Thursday, 15 May 2025
SPECIAL

พิธีปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร รุ่นที่ 28 (พสบ.28)

วันศุกร์ที่ 29 เม.ย. 65 ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร รุ่นที่ 28 (พสบ.28) ได้จัดเสวนาในหัวข้อ “ประเทศไทยจะอยู่อย่างไร ให้รอดในวิกฤติทั้งภายในและภายนอกประเทศ” ณ หอประชุมเสนาปฏิพัทธ์ กรมยุทธศึกษาทหารบก มีผู้ร่วมเสวนา ดังนี้
1. พันเอก เกียรติชัย โอภาโส รองผู้อำนวยการ ศูนย์พัฒนาหลักนิยม กรมยุทธศึกษาทหารบก
2. คุณชุติเดช ชยุติ Chief Finandal Officer KTC
3. ดร. นน อัครประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลอาวุโส กระทรวงดิจิทัล
4. ดร.พุฒิพงศ์ สุดหล้า 
Founder/CEOกลุ่มบริษัท Together 


หลังจากนั้น ในเวลา 13.00 น. เจ้ากรมกิจการพลเรือน กรมกิจการพลเรือนทหารบก พลโท นิรันดร ศรีคชา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร รุ่นที่ 28 (พสบ.28) โดยให้โอวาทและกล่าวแสดงความยินดีกับผู้เข้ารับการอบรม พร้อมมอบประกาศนียบัตรสำเร็จการอบรม และมอบเข็ม “พสบ.” ให้กับผู้เข้ารับการอบรมฯ ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือน และภาคเอกชน

ทหารกองกำลังผาเมือง ปะทะคาราวานยานรกครั้งใหญ่ เสียงปืนสนั่นป่าชายแดนแม่ฟ้าหลวง..หลังพบแบกเป้-สะพายปืนเลาะดอยเข้าไทยกลางดึก พอขอตรวจกลับยิงถล่ม จนท. เจอยิงสวนดับคาที่ 8 ศพ ยึดยาเสพติดได้อีก 45 เป้

วันนี้ (30 เม.ย.65) ทหาร บก.ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง ได้จัดกำลังพล 1 ชุดปฏิบัติการ ออกทำการลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมายทั้งกลางวัน-กลางคืน ตามนโยบายและข้อสั่งการของ พ.อ.สุทธิ์เขตต์ ศรีนิลทิน ผบ.ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง สั่งการให้ กองบังคับการควบคุมที่ 1 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3

กระทั่งเช้ามืด เมื่อเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนไปถึงพื้นที่ป่าเขตบ้านต้นม่วง ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง พบกลุ่มคนต้องสงสัยจำนวนประมาณ 10 คน เดินลัดเลาะมาตามแนวป่าที่เชื่อมต่อมาจากพรมแดนลึกเข้ามาในเขตไทยประมาณ 5 กม. โดยมีผู้ถืออาวุธมาด้วยครบมือและส่วนหนึ่งแบกกระเป๋าเป้าที่เป็นกระสอบฟางบนหลังมาด้วย

เจ้าหน้าที่จึงให้สัญญานหยุดตรวจ แต่ปรากฎว่ากลุ่มคนดังกล่าวกลับแตกตื่น และใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงใส่เจ้าหน้าที่ เพื่อเปิดทางหลบหนี ทำให้เกิดการปะทะกันขึ้นนานประมาณ 10 นาที เสียงปืนดังสนั่นป่า

ทนายเกิดผลฟาดดาราชายขับรถชน แต่ต่อราคาจ่ายค่าเสียหาย ปมจ่ายรักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทน เตือนเรียนจบกฏหมายอย่าใช้ความรู้ชี้ช่องเอาแต่ประโยชน์ตัวเอง

นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประเด็นเรื่องการจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทน กรณีดาราชายขับรถชน พร้อมคำพิพากษาศาลฎีกาเทียบเคียง โดยมีเนื้อหาดังนี้

จบมาแล้วอาจจะลืม หรือ อาจจะหัวหมอ แสร้งทำลืมข้อกฎหมาย งั้นพี่ทนายจะเตือนความจำให้...

ที่ขุน บอกว่า ผู้เสียหายควรได้รับเพียง 20,000 บาท เพราะ ค่ารักษาพยาบาล พรบ.รถจักรยานยนต์ ของผู้เสียหาย จ่ายไปแล้ว

แต่ขุน ลืมไปหรือเปล่า ว่า ขุนยังไม่ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับน้องเขาสักบาท ทั้งที่ตัวน้องเขามีหลักฐาน มีใบเสร็จมาแสดง ในรายการ โหนกระแส ที่จ่ายไป เกือบ 30,000 บาท ขุน มาขอต่อรองในรายการ เหลือ 20,000 บาท และแม่เขาก็ยอม แต่เอาตามกฎหมาย แล้ว

ฟังนะขุน 

แม้ ค่ารักษาพยาบาล สองหมื่นกว่าบาท พรบ.รถจักยานยนต์ น้องเขาจะเป็นคนจ่ายไป

#แต่ตามกฎหมายเขาก็มีสิทธิ์เรียกค่าใช้จ่ายกับขุน ในฐานะผู้ทำละเมิด ได้อีกทางตามกฎหมายอยู่แล้ว

จบกฎหมาย ต้องรู้จักกฎหมาย ใช้กฎหมายให้เป็น และมีคุณธรรม นะขุน

ไม่ใช่จบมาแบบ นกแก้ว นกขุนทอง และใช้กฎหมายชี้ช่องเอาแต่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว โดยไม่เหลือคุณธรรม นะขุนนะ

คำพิพากศาลฎีกา 2040/2539 #สิทธิของโจทก์ที่ได้รับเงินทดแทนค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทประกันภัยเป็นสิทธิตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ส่วนสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์จากจำเลย เป็นสิทธิตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 #เมื่อเป็นสิทธิตามกฎหมายแต่ละฉบับ

โดยโจทก์ด้องเสียเบี้ยประกันภัยและส่งเงินสมทบเข้ากองทุนสมทบแล้วแต่กรณีตามที่กฎหมายแต่ละฉบับกำหนดไว้ ซึ่งต้องชำระทั้ง 2 ทาง และ พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 #ไม่มีบทบัญญัติตัดสิทธิมิให้ได้รับเงินทดแทนตามกฎหมายอื่นมารับเงินทดแทนอีก จำเลยจึงยกเอาเหตุที่โจทก์ได้รับเงินทดแทน ค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทประกันภัยมา #แล้วมาอ้างเพื่อไม่จ่ายเงินค่าทดแทนตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 ให้แก่โจทก์หาได้ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินทดแทนค่าบริการทางการเเพทย์จากจำเลย

จิม โจนส์ (Jim Jones) ‘ผีบุญอเมริกัน’ ผู้ปิดฉากลัทธิ ด้วยการพาสาวกฆ่าตัวตายหมู่กว่า 900 ชีวิต

