลา 09.00 น. นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายนที ศิริธรรมวัฒน์ , นายธีรพงศ์ พงษ์ศิริเดชา ทีมพรรคกล้า กทม. จัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการปัญหาหนี้นอกระบบ ที่ชุมชนอินทามระ 29 แยก 4 โดยมีประชาชนร่วมรับฟัง โดยเฉพาะคนในชุมชน พ่อค้าแม่ค้า ที่มีปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งส่วนใหญ่จำเป็นต้องนำเงินมาหมุน เนื่องจากรายได้ลดลง เพราะสถานการณ์โควิด-19 

นายกรณ์ กล่าวกับชาวบ้านว่า วันนี้พรรคกล้ามารับฟังความต้องการของพี่น้องที่เจอปัญหา เพื่อประสานกับสถาบันการเงินให้เข้ามาดำเนินการช่วยเหลือ ช่วยหาวิธีปลดภาระหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ทำให้รายได้ลดลงแม้รัฐบาลพยายามออกมาตรการเยียวยาต่าง ๆ แต่เป็นแค่การอุดช่องโหว่ ไม่ได้มาแก้ปัญหาสะสมที่มีอยู่ 

"สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันไม่มีใครมีไม่มีปัญหาเรื่องหนี้ ซึ่งตนเองเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยออกนโยบายที่ยิงตรงแก้ปัญหาระดับประชาชน โดยหนึ่งในเรื่องที่ทำคือการแก้หนี้นอกระบบ ชาวบ้านรับภาระดอกเบี้ยที่สูงเกินสมควร ตั้งแต่ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ร้อยละ 10 หรือร้อยละ 20 ต่อเดือน ดังนั้น การช่วยชาวบ้านอันดับแรกต้องปลดหนี้ให้ หรือหาวิธีทำให้ภาระหนี้สามารถแบกรับได้ด้วยอาชีพปกติ ซึ่งวิธีการที่เคยใช้ คือการเอาเงินจากธนาคารของรัฐ โอนเข้าบัญชีเจ้าหนี้นอกระบบโดยตรง และโอนหนี้มาเป็นของรัฐ โดยลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ1 เพื่อให้ประชาชนมีกำลังจ่าย แบกรับภาระหนี้ได้ โดยปี 2552 มีประชาชนได้รับการช่วยเหลือถึง 5 แสนกว่าคน มีหนี้เสียไม่ถึงร้อยละ 1" นายกรณ์ กล่าว 

นายนที ศิริธรรมวัฒน์ ทีมพรรคกล้า กทม. ในฐานะผู้ริเริ่มโครงการ กล่าวว่า วิธีแก้หนี้นอกระบบ ต้องปิดหนี้ดอกเบี้ยสูง หาเงินหมุนที่ดอกเบี้ยต่ำ โดยให้ประชาชนในชุมชนแจ้งจำนวนหนี้ ดอกเบี้ย รายได้ เงินหมุนทำมาหากิน โดยพรรคกล้าจะเป็นสื่อกลาง ประสานแจ้งปัญหาต่อสถาบันการเงิน 

‘Gaston Glock’ วิศวกรอัจฉริยะ!! ผู้ออกแบบและสร้างอาวุธ ‘ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK’

ปัจจุบันอาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติยี่ห้อ GLOCK มีส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตลาดปืนพกพลเรือน และเป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติที่เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาใช้ถึง 65% ของอาวุธปืนพก

ความสำเร็จที่ไม่คาดฝันมาก่อนของ GLOCK นั้นเกิดขึ้นได้จากการเป็นบริษัทผู้ผลิตปืนพกคุณภาพเยี่ยมราคาประหยัดออกมาแข่งกับบริษัทที่มีชื่อเสียงอาทิ Smith & Wesson และ Beretta ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดปืนพกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสำเร็จเชิงกลยุทธ์เกิดจากการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการทำการตลาด การโฆษณา และการส่งเสริมการขายไปยังกลุ่มตลาดหลัก ๆ

GLOCK GmbH ตั้งอยู่ใน Deutsch-Wagram ออสเตรีย และไม่ได้เข้าสู่ตลาดอาวุธปืนจนกระทั่งปี 1980 แรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ ผู้ก่อตั้ง Gaston Glock วิศวกรที่มีประสบการณ์ในการผลิตเรซินสังเคราะห์ขั้นสูง

ช่วงต้นปี 1980 Gaston Glock ได้ไปเยือนสำนักงานใหญ่ของกระทรวงกลาโหมออสเตรีย (AMD) เพื่อเสนอขายอุปกรณ์ทางทหารที่เขาผลิต อาทิ เข็มขัดสำหรับยึดสัมภาระที่ผลิตจาก polymer พลั่ว ลูกระเบิดมือฝึก และเครื่องมือแบบ Multifunction

ขณะที่รอการประชุม Glock ได้ยินการสนทนาของนายทหารระดับสูงสองนาย จึงแอบฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งหารือกันเกี่ยวกับข้อกำหนดอย่างเป็นทางการเพื่อเสนอข้อเสนอ (RFP) ให้กับบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืน 5 รายในโครงการผลิตปืนพกแทนที่ ปืนพก Walther P38 ที่ล้าสมัยแล้ว

สองพันเอกโอดครวญถึงความคืบหน้าของคำขอและปืนพกซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนาราว 4-5 ปี จำเป็นต้องผ่านคุณสมบัติบังคับ 17 ประการ เพื่อให้เป็นไปตาม RFP ของ AMD ซึ่งกำหนดให้ปืนพกต้องแม่นยำ น้ำหนักเบา และทนทาน พร้อมซองกระสุนซึ่งจุกระสุนได้มาก (ลูกดก) และใช้กระสุนปืนพกตามมาตรฐาน NATO (9x19 มม.)

การสนทนาของนายทหารทั้งสองยังทำให้ Glock ทราบว่า เมื่อได้รับอาวุธปืนพกแล้วตามกำหนดเวลาแล้ว AMD จะต้องประเมินความคาดหวังของ AMD ให้ได้ถึง 70% ของคุณสมบัติที่จำเป็นเหล่านี้ ข้อกำหนดที่เข้มงวดเหล่านี้ทำให้วิศวกรนักออกแบบอาวุธปืนฝันร้าย บริษัทผู้ผลิตปืนยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่กำหนด ตามกระบวนการผลิตเริ่มต้นจากโครงปืนด้วยเครื่องมือที่มีอยู่เดิมปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับรายละเอียดตามข้อกำหนดเช่นเดียวกับที่พวกเขาทำมานานหลายทศวรรษแล้ว ปืนพกเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามแนวคิดเดิม ๆ ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ 45-60 ชิ้น Glock จึงได้แนะนำตัวกับนายทหารทั้งสอง และเสนอว่า เขาต้องการได้รับการพิจารณาในการผลิตอาวุธปืนพกสำหรับ AMD ด้วย 

และหลังจากอธิบายธุรกิจและทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับเรซินแล้ว ไม่นานก็ถูกปฏิเสธอย่างเหยียดหยามแบบออสเตรีย ซึ่งเห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถแสดงออกกับ Glock ด้วยความชาญฉลาด Glock ซึ่งได้ลงทะเบียนในรายชื่อผู้ประมูลของ AMD สถานะของเขาจึงอยู่ในฐานะผู้จัดหาสินค้าในปัจจุบัน ทำให้ได้รับข้อมูลจำเพาะและข้อกำหนดการปฏิบัติตามกระบวนการเสนอราคาและกำหนดเวลา จากนั้น Glock ก็ทำงานทั้งวันทั้งคืนต่อมาอีก 2 ปี

Glock ได้ซื้อปืนพกทุกแบบในตลาด และทำการถอดประกอบเข้า-ออกทั้งหมด ด้วยการที่ไม่รู้ถึงกระบวนการผลิตอาวุธปืนจึงกลายเป็นข้อดี เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ Glock จึง “ไม่มีข้อปัญหาในการพัฒนาวิธีคิดเกี่ยวกับการผลิตอาวุธปืน” ซึ่ง Glock ได้บอกในภายหลังว่า เพื่อเสริมความไม่มีประสบการณ์เขาได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านอาวุธปืนที่เก่งมาก 2 คน และมี 'กลุ่มสนใจ' อีกหลายกลุ่มเพื่อช่วยออกแบบและสร้างอาวุธปืน

จากการที่ Glock มีประสบการณ์ในการพัฒนา polymer สูงมาก และมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอย่างมากด้วย และเมื่อผสานทักษะเหล่านั้นเข้ากับการออกแบบอาวุธปืนพกปืนที่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว 34 ชิ้นบรรจุกระสุน 17 นัด และมีน้ำหนักน้อยกว่าอาวุธปืนพกแบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK ได้รับการออกแบบที่ดีกว่า ผลิตได้แม่นยำกว่า และถูกกว่าด้วยการออกแบบที่ไม่น่าจะสำเร็จ แต่ก็คุ้มกับการลองอาวุธปืนพกที่มีความซับซ้อน แต่มีราคาเพียงประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ ที่จะอาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK ใช้โครงปืนเป็น polymer สไลด์ (ลำเลื่อน) ผลิตด้วยเหล็กจากเบ้าพิมพ์มีความแม่นยำสูง และการชุบเคลือบผิวด้วยความร้อนที่จดสิทธิบัตรเพื่อเพิ่มความต้านทานต่อการสึกหรอและการเกิดสนิม ไม่มีอะไรที่เหมือนและพิสูจน์แล้วว่า เชื่อถือได้ ทนทาน และแม่นยำ อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK 17 ได้รวมคุณสมบัติที่จำเป็นทั้งหมดตาม RFP ของ AMD ทั้ง 17 ประการไว้ และเข้าร่วมในการทดสอบของกองทัพออสเตรียเพื่อจัดหาอาวุธปืนพกในปี 1982 แน่นอนที่สุด GLOCK 17 ชนะการแข่งขัน

อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ GLOCK เอาชนะอาวุธปืนที่ผลิตโดยบริษัทผู้ผลิตรายสำคัญอีก 5 ราย เมื่อกระทรวงกลาโหมออสเตรีย (AMD) ได้ทำสัญญาสั่งซื้อปืนไฮบริดจ์เหล็กกล้าคาร์บอนกับ polymer จำนวน 25,000 กระบอกจาก GLOCK และกลายเป็นผู้นำในการผลิตอาวุธปืนเชิงพาณิชย์ เข้าสู่อันดับดีเยี่ยมของบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืนของโลก ปืนพก GLCK 17 ต่อมาถูกนำมาใช้โดยทหารและตำรวจออสเตรีย และถูกกำหนดเป็นปืนพกแบบ P80 โดยคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Smith & Wesson ซึ่งทำธุรกิจมาตั้งแต่ ปี 1850 พ่ายแพ้แบบหมดท่าเลยทีเดียว

GLOCK GmbH เป็นบริษัทเอกชน ดังนั้นกำไรจะไปยัง Gaston Glock เท่านั้น และจากการประมาณการ ตามเอกสารที่ยื่นโดย GLOCK ในคดีสิทธิบัตรเมื่อปี 1992 กำไรขั้นต้นเฉลี่ย ณ โรงงานคือ 68% องค์กรที่ทันสมัยเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับนี้ และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมาก โดยไม่ต้องแบ่งกับใครเลย Gaston Glock ได้ก้าวเดินไปตามคมมีดนี้อย่างประสบความสำเร็จ และในตลาดสมัยใหม่ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างผูกขาดเป็นเอกเทศ ยอดขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ GLOCK ทั้งหมดเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่เปิดตัวปืนพก GLOCK 17 ปัจจุบันปืนพกยี่ห้อ GLOCK วางจำหน่ายในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

GLOCK GmbH มีบริษัท Holding ตั้งอยู่ใน Lichtenstein ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด เนื่องจากมีการเก็บภาษีนิติบุคคลแบบเฉพาะจาก บริษัท Holding ตั้งอยู่ในอาณาเขต Lichtenstein นั้น (1) คิดอัตราภาษีที่คงที่ 12.5% (2) ไม่มีภาษีกำไรจากการขาย และ (3) มีการลดหย่อนภาษีพิเศษในกรณีที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา และ Gaston Glock มี Charles Ewert อัจฉริยะทางการเงินเป็นที่ปรึกษาของเขา

Charles Ewert ขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัว

สตูล - ททท.สตูล เชิญผู้ว่า-คุณนาย โปรความหวานจัดกิจกรรม “ความรักข้ามกาลเวลา” ระหว่างวันที่12-14 กุมภาพันธ์ 2565

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ควงแขน นาวาตรีหญิงโนสมา หลีเส็น นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล แถมยังได้สวมใส่ชุดเสื้อผ้าทรงพื้นเมืองทางภาคใต้ สีชมพูหวาน ออกโปรโมทการท่องเที่ยว ในเดือนแห่งความรัก ภายใต้การควบคุมมาตรการป้องกันโควิด-19 สวมใส่แมสก์ถ่ายรูป จุดบริเวณ สะพานข้ามกาลเวลา ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอุทยานฯ ที่มีความเก่าแก่ของชั้นหินข้ามกาลเวลายุคโบราณ 450 ล้านปี และสถานที่แห่งนี้ได้ถูกยกระดับเป็นหนึ่งในอุทยานธรณีโลกสตูลด้วยโดยเฉพาะการมาเก็บความงดงามของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความรักที่ยังอยู่ในความทรงจำที่ดี ท่ามกลางสื่อมวลชนหลากหลายแขนง ที่ลงเก็บภาพความน่ารัก ที่ท่านผู้ว่าสตูล และคุณนายหยอกล้อกัน แบบสื่อมวลชนต้องเขินอายแทนเลย

ด้าน นายภาณุ วรมิตร ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานสตูล เปิดเผยว่า ด้านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานสตูลร่วมกับจังหวัดสตูลองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูลและเทศมนตรีตำบลกำแพงจัดงานเทศกาล “ความรักข้ามกาลเวลา” ระหว่างวันที่ 12-14 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (COVID-19) สร้างความมั่นใจในความปลอดภัยด้านสุขอนามัยจากสินค้ าและบริการทางการท่องเที่ยว และยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล

โดยชูความสวยงามของธรรมชาติที่สรรค์สร้างได้อย่างลงตัวของอุทยานแห่งชาติเภตรา ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอุทยานฯที่มีความเก่าแก่ของชั้น "หินข้ามกาลเวลายุคโบราณ 450 ล้านปี” และสถานที่แห่งนี้ได้ถูกยกระดับเป็นหนึ่งในอุทยานธรณีโลกสตูลด้วย โดยเฉพาะการมาเก็บความงดงามของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

กาฬสินธุ์ - เปิดงานนมัสการพระธาตุพนมจำลองห้วยเม็ก กระตุ้นท่องเที่ยว!!

อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์ จัดงานบุญใหญ่นมัสการองค์พระธาตุพนมจำลองห้วยเม็ก โดยมีขบวนฟ้อนนางรำที่สวยงามในชุดการแสดงศรีโคตรบูรณ์ บูชาองค์พระธาตุพนมจำลองห้วยเม็ก พร้อมการแสดงแสง สี เสียง กล่าวขานตำนานพระธาตุพนม งานบุญกุ้มข้าวใหญ่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด

ที่ลานพระธาตุพนมจำลองห้วยเม็ก วัดธรรมพิทักษ์ อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานในพิธีฉลองสมโภชและเปิดงานนมัสการพระธาตุพนมจำลองห้วยเม็ก โดยมีนายธวัธชัย  รอดงาม รองผวจ.กาฬสินธุ์ นายชานุวัฒน์ วรามิตร นายก อบจ.กาฬสินธุ์ พระมหามีชัย กิจฺจสาโร ดร. เจ้าคณะอำเภอห้วยเม็ก เจ้าอาวาสวัดธรรมพิทักษ์ นายสุเทพ ชัยวัฒน์ นายอำเภอห้วยเม็ก พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนทุกสารทิศร่วมงาน ในงานพิธีมีการกล่าวคำบูชาองค์พระธาตุพนมจำลอง พร้อมด้วยการรำถวายบวงสรวงในชุดการแสดง ศรีโคตรบูรณ์ถวายเป็นพุทธบูชาองค์พระธาตุ และการแสดง แสง สี เสียง เล่าขานตำนานพระธาตุพนม

นอกจากนี้ประชาชนในพื้นที่อำเภอห้วยเม็ก ยังได้ร่วมกันจัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรม เพื่อสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี มีการจัดปฏิบัติธรรมบวชชี-พราหมณ์ ประเพณีบุญคูณลาน หรือบุญกุ้มข้าวใหญ่ การจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง สินค้า OTOP และสินค้าด้านการเกษตร เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน จัดทำทะเลธุง สำหรับงานนมัสการพระธาตุพนมจำลองห้วยเม็ก โดยกำหนดจัดงานในระหว่างวันที่ 6 - 15 กุมภาพันธ์ 2565

พระธาตุพนมจำลองห้วยเม็ก ตั้งอยู่ที่วัดธรรมพิทักษ์ ในเขตเทศบาลอำเภอห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ การก่อสร้างเริ่มต้นจากการประชุมของคณะสงฆ์ ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2520 โดยมีพระเทพโมลี เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารในขณะนั้นเป็นประธาน ที่ประชุมได้หารือกันว่าชิ้นส่วนและวัตถุมงคลของพระธาตุพนมองค์เดิมสมควรจะนำไปไว้ในพื้นที่ใด ในที่สุดที่ประชุมคณะสงฆ์ได้ใช้วิธีการเสี่ยงทาย ผลการเสี่ยงทายปรากฏว่า วัดธรรมพิทักษ์ อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับอนุญาตให้นำชิ้นส่วนและวัตถุมงคลของพระธาตุพนมองค์เดิมมาประดิษฐานไว้เพียงแห่งเดียว

เลย - หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 จัดกิจกรรมโครงการ ทำดีเพื่อน้อง ทาสีเครื่องเล่นสนามโรงเรียนตามแนวชายแดนแม่น้ำโขง ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดน

โรงเรียนชุมชนบ้านปากห้วย อ.ท่าลี่ จ.เลย กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี โดย พันเอก อุทัย นิลเนตร ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 และคุณสิริกัญญา นิลเนตร ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา กรมทหารพรานที่ 21 จับมือกับคณะหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 2 รุ่นที่ 2 นำกำลังพลกองร้อยทหารพรานที่ 2102 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 พร้อมคณะแม่บ้านจิตอาสาของหน่วย จัดกิจกรรมโครงการ ทำดีเพื่อน้อง       

           

โดยกิจกรรมทาสีเครื่องเล่นสนามโรงเรียนชุมชนบ้านปากห้วย อ.ท่าลี่ จ.เลย ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาขนาดกลาง มีอาณาเขตติดกับแขวงไชยบุรี สปป.ลาว เปิดทำการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้น อนุบาล 2- มัธยมศึกษาปีที่ 3 มีจำนวนนักเรียนรวมทั้งสิ้น 282 คน เป็นกิจกรรมทาสีเครื่องเล่นสนาม เพื่อช่วยซ่อมแซมเครื่องเล่นสนามของเด็ก ๆ ให้สวยงาม สร้างบรรยากาศในการเล่นและการเรียนรู้ให้เครื่องเล่นสนามของเด็ก ๆ มีความสวยงามและน่าเล่น ทำให้เด็ก ๆ ได้มีความสุขในการเล่น เป็นการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยมี นางสาวศิริภรณ์  เยาวพันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครูและนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น ซึ่งในการดำเนินกิจกรรมครั้งต่อไป

เชียงใหม่ - อบจ.เชียงใหม่ จัดการประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 เชื่อมโยงอัตลักษณ์ความเป็นล้านนา...สู่สากล!!

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จัดพิธีเปิดการจัดประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี  พ.ศ. 2565 โดยมีนายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิด งาน เพื่อขับเคลื่อนการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว ของจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งรองรับนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาลและนโยบายการเปิดเมืองของจังหวัดเชียงใหม่   (CHARMING Chiang Mai) ณ ลานกิจกรรมตรงข้ามสวน  เฉลิมพระเกียรติ 82 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (ด้านหลังศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่)

นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่เรามีประเพณี ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมล้านนารวมถึงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ อันเป็นอัตลักษณ์ทรงคุณค่า มีเสน่ห์ที่โดดเด่น เป็นปัจจัยที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งมาสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมร่วมกัน เกิดการประชาสัมพันธ์กันในวงกว้าง จนติดอันดับต้น ๆ ในการจัดอันดับเมืองที่น่าเที่ยวที่สุดในโลกเป็นประจำทุก ๆ ปี

เนื่องจากเกิดสถานะการโควิด19 เกิดวิกฤตครั้งใหญ่ ทำให้การท่องเที่ยวทั่วโลกหยุดชะงัก เศรษฐกิจซบเซา ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ได้มีมาตราการเพื่อรับมือกับโควิด19 มาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ในการร่วมมือป้องกันและตั้งรับโรคโควิด19 จึงทำให้ขณะนี้เชียงใหม่ได้เริ่มกลับมามีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเชียงใหม่อีกครั้ง ยอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

