Sunday, 18 May 2025
WEEKEND NEWS

'บิ๊กตู่' ปลื้ม ขับเคลื่อนศก.ไทย ผ่านออนไลน์ 3 วัน ขายสลากดิจิทัล 5.17 ล้านใบหมดแล้ว

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนต่ว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การใช้ธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ประชาชนมีการปรับตัวหลังจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการกระตุ้นให้คนไทย ก้าวเข้าสู่ระบบ e-payment เพื่อเป็นการเปิดประตูแห่งโอกาสทางเศรษฐกิจและรายได้ที่ไร้ขีดจำกัด ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก 

อย่างโครงการคนละครึ่งผ่านแอป 'เป๋าตัง' เป็นต้น และขณะนี้ประชาชนยังได้ให้ความสนใจตอบรับการซื้อขายสลากดิจิทัลเป็นอย่างดี 

'ไตรรงค์' แชร์!! เหตุที่ทำให้ประชาธิปไตยตาย ผู้คน 'ละทิ้งราวกันตก' สังคมถูกแทนด้วย 'อนาธิปไตย'

นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีต ส.ส. หลายสมัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อประชาธิปไตยตายได้อย่างไร โดยระบุว่า...

วันนี้ผมขอมาแชร์ 5 ข้อว่า #ประชาธิปไตยตายได้อย่างไร #HowDemocraciesDie

#ข้อที่1 หลังจากมีสงครามกลางเมืองระหว่าง ค.ศ.1861-1865 ที่พี่น้องฆ่ากันเองตายไปมากกว่า 600,000 คน ซึ่งฝ่ายเหนือที่นำโดยประธานาธิบดี Lincoln ได้รับชัยชนะสามารถประกาศเลิกการมีทาสได้โดย 11 รัฐทางภาคใต้ต้องยอมแพ้และต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่แก้ไขใหม่ซึ่งห้ามการมีทาส หลังจากนั้นสิทธิในการเลือกตั้งสำหรับคนผิวดำก็เกิดขึ้น และตามมาด้วยสิทธิการเลือกตั้งของสตรีในปี ค.ศ. 1920 และสิทธิการเลือกตั้งของชาวพื้นเมืองอินเดียแดงในปี ค.ศ.1924

รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐใหม่ก็มีความเข้มแข็งมากขึ้น แม้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลิกทาส มักจะถูกละเมิดตลอดเวลาในรัฐทางใต้ แต่ก็เป็นช่วงที่ถือว่ามีความสงบทางการเมืองภายในประเทศพอสมควร ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมจนเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งในทางเศรษฐกิจ #การพัฒนาหลักการต่างๆเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยก็ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่าเป็นยุคแห่งการฟื้นฟูบูรณะประเทศหลังสงครามกลางเมือง (Reconstruction era)

ภายใต้หลักการใหม่ที่ทั้งประเทศเห็นพ้องต้องกันให้ยึดถือเป็นเสมือนราวกันตก (guard rail) ทำให้ประชาธิปไตยของสหรัฐฯ เจริญ มีความมั่นคง มีเสรีภาพและมีความเสมอภาคมากขึ้นติดต่อกันมาจนสามารถนำประเทศผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914-1918) และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1941-1945) สหรัฐฯ ก็กลายเป็นผู้นำโลกเสรี ยิ่งหลังจากสหภาพโซเวียตรัสเซียได้สลายตัวเมื่อ ค.ศ.1991 สหรัฐฯ ก็กลายเป็นมหาอำนาจของโลกเพียงผู้เดียว

แต่เพราะการแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่คือพรรค Republican และพรรค Democrat ได้ทำให้ทั้งสองฝ่ายค่อยๆ ทิ้ง #หลักการที่เป็นราวกันตก จนนำมาซึ่งความเสื่อมของระบอบประชาธิปไตย อันเป็นเหตุให้ศาสตราจารย์ด้านการเมืองของมหาวิทยาลัย Harvard 2 ท่านได้ทำวิจัยเรื่องความเสื่อมลงของระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก รวมทั้งของประเทศสหรัฐฯ เองด้วย (หนังสือดังกล่าว ชื่อว่า “How Democracies Die” เขียนโดย ศาสตราจารย์ STEVEN LEVITSKY และศาสตราจารย์ DANIEL ZIBLATT)