ประชาชนในพื้นที่อีสานประสบพบกับความยากลำบากจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะการขาดแคลนแล้งน้ำเป็นประจำ

ระยะนี้บ้านเรามีผู้พยายามนำเรื่องราวของ ‘ผีบุญ’ อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 121 ปีล่วงมาแล้ว โดยมีการตีไข่ใส่สีว่าผีบุญเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝ่ายรัฐ ทั้งๆ ที่ผู้นำขบวนการนั้นตั้งตัวเป็น ‘ผีบุญ’ เอง โดยให้ความหมายของผีบุญว่าเป็น ‘ผู้มีบุญ’ ซึ่งก็คือ การอวดอ้างตัวเองว่า เป็นผู้วิเศษ มีฤทธิ์ มีเดช เหนือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ได้รับบัญชาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาสร้างความมั่งคั่งผาสุกให้กับราษฎร ซึ่งชัดเจนแน่นอนว่าเป็นการโกหกหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่ก็ทำให้คนที่งมงายเชื่อได้เป็นจำนวนมาก

บรรดากบฏผีบุญถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมไว้ที่ ทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ. 2444

ในสมัยนั้น มีผีบุญเกิดขึ้นในภาคอีสานหลายราย ด้วยเพราะประชาชนในพื้นที่ต้องประสบพบกับความยากลำบากจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะการขาดแคลนแล้งน้ำเป็นประจำ ทำให้ผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีอำนาจออกมาปลุกปั่นว่า เป็นเพราะรัฐบาลสยามส่งคนมาปกครองแล้วเก็บภาษีไปปรนเปรอคนกรุงเทพฯ ประกอบกับผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองและความเจริญมาก ยังมีความเชื่อเรื่องภูตผีและไสยศาสตร์ จึงถูกบรรดาเหล่าผีบุญหลอกลวงได้อย่างง่าย ๆ และกบฏผีบุญไม่ได้ถูกปราบปรามโดยรัฐบาลสยามเท่านั้น เพราะมีผีบุญปรากฏในดินแดนรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศส จึงถูกปราบปรามโดยรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสด้วย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2479 จึงถูกรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสกำราบปราบปรามจนหมดสิ้น

ภาพวาดเจ้าพระฝาง (พระพากุลเถระ (มหาเรือน) ) ผู้ตั้งชุมนุมเจ้าพระฝาง

ผีบุญรายสำคัญอีกรายหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนครั้งนี้คือ ‘เจ้าพระฝาง’ (พระพากุลเถระ (มหาเรือน) ) ผู้ตั้งชุมนุมเจ้าพระฝางภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2310 โดยมีอิทธิพลจนสามารถยึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือได้เป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งถูกปราบปรามในปี พ.ศ. 2313 โดยกองทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสินมหาราช) เรื่องราวของผีบุญ ซึ่งอวดอ้างตัวเองว่าเป็นผู้วิเศษนั้นจึงมีมานานมาแล้ว แม้ปัจจุบันก็ยังคงมีผู้ที่มีพฤติการณ์และพฤติกรรมเช่นนี้อยู่ในรูปแบบของการต้มตุ๋นหลอกลวง นำไปสู่การดำเนินคดีมากมายหลายกรณี แต่ขบวนการไม่ได้ใหญ่โตจนกลายเป็นการก่อการกบฏต่อบ้านเมือง เพียงแต่เป็นการหลอกลวงเพื่อหาผลประโยชน์ที่เป็นทรัพย์สิน เงิน ทอง

เดวิด โคเรช’ (David Koresh) เจ้าลัทธิแบรนช์ดาวิเดียน (Branch Davidians) ผีบุญอเมริกัน

ในประเทศที่เจริญแล้วก็มีเรื่องราวของเจ้าลัทธิที่มีพฤติการณ์และพฤติกรรมไม่ต่างจากผีบุญในบ้านเราเช่นกัน ได้เคยเล่าเรื่องของ จุดจบ ‘เดวิด โคเรช’ (David Koresh) เจ้าลัทธิแบรนช์ดาวิเดียน (Branch Davidians) เมืองเวโก้ มลรัฐเท็กซัส https://thestatestimes.com/post/2022041605 ซึ่งก็ถือว่าเป็นผีบุญอเมริกันคนหนึ่งที่จบเรื่องราวลงพร้อมด้วยกว่าแปดสิบชีวิตของสาวก แต่ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี ‘ผีบุญอเมริกัน’ ที่นำสาวกไปจบชีวิตมากที่สุดอยู่อีกคนหนึ่ง…

จิม โจนส์ (Jim Jones) หรือชื่อเต็มว่า เจมส์ วาร์เรน โจนส์ (James Warren Jones)

เขาผู้นั้น คือ จิม โจนส์ (Jim Jones) หรือชื่อเต็มว่า เจมส์ วาร์เรน โจนส์ (James Warren Jones) เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) ในเขตชนบทของเมือง Crete มลรัฐ Indiana สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรชายของ James Thurman Jones กับ Lynetta Putnam

ในวัยเด็ก โจนส์ มีชื่อเล่นว่า จิมมี่ เขามีเชื้อสายไอริชและเวลส์ ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในชุมชนเคร่งศาสนา เขาเติบโตเป็นผู้ที่มีความศรัทธาในคริสต์ศาสนาอย่างแรงกล้า โดยเริ่มท่องจำ Bible ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ พออายุสิบสองก็สามารถเทศน์สอนเด็กในละแวกบ้านได้ราวกับเป็นนักเทศน์จริง ๆ

ประวัติของจิมระบุว่า ครอบครัวของเขาค่อนข้างมีปัญหา เพราะบิดาเป็นทหารพิการจากพิษของอาวุธเคมีในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้มีปัญหาในเรื่องการหายใจ ทำงานได้ไม่มากนัก ซ้ำได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เศรษฐกิจถดถอยจนต้องสูญเสียบ้าน ส่วนตัวจิมเองก็มีปัญหาในการคบเพื่อนทำให้มีเพื่อนยาก

เมื่ออายุได้ 17 ปี จิมได้เข้าเป็นนักเรียนฝึกหัดเพื่อจะเป็นนักบวชของนิกาย Methodist พออายุ 21 ปี เขาก็ได้แต่งงานกับ Marceline Baldwin ซึ่งทำงานเป็นพยาบาล แล้วต่อมาจิมก็ออกจากนิกาย Methodist มาเป็นนักเผยแผ่ศาสนาหรือนักเทศน์อิสระ

ที่ตั้งแรกสุดของนิกายโบสถ์แห่งมวลชน (Peoples Temple) เมือง Indianapolis มลรัฐ Indiana

พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) จิมก่อตั้งนิกาย (ลัทธิ) โบสถ์แห่งมวลชน (Peoples Temple) ขึ้น เพื่อเผยแพร่คำสอน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวอเมริกันผิวสีในเขตสลัม ให้ความช่วยเหลือแก่ชาวอเมริกันผิวสีในรูปของอาหาร ที่พัก และหางานให้ทำ แต่ถูกต่อต้านจากชาวอเมริกันผิวขาวที่มีทัศนคติเหยียดสีผิว แต่จิมก็ไม่ยอมแพ้ และทำการเผยแผ่ศาสนาต่อไปเรื่อย ๆ โดยขณะนั้นพลเมืองอเมริกันผิวสีในเมือง Indianapolis เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสหรัฐอเมริกาก็มีการรณรงค์เพื่อการมีส่วนร่วมในทางการเมืองของชาวอเมริกันผิวสี ขณะที่ตัวจิมเองก็มีพรสวรรค์ในการเทศน์มาก จนทำให้จำนวนผู้ศรัทธาในตัวเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้โบสถ์แห่งมวลชนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย โดยในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) จิมได้รับเด็กผิวสีและเด็กเชื้อสายเกาหลีมาเป็นบุตรบุญธรรมอย่างละคน นอกเหนือไปจากลูกสองคนของเขากับภรรยา จนมีลูกทั้งหมดเก้าคน และเรียกครอบครัวของเขาเองว่า ครอบครัวแห่งสายรุ้ง (Rainbow Family)

Martin Luther King Jr. (ซ้าย) และ Malcolm X (ขวา)

เชื่อกันว่า จิม ได้รับอิทธิพลทางความคิดมากมายหลายเรื่อง อาทิ การต่อต้านสงคราม และการรณรงค์เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ จากสาธุคุณ Martin Luther King Jr. กับ Malcolm X และพรรคเสือดำ (Black Panther Party : BPP) ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหว และขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อชาวอเมริกันผิวสี เขาเชื่อถือศรัทธาในสังคมอุดมคติเป็นแบบสังคมนิยมซึ่งไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ และเริ่มทำการรณรงค์เพื่อต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ทั้งการเดินขบวนและออกรายการโทรทัศน์ โดยจิมเองเชื่อและมีทัศนคติว่า รัฐบาล และผู้ที่แยกตัวออกจากโบสถ์แห่งมวลชนเป็นศัตรูของเขา และเขาจึงมีผู้คุ้มกันอยู่ข้างตัวเกือบตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีการส่งคนไปเฝ้าดูตามบ้านของผู้แยกตัวออกจากโบสถ์แห่งมวลชนอีกด้วย

โบสถ์แห่งมวลชน Redwood Valley ใกล้กับเมือง Ukiah มลรัฐ California

ในปี พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) จิมได้ย้ายโบสถ์แห่งมวลชนมายัง Redwood Valley ใกล้กับเมือง Ukiah มลรัฐ California และต่อมาในปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) จิมก็ย้ายโบสถ์แห่งมวลชนไปยังนคร San Francisco เขาเทศน์ในเรื่องความเสมอภาคในเชื้อชาติ ให้ความช่วยเหลือคนยากจน คนตกงาน คนที่มีคดีติดตัว ผู้ติดยาเสพติด โบสถ์แห่งมวลชนเติบโตอย่างรวดเร็ว มีสาวกมากมายหลายพันคน เขาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองท้องถิ่น ด้วยการสร้างเครือข่ายเส้นสายในหมู่นักการเมือง จนทำให้โบสถ์แห่งมวลชนมีอำนาจมากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ต่อมาเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานกรรมการการเคหะแห่งนคร San Francisco จิมเริ่มมีพฤติกรรมที่รุนแรงมากขึ้น เริ่มปฏิเสธพระเจ้า มีสภาพจิตใจผิดปกติ มีอารมณ์รุนแรง และต้องพึ่งยาระงับประสาท จิมชักชวนให้สาวกบริจาคสมบัติทั้งหมดแก่โบสถ์แห่งมวลชน แล้วมาใช้ชีวิตในโบสถ์ เด็ก ๆ ถูกแยกจากครอบครัว และสั่งให้สาวกเรียกเขาว่า ‘บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์’ และเริ่มสร้างความเชื่อถือศรัทธาในการฆ่าตัวตายหมู่ ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้วิญญาณของทุกคนได้เป็นหนึ่งเดียว และได้รับความสุขอันเป็นนิรันดร์ ณ โลกใบอื่น

โจนส์ทาวน์ (Jones town) บนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ ประเทศกายอานา ทวีปอเมริกาใต้

‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มั่นใจเลือกตั้งครั้งหน้า กวาดส.ส.ได้เกิน 100 ที่นั่ง หลังมีเวลาเตรียมตัวนานกว่าครั้งก่อน

30 เม.ย.2565 - ที่อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พรรคก้าวไกลจัดประชุมสามัญประจำปี โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนการเริ่มประชุมถึงการตั้งเป้าจำนวนส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า มีตัวเลขในใจอยู่แล้ว โดยจะพยายามพูดคุยเรื่องนี้กันภายใน แต่จะไม่เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ ตนไม่อยากใช้ตัวเลขเป็นหลักแล้วให้ว่าที่ผู้สมัครนั่งคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่ เพราะไม่อยากให้เสียกำลังใจ

"ดูได้จากผลการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว และผลการเลือกตั้งท้องถิ่นของกลุ่มคณะก้าวหน้า มั่นใจว่าจะเกินกว่าร้อยที่นั่ง ซึ่งเราจะทำงานหนักด้วยข้อมูล และละเอียดมากขึ้น ครั้งที่แล้วที่เป็นพรรคอนาคตใหม่การเตรียมตัวมีค่อนข้างน้อย แต่ตอนนี้เราเริ่มเตรียมการมาเป็นปีแล้วในการเตรียมว่าที่ผู้สมัคร สัมภาษณ์ผู้สมัคร เทรนผู้สมัคร ให้ผู้สมัครได้ทดลองงานซึ่งคิดว่าเป็นการทำงานในพื้นที่อย่างเข้มข้นมากขึ้น ประกอบกับการทำงานในสภาของส.ส. ก็จะเป็นการทำงานที่คู่ขนานกันไป แต่ก็จะเน้นทำงานในพื้นที่มากขึ้น" หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุ

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า จุดแข็งของพรรคก้าวไกลคือความหลากหลายของว่าที่ผู้สมัครที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนจากหลายกลุ่มจริงๆ ทั้งกลุ่ม LGBTQ กลุ่มชาติพันธุ์ รวมถึงคนที่มีประสบการณ์ทางการเมืองและคนที่ไม่มีประสบการณ์มารวมกันอยู่ โดยประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงได้นั้นความกระจุกจะต้องกระจายออกผ่านการกระจายอํานาจ เชิงเศรษฐกิจต้องเปลี่ยนจากฐานรากขึ้นมาข้างบนโดยการทำลายทุนผูกขาด วิธีการมองต้องเอาจากข้างนอกเข้ามาข้างใน ไม่ใช่เอาความเป็นไทยไปสู่ข้างนอก ถ้าเราเขย่าประเทศกับหัวกลับหางแบบนี้ประเทศไทยก็จะมีทางรอดออกไปได้