การจัดการประกวดนางสาวเชียงใหม่ในปี2565 นี้ ทางจังหวัดเชียงใหม่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะช่วยประชาสัมพันธ์เชียงใหม่ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น ตลอดจนนักท่องเที่ยว ว่าเชียงใหม่ เที่ยวได้ โดยคำนึงถึงมีมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวดตามมาตรฐานสาธารณสุข เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด   ขอความร่วมมือ พี่น้องประชาชน ยังคงต้องระมัดระวังตนเองในการปฏิบัติเว้นระยะห่างสวมหน้ากากอนามัย ตรวจเช็คอุณหภูมิ ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อยับยั้ง การแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด ให้สามารถควบคุมได้ โดยคำนึงถึงมีมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวดตามมาตรฐานสาธารณสุข

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่าว่า เพื่อเปิดโอกาสให้สาวงามทั่วประเทศไทย ได้ลงชิงชัย และแสดงศักยภาพของผู้หญิงไทยในการเชื่อมโยงอัตลักษณ์ความเป็นล้านนาสู่สากล อีกทั้งเป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์เมืองเชียงใหม่ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และเป็นแม่แบบตัวอย่าง  ด้านวัฒนธรรม การส่งเสริมขนมธรรมเนียมประเพณีจริยธรรมล้านนาให้อยู่คู่แผ่นดินล้านนา เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน รวมถึงเป็นทูตสายสัมพันธ์การท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงใหม่ในการร่วมกิจกรรมงานเทศกาลด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งในระดับจังหวัด และในระดับประเทศ

โดยการประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นการประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 รอบแรก 30 คน วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป การประกวดนางสาวเชียงใหม่  ประจำปี 2565 รอบที่ 2 คัดเลือกสาวงาม 20 คน เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ  วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป การประกวดนางสาวเชียงใหม่  ประจำปี 2565 รอบตัดสิน และประกาศผลผู้ได้รับตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 

สำหรับรางวัลการประกวดนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 มีดังนี้

1. ตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 จะได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย ผ้าคลุมและ

ถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 100,000 บาท

2. ตำแหน่งรองอันดับ 1 นางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 จะได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 50,000 บาท

3. ตำแหน่งรองอันดับ 2 นางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 จะได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 30,000 บาท

4. ตำแหน่งรองอันดับ 3 นางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 จะได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 25,000 บาท

5. ตำแหน่งรองอันดับ 4 นางสาวเชียงใหม่ ประจำปี 2565 จะได้รับมงกุฎเพชร สายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 20,000 บาท

6. ตำแหน่งขวัญใจสื่อมวลชน จะได้รับสายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 10,000 บาท

7. ตำแหน่งขวัญใจมหาชน จะได้รับสายสะพาย และถ้วยรางวัล พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 10,000 บาท

ระยอง - โฆษกกองทัพเรือแจง ทรภ. 1 ส่งอากาศยาน ขึ้นสำรวจน้ำมันรั่วรอบ 2 ที่ระยอง พบไม่รุนแรง!!

พลเรือโท ปกครอง  มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงข่าวกรณีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 บริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด(มหาชน) หรือ SPRCได้ประกาศภาวะฉุกเฉินน้ำมันรั่วไหล Tier 1  (ภาวะน้ำมันรั่วไหลขนาดเล็ก ไม่เกิน 20 ตัน)  เนื่องจากพบฟิล์มน้ำมันดิบ (สีเงิน) บริเวณทิศเหนือ ห่างจากทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเลประมาณ 3 ไมล์ เนื่องจากมีการเข้าไปเก็บหลักฐานเพื่อประกอบทางคดี และมีการสอบสวนถึงน้ำมันในท่อและระบบซึ่งขณะทำการตรวจสอบ ได้เกิดการรั่วไหลของน้ำมันค้างท่อจำนวนประมาณ 5,000 ลิตร และ บริษัทฯ ได้ขอกำลังทางเรือและอากาศยานจากทัพเรือภาค 1 ขึ้นบินลาดตระเวนตรวจคราบน้ำมันและวางแผนการใช้สารขจัดคราบน้ำมันเพื่อระงับเหตุ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และอยู่ในวงจำกัด

ระยอง - พบน้ำมันรั่วไหลกลางทะเล ซ้ำอีกที่จุดเดิม 5,000 ลิตร สาเหตุเกิดจาก เจ้าหน้าที่ยกท่ออ่อนจุดที่รั่วเดิมขึ้นมาตรวจสอบ แต่มีน้ำมันค้างท่อ

เมื่อเวลา 16.00 น. ของวันที่ 10 ก.พ.2565 ที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดระยอง กรณีน้ำมันดิบรั่วกลางทะเล หมู่บ้านสบาย สบาย หาดแม่รำพึง อ.เมือง จ.ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ ร.ต.พิรุณ เหมะรักษ์ รอง ผวจ.ระยอง ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงปริมาณการรั่วไหลของน้ำมัน บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด(มหาชน)หรือ SPRC และ นายพุทธิกรณ์ วิชัยดิษฐ อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง เปิดแถลงข่าวด่วนหลังมีรายงานว่า มีน้ำมันดิบรั่วไหลกลางทะเลซ้ำจุดเดิมอีก สาเหตุเกิดจากทางบริษัท SPRC ได้มีการยกท่ออ่อนขนถ่ายน้ำมันบริเวณทุ่นขนถ่ายน้ำมันกลางทะเลจุดที่พบการรั่วไหลครั้งที่ผ่านมา ขึ้นมาตรวจสอบแต่พบว่ามีน้ำมันค้างท่ออยู่ จึงเกิดการรั่วไหลลงทะเลซ้ำอีก

ว่าที่ ร.ต.พิรุณ กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ เวลาประมาณ 09.00 น.ได้รับแจ้งจาก บ. SPRC ว่าได้เกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลซ้ำอีกจุดเดิมที่มีการรั่วไหลกลางทะเลเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุเกิดจากเจ้าหน้าที่ของ บ.SPRC ได้มีการยกท่ออ่อนจุดที่รั่วไหลขึ้นมาตรวจสอบ แต่พบว่ามีน้ำมันดิบค้างท่ออยู่ จำนวน 5,000 ลิตร เกิดรั่วไหลลงทะเล แต่เป็นน้ำมันที่ไม่หนาแน่นเหมือนครั้งที่ผ่านมา โดยจุดที่พบคราบน้ำมันอยู่ห่างทุ่นขนถ่ายน้ำมันประมาณ 3 ไมล์ทะเล และอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 20 กม. เบื้องต้นทางบริษัทฯ ได้ระดมเรือ จำนวน 9 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ เข้าควบคุมสถานการณ์ โปรยสารเคมีสลายคราบน้ำมันดังกล่าวอย่างเร่งด่วนแล้ว อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และเอาอยู่ไม่พัดเข้าฝั่งแน่นอน

“บิ๊กโจ๊ก” เดินหน้า!กวาดล้าง ‘มาเฟียน้ำมันเขียว’ จับกลางอันดามัน เวียนเทียนใช้รหัสเรือจม โผล่เติมน้ำมัน

