Thursday, 15 May 2025
SPECIAL

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยสถิติคดีออนไลน์  หลังเปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.- 20 เม.ย.65 รวมกว่า 14,794 เรื่อง

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงสถิติคดีออนไลน์หลังเปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.- 20เม.ย.65 เป็นต้นมา รวมกว่า 14,794 เรื่อง รวมถึงประชาสัมพันธ์การเตรียมตัวก่อนแจ้งความออนไลน์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยต่อภัยทางสื่อสังคมออนไลน์ที่หลอกลวงสร้างความเสียหายให้กับประชาชน จึงมีนโยบายให้จัดตั้งศูนย์รับแจ้งความออนไลน์คดีทางเทคโนโลยี เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินคดีและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากกรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ขับเคลื่อนศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการแจ้งความและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ง่ายขึ้นพร้อมกำชับให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งทำการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แนวทางการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและข่าวสารข้อมูลที่เป็นปัจจุบันให้ประชาชนรับทราบ 

หลังจากที่ได้มีการเปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์เฉพาะคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ก็ได้มีประชาชนเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการรวบรวมสถิติพบว่ามีการแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.- 20 เม.ย.65 มีการแจ้งความคดีออนไลน์รวมแล้วกว่า 14,794 เรื่อง แบ่งเป็นการแจ้งความเกี่ยวกับ การหลอกลวงด้านการเงิน 8,126 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 55 การจำหน่ายสินค้าออนไลน์ 5,859 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 39 Fake news 147 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ1 ล่วงละเมิดทางเพศ 38 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 0.25  การพนันออนไลน์ 137 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 0.9  คดีออนไลน์อื่นๆ 487 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 3.2  โดยได้ดำเนินการขออายัดบัญชีกว่า 3,972 บัญชี ยอดเงินรวมกว่า 806,134,920 บาท  ยอดที่สามารถอายัดได้กว่า 56,660,122 บาท 

พร้อมกันนี้ขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงสิ่งที่ต้องเตรียมเพิ่มเติมไว้ล่วงหน้าเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการแจ้งความ  ผ่านศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ ดังนี้...
1.บัตรประจำตัวประชาชน ควรอยู่กับตัว เนื่องจากในการลงทะเบียนจะต้องกรอกข้อมูล ทั้งหมายเลขบัตรและหมายเลขหลังบัตรประชาชน เพื่อเป็นการยืนยันตัวตน
2.อีเมล ผู้แจ้งควรจะต้องมีอีเมลส่วนตัว เพราะหลังจากกรอกรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว ระบบจะส่งรหัส OTP ผ่านทางอีเมล เพื่อจะนำมากรอกในระบบ เพื่อยืนยันตัวตนผู้แจ้ง และจะเข้าสู่กระบวนการถัดไป
3.ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคดี ทั้งข้อมูลส่วนตัวของผู้แจ้งและข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องหาเท่าที่ทราบได้แก่ ชื่อ นามแฝง เลขบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขบัญชีธนาคารที่ใช้ในการทำธุรกรรม ช่องทางติดต่ออื่น ๆ เช่น Line Facebook Instagram Twitter เป็นต้น รวมถึงรูปแบบคำโฆษณาของเหล่ามิจฉาชีพ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลคดีอื่น ๆ ที่เคยแจ้งมาก่อน และจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบหาคนร้าย   ที่ทำในรูปแบบขบวนการ

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากได้รับข้อมูลจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ ผู้บริหารการรับแจ้ง (Admin) และผู้บริหารคดี (Case Manager) วิเคราะห์ข้อมูลและส่งเรื่องต่อไปยังสถานีตำรวจที่ผู้แจ้งสะดวกในการเดินทางไปแจ้งความแล้ว ก็จะเริ่มดำเนินกระบวนการสืบสวนในทันที โดยพนักงานสอบสวนจะทำการโทรนัดหมายผู้แจ้งหรือผู้เสียหายมาสอบปากคำ อายัดบัญชี ทำการออกหมายเรียก และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องทางคดีตามขั้นตอนกฎหมาย พร้อมทั้งจะรายงานความคืบหน้าคดีในระบบออนไลน์ ซึ่งผู้เสียหายสามารถติดตามความคืบหน้า ส่งข้อมูลเพิ่มเติม หรือสอบถามปัญหาผ่านระบบได้ตลอดเวลา

แต่ทั้งนี้ประชาชนก็ยังสามารถไปแจ้งความโดยตรงได้ทุกสถานีตำรวจที่สะดวก แม้สถานีนั้นจะไม่มีอำนาจการสอบสวน ก็จะส่งเรื่องต่อไปยังสถานีตำรวจที่มีอำนาจการสอบสวนต่อไป

'อ๋อม สกาวใจ' ตอกย้ำความเสี่ยงคุณภาพชีวิต 'สายไฟ - สายสื่อสาร' ระโยงระยางและชำรุด

ยังคงยืนหนึ่งในการเป็นนักแสดงที่มีความชัดเจนเรื่องการเมือง รวมถึงเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนมาโดยตลอด สำหรับดาราสาว 'อ๋อม สกาวใจ พูนสวัสดิ์' ล่าสุดเจ้าตัวก็ออกมาโพสต์ภาพสายไฟ สายสื่อสารที่ระโยงระยางค์พันกันยุ่งเหยิง รวมถึงภาพอันตรายจากสายไฟที่ชำรุด ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อาจได้รับอันตรายได้ทุกเมื่อ ด้วยแคปชั่นว่า...

ความเสี่ยง ที่คุณสัมผัสได้!!!

บ้านเราเค้าใช้ระบบเก็บสายต่างๆ ผูกไว้กับสะพานลอยเหรอคะ??? ลงพื้นที่ ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ คุณภาพชีวิตของประชาชนต้องดีกว่านี้ได้ซิ!!! เลื่อนดูความน่ากลัวค่ะ”

‘สนธิรัตน์’ ประกาศสานต่อนโยบายพลังงาน “Energy For all” หนุนเศรษฐกิจฐานราก ลั่น พร้อมผลักดันแก้ กม.ให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ใช้เอง-ขายคืน รบ.ทั่วประเทศ

