Tuesday, 8 July 2025
WEEKEND NEWS

หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอินเดีย ระบุ ยอดขายน้ำมันรัสเซียที่ป้อนแก่อินเดีย เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50 เท่าในช่วง 3 เดือนหลังสุด และตอนนี้คิดเป็นสัดส่วน 10% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของอินเดียแล้ว

หนังสือพิมพ์อินเดีย บิสซิเนส รายงานโดยอ้างคำสัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า "เวลานี้พวกเขาติดท็อปเท็นซัปพลายเออร์ของเรา"

ยอดขายน้ำมันรัสเซียที่ป้อนแก่อินเดีย เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50 เท่าในช่วง 3 เดือนหลังสุด และตอนนี้คิดเป็นสัดส่วน 10% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของอินเดียแล้ว

มาตรการคว่ำบาตรที่ตะวันตกกำหนดเล่นงานรัสเซีย เปิดโอกาสให้โรงกลั่นต่างๆ ของอินเดีย สั่งซื้อน้ำมันรัสเซียเพิ่มมากขึ้นในราคาที่ลดกระหน่ำ หลังจากชาติยุโรปบางประเทศปลีกตัวออกห่างจากน้ำมันดิบรัสเซีย

ก่อนหน้าความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้น น้ำมันรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนแค่ 0.2% ในปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของอินเดีย อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าแค่เพียงพฤษภาคมเดือนเดียว โรงกลั่นทั้งหลายของประเทศจัดซื้อน้ำมันดิบรัสเซียมากกว่า 25 ล้านบาร์เรล ซึ่งจากจำนวนดังกล่าว ส่งผลให้รัสเซียแซงหน้า ซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นผู้จัดหาอุปทานน้ำมันป้อนแก่อินเดียรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 เป็นรองเพียง อิรัก เท่านั้น

อินเดีย ชาติผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก ถูกตะวันตกกดดันอย่างหนักต่อกรณีที่พวกเขายังคงเดินหน้าจัดซื้อน้ำมันของรัสเซีย อย่างไรก็ตาม นิวเดลี เพิกเฉยต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว โดยอ้างเหตุผลว่าการนำเข้าเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในความจำเป็นทั้งหมดของประเทศ

ในเดือนพฤษภาคม กระทรวงพลังงานของรัสเซียระบุว่า "การจัดซื้อพลังงานจากรัสเซียยังคงคิดเป็นสัดส่วนเล็กจิ๋ว เมื่อเทียบกับการบริโภคโดยรวมของอินเดีย"

อย่างไรก็ดี รัฐบาลอินเดีย เรียกร้องให้แก้ปัญหาด้วยวิธีการทางการทูตในความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน พวกเขาไม่ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานมอสโก และแสดงจุดยืนงดออกเสียงในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ในญัตติประณามปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย

การสั่งซื้อน้ำมันรัสเซียที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของอินเดีย มีขึ้นในขณะที่โลกตะวันตกกำหนดหาทางบั่นทอนแหล่งรายได้สำหรับทำสงครามของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ในนั้นรวมถึงกรณีที่ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังอเมริกา ระบุเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐฯ อยู่ระหว่างพูดคุยกับแคนาดาและพันธมิตรอื่นๆ ในความพยายามหาทางจำกัดรายได้ทางพลังงานของรัสเซียเพิ่มเติม ด้วยการกำหนดเพดานราคาสำหรับน้ำมันรัสเซีย

'อรุณี' จี้รัฐเร่งแก้ค่าครองชีพ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ตรงจุด หลังสินค้าอุปโภคบริโภคพาเหรดขึ้นราคา แนะยอมรับความจริงทหารบริหารประเทศไม่ได้