จากกรณีที่ประเทศไทยได้ถูกลดอันดับการรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์จากทางการสหรัฐฯ ลงเป็นอันดับประเทศที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) โดยมีข้อสังเกตในเรื่องการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์อย่างจริงจังในทุกภาคส่วน ปัญหาการบังคับใช้แรงงานและแรงงานข้ามชาติซึ่งเกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรมรวมถึงภาคการประมง รวมทั้งปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ตามที่ทราบแล้ว นั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และการบังคับใช้แรงงานในภาคการประมง โดยมี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม เฝ้าระวังการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้แต่งตั้งชุดปฏิบัติการตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการประมง เพื่อการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวและประสานการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในการนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ /ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ / รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. /รองประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) โดยเร่งด่วน

โครงการน้ำมันเขียว เป็นโครงการที่ภาครัฐจัดน้ำมันดีเซลที่เติมสารสีเขียวเพื่อให้แยกแยะจากน้ำมันบนฝั่งได้ และได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิต ทำให้มีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลบนบกประมาณลิตรละ 6 บาท ซึ่งรัฐบาลจัดให้มีขึ้นเพื่อลดภาระต้นทุนการทำประมงให้กับชาวประมงพาณิชย์ตามมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ 18 กันยายน 2555 ในการบริหารจัดการมีอธิบดีกรมสรรพสามิตทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการ ปัจจุบันมีเรือสถานีบริการ (Tanker) 51 ลำ ให้บริการพี่น้องชาวประมงพาณิชย์ทั่วเขตทะเลไทย

ต่อมาประเทศไทยได้รับ “ใบเหลือง” การทำประมง IUU จากสหภาพยุโรปเมื่อปี 2558 รัฐบาลดำเนินการจัดระเบียบการทำประมงประเทศไทยใหม่ทั้งระบบ ทำให้เรือประมงพาณิชย์ที่ได้รับสิทธิเติมน้ำมันเขียวลดลงจาก 10,459ลำ ในปี 2559 เหลือ 8,445 ลำ ในปี 2564 แต่ทว่าขณะที่เรือประมงพาณิชย์ที่เติมน้ำมันเขียวลดจำนวนลง แต่ปริมาณการจำหน่ายกลับมิได้ลดลงตามสัดส่วนจำนวนเรือ กลับ “คงที่อยู่ประมาณปีละ 610 ล้านลิตร” คิดเป็นภาษีที่รัฐบาลยกเว้นถึงปีละประมาณ 4,000 ล้านบาท หรือเท่ากับเรือประมงพาณิชย์ทุกลำที่เติมน้ำมันเขียว ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการยกเว้นภาษีที่ควรจะเสียประมาณ 471,717 บาท/ลำ/ปี

นอกจากนั้น การอุดหนุนภาคประมงพาณิชย์ด้วยการ “ยกเว้นภาษี” น้ำมันดีเซลให้ต่ำกว่าราคาตลาดลิตรละ 6 บาท หรือน้ำมันเขียว ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่องค์การการค้าโลก (WTO) ให้ประเทศไทยชี้แจงว่า เป็นการอุดหนุนที่มีการบริหารจัดการอย่างเข้มงวดหรือไม่ เพื่อมิให้เป็นการสนับสนุนการทำประมง IUU การทำประมงทำลายล้างทรัพยากรสัตว์น้ำ Over Fishing ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีแนวทางการบริหารจัดการ ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่องค์การการค้าโลกจะประกาศให้ประเทศไทยต้องยกเลิกการอุดหนุนภาคประมงพาณิชย์ด้วยการยกเลิกโครงการน้ำมันเขียวทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเรือประมงพาณิชย์ประเทศไทยอย่างกว้างขวาง

คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 จึงอนุมัติกรอบการชี้แจงกับองค์การการค้าโลก (WTO) โดยยืนยันว่าประเทศไทยมีการกำกับดูแลที่ดีในการทำประมงไม่ให้เป็น IUU ทำลายล้างสัตว์น้ำ และมีระบบควบคุมดูแลการสนับสนุนการทำประมงอย่างดีมีประสิทธิภาพ ทำให้หน่วยงานภาครัฐโดยกรมสรรพสามิต ได้ประสานขอการสนับสนุนจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ติดตาม ควบคุม เฝ้าระวังการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เข้าตรวจสอบ สืบสวน เพื่อ “จัดระบบ” ควบคุมดูแลโครงการน้ำมันเขียว ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างเคร่งครัด ไม่ให้ถูกนำไปใช้ในการทำประมง IUU การทำประมงทำลายล้างสัตว์น้ำ และการค้ามนุษย์ แรงงานบังคับ บนเรือประมง

จากการตรวจสอบข้อมูลเรือประมงที่มีสิทธิเติมน้ำมันเขียว ซึ่งต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามประกาศกรมศุลกากร ที่ 68/2561 ลงวันที่ 10 เมษายน 2561 ประกอบด้วย

1) ต้องเป็นเรือประมงที่ได้รับใบอนุญาตทำการประมงจากกรมประมง 

2) ต้องเป็นเรือประมงที่ผ่านการรับรองจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย 

3) ต้องเป็นเรือประมงที่มีรหัสและรับรองจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย

โดยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยส่งให้กับกรมสรรพสามิต เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 จำนวน 8,445 ลำ พบข้อมูลว่า มีเรือที่ไม่มีคุณสมบัติตามประกาศกรมศุลกากร แต่สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ออกรหัสและรับรองให้เติมน้ำมันเขียว ถึง 791 ลำ ประกอบด้วย เรือประมงพาณิชย์ไม่มีทะเบียนเรือ เรือประมงพาณิชย์ไม่มีใบอนุญาตประมงพาณิชย์จากกรมประมง เรือประมงพาณิชย์ที่แจ้งจมหรือทำลายไปแล้ว เรือประมงพาณิชย์ที่เปลี่ยนประเภทไปเป็นเรือบรรทุกสินค้า เรือลากจูง และเรือประมงพื้นบ้านที่มีขนาดถังน้ำมันตั้งแต่ 1,500 - 10,000 ลิตร ซึ่งเกินกว่าขนาดตัวเรือที่สามารถบรรทุกได้