เมื่อถามถึงกระแสนายกรัฐมนตรีสำรองที่มีชื่อของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายพิธา กล่าวว่า ตั้งระบบรัฐสภานายกรัฐมนตรีควรที่จะเป็นส.ส.และคนที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ได้สัญญากับประชาชนไว้ในช่วงการเลือกตั้ง ส่วนนายกรัฐมนตรีจะเหมาะสมหรือไม่ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน อย่างไรก็ตามพล.อ.ประวิตร ก็ยังมีเรื่องที่ค้างคาใจที่ตนคิดว่าประชาชนจำนวนมากยังไม่ได้รับข้อชี้แจง ทั้งเรื่องของป่ารอยต่อ และเรื่องการค้ามนุษย์ ซึ่งก็ต้องมีการชี้แจง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงสมัครเป็นสมาชิกสำนักงานแห่งหนึ่ง อ้างมีสิทธิพิเศษต่างๆ หลอกลวงเรียกค่าสมัครและค่าอื่นๆ ในหลายพื้นที่

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนภัยตามกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอ แก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงสมัครเป็นสมาชิกสำนักงานแห่งหนึ่งซึ่งตั้งขึ้นมาเอง อ้างมีสิทธิพิเศษต่างๆ โดยเรียกเก็บค่าสมัครและค่าอื่นๆ มีประชาชนที่ได้รับความเสียหาย มูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท

จากกรณีดังกล่าวมีประชาชนในพื้นที่ จว.บุรีรัมย์ ได้เข้าแจ้งความกับ พนักงานสอบสวน สภ.พุทไธสง จว.บุรีรัมย์ เมื่อเดือน ธ.ค.64 เพื่อดำเนินคดีกับแก๊งมิจฉาชีพที่ได้หลอกลวงให้ได้รับความเสียหายรวมมูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท จากนั้นพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องและได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาในคดีทราบจำนวน 3 ราย ในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน  และได้ส่งสำนวนการสอบสวนคดีและผู้ต้องหาไปยัง พนักงานอัยการ จว.บุรีรัมย์ ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.64 เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว โดยมีพฤติการณ์แห่งคดีมิจฉาชีพได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายสมัครสมาชิกสำนักงานแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ชัยบาดาล จว.ลพบุรี ซึ่งตั้งขึ้นมาเอง พร้อมอ้างว่าจะได้รับการช่วยเหลือ มีสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งผู้สมัครจะต้องเสียค่าสมัครรายละ 1,500 บาท ค่าตัดชุดประจำตำแหน่งชุดละ 1,800 บาท ค่าบัตรสมาชิก 200 บาท รวมถึงอ้างว่าจะได้เงินเดือนๆละ 5,000 บาท หากเสียชีวิตก็จะมีค่าปลงศพให้สมาชิกอีกรายละ 60,000 บาท  ทำให้มีประชาชนหลงเชื่อไปสมัครเป็นจำนวนหลายราย สร้างความเสียหายห้วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส 

ในทางคดีขณะนี้ทางสำนักงานอัยการ จว.บุรีรัมย์ ได้มีหนังสือให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนประเด็นในคดีเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาของทางอัยการ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้เร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยถึงปัญหาและภัยจากการหลอกลวงในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านรูปแบบสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเกิดเสียหายได้อย่างรวดเร็ว เป็นวงกว้าง จึงกำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงแนวทางป้องกัน หากมีการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลโดยได้สั่งการและกำชับไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ให้สร้างการรับรู้ถึงภัยการหลอกลวงในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ให้ทำการสืบสวนสอบสวน ปราบปรามอาชญากรรม กลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงขยายผลไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาด จริงจัง เห็นผลเป็นรูปธรรม การหลอกลวงลักษณะดังกล่าวนอกจากจะเป็นการตอกย้ำพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน หากมีการชักชวนผ่าน  สื่อสังคมออนไลน์ยังเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 

รองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากเตือนภัยประชาชน ขอให้ตรวจสอบข้อมูลลักษณะดังกล่าวให้ดี โดยปกติแล้วจะไม่มีองค์กรที่ดำเนินการในลักษณะนี้ ที่อ้างว่าจะให้ความช่วยเหลือไม่ให้ถูกจับกุมเมื่อกระทำความผิดตามกฎหมาย ซึ่งไม่มีอยู่จริง รวมถึงขอฝากแนวทางการหลีกเลี่ยงป้องกันการถูกหลอกลวงจากแก๊งมิจฉาชีพในทุกรูปแบบ อาทิ การฉ้อโกง การหลอกลวงให้ลงทุน โดยเฉพาะกรณีที่หลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ขอให้ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ดี หลีกเลี่ยงข้อเสนอที่ฟังดูดีเกินกว่าจะเป็นไปได้หรือมีเงื่อนไขในลักษณะที่ได้ผลตอบแทนสูง ง่าย ไม่ซับซ้อน  หากได้รับความเสียหายให้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง สลิปการโอนเงิน ข้อมูลการติดต่อ ทั้งภาพนิ่งหรือคลิปวีดีโอ เพื่อแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

"รองฯรอย"สั่งการ ทีม ปส. เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ทำลาย 3 เครือข่ายยาเสพติด 9 จังหวัด ตรวจค้น 38 จุด ยึดทรัพย์กว่าร้อยล้านบาท

ที่จังหวัดสระบุรี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้หน่วยปฏิบัติ เร่งสืบสวนขยายผลผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดและยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่ง พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. จึงได้สั่งการให้ บช.ปส. เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่ 9 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ,สระบุรี, ลพบุรี, สมุทรปราการ, นนทบุรี, ชลบุรี, อยุธยา, นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี รวม 38 จุด โดยให้กวาดล้างจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่และกวาดล้างยาเสพติดที่แพร่ระบาดในแหล่งชุมชน รวมทั้งพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดสูง และยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์ตามกฎหมายต่อไป