ดร.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งราคาน้ำมัน  ค่าไฟฟ้า สินค้าอุปโภคบริโภคปลายทางล้วนพาเหรดขึ้นราคา นับตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงปัจจุบัน  น้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 95 ปรับขึ้นแล้ว 28% ดีเซล บี 10 ปรับขึ้น 23%  ไข่ไก่ หมู แก๊สหุงต้มก็ปรับขึ้นเฉลี่ย 12-18%  รวมทั้งราคาข้าวสารถุง 5 กิโลกรัมปรับขึ้น 30 บาทหรือปรับขึ้น 18%  “ข้าวสารปรับเพิ่มขึ้นมากอย่างไม่เกรงใจชาวนา”  เพราะราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ตันละ 9,000 บาท  และปีที่ผ่านมาราคาข้าวไทยราคาตกต่ำมากที่สุดในรอบ 10 ปี  ซึ่งตรงกันข้ามกับราคาปุ๋ยที่แพง  เพราะรัฐบาลไปไม่เป็น บริหารไม่ได้ ผู้รับกรรมคือประชาชนคนไทยทุกคน 

โฆษกรัฐบาล ย้ำอย่าเชื่อเฟคนิวส์ ระบบเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะวิกฤติ หวังดิสเครดิตลดความน่าเชื่อถือรัฐบาล เผยที่ประชุม IMF ทบทวนภาวะเศรษฐกิจของไทยประจำปี 2565 ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยรายงานธนาคารโลก (World Bank) ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกล่าสุดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565 ธนาคารโลกได้ประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศ แต่ไม่มีการประเมินว่าประเทศไทยอยู่ในช่วงวิกฤติ โดยได้ปรับลดประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.9 ต่ำกว่าระดับคาดการณ์เมื่อเดือน มกราคม 2565 ที่คาดว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 4.1 พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะเติบโตที่ร้อยละ 3.0 ในปี 2566 และคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2565 โตที่ร้อยละ 2.9 จากที่คาดการณ์เมื่อเดือนมกราคม 2565 เติบโตที่ ร้อยละ 3.9 และคาดการณ์การเติบโตในปี 2566 ที่ร้อยละ 4.3 ซึ่งการปรับลดคาดการณ์ ของปี 2565 ดังกล่าว เกิดจากสงครามในยูเครนส่งผลกระทบต่อไทยและประเทศส่วนใหญ่ผ่านผลกระทบต่อการค้าโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาอาหารและเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ซึ่งกดดันให้อัตราเงินเฟ้อให้สูง

ทั้งนี้ รายงานของธนาคารโลกได้คาดการณ์เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Markets and Developing : EMDs) ว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 3.4 ลดลงจากร้อยละ 6.6 เมื่อปีก่อน รวมทั้งได้คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียงร้อยละ 2.5 ในปีนี้ ลดลงจากระดับร้อยละ 5.7 เมื่อปีก่อนหน้า คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร จะเติบโตที่ร้อยละ 2.5 ในปีนี้ เทียบกับระดับการเติบโตที่ร้อยละ 5.4 ในปีก่อน เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.3 ในปีนี้ ลดลงจากระดับร้อยละ 8.1 เมื่อปีก่อนหน้า ซึ่งเห็นได้ว่าทุกประเทศได้รับผลกระทบจากความท้าทายทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน

“สร้างอนาคตไทย” แนะ รบ.อย่าแก้ปัญหาน้ำมันแพงแบบรูทีน ยกเป็นวาระแห่งชาติ แก้เชิงรุกให้ตอบโจทย์ความเดือดร้อนประชาชน