เมื่อนำรายชื่อเรือพร้อมรหัสเติมน้ำมันเขียวจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ไปสอบยันกับข้อมูลการเติมน้ำมันเขียวที่ตำรวจน้ำได้รับจากเรือสถานีบริการ (Tanker) พบว่า มีเรือประมงที่ใช้รหัสของเรือประมงที่ขาดคุณสมบัติข้างต้น “ไปเติมน้ำมันเขียว” จำนวนหลายลำ และยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่ามีเรือประมงอีกจำนวน 599 ลำ ใช้รหัสเติมน้ำมันไม่ตรงกับรหัสเติมน้ำมันที่สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยออกให้และรับรอง “เข้ามาเติมน้ำมันเขียว” ด้วย เช่นเดียวกัน ทำให้จำนวนเรือที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิด “เติมน้ำมันเขียว” โดยขาดคุณสมบัติตามประกาศกรมศุลกากร ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีจำนวนถึง 1,390 ลำ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. จึงบูรณาการกำลังออกปฏิบัติการร่วมกัน ระหว่าง กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมประมง กรมเจ้าท่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าจับกุมเรือประมง ชื่อ ช.ศรีพลนภา 5 ขนาด 122 ตันกรอส ขณะทำการประมงบริเวณทะเลอันดามัน พื้นที่รอยต่อจังหวัดพังงาและระนอง โดยให้เข้าเทียบท่าที่ อ.คุระบุรี จ.พังงา มีพฤติกรรมวนเวียนเติมน้ำมันจากเรือสถานีบริการ (Tanker) หลายลำ ในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน โดยใช้รหัสเติมน้ำมันของ “เรือประมงที่แจ้งทำลายเรือ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 และขยายผลเข้าตรวจค้นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ จากผู้เกี่ยวข้อง คือ เรือสถานีบริการน้ำมันเขียว บริษัทเข้าของเรือสถานีบริการน้ำมันเขียว รวมถึงสมาคมประมงที่ให้การรับรอง เพื่อดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560มาตรา 189 ขนถ่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่องโดยไม่มีคุณสมบัติ มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือปรับเป็นเงินสองเท่าของราคาน้ำมันที่อยู่ในเรือ หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเรือประมงที่ถูกจับกุมวันนี้บรรทุกน้ำมันประมาณ 30,000 ลิตร และได้เติมน้ำมันเขียวโดยใช้รหัสเติมน้ำมันเขียวจากเรือประมงลำอื่นที่แจ้งกับกรมเจ้าท่าว่า ถูกทำลายไปแล้ว จำนวน 6 ครั้ง จะต้องโดนปรับ 4,320,000 บาท นอกจากนั้น ยังเข้าข่ายกระทำความผิดพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 203 ฐานนำน้ำมันที่ยังไม่เสียภาษีสรรพสามิตเข้ามาในราชอาณาจักร มีโทษปรับสองถึงสิบเท่าของภาษี จึงจะต้องเสียค่าปรับอีก 12,600,000 บาท รวมค่าปรับทั้งสองกฎหมาย รวม 16,920,000 บาท ทั้งนี้ยังไม่รวมการดำเนินคดีจากกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัติเรือไทย พ.ศ. 2481 เป็นต้น และจะมีการจับกุมดำเนินคดี กับเรือประมงที่กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันตามมาอีกจำนวนมากในทุกจังหวัดชายทะเล ซึ่งชุดปฏิบัติการได้กำหนดเป้าหมายไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

นอกจากจะมีการดำเนินคดีกับกลุ่มเรือประมงที่ไม่มีคุณสมบัติเติมน้ำมันเขียวแล้ว ในส่วนของเรือสถานีบริการ (Tanker) และสมาคมการประมง ที่ให้การรับรองคุณสมบัติและออกรหัสเติมน้ำมันเขียว ก็จะถูกดำเนินคดีด้วยทั้งหมดเช่นเดียวกัน

“ผมขอเรียนว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมงที่ประกอบอาชีพโดยสุจริตแต่อย่างใด ทุกท่านยังสามารถเติมน้ำมันเขียวได้ตามปกติเหมือนเดิมทุกประการ ผมขอย้ำว่าการทำงานของผมคือการแยกน้ำเสียออกจากน้ำดี ให้คนดีมีที่ยืนอย่างภาคภูมิใจในสังคม คนไม่ดีต้องได้รับการลงโทษ ซึ่งผมมั่นใจว่า พี่น้องชาวประมง 95% เป็นคนดี หน้าที่ของผมคือ นำคนไม่ดี 5% ไม่ให้ปะปนกับคนดีและทำให้คนดีได้รับความเสียหาย การบูรณาการการทำงานร่วมกันหลายหน่วยงานครั้งนี้ เป็นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีของประเทศในภาวะที่ประชาชนกำลังได้รับความลำบาก แต่มีบางพวก บางกลุ่ม แสวงหาผลประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ภาครัฐดูแลสนับสนุนไป เพื่อประโยชน์ส่วนตัว สร้างความเสียหายจากมูลค่าภาษีที่รัฐควรจะได้ถึงปีละ 700 ล้านบาท อย่างไรก็ตามผมจะประสานงานหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมประมง ในการเร่งรัดปรับปรุงกระบวนการควบคุม ดูแลการบริหารจัดการน้ำมันเขียวไม่ให้เกิดการกระทำความผิดเช่นนี้อีก โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นประเทศของเราจะอยู่ในความเสี่ยงสูงที่จะถูกองค์การการค้าโลก (WTO) พิจารณายกเลิกมาตรการอุดหนุนการทำประมงโดยโครงการน้ำมันเขียว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมงทุกคนอย่างร้ายแรง อีกทั้งโดนประชาคมโลกกล่าวหาว่าสนับสนุนการทำประมง IUU ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าประมงไทยที่กำลังเป็นรายได้หลักของประเทศในขณะนี้”

 

‘ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ’ ขานรับนโยบาย! ‘นายกรัฐมนตรี’ สั่งการตำรวจทั่วประเทศ เร่งปราบปรามพนันออนไลน์!!

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใย กรณีมีการลักลอบเปิดให้เล่นพนันออนไลน์ ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย จึงได้มอบนโยบายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดปราบปรามอย่างเร่งด่วน

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพิ่มความเข้มในการตรวจสอบเว็บไซต์พนันออนไลน์ รวมทั้งการลักลอบเล่นการพนันทุกรูปแบบ หากพบเห็นให้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะเว็บไซต์พนันออนไลน์ และได้มีการจับกุมมาโดยตลอด โดยในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผลการจับกุมไปแล้วกว่า 1,300 คดี ผู้ต้องหากว่า 1,600 ราย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สืบสวนขยายผลจากการจับกุมจนทราบว่า เว็บไซต์พนันออนไลน์ ส่วนหนึ่งมีที่ตั้งของเซิร์ฟเวอร์อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และมีการทำธุรกรรมผิดกฎหมายในประเทศไทย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เดินทางไปที่ประเทศกัมพูชาพร้อมคณะทำงานของ ศปอส.ตร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานการปฏิบัติแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ของทางการประเทศกัมพูชา ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี คาดว่าจะนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดรายใหญ่ในเร็ววันนี้

กาฬสินธุ์ - สร้างปราสาทรวงข้าว ในงาน "ประเพณีบุญคูณลานสู่ขวัญ" ประจำปี 2565 เพื่อสืบสานตำนานพระแม่โพสพ ระหว่างวันที่ ณ วัดเศวตวันวนาราม อำเภอเมืองกาฬสินธุ์

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยที่ปรึกษารมว.คมนาคม นำส่วนราชการ ประชาชน สืบสานประเพณีบุญคูณลาน เพื่อบูชาพระแม่โพสพ และสู่ขวัญข้าวเพื่อความเป็นสิริมงคล ไฮไลต์อยู่ที่การสร้างปราสาทรวงข้าว ซึ่งชาวบ้านได้ใช้ภูมิปัญญานำรวงข้าวจำนวนมาก มาร้อยเรียงสร้างขึ้นอย่างวิจิตรสวยงาม รายล้อมด้วยการจัดซุ้มปราสาทรวงข้าวบริวารอีกหลายหลัง อีกหนึ่งแลนด์มาร์กส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่หาดูได้ยาก และมีที่เดียวในจังหวัดกาฬสินธุ์