ซึ่งปกติผมเป็นคนเห็นจุดอ่อนของอาจารย์ฝรั่งที่บางที่ผมว่าพวกเขามิได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งเกี่ยวกับประเทศเล็กๆเช่นประเทศไทย จึงมักนำทฤษฎีของพวกเขามาสรุปผิดๆ เกี่ยวกับประเทศไทยและประเทศด้อยพัฒนาอื่นๆ หรือบางที่พวกเขาก็แกล้งทำเป็นลืมความไม่ดีของประเทศของตนที่เป็นเหตุแห่งความเสื่อมพังทลายของหลายๆประเทศทั่วโลก ซึ่งผมได้ปะทะคารมกับพวกเขามามากแล้วทั้งที่มหาวิทยาลัย Hawaii มหาวิทยาลัย Harvard แห่งสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัย Cambridge กับมหาวิทยาลัยแห่ง London (LSE) แห่งประเทศอังกฤษ แต่ทัศนะของอาจารย์อเมริกันทั้งสองที่เขียนเกี่ยวกับประเทศสหรัฐฯ ของตนเองนั้น ผมว่าเราควรฟังเพราะมันน่าเชื่อถือ

#ข้อที่2 จากหนังสือดังกล่าวข้างต้นได้ชี้ให้เห็นว่า ตลอดเวลาหลังจากสงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ นักการเมืองและประชาชนได้ยึดถือหลักการใหม่ที่ถือว่ามันเป็นเสมือนราวกันตกของระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐมาโดยตลอด

ราวกันตกที่ว่านั้นมีอยู่ 2 ข้อ ซึ่งมีความสำเร็จเสมือนเป็นกฎข้อหนึ่งในรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ แม้จะมิได้ระบุเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม ราวกันตกดังกล่าวคือ

2.1) หลักการที่ว่า คู่แข่งทางการเมืองเป็นเพียงคู่แข่ง (Political rival) มิใช่เป็นศัตรู (Enemy) หลังเลือกตั้งทุกระดับผ่านไป ทุกคนต้องไม่โกรธกัน สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับผู้ที่มีความเห็นต่างกันในทางการเมือง สามารถร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศ ไม่พยายามขัดขวางหรือสร้างความลำบากในการบริหารประเทศของฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งหลักการข้อนี้เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “the mutual toleration”

2.2) หลักการอีกข้อหนึ่งก็คือหลักการว่าด้วยการควบคุมอารมณ์ของตนในการใช้สิทธิทางการเมือง ไม่มีการกระทำที่เป็นการอาฆาตมาดร้ายเพราะอิจฉาริษยา คือไม่มีการกระทำที่เป็นลักษณะที่เกิดจากความโกรธและเกลียดคู่แข่งในทางการเมือง (ในทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า ต้องไม่มีการกระทำที่เป็น “ทุจริต 3” คือกายทุจริตโดยการทำร้ายกัน กลั่นแกล้งกัน วาจาทุจริต คือการทำร้ายกันทางวาจา และ มโนทุจริต คือการผูกใจอาฆาตมาดร้าย คอยสาปแช่งคู่แข่งทางการเมือง....ไตรรงค์) ซึ่งหลักการข้อนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า หลักการว่าด้วยความอดทนอดกลั้นในทางการเมือง (the political forbearance)

#ข้อที่3 เพราะกิเลสตัณหาของมนุษย์ที่มีแต่ความโลภ โกรธ หลง เข้าครอบงำจิตใจของนักการเมืองและกองเชียร์ในยุคหลังๆ การยึดถือหลักการทั้งสองข้อได้หย่อนยานลงจนเกิดสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาในปีค.ศ. 2016 โดยพรรค Republican (เหมือนพรรค Democrat) ซึ่งเคยยึดถือมาตลอดว่าผู้ที่จะสมัครเป็นประธานาธิบดีในนามของพรรคนั้น จะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ทั้งทางการเมืองและทางบริหารราชการแผ่นดินในระดับที่เป็นประจักษ์และยอมรับได้ของประชาชนนอกเหนือจากการไม่มีประวัติด่างพร้อยทางจริยธรรม แต่ในปี ค.ศ.2016 พรรค Republican ได้เลิกยึดถือประเพณีดังกล่าว ปล่อยให้นักปลุกระดมมวลชน (ที่เรียกกันว่าพวก Demagogues) ที่ไร้ความรู้และประสบการณ์ทั้งในทางการเมืองและการบริหารประเทศ ได้รับเลือกให้เป็นผู้สมัครประธานาธิบดีในนามของพรรค Republican ซึ่งก็คือ Donald Trump เมื่อได้เป็นประธานาธิบดีจึงได้สร้างความเสียหายมากมายทั้งภายในประเทศและความตกต่ำของภาพลักษณ์ในสายตาของชาวโลกที่มีต่อสหรัฐอเมริกา