ที่ศูนย์เรียนรู้พลังงานทดแทน โรงเรียนเชตวันวิทยา ตําบลหัวทุ่ง อําเภอลอง จังหวัดแพร่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) พร้อมด้วยนายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรคฯ นายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรคฯ และนายบุญส่ง ชเลธร สมาชิกพรรคฯ พบปะผู้นำชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน ปราชญ์ชุมชน กว่า 200 คน จาก 9 จังหวัดภาคเหนือได้แก่ จังหวัดแพร่, เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, เชียงราย, น่าน, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และเพชรบูรณ์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยมีพระครูโสภณปัญญาธร ให้การต้อนรับและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) กล่าวว่า สถานการณ์โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางความไม่แน่นอนและผลกระทบจากปัจจัยที่เหนือการควบคุมอย่างเช่น โรคระบาดโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาโลกร้อน รวมถึงการดิสรัปชั่นของเทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาสู่การสร้างเงื่อนไขใหม่ๆ ในสังคมโลก ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีความเข้มแข็งจากภายในประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมเพื่อรับมือต่อสถานการณ์การดังกล่าว และหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ปัจจัยดังกล่าวก็คือการสร้างเศรษฐกิจฐานให้แข็งแรงซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย 5 สร้างของพรรคสร้างอนาคตไทย

ทั้งนี้ การลงมาจังหวัดแพร่ครั้งนี้ ตั้งใจมาเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้พลังงานทดแทนโรงเรียนเชตวัน และพบปะรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากผู้นำชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน ปราชญ์ชุมชน และชาวบ้านในพื้นที่ 9 จังหวัดในภาคเหนือ โดยศูนย์การเรียนรู้พลังงานทดแทนโรงเรียนเชตวัน ที่ขับเคลื่อนโดยพระครูโสภณปัญญาธร ถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของระบบเศรษฐกิจฐานรากที่ครบวงจรทั้งด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และการสร้างอาชีพชุมชน ที่พัฒนาคู่ขนานนวัตกรรมต่างๆ เช่น การประยุกต์ใช้ถ่านเป็นพลังงานทดแทนแก๊สแอลพีจี ในครัวเรือน และน้ำมันเบนซินที่ใช้ในรถตุ๊ก ตุ๊ก

นอกจากนี้ ยังได้รับฟังการดำเนินงานโครงการฝายมีชีวิต จากเครือข่ายชุมชนจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าสนใจในด้านการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาน้ำท่วม การพังทลายของหน้าดินต่างๆ เพื่อสร้างแหล่งน้ำชุมชน ต่อยอดกลายเป็นแหล่งอาหารของชุมชนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสำคัญของแหล่งน้ำ ที่เห็นได้ชัดว่าหากมีแหล่งน้ำที่ไหน ความอุดมสมบูรณ์ก็จะตามมา

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า สิ่งต่างๆ ที่ได้แลกเปลี่ยนในวันนี้สอดคล้องกับนโยบาย 5 สร้างของพรรคสร้างอนาคตไทย ซึ่งพรรคฯ จะนำข้อมูลทั้งหมดทั้งปวงนี้ไปบูรณาการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและกลั่นกรองเป็นนโยบายที่พรรคจะใช้ขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่ให้ตอบโจทย์ชุมชนและประชาชนให้ได้มากที่สุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาปากท้องและสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจฐานรากของพรรคสร้างอนาคตไทยทั้งเรื่องพลังงาน และเรื่องการส่งเสริมสินค้าชุมชน จะไม่รอเลือกตั้ง ไม่รอการเป็นรัฐบาล แต่จะขอมาร่วมกับแกนนำที่เข้มแข็งอย่างเช่นพระครูโสภณปัญญาธรที่เริ่มต้นไว้แล้ว เพื่อขยายไปสู่จังหวัดเครือข่ายทั่วประเทศให้ได้

ผมมองว่าชุมชนรากหญ้าทั่วประเทศมีศักยภาพจากทรัพยากรในฐานะประเทศเกษตรกรรมอยู่แล้ว ซึ่งหากมีนโยบายเข้าไปพัฒนาที่ตอบโจทย์กับศักยภาพของพื้นที่ ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาแหล่งน้ำ การเข้าถึงพลังงาน และการพัฒนาอาชีพท้องถิ่น เชื่อว่าจะนำมาซึ่งความเข้มแข็งทั้งในส่วนของชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้ โดยพรรคฯ ให้ความสำคัญทั้งเรื่องการต่อยอดสิ่งที่ชุมชนทำมาดีอยู่แล้ว ควบคู่กับการเติมในส่วนที่ขาด พร้อมทั้งส่งเสริมในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันผมจะมาสานต่อนโยบาย Energy For All ที่ริเริ่มไว้เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยจะประกาศนโยบายให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าใช้เองทั่วประเทศ และขายคืนส่วนเกินให้กับรัฐบาล โดยจะผลักดันให้มีการแก้หลักเกณฑ์และกฎหมายให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานและเป็นเจ้าของพลังงานเพื่อสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายของประชาชนทั้งในเรื่อง Net Metering และ Smart Meter เพราะนโยบายพลังงานถือเป็นปัจจัยต้นๆ ที่จะมีส่วนช่วยสร้างให้สร้างเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศให้มีความเข้มแข็ง เพื่อเป็นรากฐานผลักดันเศรษฐกิจระดับประเทศให้เติบโตในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน ผมและพรรคสร้างอนาคตไทยพร้อมเปิดรับข้อเสนอเชิงนโยบายจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เพื่อจับมือสร้างอนาคตเศรษฐกิจฐานรากไทยไปด้วยกัน” เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าว

‘พิธา’ มั่น!! ‘ก้าวไกล’ ปักธง ส.ส.เขตภาคใต้ แซะ!! หมดยุคส่งเสาไฟฟ้าลงแล้วชนะ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ปลุกพลังว่าที่ผู้สมัคร ส..ภาคใต้ เตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง - ลั่นหมดยุคส่งเสาไฟฟ้าลงแล้วชนะ ชี้!! สนามการเมืองภาคใต้เปิดแล้ว…มั่นใจ ‘ก้าวไกล’ จะมี ส..เขตได้แน่นอน