ที่บริเวณวัดเศวตวันวนาราม ต.เหนือ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วย นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายธวัชชัย รอดงาม รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ นายชานุวัฒน์ วรามิตร นายก อบจ.กาฬสินธุ์ นายชาญณ์ บุตรวงค์ ปลัดอาวุโส อ.เมืองกาฬสินธุ์ ส่วนราชการ ผู้นำชุมชน ประชาชน และเยาวชน ร่วมกันจัดงานประเพณีบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูณลานสืบตำนานพระแม่โพสพ ประจำปี 2565  โดยมีนางรำกว่า 300 คน รำบวงสรวงพระแม่โพสพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำหน้าที่ปกปักรักษาผืนนาและรวงข้าวให้อุดมสมบูรณ์ ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19

นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า บุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูณลานสืบตำนานพระแม่โพสพ เป็นอีกหนึ่งประเพณีในฮีต 12 คอง 14 ของชาวอีสาน ที่สืบสานมาตั้งแต่บรรพบุรุษในช่วงเดือน 3 หลังเสร็จสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวนาปี โดยมีการถ่ายทอดมารุ่นต่อรุ่น เพื่ออนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และประเพณีพื้นบ้านดั้งเดิม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่สนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่ง จ.กาฬสินธุ์ มีความโดดเด่นด้านวิถีชีวิตและประเพณีที่ยิ่งใหญ่ตลอดปี  อย่างบุญคูนลานของชาว ต.เหนือ ที่ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยเฉพาะรูปแบบปราสาทรวงข้าวมีการพัฒนาเรื่อยมา จนกระทั่งมีรูปแบบเป็นปราสาทรวงข้าวตามที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีความสวยงามโดดเด่นและยังคงรูปแบบวัฒนธรรมอีสานไว้ จนกระทั่งถูกยกระดับให้เป็นประเพณีและแหล่งท่องเที่ยวของ จ.กาฬสินธุ์ และปฏิทินการท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ด้านนายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จ.กาฬสินธุ์ มีวัฒนธรรมประเพณีที่สำคัญตามฮีต 12 คอง 14 และแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ซึ่งทุกภาคส่วนทั้งราชการ ภาคประชาชน ได้ร่วมกันอนุรักษ์สืบสาน ให้อนุชนรุ่นใหม่ได้เห็นคุณค่า และร่วมกันรักษาประเพณีอันดีงามให้คงอยู่สืบไป เช่นเดียวกับการจัดงานประเพณีบุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูณลาน สืบตำนานพระแม่โพสพในครั้งนี้  เป็นการแสดงถึงศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวิถีชีวิตดั้งเดิม ผ่านรูปแบบการจัดกิจกรรมต่างๆ ในงาน เช่น การร่วมบริจาคข้าวเปลือก เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้ยากไร้ บำรุงพระพุทธศาสนา พัฒนาชุมชน แสดงออกถึงพลังสามัคคี และความกตัญญูต่อพระแม่โพสพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำหน้าที่ปกปักรักษานาข้าว น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ และหล่อเลี้ยงต้นข้าวให้เจริญงอกงาม ออกผลผลิตข้าวให้บริบูรณ์ ได้รับประทานเพื่อยังชีพและจำหน่ายสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว

กรุงเทพฯ - ม.เกษตร ผนึกกำลัง! ซีพีเอฟ ซีพีพี ยกระดับงานวิจัย - การศึกษาของชาติ นำร่องการวิจัยการปรับปรุงพันธุ์กัญชา และอาหารเพื่อนักกีฬา

ดร.จงรักษ์ วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding – MoU) และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Agreement – MoA) กับนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด หรือ ซีพีพี บริษัทในเครือซีพี

เพื่อยกระดับงานวิจัยด้านอาหารและการเกษตร ควบคู่กับพัฒนาการศึกษาของประเทศให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ภายใต้กรอบความร่วมมือ 3 ด้าน คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตร ด้านพัฒนางานวิจัย และด้านการจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นเปิดโอกาสให้นิสิตได้แสดงศักยภาพของตนเอง ได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติและการลงมือทำจริง ช่วยสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีทักษะความรู้ที่ตรงตามความต้องการของตลาด

โดยมีคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัย และบริษัท ร่วมด้วย ได้แก่ รศ.ธานี ศรีวงศ์ชัย คณบดีคณะเกษตร รศ.อภิสิฎฐ์ ศงสะเสน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล และ ดร.สมหมาย เตชะศิรินุกูล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ซีพีเอฟ

การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ประกอบด้วย MoU และ MoA ซึ่งนำไปสู่สัญญาให้ทุนอุดหนุนโครงการวิจัยการปรับปรุงพันธุ์กัญชาไทยให้มีคุณภาพและมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น มีส่วนร่วมสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมอาหารของไทย ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ และมีความเหมาะสมกับบริบทความต้องการของคนไทย เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ และเพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้บริโภคอาหารที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านความร่วมมือในการดำเนินโครงการวิจัยต่าง ๆ อาทิ อาหารเพื่อนักกีฬา อาหารเพื่อผู้สูงวัย จุลินทรีย์โปรตีนทางเลือก อาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อยกระดับงานวิจัยสู่การใช้งานจริงในเชิงอุตสาหกรรม

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือด้านวิชาการ การศึกษาวิจัย รวมถึงการดำเนินกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชน กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันการศึกษาชั้นนำที่มีความเป็นเลิศในด้านการเกษตร และวิทยาศาสตร์อาหาร จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ รวมถึงองค์กรทั้ง 2 ฝ่าย ในการนำองค์ความรู้ต่อยอดด้านงานวิจัย ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยบนเวทีโลก

"ซีพีเอฟมุ่งมั่นส่งมอบอาหารปลอดภัย สร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยทุ่มเทพัฒนานวัตกรรมที่มุ่งเน้นสุขโภชนาการ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคต โดยมีเป้าหมายให้คนไทยมีสุขภาพและสุขภาวะที่ดี นอกจากนั้น ยังส่งเสริมการนำวัตถุดิบท้องถิ่นมาใช้ผลิตเชิงอุตสาหกรรม ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น" นายประสิทธิ์กล่าว

ด้านนายสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีพีกล่าวเสริมถึงความมุ่งมั่นขององค์กร “ในฐานะของบริษัทที่เป็นดั่งต้นน้ำของธุรกิจการเกษตรภายใต้เครือเจริญโภคภัณฑ์  ซีพีพีทำงานอย่างใกล้ชิดกับเกษตรกรของไทย  ด้วยเหตุนี้เอง ปรัชญาในการดำเนินธุรกิจคือ “เกษตรกร คือ คู่ชีวิต” เพราะเราต้องการดูแลให้มีความเป็นอยู่ที่ดี เรามุ่งพัฒนาอาชีพให้กับเกษตรกรไทยให้มีประสิทธิภาพและมีความเป็นเลิศไม่แพ้ชาติอื่น  บริษัทต้องการเห็นเกษตรกรไทยมีรายได้ที่คงที่และยั่งยืน  จึงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้การดำเนินธุรกิจแบบ Business-to-Customer (B2C) ของเกษตรกรไทยมีรูปแบบที่ครบวงจร มีคุณภาพและมาตรฐานตั้งแต่การผลิตไปจนการนำผลิตภัณฑ์ออกมาสู่ตลาด รวมถึงการส่งเสริมการพัฒนาเรื่องน้ำเพื่อการเกษตร การดูแลทางด้านการตลาดให้แก่เกษตรกรผ่านนโยบารับซื้อคืน และให้การสนับสนุนปัจจัยต่าง ๆ สำหรับการเกษตร เช่น เมล็ดพันธุ์พืชคุณภาพ ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน บริการการเกษตร เทคโนโลยีเกษตรกรสมัยใหม่ เป็นต้น เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนให้แก่เกษตรกรไทย

"ซีพีพีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสจับมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การผนึกกำลังระหว่างซีพีพีและซีพีเอฟในครั้งนี้ จะแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะจะเป็นการนำองค์ความรู้ที่เรามีจากประสบการณ์ของพวกเราในฐานะผู้ประกอบการ มาผนวกรวมกับองค์ความรู้จากผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรฯ ซึ่งเป็นสถาบันวิชาการชั้นนำ ที่มากไปด้วยนิสิตและคณาจารย์ที่รอบรู้ และเปี่ยมด้วยความสามารถ  มีความเชื่อมั่นว่า พวกเราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่อุตสาหกรรมเกษตรของประเทศไทยได้แน่นอนจากการจับมือกัน” นายสุเมธกล่าว

ประจวบคีรีขันธ์ - มอบเข็ม- เกียรติบัตรดีเด่น!! ให้ อส.ครบรอบ 68 ปี

นายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในฐานะผู้บังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดประจวบฯเป็นประธานพิธีเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน ครบรอบ 68 ปี ที่ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัด เพื่อระลึกถึงคุณความดี ความเสียสละของผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน หรือสมาชิก อส.ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชน มีรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เข้าร่วมในพิธี จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ได้อ่านสารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ประธานได้มอบเข็มอาสารักษาดินแดนสดุดีผู้ประกอบคุณงามความดี จำนวน 5 นาย มอบประกาศเกียรติคุณให้แก่สมาชิก อส.ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ จำนวน 10 นาย มอบทุนการศึกษามูลนิธิอาสารักษาดินแดนในพระบรมราชินูปถัมภ์ให้แก่บุตรสมาชิก อส.จำนวน 5 ราย 

โอกาสนี้ นายเสถียร ได้กล่าวให้โอวาทแก่สมาชิก อส.โดยน้อมนำพระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันพิธีสวนสนามและพระราชทานธงประจำกองอาสารักษาดินแดน เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2497 ความว่า "ขอให้เจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดนตั้งใจปฏิบัติหน้าที่โดยพยายามฝึกสอนอบรมประชาชนให้เข้าใจกิจการในหน้าที่ของตน ทั้งในส่วนตัวบุคคล ของครอบครัว ของหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ ตลอดจนบ้านเมืองในที่สุด เพื่อให้ได้มีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกันที่จะช่วยป้องกันภัยอันตรายและรักษาความสงบในท้องถิ่นของตนด้วยความองอาจ กล้าหาญ และซื่อสัตย์สุจริตเพื่อชาติบ้านเมือง และความเป็นเอกราชของเรา จะได้วัฒนาถาวร" 

นราธิวาส - ศอ.บต.ร่วมกิจกรรมฯ ถวายเพลพระ - ส่งเสริมคุณธรรม - จริยธรรม ให้เกิดขึ้นในหมู่ข้าราชการ และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่

นายอับดุลนัสเซอร์ หะมิ พัฒนาการอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า นายอำนวย ศรีระแก้ว ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต.(พช.) นางเยาวภา พูลพิพัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. (ปภ.) และนายสมพร เนติรัฐกร ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต.(สธ.) ร่วมกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมข้าราชการ ถวายเพลพระภิกษุสงฆ์ร่วมกับพุทธศาสนิกชน จำนวน 12 รูป ณ วัดพุทธภูมิ พระอารามหลวง ตำบลสะเตง อำเภอเมือง  จังหวัดยะลา โดยมีร้อยตำรวจเอก สมบูรณ์ ชุมศรี รองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ สถานีตำรวจภูธรจังหวัดยะลา เป็นประธานนำเพลถวายฯ พร้อมด้วย ข้าราชการ ตลอดจนพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ เข้าร่วม ภายใต้มาตรการการแพร่ระบาดของเขื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

สำหรับกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมข้าราชการ ถวายเพลพระภิกษุสงฆ์ร่วมกับพุทธศาสนิกชน เป็นการดำเนินการจัดขึ้นโดยสำนักงานพระพุทธศาสนา และมอบหมายให้ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึงสถานศึกษา ได้ออกเยี่ยมเยียนวัด พระภิกษุ สามเณร และประชาชนที่อาศัยอยู่รอบบริเวณวัดในพื้นที่ ในวันธรรมสวนะ หรือวันพระ เพื่อร่วมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ให้เกิดขึ้นในหมู่ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างและพุทธศาสนิกชน

ตร.ผุดไอเดีย!! เปิดโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)

ตามนโยบายรวมไทยสร้างชาติ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันของรัฐบาล ที่ต้องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทุกรูปแบบ โดยบูรณาการการดำเนินการจากทุกภาคส่วน ผนึกกำลังกับเครือข่ายภาคประชาชน ร่วมกันพัฒนา และแก้ไขปัญหาในชุมชน สังคม และท้องถิ่น ตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุก ๆ มิติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจเอก รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ ในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยได้จัดทำโครงการ “สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)” ให้สอดรับกับนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล

โดยมอบหมายให้ พลตำรวจโท ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และมี พลตำรวจโท ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นรองหัวหน้าคณะทำงาน ตาม คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 36/2565 ลงวันที่ 31 มกราคม 2565 โดยมีเป้าหมาย “เพื่อให้ชุมชน สังคมมีความสุขสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพมีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว”

โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำการคัดเลือกและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสถานีตำรวจ และระดับกองบังคับการทั่วประเทศ จำนวนกว่า 9,000 นาย เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับเครือข่ายภาคประชาชน หลังจากนั้นจะทำการคัดเลือกและฝึกอบรมเครือข่ายภาคประชาชนจากทุกสาขาอาชีพที่มีบทบาทในสังคมหรือชุมชนนั้น ๆ เช่น ผู้นำตามธรรมชาติ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น หรืออื่น ๆ สถานีตำรวจละ 50 คนทั่วประเทศ รวมกว่า 74,200 คน เพื่อทำหน้าที่ในการสะท้อนปัญหา และความต้องการของชุมชน มายังคณะกรรมการระดับสถานีตำรวจพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหา หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หรือเกินขีดความสามารถ จะเสนอไปยังคณะกรรมการระดับอำเภอ คณะกรรมการระดับกองบังคับการ คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด คณะกรรมการระดับกองบัญชาการ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา ความต้องการของประชาชน แต่หากยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำการรวบรวมปัญหา ความต้องการจากทุกพื้นที่ แล้วรายงานไปยังรัฐบาล เพื่อหาแนวทางการแก้ไขในระดับประเทศต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top