เปิดใจ 'หนุ่มกู้ภัย' อาสามัดศพติดหลัง พาออกจากป่า เผย!! ไม่กลัว หวังแค่นำส่งให้ญาติอย่างดีที่สุด

เปิดใจหนุ่มอาสากู้ภัยมูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) เขตเวียงป่าเป้า..บอกคิดเหมือนเป็นญาติ-ไม่กลัวผี รับหน้าที่มัดร่างผู้ตายติดหลังนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ลงดอยออกจากป่า หวังส่งให้ญาติที่รออยู่บ้านอย่างดีและเร็วที่สุด

กรณีโลกออนไลน์แห่แชร์ชื่นชมหนุ่มอาสาสมัครกู้ภัยประจำมูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) เขตเวียงป่าเป้า คือ นายจตุพร วิรัตน์เกษม อายุ 25 ปี หรือ "ฟลุ๊ค" นำร่างผู้เสียชีวิตดังกล่าวมัดและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกจากป่าเป็นระยะทางกว่า 7 กม. ทำให้เจ้าหน้าที่และญาติขอบคุณในความเสียสละนั้น

ล่าสุดนายจตุพรเปิดเผยว่า ตนมาเป็นอาสากู้ภัยกับสยามรวมใจฯ มาเกือบ 8 ปี แล้ว ได้ประสบการณ์และความรู้มากมาย ที่เป็นประโยชน์ และสามารถช่วยเหลือผู้คนใกล้ตัวให้รอดพ้นจากอันตรายได้

ส่วนเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 31 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งทางกู้ภัยฯ ได้รับแจ้งจาก สภ.แม่เจดีย์ว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ในป่า พื้นที่บ้านจำบอน ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ทางมูลนิธิฯ จึงได้ออกให้การช่วยเหลือ ซึ่งช่วงเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน รถตู้ของมูลนิธิฯ เดินทางไปถึงหมู่บ้านจำบอนและพบกับผู้ใหญ่บ้านในเวลาประมาณ 20.00 น.

จากนั้นได้ใช้รถยนต์ตู้เดินทางเข้าไปตามถนนในป่าแต่เข้าไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องหยุด เพราะรถยนต์เข้าไปต่อไม่ได้ เนื่องจากเส้นทางเป็นลูกรัง แคบ และเป็นโคลน รวมทั้งเป็นทางเนินเขาสูงชัน เสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ ทำให้ต้องเดินทางต่อไปด้วยรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านเข้าไปต่ออีก 5-6 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง

กระทั่งพบศพผู้เสียชีวิตเป็นชายนอนคว่ำหน้าอยู่ เบื้องต้นไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายหรือสัตว์กัดต่อย จึงได้ตกลงกันว่าจะนำร่างผู้เสียชีวิตออกจากป่าให้ได้ โดยตอนแรกวางแผนกันว่าจะช่วยกันตัดไม้ไผ่ เพื่อทำแคร่จะมัดศพและช่วยกันหามออกมา แต่ตอนนั้นมืดแล้ว ประกอบกับฝนก็ใกล้จะตก หากเดินแบกออกมาต้องใช้เวลากว่า 5-6 ชม.ซึ่งตอนนั้นก็เป็นเวลา 2 ทุ่มกว่าแล้ว

นายจตุพรกล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้ทีมงานและชาวบ้านจึงตกลงกันว่าให้นำศพนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกมา โดยตนรับขับขี่รถจักรยานยนต์เอง ขณะที่ศพคาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 7-8 ชั่วโมง ซึ่งยังสามารถดัดให้นั่งซ้อนท้ายได้ ดังนั้น หลังจากห่อศพแล้วก็นำมามัดติดหลังจัดท่าให้ศพนั่งซ้อนท้ายออกจากป่า โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็สามารถนำออกมาจากป่าได้แต่จะช้ากว่าตอนเดินทางเข้าไปเล็กน้อย เนื่องจากศพโยกไปโยกมาตามแรงเหวี่ยงรถ ทำให้ต้องคอยจอดจัดท่าให้สามารถพาเดินทางได้อยู่ตลอด

"ตอนนั้นไม่รู้สึกกลัวครับ คิดเพียงขอให้ร่างผู้เสียชีวิตไปถึงญาติให้เร็วที่สุดก็พอ เพราะญาติเขาก็รออยู่ที่บ้าน ต่อมาแพทย์เวรก็ระบุว่าผู้ตายได้เสียชีวิตจากโรคหัวใจล้มเหลว ส่วนญาติก็ไม่ติดใจเอาความจึงนำไปจัดการตามประเพณีต่อไป" นายจตุพรกล่าว และว่า กรณีนี้เป็นครั้งแรกที่ตนทำแบบนี้ เพราะคิดว่าหากเป็นญาติของเราเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด รวมทั้งคิดว่าหากไม่ทำก็ต้องติดอยู่ในป่ากันนานแน่นอน


ที่มา : https://mgronline.com/local/detail/9650000062837