ซึ่งกรณีนี้ พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.วิวัฒน์ สีลาเขต ผบก.ขส. และพล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4 ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด บก.ปส.2 , บก.ขส. และ บก.ปส.4ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และหน่วยข่าวกรองทหาร ศูนย์ปฏิบัติการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ได้ร่วมกันปิดล้อม ตรวจค้น ใน 9 จังหวัด รวม 38 จุด โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน ดังนี้(1) น.ส.สุทธิตา สิงห์เคน อายุ 32 ปี บ้านเลขที่ 58 ม.5 ต.เขาพระงาม อ.เมือง จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 242/2565 ลง 4 เม.ย.65 ข้อหา สนับสนุนช่วยเหลือ , สมคบฟอกเงิน(2) น.ส.กมล ไชยฤกษ์ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27/3 ม.3 ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดเวียงสระ ที่ 26/2565 ลง 10 ก.พ.65 ข้อหาสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน(3) นายพงษ์พันธ์ ทิพย์เกิด อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 19/8 ม.2 ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดเวียงสระ ที่ 25/2565 ลงวันที่ 10 ก.พ.65 ข้อหาสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

พร้อมด้วยยาเสพติดของกลาง ยาบ้า 5 กระสอบ ประมาณ 1,900,000 เม็ด , ยาอี ประมาณ 50,000 เม็ดและยึดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบ ได้แก่ บ้านและสิ่งปลูกสร้าง 6 หลัง , รถยนต์ 25 คัน , จยย. 17 คัน , อาวุธปั่น 2กระบอก , กระเป๋าแบรนด์เนม , เงินสดในบัญชีธนาคาร , เครื่องประดับ รวมทั้งสิ้นมูลค่าประมาณ 108 ล้านบาท

การจับกุมนางสุทธิตา(ผู้ต้องหาลำดับที่ 1) บก.ปส.2 ได้สืบสวนติดตามเครือข่ายขนยาเสพติดจากแนวชายแดนโดยขนผ่าน จ.เลย เข้าสู่พื้นที่ส่วนกลาง โดยมีการจับกุม น.ส.สุทธิตา สิงห์เคน (ผู้ต้องหา ลำดับที่ 1) สืบเนื่องจาก บก.ปส.2 บช.ปส. ได้จับกุมขบวนการขนยาบ้ารายใหญ่ ซึ่งขนยาบ้าจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้านมุ่งหน้าสู่พื้นที่ชั้นใน โดยจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้า 12 ล้านเม็ด ได้ที่ อ.ภูกระดึง จ.เลย และขยายผลจับกุมเคตามีน 51 กก. ไอซ์ 516 กก. และรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติออกหมายจับ น.ส.สุทธิตา กับพวกซึ่งเป็นผู้ร่วมขบวนการนี้ ต่อมาวันที่ 28 เม.ย.65 บช.ปส. ได้เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจคันกวาดล้างจับกุมขบวนการยาเสพติด และสามารถจับกุม สุทธิตา สิงห์เคน ได้ขณะปิดล้อมตรวจคันที่บ้านเลขที่ 32/3 ต.พระพุทธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี จากนั้น ได้ติดตามไปตรวจค้นและยึดทรัพย์ผูเกี่ยวข้องในเครือข่ายนี้หลายรายการ ได้แก่ บ้านและสิ่งปลูกสร้าง ร้านค้ารถยนต์ รถจักรยานยนต์เงินสดในบัญชี กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ รวมมูลค่าประมาณ 90.9 ล้านบาท

จากการสืบสวนหาข่าวเพื่อเปิดปฏิบัติการในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบความเคลื่อนไหวของขบวนการขนยาเสพติดจากแนวชายแดน ผ่าน จ.เลย จะขนยาเสพติดล็อตใหญ่เข้าสู่ส่วนกลางอีก โดยสืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 3 เม.ย.65เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส.2 และ บก.ขส. ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา พร้อมยาบ้าจำนวน 6 ล้านเม็ด ที่บริเวณตลาดไท อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกันกับที่ขนยาเสพติดจากแนวชายแดน ผ่านมาทาง จ.เลย การจับกุมดังกล่าวทำให้กลุ่มผู้รับจ้างขนยาเสพติดไม่ได้ค่าจ้างในครั้งก่อน จึงจะทำการ "ซ่อมงาน" คือขนลงมาใหม่ อีกครั้ง โดยจะมีการขนยาเสพติดจากแนวชายแดน ผ่าน จ.เลย ลงมาสู่ส่วนกลางเหมือนเคย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้วางแผนจับกุม 

จนต่อมา เมื่อวันที่ 26 เม.ย.65 เวลาประมาณ 08.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก. ปส.2 และ บก.ขส. ได้ร่วมกันจับกุม นายไตรภพ ยอโง้กับพวกรวม 5 คน ได้พร้อมยาบ้า 5 กระสอบ (จำนวน 1.9 ล้านเม็ด) ยาอี 50,000 เม็ด และรถยนต์ 3 คัน ได้ที่ ม.6 ต.โพสะ อ.เมือง จ.อ่างทอง นำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.2 ดำเนินคดี

ตร. เตือน เผลอ กดลิงก์คนร้ายอย่าตกใจ เงินไม่หาย ยังปลอดภัยถ้าไม่กรอกข้อมูลหรือรหัสผ่าน

วันที่ 26เม.ย.2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบพบว่าในสื่อสังคมออนไลน์ ได้มีการแชร์ข้อมูลในลักษณะเตือนภัยประชาชนอ้างว่า แค่เพียงกดลิงก์ที่มาพร้อมข้อความที่ได้รับจากคนร้ายจะทำให้ท่านถูกถอนเงินไปจนหมดบัญชีธนาคาร หรือถูกแฮกบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ได้ ส่งผลให้พี่น้องประชาชนเกิดความตื่นตระหนก และเกิดความหวาดกลัวในการใช้โทรศัพท์หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเรียนว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะการกดลิงก์ดังกล่าว ยังไม่ทำให้ข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลบัญชีธนาคารของท่าน ถูกส่งไปให้กับคนร้าย หรือเงินฝากในบัญชีธนาคารของท่านจะถูกถอนออกไปจนหมดบัญชีแต่อย่างใด แต่คนร้ายจะได้ข้อมูลดังกล่าวก็ต่อเมื่อหลังท่านกดลิงก์ที่ได้รับแล้วท่านหลงเชื่อกรอก

"รองฯรอย"นำหมายศาลเปิดปฏิบัติการลุยค้น 33 จุดใน 12 จังหวัด 14 แพลทฟอร์ม แก้ไขปัญหาขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา

พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.และพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมกับ พ.ท.หนุน ศันสนาคม ผอ.สนง.สลากกินแบ่งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้สั่งการให้ นำกำลังกว่า 500 นาย เข้าตรวจค้นตามหมายค้นศาลอาญา เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน บริษัทที่จัดทำหรือให้บริการแพลทฟอร์ม ขาย เสนอขาย สลากกินแบ่งรัฐบาลในระบบแพลทฟอร์มของตนเอง มีการแทรกแซงกลไกราคาจนทำให้ราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลมีมูลค่าสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด พร้อมกัน  14 แพลทฟอร์ม  33 จุด 12 จังหวัดทั่วประเทศ 