ปัญหาที่ Trump ได้สร้างขึ้นอันก่อให้เกิดความไม่มั่นคงภายในประเทศ ก็คือการสร้างและส่งเสริม #ลัทธิรังเกียจผิว โดยได้แพร่เชื้อที่ว่า ผิวขาวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของประเทศสหรัฐ (White Supremacy) จึงทำให้เกิดการทำร้ายร่างกายคนผิวสีที่ไม่ใช่สีขาว ปีหนึ่งๆ มีการฆ่ากันเพราะเหตุนี้มากกว่า 1,000 คน แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งหลังสุด Trump จะประสบความพ่ายแพ้แก่ Joe Biden แห่งพรรค Democrat แต่เชื้อโรคลัทธิรังเกียจผิวก็ยังแพร่ขยายออกไป มีแต่จะแรงขึ้น เพราะเชื้อเดิมมันก็มีของมันอยู่แล้ว Trump เพียงราดน้ำมันเข้าใส่กองเพลิงให้ลุกโชนมากขึ้นเท่านั้น

#ข้อที่4 ลัทธิรังเกียจผิวได้ทำให้หลักการที่เป็นรั้วกันตกพังทลายลง กล่าวคือนักการเมืองและกองเชียร์ทั้ง 2 ขั้ว คือขั้วที่รังเกียจผิวกับขั้วที่ไม่รังเกียจผิวถือว่าเป็นศัตรูกัน ไม่สามารถอยู่ร่วมกันโดยสันติกับผู้ที่มีความเห็นต่างได้  ความอดทนอดกลั่นที่ใช้ในการควบคุมอารมณ์มิให้ก่อความรุนแรงก็พังทลายลงเช่นเดียวกัน เพราะถ้าไม่ยึดมั่นรั้วกันตกอันที่หนึ่ง รั้วกันตกอันที่สองก็เกิดขึ้นไม่ได้ (คำอธิบายในเรื่องนี้อยู่หน้า 150-154 ของหนังสือที่อ้างถึง) สังเกตเห็นได้ในครั้งแรกที่ Trump พ่ายแพ้แก่ Biden Trump ได้เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนตนอย่ายอมรับผลการเลือกตั้ง ให้ใช้กำลังขัดขวางมิให้มีการประกาศแต่งตั้ง Joe Biden เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ จึงเกิดฝูงชนเข้าบุกทำลายอาคารรัฐสภา ทำร้ายเจ้าหน้าที่ และตำรวจของรัฐสภาบาดเจ็บล้มตายไปหลายคน ถูกจับติดคุกติดตารางกันไปหลายคน เป็นต้น

หนังสือเล่มนี้ได้ทำนายไว้ว่า เมื่อหลักการทั้งสองที่เป็นเสมือนราวกันตกได้พังทลายลง ระบบอนาธิปไตย (anarchy) ก็จะเข้ามาแทนที่ความเป็นประชาธิปไตยในสหรัฐอเมริกา ต่อไปในอนาคตสหรัฐอาจจะไม่พบกับความสงบอีกต่อไป

เพราะถ้าฝ่ายนิยมรังเกียจผิวมีชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไป จะมีการรังแกคนผิวสีโดยวิธีต่างๆ เช่น จะมีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ เพื่อลดอิทธิพลของพวกผิวสีลง จะมีการใช้กำลังทั้งทหารและตำรวจกับคนผิวสีรุนแรงมากขึ้น จะมีการออกมาตรการเนรเทศคนผิวสี สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค เป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึงกันอีกแล้ว รัฐธรรมนูญจะถูกละเมิดเพราะทั้งศาลและองค์กรอิสระจะถูกอำนาจเผด็จการรัฐสภาเข้าแทรกแซงจนหมดสิ้น

แต่ถ้าพวกนิยมลัทธิรังเกียจผิวเกิดพ่ายแพ้การเลือกตั้ง พวกเขาก็จะก่อกวนสร้างความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายเพื่อขัดขวางฝ่ายที่ชนะให้บริหารประเทศไม่ได้หรือบริหารได้ด้วยความลำบาก เพราะพวกเขาถือว่าผู้ที่ชนะการเลือกตั้งเป็นศัตรู แม้ว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม

ทั้งสองอย่างมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนยกเว้นเสียแต่ว่า พระเจ้าจะดลบันดาลให้นักการเมืองและกองเชียร์เกิดจิตสำนึกว่า สิ่งที่พวกตนคิด พูด และทำนั้น เป็นภัยต่ออนาคตของประเทศอย่างแท้จริง แล้วทุกฝ่ายก็กลับยึดถือหลักการที่เป็นราวกันตกกันใหม่ โดยปล่อยให้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.2016 กลายเป็นบทเรียนแก่ชนรุ่นหลังว่าอย่าทำผิดเช่นนั้นอีก ประเทศสหรัฐและประชาธิปไตยจึงจะปลอดภัยในอนาคต