วันนี้ (26 มิ.ย.65) ที่ทำการพรรคสร้างอนาคตไทย พรรคสร้างอนาคตไทย นำโดย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พร้อมด้วย นายนริศ เชยกลิ่น โฆษกพรรค ร่วมแถลงข่าวเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงแบบบูรณาการ เสนอยกเรื่องน้ำมันเป็นวาระแห่งชาติ ชี้ ผลกระทบลากวงกว้าง ขณะที่ยังไม่เห็นนโยบายแก้ปัญหาที่ชัดเจนและตรงจุด ขณะที่ ดร.นพ.จรุง เมืองชนะ อดีตผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) จี้ รบ.ตระหนัก 5 ข้อสำคัญ อย่าประมาท หลังประกาศโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ปัญหาราคาน้ำมันแพงส่งผลกระทบอย่างทวีคูณ ขณะที่แนวนโยบายการแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังขาดการบูรณาการและบริหารเชิงรุก พรรคสร้างอนาคตไทย จึงขอเสนอให้มีการยกเรื่องน้ำมันเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาแบบบูรณาการ เนื่องจากมองว่าราคาน้ำมันดิบยังคงไม่ลดลงง่ายๆ และจากข้อมูล การวิเคราะห์ของหน่วยงานในต่างประเทศชี้ว่ามีแนวโน้มของการแกว่งตัวไปถึงปีหน้าและบางสำนักคาดการณ์ จะไต่ระดับขึ้นไปแตะ 120-180 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงพลังงานไม่ควรแก้ปัญหาแบบรูทันน เนื่องจากกลไกที่รัฐบาลมีอยู่ในวันนี้ ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา ทั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบทะลุ 9 หมื่นล้านบาท ส่วนความหวังเรื่องขอให้โรงกลั่นนำส่งกำไรลดภาระกองทุนน้ำมันอาจทำได้ไม่ง่าย และอาจได้ไม่เท่าอย่างที่คิด ฉะนั้นวันนี้ กระทรวงพลังงานต้องมีแผนบูรณาการแก้ปัญหาเชิงรุก และแผนระยะยาวที่ชัดเจน 

นอกจากนี้ การแก้ปัญหาน้ำมันแพงอย่างเดียวไม่อาจตอบโจทย์ความเดือดร้อนของประชาชน ทางออกเดียวที่ต้องทำคือยกเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ แล้วบูรณาการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่กระทบเป็นลูกโซ่จากปัญหาดังกล่าว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกัน เช่น กระทรวงพาณิชย์ต้องมีมาตรการเร่งด่วน ในการแก้ปัญหาสินค้าที่พาเหรดกันขึ้นราคา กระทรวงคมนาคมต้องวางมาตรการรองรับเรื่องภาคขนส่งสินค้า และการขนส่งสาธารณะของภาคประชาชน ขณะที่กระทรวงการคลังต้องพิจารณาเรื่องการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และภาษีอื่นๆ เพิ่มเติมหรือไม่ และพร้อมต่อการแบกรับได้เท่าไร

“วันนี้การแก้ปัญหาเรื่องน้ำมันยังขาดการบูรณาการร่วมกัน ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อพี่น้องประชาชนได้ ผลกระทบเรื่องน้ำมันแพงมันเกี่ยวข้องกับปัญหาปากท้องประชาชน เชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ ดังนั้น การแก้ปัญหาทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกัน แต่วันนี้ ทั้งกระทรวงพลังงาน พาณิชย์ คลัง และคมนาคม ยังคงต่างคนต่างเดินเพราะปัญหาผลกระทบต่างๆ มาจากปัจจัยภายนอกที่ยากจะควบคุม หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ร่วมมือกันก็ยากที่จะแก้ไขให้ตอบโจทย์ความเดือดร้อนของประชาชนได้” นายสนธิรัตน์ กล่าว

‘ทนายวันชัย’ ชี้ ตำแหน่งนายกฯไม่ใช่ของเล่น แนะ 'อุ๊งอิ๊ง' ยังมีเวลาอย่าชิงสุกก่อนห่ามหวังแลนด์สไลด์ หวั่นซ้ำรอยพ่อ - อา กระเด็นกระดอนไปคนละทาง