มีรายงานว่ากำลังตำรวจได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นแล้วได้แก่
จุดที่ 1 หงษ์ทองสำนักงานใหญ่
จุดที่ 2 กรุงไทยลอตเตอรี่
จุดที่ 3 บ้านพักกรรมการกองสลากพัก
จุดที่ 4 ลอตเตอรี่ 80 สมุทรปราการ
จุดที่ 5 ท่าใหม่ จันทบุรี
จุดที่ 6 นาคาออนไลน์นครนายก
จุดที่ 7 และ 8 ฉะเชิงเทรา 2 จุด
จุดที่ 9 สลากแมน 999 ฯลฯ


พล.ต.อ.รอย กล่าวว่า ด้วยปรากฏสถานการณ์ปัจจุบัน มีผู้ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาและมีส่วนหนึ่งที่มีการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านระบบแพลตฟอร์มของตนเองในลักษณะออนไลน์เป็นจำนวนมาก มีการแทรกแซงกลไกราคาจำหน่ายสลาก จนทำให้ราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด เกิดความเดือดร้อนกับประชาชนที่ต้องการซื้อสลากมาเป็นระยะเวลานาน 

‘ผบ.ตร.’ ไลฟ์เฟซบุ๊ก เปิดรายการ ‘ปั๊ดอยากเล่า น้องอยากแชร์’ เล่าที่มาโครงการ Smart Safety Zone 4.0 สร้างชุมชนปลอดภัย ลดความหวาดกลัวอาชญากรรม ปลุกตำรวจทั่วประเทศปรับตัว ฝากข้อคิด เรียนรู้ มุ่งมั่นทำสิ่งใหม่ในยุคเปลี่ยนผ่าน เพื่อสร้างสังคมที่ดี

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2565 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( ผบ.ตร. ) ร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในรายการ "ปั๊ดอยากเล่า น้องอยากแชร์" รายการสดเผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊กแฟนเพจ Smart Safety Zone และ คลับเฮ้าส์ : ปั๊ดอยากเล่าน้องอยากแชร์ เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 22 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งรายการ "ปั๊ดอยากเล่า น้องอยากแชร์" เป็นรายการสด ที่ผบ.ตร.พูดคุยกับตำรวจและประชาชน เกี่ยวกับโครงการ Smart Safety Zone 4.0 โครงการที่นำเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย อาทิ กล้องวงจรปิด, ศูนย์ควบคุม CCOC, ระบบ AI และแอปพลิเคชัน ต่างๆ เป็นกลไกหลักในการดูแลความปลอดภัยของชุมชน จนได้รับรางวัลจากการประชุมสุดยอดตำรวจโลก World Police Summit 2022 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

โดยรายการในตอนแรก พูดคุยในประเด็น ที่มาของโครงการ Smart Safety Zone 4.0 มี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผบ.ตร. , ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยแห่งชาติ และ ดร.ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ DEPA ร่วมรายงาน มีข้าราชการตำรวจและประชาชนที่สนใจ ร่วมรับฟัง
 
พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ กล่าวถึงที่มาของ Smart Safety Zone 4.0 ว่า การดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะภัยอันตรายบนพื้นที่สาธารณะ เป็นภารกิจแรกๆ ของตำรวจ การจะทำให้สำเร็จต้องอาศัยทรัพยากรทุกอย่าง ทั้งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภาคประชาชน ส่วนราชการอื่นๆ ระดมสรรพกำลังเพื่อภารกิจนี้ ซึ่งการวัดผลของโครงการคือการที่ประชาชนรู้สึกปลอดภัย ไม่หวาดกลัวอาชญากรรม
 
“จะมีสักซอยไหม ที่เดินกลางคืน คนไม่กลัวอะไร โดยเฉพาะสุภาพสตรี นี่คือเป้าหมายของโครงการนี้ ที่ต้องไปให้ถึง ตำรวจทั่วประเทศต้องเข้าใจว่าเรามีหลักชัยเดียวกัน ทำอย่างไรให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัย” ผบ.ตร. กล่าว
 
ผบ.ตร. ระบุว่า โครงการ Smart Safety Zone 4.0 เริ่มต้นจากการทำแซนด์บ็อกซ์ ในพื้นที่ทดลองก่อน เนื่องมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ และกำลังคน ดังนั้นจึงเริ่มทำในพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ ใส่เทคโนโลยีเข้าไป ใส่คนเข้าไป และที่สำคัญใส่ความร่วมมือเข้าไป ทั้งความร่วมมือจากส่วนราชการและประชาชน ใช้หลักการคอมมูนิตี้ โพลิซซิ่ง หรือตำรวจชุมชน ผสมผสานกับการสร้างเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ที่กำลังเป็นเทรนด์ของโลก หัวใจสำคัญคือการแสวงหาความร่วมมือ โดยช่วงเริ่มต้นได้รับความมือจากหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว.ให้งบประมาณเริ่มต้น จากเดิมพื้นที่นำร่อง ตอนนี้ขยายไปหลายจุดทั่วประเทศ และจะทำต่อไป
 
ในตอนหนึ่ง ผบ.ตร.ตอบคำถามถึงการหลอกลวง ฉ้อโกงทางออนไลน์ ว่า หากถูกหลอกลวง ทางออนไลน์ ได้รับความเสียหาย ประชาชน สามารถแจ้งความออนไลน์ ได้ที่ www.Thaipoliceonline.com ซึ่งเปิดรับแจ้งความทางออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังแจ้งได้ที่สายด่วน 1441 ของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.)

พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ กล่าวว่า ถ้าคุณถูกหลอกออนไลน์ได้ คุณก็ต้องแจ้งความทางออนไลน์ได้เหมือนกัน รับประกัน 4 ชั่วโมง จะมีเจ้าหน้าที่ตอบกลับ และดำเนินการต่อหากพบว่าเป็นคดีเกี่ยวโยงต่อเนื่อง ตำรวจ บช.สอท.จะดำเนินการต่อ หากเป็นคดีเสียหายไม่มาก ไม่เกี่ยวโยงกันเป็นเครือข่าย ระดับสถานีตำรวจจะรับไปดำเนินการสืบสวนสอบสวน อย่างไรก็ตามการรับแจ้งความออนไลน์ยังเป็นเรื่องใหม่ ตำรวจยอมรับว่ายังมีจุดที่ต้องปรับปรุง แก้ไขตลอดเวลา โดยจะปรับปรุง พัฒนาอย่างเต็มที่จนลงตัว ตนให้กำลังใจทีมที่คิดทำระบบรับแจ้งความออนไลน์ ให้ทิศทางในการพัฒนา ขณะนี้ปรับแก้ตลอดเวลา

นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังได้ทำความตกลง (MOU) กับสถาบันการเงิน 21 แห่ง มีความร่วมมือในการประสานงานอายัดบัญชีธนาคาร แต่ยังต้องปรับปรุงเพื่อให้การอายัดบัญชีทำได้รวดเร็วที่สุด ขณะเดียวกันมีความร่วมมือกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ในการระงับ ตรวจสอบ หมายเลขโทรศัพท์จากต่างประเทศที่โทรเข้ามาหลอกลวง ทั้งนี้หากมีเบอร์ไม่พึงประสงค์โทรเข้ามา ประชาชนสามารถแจ้งได้ที่หมายเลขสายด่วน 1200 ของกสทช. หรือ Call Center ของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือต่างๆ

ผบ.ตร. กล่าวย้ำว่า สิ่งสำคัญที่ฝากพี่น้องประชาชนคือการมีไซเบอร์วัคซีน ที่จะป้องกันจากโรคนี้ สร้างการรับรู้ภัยอาชญากรรมประเภทนี้ ตนดีใจมากที่เห็นคลิป TikTok ต่างๆ ที่ประชาชนนำแผนประทุษกรรมของคนร้ายออกมาเตือนภัยให้คนอื่นเห็น คนอื่นๆจะได้ไม่ถูกหลอก แต่ก็ยังมีหลายคนที่ไม่ทราบ ยังเข้าไม่ถึงข้อมูลเตือนภัยเหล่านี้ ขอให้ช่วยกันกระจาย เผยแพร่เตือนภัยอาชญากรรมออนไลน์ รูปแบบการหลอกลวงให้เข้าถึงทุกครัวเรือนโดยเฉพาะเด็กๆและเยาวชน ขณะเดียวกันมีแนวคิดสังคยานากฎหมายให้สามารถเป็นเครื่องมือที่เท่าทันอาชญากรรมออนไลน์

พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ กล่าวในตอนหนึ่ง ฝากถึงเพื่อนข้าราชการตำรวจในยุคเปลี่ยนผ่าน เปลี่ยนจากการทำงานแบบเดิมๆ ไปสู่การทำงานแบบใหม่ที่ไม่คุ้นชิน โดยเฉพาะคดีฉ้อโกงออนไลน์ต่างๆ ต้องเรียนรู้การไล่ตามจับคนร้ายจาก IP address จนบางทีรู้สึกเป็นภาระกดดัน

“ผมอยากจะเรียนว่า ถ้าเราทำไป มีพลาดบ้าง ผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ถ้าเรามุ่งมั่น วันหนึ่งมันจะประสบความสำเร็จ และความยากจะกลายเป็นนิวนอร์มอลของเรา มันจะเป็นสิ่งที่เราทำได้ง่ายต่อไป เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน หลายคนบ่นกับผมทำไมโครงการเยอะจังเลย แต่ทั้งหมดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน ถ้าเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แสดงว่าสิ่งที่เราทำวนไปวนมาแล้วไม่เกิดประโยชน์มันจะลดลง เราเชื่อว่ามันจะทำให้เราทำงานอย่างชาญฉลาด คือทำงานจำนวนหนึ่ง แต่ได้ผลมากกว่าเดิม อยากให้ทุกคนตั้งใจ ผมจะเป็นกำลังใจให้”

ผบ.ตร. ย้ำด้วยว่า เรากำลังอยู่บนโลกใบนี้ โลกที่มีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นมา “ผมพยายามพูดหลายครั้ง สิ่งสำคัญในยุคนี้ คนที่อยู่รอดไม่ใช่คนที่แข็งแรงที่สุด หรือคนอ่อนแอไม่รอด แต่คนที่อยู่รอดไม่ใช่เพียงต้องแข็งแรง แต่คือคนที่ปรับตัวได้ดีที่สุด เราอยู่ในช่วงของการปรับตัว” ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวฝากถึงประชาชนว่า ต้องเข้าใจและเรียนรู้สังคมใหม่ๆ เทคโนโลยี ความรู้ใหม่ๆและอาชญากรรมใหม่ๆ อาชญากรรมเป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมเราต้องเรียนรู้ ปรับตัวให้อยู่รอด ในส่วนของตำรวจนั้นมีความตั้งใจจริง หวังว่าสิ่งที่เราทำ ต้องทำให้สำเร็จให้ได้ เพื่อสังคมที่ดีขึ้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จับมือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เปิดสายด่วนแจ้งเบอร์แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ เพื่อปิดกั้นการใช้งานและดำคดีตามกฏหมาย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT: Police Cyber Taskforce เปิดเผยว่า ในปัจจุบัน อาชญากรรมทางออนไลน์ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มจะสูงขึ้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงมีนโยบาย ให้ทำความร่วมมือกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ หาแนวทางตัดการทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยทุกครั้งที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรหรือส่งข้อความเข้ามาให้ประชาชนแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวเข้าระบบเครือข่ายมือถือทั้ง 3 ค่าย เพื่อตรวจสอบพร้อมบล็อคเบอร์ดังกล่าว จากนั้นเบอร์โทรศัพท์จะถูกส่งต่อให้กับศูนย์ PCT เพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 72 ชม. เพียงเท่านี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะใช้เบอร์โทรศัพท์นั้นหลอกลวงประชาชนไม่ได้และถูกดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ซึ่งช่องทางการแจ้งมีดังนี้
📞Ais 🟢 1185
📞True🔴 9777
📞Dtac🔵 1678

รอง ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า จากสถิติคดีทางออนไลน์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ (1 มี.ค.65) ถึงปัจจุบัน พบว่า มีผู้เสียหายแจ้งความคดีออนไลน์แล้ว 15,557 ราย โดยอาชญากรรม 9 ลำดับ ที่ประชาชนถูกหลอกมากที่สุด ได้แก่ 1.ความผิดเกี่ยวกับการซื้อสินค้าที่ไม่ได้รับสินค้า 5,311 คดี 2.หลอกทำภารกิจ (เช่น ให้รีวิวสินค้า,กดไลท์ Tiktok, กดไลท์สินค้า) 1,884 คดี 3.หลอกให้กู้เงิน 1,573 คดี 4.ทำให้รักแล้วหลอกลงทุน (Hybrid scam) 1,296 คดี 5.Call center 1,206คดี 6.แชร์ลูกโซ่ 554 คดี 7.หลอกยืมเงิน 553 คดี 8.ซื้อสินค้าแต่ได้ไม่ตรงปก 227 คดี และ 9.หลอกลวงรูปแบบอื่นๆ อีก 1,889 คดี 

‘ชัชชาติ’ ลุยหาเสียง 'บางกะปิ-สะพานสูง' ชูนโยบาย 'ปชช. ร่วมประเมินผลงาน ผู้ว่าฯ-ผอ.เขต'

24 เม.ย. 65 นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ลงพื้นที่เขตบางกะปิและเขตสะพานสูง พบปะผู้ค้าและประชาชนที่ตลาดเช้าแฟลตคลองจั่น ตลาดหมู่บ้านสหกรณ์เคหสถาน ตลาดสัมมากร และตลาดตะวันนา พร้อมรับฟังปัญหาจากผู้นำชุมชนต่างๆ

นายชัชชาติ กล่าวว่า ปัญหาในแต่ละชุมชนมีหลากหลาย การแก้ไขปัญหาของชุมชนจะต้องให้ประชาชนเข้ามาร่วมตัดสินใจ เนื่องจากประชาชนรู้ดีที่สุดว่าเกิดปัญหาอะไร และต้องการวิธีไหนในการแก้ไข เสนอนโยบายให้ประชาชนมีส่วนร่วมจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่างๆ ตั้งแต่ในระดับเขตจนไปถึงระดับ กทม. 