ที่ จ.สุราษฎร์ธานี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวในการอบรมสัมมนาว่าที่ผู้สมัคร ส..พรรคก้าวไกล พื้นที่ภาคใต้ว่า ความฝันอย่างหนึ่งของตัวเองตั้งแต่มาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลนั่นก็คือ จะต้องมี ส..เขต ในพื้นที่ภาคใต้ให้ได้ และสถานการณ์ตอนนี้นับว่าเป็นช่วงที่ใกล้เคียงมากที่สุด สนามการเมืองภาคใต้เปลี่ยนแปลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น หมดยุคที่บอกว่าเอาเสาไฟฟ้ามาลงก็ชนะ และยิ่งถ้าไปดูเส้นทางของพวกเราตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ กว่า 5 แสนเสียง จาก 6.3 ล้านเสียง ถือเป็นเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่พี่น้องปักษ์ใต้ให้ความไว้วางใจ นับเป็นคะแนนที่สูงมาก ตนไม่เคยลืมความไว้วางใจนี้ และในการทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (..) ของพวกเรา ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่มาจนเป็นพรรคก้าวไกล ก็พยายามยามผลักดันประเด็นปัญหาของพื้นที่ให้ได้รับการแก้ไขหลายเรื่องมาก ไม่ว่าจะเป็นกรณีโรงไฟฟ้าจะนะ จ.สงขลา ที่เรามี ส..อภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องนี้ด้วย, กรณีโรงไฟฟ้านาบอน จ.นครศรีธรรมราช หรือเหตุการณ์น้ำท่วมในตัวเมืองนครศรีธรรมราช เราก็ได้เข้ามาช่วยเหลือพี่น้องอย่างเต็มที่ ทั้งหมดได้รับการต้อนรับจากพี่น้องชาวใต้เป็นอย่างดี หรืออย่างครั้งนี้ เมื่อเสร็จจากการอบรมสัมมนาแล้ว ตนจะเดินทางต่อไปยัง 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อพบปะและรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ สำหรับออกแบบนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป

'วิโรจน์' ชู!! สวัสดิการคนเมืองต้องเกิด เพื่อโอบอุ้มชีวิตคนกรุง หลังลงพื้นที่พบคนกรุง-ภาพศก.ชุมชนไม่คึกคักสะพัด

'วิโรจน์' บุก ตลาดศิริเกษมบางแค ควง 'อำนาจ ปานเผือก' แนะนำตัวต่อหน้าประชาชน พร้อมชูนโยบาย สวัสดิการคนเมือง เพื่อคุณภาพชีวิตของคนกรุง

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล เยือนตลาดศิริเกษม เขตบางแค พร้อมด้วย อำนาจ ปานเผือก ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพ (..) เพื่อพบปะและแนะนำตัวกับพี่น้องประชาชน โดยพ่อค้าแม่ขาย รวมถึงประชาชนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยในตลาดช่วงเช้า ต่างให้การตอบรับเป็นอย่างดี

หลังจากเดินแนะนำตัวกับประชาชนเสร็จเรียบร้อย วิโรจน์ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเคยมาที่ตลาดศิริเกษมหลายครั้ง เห็นได้ชัดเจนว่าไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน เป็นภาพที่สะท้อนปัญหาเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ตนเชื่อว่านโยบายของเราในเรื่องสวัสดิการคนเมือง ที่จะโอบอุ้มเด็ก คนชรา และผู้พิการ จะสามารถทำให้คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนกรุงเทพดีขึ้นอย่างแน่นอน

'ทนายตั้ม' เอือม!! ถูกขอให้ 'ลบ-แก้ไขข้อมูล' คดีปริญญ์ ลั่น!! ไม่ทำให้ เน้นเรื่องจริง ขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ

ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เผยมีหนึ่งในผู้เสียหายคดีปริญญ์คุกคามทางเพศ อยู่ดีๆ กลัว มาขอให้ลบ-ดัดแปลงข้อมูล ลั่นไม่ทำให้ ย้ำเน้นเรื่องจริง ขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ อีกด้านโวยสื่อค่ายหนึ่งลงข่าวบิดเบือน

(23 เม..65) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก 'นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ' ถึงกรณีที่หนึ่งในผู้เสียหายจากคดีที่นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คุกคามทางเพศ ขอให้ลบข่าวหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล ระบุว่า...

"ถ้าใครมาขอให้ผมช่วยทำคดีอะไร แล้วผมขออนุญาตนำเรื่องลงเพจแล้วเป็นคดีดังขึ้นมา อยู่ดีๆ มาขอให้ลบ หรือดัดแปลงข้อมูลเพื่อเอาตัวรอด ผมไม่ทำให้นะครับ เพจผมเน้นเรื่องจริง และขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ จะอยู่ดีๆ มากลัว มาขอลบ บอกเลยผมไม่ทำให้ ตัวผมเองก็เสี่ยงเปิดหน้าสู้ มีเครดิต มีความน่าเชื่อถือต้องรักษา ถ้าใจไม่สู้จริง อย่ามาขอความช่วยเหลือจากผม"

"หาว่าผมถ่ายรูปโดยไม่อนุญาต วันนั้นผมไปคนเดียว ผมให้พนักงานในร้านถ่ายรูปให้ ผมยังเดินไปหามุมกล้องให้พนักงาน แถมบอกน้องว่าให้จัดผมหน่อย ข้างหลังมันกระเซิง แม่มาพูดแบบนี้ผมเสียนะครับ ผู้เสียหายทุกคนก่อนจะทำอะไรผมขออนุญาตทุกครั้ง แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ผมป้องกันแค่ไหน พี่ๆ นักข่าวลองถามผู้เสียหายที่ไม่มีปัญหาทั้ง 14 คนจะรู้ความจริงครับ"

นอกจากนี้ ทนายตั้มยังนำข้อความสนทนาระหว่างแม่ของผู้เสียหายรายหนึ่ง กับทีมงานของทนายษิทรา ถึงการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ที่กล่าวหาว่านายษิทราโพสต์รูปผู้เสียหายจนเป็นข่าว บอกให้ลบก็ไม่ลบ และไม่เคยแต่งตั้งให้เป็นทนายความด้วย โดยนายษิทราระบุว่า "ความจริงจากฝั่งคุณแม่ครับ นักข่าวควรมีจรรยาบรรณในการนำเสนอข่าวมากกว่านี้นะ การนำเสนอข่าวแบบนี้มันทำคนอื่นเสียหาย ส่วนโพสต์นี้ผมไม่ได้หมายถึงใครโดยเฉพาะเจาะจง ผมหมายถึงทุกเคส ทุกกรณี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก"

"อลงกรณ์" พอใจผลการเยือนลาวเพิ่มการขนส่งสินค้าเกษตรบนเส้นทางรถไฟ "จีน-ลาว"

"อลงกรณ์" พอใจผลการเยือนลาวเพิ่มการขนส่งสินค้าเกษตรบนเส้นทางรถไฟ "จีน-ลาว" จับมือท่าบกท่านาแล้งเคลียร์ปัญหาคอขวดตั้งเป้าร่นเวลาขนส่งจากเวียงจันทน์ถึงคุนหมิงไม่เกิน2วันภายใต้นโยบายอีสานเกตเวย์เชื่อมไทยเชื่อมลาวเชื่อมโลก 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ (23เม.ย) ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการเยือนสปป.ลาวระหว่างวันที่ 21-22 เมษายน 2565 ว่า พอใจต่อผลการเจรจาความร่วมมือกับบริษัทเวียงจันทน์โลจิสติกส์ปาร์คและบริษัทท่าบกท่านาแล้งในการเพิ่มศักยภาพระบบรถไฟ”ลาว-จีน”ในการขนส่งสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นและแก้ปัญหาคอขวดของระบบโลจิสติกส์