#ข้อที่5 เมืองไทยเราก็ได้เกิดการเมือง 2 ขั้วที่นับวันจะถือว่าเป็นศัตรูกันมากขึ้น ระหว่างขั้วที่ชังชาติ ชังจารีตประเพณี บ้าวัฒนธรรมตะวันตก และอยากให้ประเทศปกครองในระบบประธานาธิบดี กับขั้วที่ยังรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งยังต้องการรักษาความเป็นไทยภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

'ช่างถ่าน' ประดิษฐ์รถจิ๊ปโบราณ สตาร์ต 2 ระบบ ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ได้ ไม่ง้อน้ำมันแพง

ลุงจบ ป.6 ประดิษฐ์รถจิ๊ปวิลลี่โครงเหล็กกล่อง ใส่ล้อรถจักรยานยนต์ สตาร์ท 2 ระบบ ขายถูกแค่ 45,000 บาท สามารถดัดแปลงติดตั้งระบบไฟฟ้าโซล่าเซลล์ได้ทันที ขับขี่ไม่ต้องง้อน้ำมันแพง

19 มิ.ย.2565-นายวิสูตร  ขาวทุ่ง หรือช่างถ่าน อายุ 53 ปี บ้านเลขที่ 183 หมู่ 3 ต.ทุ่งหลวง อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย เปิดเผยว่า ตนเองเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แต่ฝึกงานช่างเคาะพ่นสีมาตั้งแต่เด็ก จนสามารถเปิดอู่ที่บ้าน รับเคาะพ่นสี ซ่อมมอเตอร์ไซค์ และเครื่องยนต์เกษตร แล้วส่วนตัวก็ชอบรถโบราณคลาสสิค พอมีเวลาว่างก็เลยสร้างไว้ขับเล่น เอาไปซื้อของที่ตลาด และสร้างเพื่อเป็นการคลายเครียดด้วย

'สร้างอนาคตไทย' ปักธง กาฬสินธุ์-มหาสารคาม มั่นใจ ชาวอีสานพร้อมสนับสนุน 'สมคิด' เป็นนายก

พรรคสร้างอนาคตไทย ประกาศเล็งส่งผู้สมัคร ส.ส.ในภาคอีสานครบทุกเขต เผยกระแสตอบรับ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ดีเกินคาดเพราะประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

วันนี้ (19 มิ.ย.) พรรคสร้างอนาคตไทย นำโดย นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค และนายสุพล ฟองงาม ประธานภาคอีสาน ลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ อำเภอหนองกุศรีและกุฉินารายณ์ และที่อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม พร้อมเปิดตัวผู้แสดงเจตจำนงลงสมัคร ส.ส. ในนามพรรคประกอบด้วย นายจำลอง ภูนวนทา กาฬสินธุ์เขต 3 นายนิพนธ์ ศรีธเรศ กาฬสินธุ์เขต 5 และนางสาวนงลักษณ์ ทุ่งจันทร์ มหาสารคามเขต 1 โดยแต่ละพื้นที่มีประชาชนร่วมกิจกรรมราว 500-600 คน

นายอุตตม กล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์และมหาสารคามในวันนี้ นับเป็นวันที่สองต่อเนื่องจากจังหวัดอุดรธานีในวันก่อนหน้า มีวัตถุประสงค์เพื่อพบปะประชาชน พร้อมเปิดตัวผู้แสดงเจตจำนงลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคฯ ซึ่งพบว่ามีเสียงตอบรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเสนอนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากพี่น้องชาวอีสานรับรู้ว่านายสมคิดเป็นมือเศรษฐกิจที่อยู่เบื้องหลังนโยบายสำคัญๆ ในรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัย

“วันนี้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของพี่น้องประชาชน เป็นเรื่องที่ต้องได้รับการดูแลแก้ไขเป็นอันดับแรก และพรรคสร้างอนาคตไทยมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมากที่สุด โดยเฉพาะว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค เป็นที่รับรู้กันว่าคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะมาแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ขณะนี้” นายอุตตม กล่าว

นายกฯ ยินดี EEC ขยายความร่วมมือต่างประเทศ ยกระดับเทคโนโลยี-นวัตกรรม มุ่งสู่อุตฯ อัจฉริยะ