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ทนายวันชัย สอนศิริ’ ระบุว่า “แลนด์สไลด์...แล้วใครเป็นนายกฯ คำว่าแลนด์สไลด์ฟังดูแล้วมันคึกคัก ของขึ้น ปลุกพลังให้ฮึกเหิมได้จริง ๆ บนเวทีปราศรัยหาเสียง ส่วนจะแลนด์สไลด์จริงหรือไม่ วันลงคะแนนจะเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ก็เห็นพูดกันหลายเวที จะจริงจะหลอกหรือแกล้งหยอกกันว่านายกอุ๊งอิ๊ง เล่นเอาเจ้าตัวเขินสะเทินอายแบบแบ่งรับแบ่งสู้ ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จะเดินตามแนวทางคุณอายิ่งลักษณ์ ซึ่งพรวดพราดแค่ 49 วันเท่านั้นก็เป็นนายกเลย ในที่สุดก็พิสูจน์กันมาแล้วมิใช่หรือ ว่าคนในครอบครัวไม่ว่าจะพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอา กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทางก็เพราะแลนด์สไลด์แล้วเอาคนในครอบครัวมาครอบนี่แหละ ถ้าดวงชะตาฟ้าลิขิตยังคิดและทำแบบเดิม เหตุการณ์แบบเดิมๆคงเกิดขึ้นอีก ทั้งครอบครัวตัวเอง และครอบครัวเพื่อไทยก็จะมีอันเป็นไปแบบแลนด์สไลด์ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย

อนุสรณ์ เห็นชอบเปิดพื้นที่ชุมนุมสาธารณะ กังวล คง พรก.ฉุกเฉิน

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี กทม.ออกประกาศพื้นที่ชุมนุมสาธารณะในกรุงเทพมหานครทั้ง 7 แห่ง ซึ่งมีผังชัดเจน ในพื้นที่กรุงเทพ 6 โซน แบ่งเป็น 7 จุด ว่า การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงออกทางการเมืองเป็นเรื่องที่ดี บ้านเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยต้องเปิดพื้นที่ภายใต้กรอบกฎหมาย ให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง รัฐบาลไม่ต้องกังวลหากมีการฝ่าฝืนกฎหมาย รัฐบาลก็สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อยู่แล้ว แต่ที่พรรคเพื่อไทยกังวล คือการคงประกาศพรก.ฉุกเฉิน ทั้งที่ถ้าประสงค์จะคุมโรคระบาด สถานการณ์โควิดก็คลี่คลาย เตรียมถอดแมสก์ เปิดผับ เปิดบาร์ แต่การที่รัฐบาลคงพรก.ฉุกเฉิน อาจหวังคุมคนไม่ให้ออกมาแสดงออกทางการเมือง เพื่อรักษาอำนาจของรัฐบาลเอง ขณะนี้ประชาชนเดือดร้อนอย่างหนักจากวิกฤตค่าครองชีพแพง ค่าแรงถูก วิกฤตราคาพลังงานทั้งระบบ การเชิญชวนให้ประชาชนไปใช้เตามหาเศรษฐี เป็นการหนีจากปัญหาเก่า ไปสู่ปัญหาใหม่ ที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หากรัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว รัฐบาลยังมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมโรคที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ รัฐบาลไม่ต้องกังวล รัฐบาลจะคงพรก.ฉุกเฉินไว้ตลอดไปไม่ได้เพราะจะทำลายบรรยากาศการลงทุนการท่องเที่ยวทำลายบรรยากาศบ้านเมืองที่เป็นประชาธิปไตย

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระนามเดิม อัมพร ประสัตถพงศ์ ฉายา อมฺพโร เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทรงเริ่มดำรงตำแหน่งในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีพระนามเดิมว่า อัมพร ประสัตถพงศ์ ประสูติเมื่อเวลารุ่งเช้าของวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2470 ตรงกับแรม 12 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ณ บ้านเลขที่ 28 หมู่ 1 ตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี พระชนก(บิดา) มีนามว่า นายนับ ประสัตถพงศ์ (แซ่ตั๊ง) พระชนนี (มารดา) มีนามว่า ตาล ประสัตถพงศ์ สกุลเดิม วรกี เป็นบุตรคนที่ 2 จากพี่น้องทั้งหมด 9 คน 

เมื่อ พ.ศ. 2483 พระองค์ผนวชเป็นสามเณร ณ วัดสัตตนารถปริวัตรวรวิหาร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โดยมีพระธรรมเสนานี (เงิน นนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วย้ายไปอยู่วัดตรีญาติเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม โดยมีพระครูศรีธรรมานุศาสน์ (โสตถิ์ สุมิตฺตเถร) เป็นพระอาจารย์คอยอบรมพระธรรมวินัย