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยรัฐมนตรี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน มีนโยบายอีสานเกตเวย์เชื่อมไทยเชื่อมลาวเชื่อมโลกโดยความร่วมมือระหว่าง3ประเทศได้แก่ ไทย-ลาว-จีน ในการพัฒนาการขนส่งระบบใหม่คือรถไฟลาว-จีนให้เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการค้าระหว่างประเทศด้วยระบบโลจิสติกส์ผสมผสาน "ราง-รถ" (Multi Modal Trasportation) ในการขนส่งสินค้าต่างๆโดยเฉพาะสินค้าเกษตรจากไทยไปสู่จีน เอเซียกลาง ตะวันออกกลางและยุโรปภายใต้การทำงานเชิงรุกร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า การเจรจากับนายจันทอน สิทธิชัย ประธานบริหารบริษัทเวียงจันทน์โลจิสปาร์ค(VLP)และคณะผู้บริหารบริษัทท่าบกท่านาแล้งร่วมกับนายสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทยและนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ที่นครหลวงเวียงจันทน์ได้เห็นพ้องต้องกันในการเพิ่มขบวนรถไฟ การเพิ่มตู้สินค้า การอำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าผ่านแดน การเชื่อมโยงท่าบกท่านาแล้วกับสถานีเวียงจันทน์ใต้ การพัฒนาสถานีขนถ่ายสินค้า (ICD) การพัฒนาระบบการจองขบวนรถสินค้าและการเพิ่มตู้คอนเทนเนอร์และการเปิดบริการด่านตรวจโรคพืชที่ด่านรถไฟโมฮ่านภายในเดือนมิถุนายนหรือพฤษภาคมปีนี้ จะทำให้การขนส่งผลไม้ภายใต้พิธีสารไทย-จีนด้วยระบบรางสะดวกรวดเร็วมากขึ้นโดยจะใช้เวลาเพียง 1-2 วัน จากเวียงจันทน์ถึงคุนหมิง รวมไปถึงข้อเสนอเพิ่มเติมเรื่องการพัฒนาระบบเอกสารอีเล็กทรอนิคส์ระหว่างด่านหนองคายกับท่าบกท่านาแล้งเพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าของพิธีการเอกสารและการจราจรที่ติดขัดบริเวณพรมแดนซึ่งเป็นปัญหาคอขวดมานานโดยจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดรวมทั้งข้อเสนอให้เปิดด่าน 24 ชั่วโมงโดยจะรายงานผลการเจรจาให้กับดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ รองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

สะพัด! ปลด 'นายกสภามทร.พระนคร' เซ่น!! ถอดชื่อ 'ราชมงคล'

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า คงจะจำกันได้ ข่าวนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ที่ผลักดันให้มีการถอดชื่อ “ราชมงคล” ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้กับวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา นอกจากนี้ยังจะเปลี่ยนชื่อวิทยาเขตทั้งหมดซึ่งเป็นพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีคุโณปการต่อสถาบันการศึกษาแห่งนี้

โดยสมาคมศิษย์เก่าร่วมกับคัดค้าน แต่นายกสภากล่าวว่า ศิษย์เก่าไม่มีสิทธิ์เพราะเรียนจบไปแล้วก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย

ซึ่งไม่ว่าการเปลี่ยนชื่อ หรือการไม่ยอมรับศิษย์เก่า เป็นทัศนคติที่ ไม่ให้ความสำคัญกับรากเหง้าของมหาวิทยาลัย

ใหญ่คับฟ้า!! สหรัฐฯ เตือนหมู่เกาะโซโลมอน อย่าให้จีนตั้งฐานทัพเด็ดขาด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 เม.ย.65 เผยทำเนียบขาวเผยแพร่แถลงการณ์ ว่านายเคิร์ต แคมป์เบลล์ ผู้ประสานงานด้านกิจการอินโด-แปซิฟิก ของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เข้าพบนายกรัฐมนตรีมานัสเซห์ โซกาวาเร ผู้นำหมู่เกาะโซโลมอน ที่กรุงโฮนีอารา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

แคมป์เบลล์ กล่าวกับ โซกาวาเร อย่างตรงไปตรงมา ว่า การที่รัฐบาลโซโลมอนลงนามในข้อตกลง “ว่าด้วยการยกระดับการเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงระดับทวิภาคี” นั้น “มีความหมายและผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายความมั่นคง” ของสหรัฐและพันธมิตรในภูมิภาคแห่งนี้ 

รัฐบาลวอชิงตันและพันธมิตร “จะมีความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง และเตรียมตอบสนองตามความเหมาะสม” หากทางการโซโลมอนอนุญาตให้จีนตั้งฐานทัพเป็นการถาวร การติดตั้งอุปกรณ์ทางทหาร และสิ่งก่อสร้างใดก็ตามที่บ่งบอกเจตนาแผ่ขยายอิทธิพลทางทหาร

สุดสลด!! 'เจย์-ศุภกาญจน์' ลูกชายดาราดัง ป่วยไบโพลาร์จบชีวิตคาบ้าน

(23 เม.ย.65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ต.ภานุรุจ เกตุกลิ่นหอม สว.(สอบสวน) สน.คลองตัน รับแจ้งเหตุคนผูกคอตาย ที่บ้านหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านย่านพัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง กทม. จึงเดินทางไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุเป็นทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น พบศพชายอายุ 40 ปี ลูกชายเจี๊ยบ-กาญจนาพร ปลอดภัย อดีตดาราชื่อดัง และผู้จัดละคร ผูกคอกับราวบันไดชั้น 3 เสียชีวิตคาบันได ตรวจสอบภายนอกไม่พบร่องรอยบาดแผลอื่นๆ นอกจากรอยช้ำรอบลำคอ คาดเสียชีวิตมาแล้ว 4-6 ชั่วโมง ใกล้กันพบมีดทำครัว 1 เล่ม ตกอยู่บนขั้นบันได เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือรื้อค้นข้าวของ

ใช้จริง 80 ล้านบาท!! 'พงศกร' เคลียร์ปม 'สวนคลองช่องนนทรี' หลังถูกโจมตีใช้งบประมาณมหาศาล

ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง ทีมงาน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. หมายเลข 6 โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กชี้แจงเกี่ยวกับงบประมาณโครงการก่อสร้างสวนสาธารณะคลองช่องนนทรี ใช้ไปเพียง 80 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้มีการแชร์ข้อมูลให้เกิดการเข้าใจผิดว่าใช้งบประมาณ 980 ล้านบาท

ร.ต.อ.พงศกร ระบุว่า จากกระแสที่มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้งบประมาณสร้างสวนสาธารณะคลองช่องนนทรี และมีหลายคนบอกว่างบประมาณ 980 ล้านบาทสูงเกินไป ไม่คุ้มค่า ล่าสุดพูดไปจนถึง 1,556 ล้านบาท ทำให้ยิ่งเข้าใจผิดกันใหญ่ วันนี้ผมเลยขอถือโอกาสชี้แจงเรื่องความคุ้มค่า และงบประมาณครับ

โครงการพัฒนาคลองช่องนนทรีเป็นการพัฒนาทั้งหมด ทั้งสวนสาธารณะและทางเดินริมคลอง การฟื้นฟูคลอง ระบบไหลเวียนน้ำ คลองช่องนนทรี คลองสาทร และคลองไผ่สิงโต ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบระบายน้ำ และระบบไหลเวียนน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสียในคลองที่มีพื้นที่ต่อเนื่อง รวมทั้งควบคุมปริมาณน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ในคลองทั้ง 3 คลองให้สามารถเชื่อมกันได้ทั้งระบบ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นงบประมาณตามแผนที่ยังไม่ได้มีการดำเนินการ ส่วนที่ทุกคนเห็นเป็นสวนสาธารณะด้านบนที่แล้วเสร็จใช้งบประมาณ 80 ล้านบาทครับ

นอกจากนี้ ยังมีอีก 10 ประเด็นเข้าใจผิดเกี่ยวกับคลองช่องนนทรี ผมเลยขอถือโอกาสนี้ชี้แจงรายละเอียดครับ

1.ที่เห็นอยู่คือ 80 ล้าน​ ! ต้องชี้แจงอย่างงี้ครับว่าส่วนที่เห็นคือลานกิจกรรมที่เป็นเพียง 5% ของโครงการทั้งหมด ใช้งบประมาณ 80 ล้านบาท

2.ราวกันตก และ skywalk ภาพสวนสาธารณะคลองช่องนนทรีที่มีราวกันตกทำจากเหล็กข้ออ้อยที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม จริงๆแล้วในช่วงนั้นสวนยังไม่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบแต่เป็นเทศกาลเราจึงเปิดให้ใช้พื้นที่เป็นชั่วคราว ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยตลอดเวลา แต่ตอนนี้ได้ติดตั้งราวกันตกใหม่ที่ปลอดภัยและสวยงาม และเป็น skywalk ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังระบบขนส่งสาธารณะ และได้ติดป้ายชี้แจ้งว่าอยู่ระหว่างดำเนินการและใช้เป็นการชั่วคราว

3.การแก้ไขน้ำมีกลิ่นเหม็น จากการเปิดประตูระบายน้ำ ทำให้น้ำที่ตกตะกอน มีการไหลเวียน และในระยะยาวจะใช้น้ำบำบัดจากโรงบำบัดน้ำเสียคลองช่องนนทรี ผลักดันน้ำลงคลอง รวมถึงวางพื้นฐานวงแหวน้ำให้เชื่อมต่อกัน คลองช่องนนทรี-คลองสาธร-สวนลุมพินี-คลองต้นสน-คลองไผ่สิงห์โต-คลองเคย ซึ่งจะช่วยให้น้ำในคลองดีขึ้นทั้งระบบ

4.ขวางทางน้ำ สวนสาธารณะสร้างบนคลอง ไม่กีดขวางทางน้ำ และมีการปรับปรุงท้องคลองที่จะเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำ

5.สวนสาธารณะสร้างบนคลอง ไม่กีดขวางทางน้ำ และมีการปรับปรุงท้องคลองที่จะเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำ

หลายคนสงสัยว่าในอนาคตพื้นที่ดังกล่าวจะมีโครงการรถไฟฟ้าหรือไม่ และจะไปกระทบกับโครงการคลองช่องนนทรีเดิมหรือไม่ ตอบตรงนี้เลยครับว่า หากในอนาคตมีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนขึ้นมา ซึ่งมีแนวทางที่จะพัฒนาอยู่แล้ว จะเป็นการสร้างบนเลน BRT เพราะฉะนั้นการสร้างระบบขนส่งมวลชนในอนาคตจะไม่กระทบคลองช่องนนทรีแน่นอน แต่กลับจะเพิ่มให้มีการใช้สวนสาธารณะดังกล่าวมากขึ้น

6.ความเก่งของผู้ออกแบบ หลายๆโครงการในเมืองใหญ่มี อ.กชกร วรอาคม ภูมิสถาปนิกเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลทั้งในไทย และต่างประเทศเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน ซึ่งทุกโครงการของ อ.กชกร เป็นการออกแบบเพื่ออนาคต ตอบโจทย์ทั้งทัศนียภาพความสวยงาม และการใช้งานที่คุ้มค่า เช่น สวนจุฬา 100 ปี

7.รถติด ไม่เป็นสาเหตุของรถติดอย่างแน่นอน เพราะตัวสวนสาธารณะคลองช่องนนทรีสร้างอยู่บนคลอง ไม่กินผิวถนน ไม่ขวางทางจราจรและไม่ทำให้รถติด ในทางกลับกันสวนสาธารณะคลองช่องนนทรีมีทางเชื่อมต่อให้คนที่ใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะเดินทางเชื่อมต่อได้มากขึ้น

8.ไม่ใช่แค่คลองช่องนนทรี แต่เป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายคลองอื่น ๆ ด้วย การพัฒนาคลองช่องนนทรีไม่ได้เกิดประโยชน์เพียงแค่ช่องนนทรีเท่านั้น แต่ยังเป็นการพัฒนาโครงข่ายหลักคลองช่องนนทรี คลองสาทร คลองไผ่สิงโต และคลองต้นสน และใช้ท่อแทนคลอง แยกน้ำดีกับน้ำเสียออกจากกัน เพื่อให้น้ำในคลองมีคุณภาพดีขึ้น และน้ำเสียที่แยกจะถูกส่งเข้าโรงบำบัดน้ำเสีย เพื่อนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วไปใช้ประโยชน์ในการรดน้ำต้นไม้ที่สวนลุมพินี

สาธารณรัฐหอยสังข์ (Conch Republic) ต้นแบบ ‘การประท้วง-ต่อต้าน’ ความอยุติธรรมในถิ่นลุงแซม ด้วยการใช้ ‘อารมณ์ขัน’

ผู้อ่านคงพากันสงสัยว่าในโลกนี้ มีประเทศนี้ จริงๆ หรือ? มีครับผม!!