'องลงกรณ์' ชี้ 'รถไฟลาว-จีน' มีประโยชน์ต่อไทย ร่นเวลาขนส่งไปจีนใช้เวลาเพียง 1 วันครึ่ง 

เมื่อวันที่ 24 เมษายน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยว่า วันนี้ขอแสดงความชื่นชมต่อความสำเร็จในการส่งออกทุเรียนไทยล็อตใหญ่ที่สุด 500 ตัน 27 ตู้คอนเทนเนอร์ของฤดูกาลผลิตผลไม้ปี 2565 ที่ขนส่งบนเส้นทางรถไฟสายลาว-จีนตามนโยบายอีสานเกตเวย์และเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการขนส่งผลไม้ไทยด้วยระบบรางภายใต้พิธีสารการนำเข้าส่งออกผลไม้ระหว่างไทย-จีนโดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของไทย-ลาวและจีนหลังจากทดสอบการส่งออกทุเรียน 2 ตู้คอนเทนเนอร์และมะพร้าวน้ำหอม 1 ตู้คอนเทนเนอร์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

จากนี้จะขยายไปสู่การขนส่งผลไม้และสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น มังคุด ลำไย ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง น้ำตาล มะม่วง เป็นต้น เพื่อเร่งสร้างรายได้เข้าประเทศ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานของคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) กล่าวว่า ทุเรียนล็อตใหญ่ล็อตแรกมาจากจังหวัดจันทบุรี จำนวน 27 ตู้ ซึ่งเป็นการขนส่งระบบผสมผสาน “ราง-รถ” โดยรถบรรทุกคอนเทนเนอร์รุ่นใหม่บรรทุกทุเรียนที่ผ่านการตรวจสอบโรคพืช ไม่มีทุเรียนอ่อนและปลอดการปนเปื้อนโควิดเดินทางจากภาคตะวันออกถึงจังหวัดหนองคายข้ามแม่น้ำโขงที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 ไปถ่ายตู้ที่ท่าบกท่านาแล้งก่อนลำเลียงไปขึ้นแคร่รถไฟที่สถานีเวียงจันทน์ใต้ แล้วเดินทางไปยังสถานีรถไฟนาเตยในแขวงหลวงน้ำทาก่อนยกขึ้นรถบรรทุกคอนเทนเนอร์เดินทางต่อไปด่านบ่อเต็นข้ามพรมแดน “ลาว-จีน” ไปตรวจโรคพืชและโควิดที่ด่านโมฮ่านในมณฑลยูนนาน

'สนธิรัตน์' ฟุ้ง มีผู้สนใจเข้าร่วม ‘สร้างอนาคตไทย’ เพียบ!! แง้ม ‘สมคิด’ ยินดีรับแคนดิเดตนายกฯ

24 เม.ย. 65 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย ให้สัมภาษณ์รายการ ThePaperTalk ทางวิทยุ ส.ทร. FM 106 MHz ถึงการขับเคลื่อนพรรคสร้างอนาคตไทยว่า ขณะนี้พรรคสร้างอนาคตไทยมีความพร้อมในด้านบุคลากร ทั้งกรรมการบริหารพรรค โครงสร้างพรรค โดยหลังการประชุมใหญ่สามัญประจำปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อม ว่าพรรคสร้างอนาคตไทยจะทำการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ และจากนี้ไป ก็จะมีการขับเคลื่อนกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะมาถึง

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้เริ่มก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย ก็พบว่ามีผู้สนใจร่วมงานกับพรรคค่อนข้างมาก โดยก่อนหน้านี้ตนและผู้ร่วมก่อตั้งพรรค ได้มีการเดินสายเพื่อพบปะพูดคุยกับผู้คนมากมายหลายวงการ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสนใจเข้ามาทำงานการเมืองร่วมกัน จนถึงขณะนี้พรรคมีความพร้อมในส่วนของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แล้วระดับหนึ่ง และนับจากนี้ไป ตนและพรรคสร้างอนาคตไทย จะเร่งเดินหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การเลือกตั้ง ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ โดยตั้งเป้าจะส่ง ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศ

“การกลับมาทำงานการเมืองครั้งนี้ เป็นเพราะสถานการณ์บ้านเมืองที่เห็นว่าประชาชนประสบปัญหาอย่างมาก จึงจะต้องมีทางเลือกให้กับประชาชน โดยการกลับมาครั้งนี้เราเห็นว่าประเทศไทยต้องไปต่อ และคิดว่าแนวคิดต่างๆ ของบุคลากรในพรรคสร้างอนาคตไทยนั้น ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศ”

“สนธิรัตน์” ปลื้ม คนเมืองกาญจน์ตั้งกลุ่ม “คนรักสนธิรัตน์” หนุนลุยเลือกตั้งสมัยหน้า

วันนี้ (24 เม.ย.65) ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมด้วยนายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทยในฐานะประธานกลุ่มการเมืองภาคกลาง พบปะผู้นำท้องถิ่น กลุ่มสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนท่าม่วงราษฎร์บำรุง (ท.ม.ร) ตัวแทนกลุ่มคนรักสนธิรัตน์ประมาณ 30 คน ร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ทางการเมืองและรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากคนในพื้นที่ ด้วยบรรยากาศชื่นมื่นและคึกคัก ด้านตัวแทนกลุ่มคนรักสนธิรัตน์ ดีใจตั้งพรรคการเมืองน้ำดี ฝากความหวังกลับมาพัฒนาบ้านเกิด ประกาศหนุนเต็มที่ เลือกตั้งสมัยหน้าต้องยกจังหวัด

 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่รู้ว่าคนบ้านเกิดให้ความไว้วางใจต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมอมา และรู้สึกซาบซึ้งที่รู้ว่ามีการตั้งกลุ่มคนรักสนธิรัตน์ขึ้นมาในอำเภอท่าม่วง วันนี้จึงได้มาพบปะเพื่อแสดงความขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุน ซึ่งในฐานะที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นบ้านเกิด มีความตั้งใจอย่างมากที่จะเข้ามาพัฒนาและทำประโยชน์เพื่อคนเมืองกาญจน์ ต้องการเข้ามาผลักดันให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตและมีความเชื่อมโยงการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top