ต่อมาได้ทรงเข้าพิธีผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 ณ พัทธสีมาวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมีพระเทพโมลี (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระจินดากรมุนี (ทองเจือ จินฺตากโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์

‘บิ๊กตู่’ เตรียมขึ้นเหนือ ตรวจราชการที่เชียงใหม่ 29 มิ.ย.นี้ ดูความคืบหน้าเพิ่มปริมาณน้ำ เขื่อนแม่กวงฯ ก่อนร่วมงาน FTI Expo 2022 พร้อมเยี่ยมชมทักษะเยาวชนด้านโค้ดดิ้ง - เยี่ยมเทศบาลแม่เหียะดูงานด้านดิจิทัล

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะเตรียมลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจราชการติดตามการขับเคลื่อนแผนงานตามนโยบายของรัฐบาล ในวันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565 โดยช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมติดตามความคืบหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ซึ่งกรมชลประทาน ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา 

แบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1.อุโมงค์ส่งน้ำ ช่วงลำน้ำแม่แตงไปยังอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล และ 2.อุโมงค์ส่งน้ำช่วงอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลไปยังอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเติบโตด้านการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และการขยายตัวของชุมชน ระยะทางรวมประมาณ 49 กิโลเมตร ปัจจุบันมีความก้าวหน้าโครงการ ร้อยละ 68.81 

จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีเปิด FTI Expo 2022 – Shaping the Future Industry ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดงาน ระหว่างวันที่ 29 มิ.ย. – 3 ก.ค. 2565 เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพและยกระดับความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย ภายใต้แนวคิด BCG เพื่อขานรับนโยบายของรัฐบาลในการเปิดประเทศหลังวิกฤตการณ์โควิด - 19 และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมทั้งเป็นการจุดประกายการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมไทยในบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ ที่ 26 มิถุนายน 2565 : พระอาจารย์ ชยสาโร

ถ้าเราทำความดี...
เราอาจเจอคนตอบสนอง 5 แบบ
๑. ยกย่องชื่นชมด้วยใจจริง
๒. เสแสร้งยกย่องชื่นชม
๓. เฉย ๆ ไม่ยินดียินร้าย
๔. อิจฉา ริษยา
๕. โกรธหรือหมั่นไส้
โลกมนุษย์...ก็เป็นแบบนี้แหละ

พระอาจารย์ ชยสาโร

คู่รักชาวญี่ปุ่น ตัดสินใจลาออกจากงานขออยู่ประเทศไทยต่อ หลังบริษัทแม่เตรียมส่งกลับญี่ปุ่น เหตุหลงเสน่ห์เมืองไทยเข้าเต็มเปา

เรนะ และ ฮิโร คู่รักชาวญี่ปุ่น ที่ทำงานในประเทศไทยกับบริษัทญี่ปุ่น พร้อมกับทำงานอดิเรกเป็นยูทูปเบอร์ เจ้าของช่อง reinainthailand ได้โพสต์ข้อความในอินสตาแกรม reina_in_thailand โดยระบุว่า ...

เราตัดสินใจที่ลาออกจากบริษัทญี่ปุ่นและอยู่เมืองไทยต่อค่ะ

นี่คือการตัดสินใจไม่ง่ายแต่เราสองคนไม่ลังเลกันค่ะ จริงๆทั้งสองคนไม่ได้เลือกตัวเองที่มาเมืองไทยตอนนั้นค่ะ แต่ในชีวิตที่เมืองไทยเราชอบเมืองไทยเรื่อยๆจนตัดสินใจลาออกจากบริษัทญี่ปุ่นที่ฮิโรทำงาน 12 ปีค่ะ

ต่อจากนี้ก็อยากจะพยายามเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นและทำคลิปให้ดีขึ้นเพื่อที่จะแชร์เสน่ห์ของเมืองไทยค่ะ ฝากดูแลติดตามชีวิตคู่รักคนญี่ปุ่นของเราด้วยค่ะ
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top