วันนี้ในเมื่อ 40 ปีก่อน สาธารณรัฐหอยสังข์ (Conch Republic) ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2525 (ค.ศ.1982) เพื่อโต้ตอบต่อการตั้งด่านปิดกั้นถนน High Way สาย I-1 ซึ่งเป็นถนนเข้าออก Florida Keys (หมู่เกาะทางใต้ของมลรัฐ Florida) อันเป็นถนนเข้าออกเพียงสายเดียว โดยหน่วยตำรวจตระเวนชายแดนของสหรัฐอเมริกา เพื่อสกัดยาเสพติดและผู้หลบหนีเข้าเมืองในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2525 หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ยืนกรานที่จะปฏิบัติการดังกล่าว ทำให้ชาว Florida Keys เกิดความรู้สึกว่า พวกตนเหมือนไม่ได้เป็นคนอเมริกันหรือเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ 

โดยผู้เดินทางจาก Florida Keys เข้าสู่แผ่นดินใหญ่ของมลรัฐ Florida ต้องหยุดรถเพื่อสำแดงสิ่งของเครื่องใช้แก่เจ้าหน้าที่ตระเวนชายแดนสหรัฐฯ ณ ด่านตรวจดังกล่าว จนทำให้รถติดยาวถึง 17 ไมล์ ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชาว Florida Keys ทั้งยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาว Florida Keys อย่างมากมายด้วย

Dennis Wardlow นายกเทศมนตรีแห่งเมือง Key West ผู้ประกาศแยกสาธารณรัฐหอยสังข์ออกจากสหรัฐอเมริกา

ด้วยการสนับสนุนของชาว Florida Keys ทำให้ Dennis Wardlow นายกเทศมนตรีแห่งเมือง Key West ประกาศแยก Florida Keys (หมู่เกาะทางใต้ของมลรัฐ Florida) ออกจากสหรัฐอเมริกาในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2525 และประกาศตั้งเป็น “สาธารณรัฐหอยสังข์ (Conch Republic)” เป็นครั้งแรก โดยเขาได้อ่านคำประกาศการแยกตัว และตั้งประเทศใหม่ชื่อว่า Florida Keys the Conch Republic ด้วยคำขวัญของสาธารณรัฐหอยสังข์ที่ว่า…

“เราแยกตัวออกจากที่ซึ่งผู้อื่นล้มเหลว” (We seceded where others failed โดย Dennis Wardlow)

ทั้งนี้ นายกเทศมนตรีแห่งเมือง Key West ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐแห่งนี้ด้วย พร้อมประกาศสงคราม “นาทีเดียว” กับสหรัฐฯ โดยทำการโจมตีนายทหารเรืออเมริกันนายหนึ่งด้วยการปาขนมปังคิวบาเก่า ๆ ชิ้นหนึ่งเข้าใส่แบบที่ไม่มีใครยอมใคร แต่ในนาทีต่อมาสาธารณรัฐหอยสังข์ก็ได้ยอมจำนนต่อรัฐบาลสหรัฐฯ (โดยยอมแพ้ต่อนายทหารเรืออเมริกันซึ่งถูกขว้างด้วยขนมปังคิวบาผู้นั้นเอง) แต่ขอเงินช่วยเหลือ 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคำขอนั้นถูกเพิกเฉยจนทุกวันนี้ 

ว่าแต่...ทำไมจึงมีการตั้งชื่อประเทศนี้ว่าเป็น “สาธารณรัฐหอยสังข์ (Conch Republic)

นั่นก็เพราะ หอยสังข์ (Conch) เป็นหอยที่พบได้มาก และมีอยู่ทั่วไปในอ่าว Mexico โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณ Florida Keys

หอยสังข์ (Conch) เป็นหอยที่พบได้มาก และมีอยู่ทั่วไปในอ่าว Mexico โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณ Florida Keys

ขนมปังคิวบา (Cuban Bread) หนึ่งในอาวุธที่ใช้ในสงคราม “นาทีเดียว (พ.ศ. 2525)” และ “สงครามต่อต้านการซ้อมรบ (พ.ศ. 2538)” ระหว่างสาธารณรัฐหอยสังข์กับสหรัฐฯ

สาธารณรัฐหอยสังข์และสหรัฐอเมริกาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและสามัคคีตลอด 13 ปี จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ.1995) วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2538 มีรายงานว่า กองพันกิจการพลเรือนที่ 478 ของกองกำลังสำรองสังกัดกองทัพบกสหรัฐฯ จะทำการซ้อมรบในการบุกเกาะต่างประเทศ โดยจะปฏิบัติการในพื้นที่ Key West และจะซ้อมให้เหมือนราวกับว่า ชาวเกาะ Key West เป็นชาวต่างชาติ โดยไม่มีการแจ้งการซ้อมรบจากกองพันกิจการพลเรือนที่ 478 ต่อเมือง Key West อย่างเป็นทางการ 

นายกเทศมนตรี Wardlow (ในฐานะนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐหอยสังข์) เห็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์สาธารณรัฐหอยสังข์อีกครั้ง พร้อมทั้งกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังการแยกตัวสาธารณรัฐหอยสังข์ในปี พ.ศ. 2525 จึงระดมกำลังชาวเกาะเพื่อทำสงครามเต็มรูปแบบ ด้วยการส่งกองทัพเรือของสาธารณรัฐหอยสังข์ ซึ่งประกอบด้วย เรือใบ Western Union และ เรือดับเพลิงอีกจำนวนหนึ่ง ระดมกำลัง ไปฉีดน้ำ และขว้าง ลูกโป่งบรรจุน้ำ หอยสังข์ชุบแป้งทอด และขนมปังคิวบาเก่า ๆ ที่ส่งกลิ่นเหม็น ไปยังเรือรบของสหรัฐฯ ที่กำลังซ้อมรบโจมตีชายฝั่งของเกาะ Key West อยู่ 

ขณะที่ด้านหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ ทำการตอบโต้ด้วยการฉีดน้ำจากท่อดับเพลิง (การสู้รบยุติอย่างรวดเร็ว) การป้องกันสาธารณรัฐหอยสังข์ประสบความสำเร็จ เมื่อฝ่ายกองทัพสหรัฐฯ ยอมล่าถอย และมีการยื่นประท้วงต่อกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับการจัดเตรียมการฝึกครั้งนี้ โดยไม่มีการปรึกษากับเมือง Key West จนผู้บังคับบัญชาของกองพันกิจการพลเรือนที่ 478 ได้ออกมาขอโทษในวันต่อมาโดยกล่าวว่า พวกเขา “ไม่ได้ตั้งใจที่จะท้าทายหรือต่อต้านอำนาจอธิปไตยของสาธารณรัฐหอยสังข์” และมีการจัดพิธียอมจำนนในวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2538 

ตั้งแต่นั้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็แน่นแฟ้นมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยสหรัฐอเมริกายอมเคารพสิทธิของประชาชนชาวสาธารณรัฐหอยสังข์ แน่นอนว่านี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อการดูหมิ่นที่แสดงต่อผู้คนชาว Florida Keys อย่างไรก็ตามสาธารณรัฐหอยสังข์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำหรับชาว Florida Keys และกลายเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมที่ผ่อนคลายและเป็นมิตรของพวกเขาแม้ในยามทุกข์ยากลำบากใจ และสรุปได้ดีที่สุดในคติประจำใจของพวกเขาคือ “การบรรเทาความตึงเครียดของโลกด้วยการใช้อารมณ์ขัน”

การจำลองเหตุการณ์กองทัพเรือของสาธารณรัฐหอยสังข์ ปะทะกับหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งตอบโต้ด้วยการฉีดน้ำจากท่อดับเพลิง ในการเฉลิมฉลองวันประกาศแยกตัวของสาธารณรัฐหอยสังข์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี

ถนน High Way สาย I-1 ซึ่งเป็นถนนเข้าออก Florida Keys (หมู่เกาะทางใต้ของมลรัฐ Florida) เพียงสายเดียว

สำหรับอาณาเขตของ “สาธารณรัฐหอยสังข์” (Conch Republic) ได้แก่ Florida Keys (หมู่เกาะทางใต้ของมลรัฐ Florida) ทั้งหมดจนจรด Skeeter's Last Chance Saloon ในเมือง Florida City เฉพาะตัวเกาะ Key West เมืองหลวงของสาธารณรัฐหอยสังข์มีความยาวประมาณ 4 ไมล์ (6 กิโลเมตร) และกว้าง 1 ไมล์ (2 กม.) โดยมีพื้นที่รวม 4.2 ตารางไมล์ (11 กม. 2) ตั้งอยู่ทางใต้สุดของถนน High Way สาย I-1 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นถนนสายเหนือ-ใต้ที่ยาวที่สุดในสหรัฐอเมริกา เกาะ Key West อยู่ห่างจากคิวบาไปทางเหนือประมาณ 95 ไมล์ (153 กม.) ณ จุดที่ใกล้ที่สุด นอกจากนี้ยังอยู่ห่างจากนคร Miami ทางตะวันตกเฉียงใต้ ทางอากาศ 130 ไมล์ (210 กม.) ทางถนนประมาณ 165 ไมล์ (266 กม.) และ 106 ไมล์ (171 กม.) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงฮาวานา เมืองหลวงของคิวบา

ภาพถ่ายทางอากาศของเกาะ Key West

ทำเนียบขาวน้อยสำหรับฤดูหนาวของประธานาธิบดี Harry S. Truman ในเมือง Key West

บ้านของ Ernest Hemingway ในเมือง Key West

หมุดแสดงตำแหน่งใต้สุดของสหรัฐอเมริกา ณ เมือง Key West

'รอง ผบ.ตร.' เปิดแถลงผลระดมกวาดล้างคดีออนไลน์ช่วงสงกรานต์ จับผู้กระทำผิด 6,933 ราย พร้อมเตือนภัยออนไลน์ 9 อันดับที่ถูกหลอกมากที่สุด

(21 เม.ย. 65) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ 
รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT: Police Cyber Taskforce , พล.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร., พล.ต.อ.ชยพล ฉัตรชัยเดช ที่ปรึกษาพิเศษ ตร., พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./ รอง ผอ.ศปอส.ตร. แถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ถึง 6,933 ราย พร้อมเตือนภัยออนไลน์ 9 ลำดับที่ประชาชนถูกหลอกมากที่สุด 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภท โดยเฉพาะอาชญากรรมทางออนไลน์ ในช่วงสงกรานต์ ตั้งแต่ 8 - 17 เม.ย.65 เพราะเป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น เกรงว่าจะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพได้ 

จากผลการระดมกวาดล้างของ ศปอส.ตร. และ ศปอส. บช.น.,ภ.1-9 สามารถจับกุมความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ทั้งสิ้น 6,933 ราย  แบ่งเป็น การพนันออนไลน์ 4,302 ราย แชร์ข่าวปลอมและความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 1,303 ราย คดีล่วงละเมิดเพศต่อเด็ก และสตรี ทางอินเตอร์เน็ต และค้ามนุษย์ 473 ราย คดีหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์ 461 ราย และคดีหลอกลงทุน 394 ราย โดยในคดีทั้งหมดนี้ สามารถจับกุมผู้ต้องหารับจ้างเปิดบัญชีม้า อีกจำนวน 216 คน 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า มีคดีที่น่าสนใจอยู่หลายคดี โดยเฉพาะคดีที่ ชุดปฏิบัติการที่ 1 PCT นำโดย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว ผกก.3 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ ผกก.สภ.ฉิมพลี และทีมงาน สืบสวนจนสามารถ "จับกุมแก็งหลอกลงทุน ในแอพพลิเคชั่น Digital Alliance กลุ่มคนร้ายชักชวนให้ร่วมลงทุนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โดยหาเหยื่อจากโซเชียลมีเดีย จากนั้นเมื่อหลงเชื่อก็จะหลอกให้ลงทุนบนแอปพลิเคชันฯ"

ที่น่าสังเกตุคือ กลุ่มคนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำ คือ...
กลุ่มที่ 1: ทำหน้าที่ชักชวนผู้เสียหายโดยหาเหยื่อจากแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ
กลุ่มที่ 2: ทำหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวสร้างความสนิทสนมกับผู้เสียหาย  
กลุ่มที่ 3: ทำหน้าที่เทรดนำการลงทุน 
กลุ่มที่ 4: ทำหน้าที่เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ใช้กระทำความผิด 
กลุ่มที่ 5: ทำหน้าที่ฟอกเงินโดยเปลี่ยนเงินที่หลอกลวงมาได้ เป็นเงินสกุลดิจิทัล

จากคำให้การพบว่า ผู้เสียหายหลงเชื่อและร่วมลงทุนหลายครั้ง โดยช่วงแรกๆ คนร้ายจะจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้เสียหายจริง ทำให้มั่นใจและหลงเชื่อ ยอมเพิ่มเงินลงทุนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ 

คดีนี้มีผู้เสียหาย 6 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่าง  ติดตามตัวผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์อีกหลายราย มูลค่าความเสียหายคาดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

"เราสืบทราบว่าคนร้ายใช้กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เป็นสถานที่ในการกระทำความผิด จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้กระทำความผิดจำนวน 32 ราย และได้ทำการจับกุมแล้ว 29 ราย ที่กรุงพนมเปญ โดยการประสานความร่วมมือกับตำรวจกัมพูชา จำนวน 2 ราย และที่ประเทศไทย อีก 27 ราย โดยทั้ง 29 รายนี้ แบ่งเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 2 ราย และคนทำหน้าที่เปิดบัญชีม้า อีก 27 ราย เพื่อใช้ในการรับโอนเงิน ส่งต่อไปบัญชีอื่นๆ ในเครือข่าย รอง ผบ.ตร. กล่าว" 

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ ตร. เมื่อวันที่ 1 มี.ค. เป็นต้นมา มียอดผู้เสียหายแจ้งความคดีออนไลน์แล้ว 14,436 เรื่อง แบ่งเป็นคดีที่รับแจ้งมากที่สุด 9 อันดับ ได้แก่...

อันดับ 1: ซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า 4,847 เรื่อง 
อันดับ 2: หลอกให้ทำภารกิจ เช่น กดไลค์ในติ๊กต๊อก กดไลค์ ชอปปี้  1,673 เรื่อง
อันดับ 3: หลอกให้กู้เงิน 1,492 เรื่อง
อันดับ 4: หลอกให้รักแล้วหลอกให้ลงทุน 1,207 เรื่อง
อันดับ 5: Call center 1,155 เรื่อง
อันดับ 6: แชร์ลูกโซ่ 536 เรื่อง
อันดับ 7: หลอกยืมเงิน 524 เรื่อง
อันดับ 8: ซื้อสินค้าได้ไม่ตรงปก 208 เรื่อง
อันดับ 9: หลอกให้รักแล้วให้โอนเงิน 182 เรื่อง

"ผอ.ศพดส.ตร." จับมือ อธิบดีกรมสตรีฯ ร่วมกำหนด 6 มาตรการป้องกันความรุนแรงต่อเด็กและสตรี

(21 เม.ย.65) ที่สำนักตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.และ ผอ.ศพดส.ตร. เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มอบหมายให้ เป็นผู้แทน ตร. ร่วมต้อนรับและประชุมหารือกับ นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวพร้อมคณะ เกี่ยวกับการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรง ต่อเด็ก สตรีและบุคคลในครอบครัว 

โดยการประชุมหารือในครั้งนี้เป็นการบูรณาการเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวร่วมกันอีกทั้งมีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการปฏิบัติระหว่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว 

โดยมี พล.ต.ท.ปัญญา ปิ่นสุข ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.และหน.ชป.TATIP, พล.ต.ต.ม.ล.สันธิกร วรวรรณ ผบก.ผอ.และผู้ช่วย หน.ฝอ.ศพดส.ตร.  พร้อมด้วย ผู้แทนจาก บช.น., สทส., รพ.ตร., กมค.,  รร.นรต., บก.ปคม. และเจ้าหน้าที่จาก กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เข้าร่วมประชุมมีประเด็นความร่วมมือหลักดังนี้...

(1.) สนับสนุนและช่วยเหลือให้เกิดมาตรการต่างๆ ในการดำเนินงานเพื่อยุติความรุนแรงในครอบครัว

(2.) สนับสนุนให้มีการประนีประนอม ช่วยเหลือในการไกล่เกลี่ย และให้คำปรึกษาในการยอมความในการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว   

(3.) ร่วมมือดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กสตรี และบุคคลในครอบครัว

“หนุ่มเขมรขนเอง! จับกุมชายชาวกัมพูชาลักลอบขนคนหลบหนีเข้าไทย”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด                     

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ไกลเขต บุรีรักษ์ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีดังนี้

กล่าวคือก่อนทำการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ได้ทำการสืบสวนทราบว่า ในเวลากลางคืนวันที่ 17 เม.ย. 65 ซึ่งเป็นห้วงเวลาหลังจากหยุดยาวสงกรานต์ และมีกลุ่มขบวนการลักลอบนำคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาเดิมทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต  โดยอาจจะใช้เส้นทางเลี่ยงการตรวจของด่านความมั่นคงในพื้นที่ จว.สระแก้ว จึงได้วางแผนและวิเคราะห์เส้นทางที่อาจใช้ในการกระทำความผิดเพื่อสกัดจับ จนต่อมาในเดียวกัน เวลา 22.30 น. ได้ตรวจพบรถยนต์กระบะต้องสงสัยขับออกจากซอยไม่ทราบชื่อ ถ.สุวรรณนุสรณ์ ด้วยความเร็วสูง จึงได้เข้าแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอทำการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่ามีนายธาน อายุ 37 ปี สัญชาติ กัมพูชา เป็นผู้ขับรถ และมีบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาอีก 5 คน โดยสารในรถมาด้วย ตรวจสอบแล้วไม่มีการเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างถูกต้อง จึงจับกุมตัวทั้งหมดและนำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย 

การแจ้งข้อกล่าวหา นายธาน (คนขับ) แจ้งว่า   
1. ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ซึ่งบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้รอดพ้นจากการจับกุม
2. เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
3. ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสระแก้ว ที่ 1187/2565 ลง 1 เม.ย.2565 (ฉบับที่ 59)(ข้อ 9)
4. ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ฝ่าฝืนสถานการณ์ฉุกเฉิน ชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ซึ่งไม่ถูกลักษณะและอาจจะเป็นเหตุให้โรคระบาดแพร่ออกไป

คนต่างด้าว 5 คน (ผู้โดยสาร) แจ้งว่า 

1. เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
2. ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ฝ่าฝืนสถานการณ์ฉุกเฉิน ชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ซึ่งไม่ถูกลักษณะและอาจจะเป็นเหตุให้โรคระบาดแพร่ออกไปสถานที่ วันเวลาเกิดเหตุ บริเวณปากซอยไม่ทราบซื่อ ถ.สุวรรณนุสรณ์(ขาเข้า) หมู่ 5 ต.หัวยโจด อ.วัฒนานคร จว.สระแก้ว เมื่อ 17 เม.ย. 65 เวลาประมาณ 22.30 น. 

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top