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีกับความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กับภาคเอกชนชั้นนำจากต่างประเทศ เพื่อร่วมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา พื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ได้รับความสนใจจากภาคเอกชนชั้นนำต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุด ผู้นำเอกชนจากสวิตเซอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ กระชับความร่วมมือเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากรในพื้นที่ EEC ด้านการแพทย์ และการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสู่นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ 

“โดยผู้นำเอกชนสวิตเซอร์แลนด์ บริษัท เอบีบี ออโตเมชั่น จํากัด (ประเทศไทย) บริษัท เอบีบี อิเล็คทริฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (ABB) บริษัท โรช ไทยแลนด์ (Roche) และคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งผลจากความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยผลักดันและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี และเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล 5G ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างมีศักยภาพมากขึ้น” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

'หลิวเต๋อหัว' ประกาศก้อง!! “เราเป็นคนจีน”  ก่อนวันครบรอบ 25 ปี ฮ่องกงกลับคืนสู่การปกครองจีน

เมื่อเกือบ 200 ปีก่อน ช่วงยุคสงครามฝิ่นครั้งแรก และสงครามฝิ่นครั้งที่สองที่จีนพ่ายแพ้สงคราม จีนถูกบีบให้ลงนามในสนธิสัญญาต่างๆ ยกดินแดนส่วนต่างๆ ของเกาะฮ่องกงให้แก่จักรวรรดินิยมสหราชอาณาจักร โดยในที่สุดจีนก็ต้องลงนามสัญญาเช่าเกาะฮ่องกง 99 ปี กับอังกฤษ จากปี พ.ศ. 2441-2540 โดยถ้านับกันจริงๆ แล้ว ฮ่องกงเป็นดินแดนอาณานิคมภายใต้การปกครองของจักรวรรดินิยมตะวันตกกว่า 100 ปี

เมื่อสัญญาเช่าเกาะฮ่องกงสิ้นสุด อังกฤษได้ส่งมอบคืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีนเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2540 ภายใต้หลักการ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ ซึ่งระบุให้อำนาจการปกครองตัวเองระดับสูงและให้ให้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองแก่ฮ่องกง โดยจะ “ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงนี้เป็นเวลา 50 ปี”

ในวันที่ 1 ก.ค.ที่จะถึงนี้นับเป็นปีที่ 25 ที่ฮ่องกงกลับสู่การปกครองจีน หลิวเต๋อหัว (刘德华) ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นราชาแห่งภาพยนตร์จีน ได้ร่วมร้องเพลงประกอบงานครบรอบ 25 ปี ฮ่องกงคืนสู่การปกครองจีน “Qian” (前) กับนักร้องชาวฮ่องกงชื่อดังทั้ง 28 คน และพูดในการให้สัมภาษณ์ว่าเขาภูมิใจมากที่ได้บอกกับทุกคนว่า "เราเป็นคนจีน"

‘โรม’ เรียกร้อง หยุดใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือทางการเมือง พร้อมถามนายกฯ มีเหตุผลอะไรไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ พรรคก้าวไกล รังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีที่มีการแจ้งดำเนินคดีอาญาตาม มาตรา 112 ต่อบุคคลสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฟลูเอนเซอร์ กรณีที่มีการโฆษณาสินค้าในแอปพลิเคชั่นลาซาด้า รวมกรณี ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายนี้เป็นรายล่าสุด

รังสิมันต์ กล่าวว่า การตีความประกอบคดี โดยเฉพาะคดีตามมาตรา 112 ยิ่งจำเป็นต้องตีความอย่างเคร่งครัดและต้องชี้ให้ชัดว่ากรณีแบบไหนมีความผิด เพราะสิ่งที่บุคคลเหล่านี้แสดงออกหรือสะท้อนความคิดเห็นผ่านสื่อต่างๆ ไม่มีทางเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 ได้เลย

“ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษคิดเกินเลยมาก ไปใช้จิตนาการมากกว่าพื้นฐานความเป็นจริง กรณีแบบนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำปัญหาของการใช้มาตรา 112 ที่ทำให้สังคมไทยอยู่ในความหวาดกลัว ซึ่งสังคมที่หวาดกลัวแบบนี้เป็นสังคมที่ไม่ก้าวหน้า ไม่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้สร้างสรรค์เพื่อนำพาประเทศให้ก้าวหน้าไปได้ และยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การใช้กฎหมาย มาตรา 112 ในการดำเนินคดีโดยไม่ไตร่ตรองเช่นนี้ จะยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกตั้งคำถามมากขึ้น”

รังสิมันต์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีของ ปิยบุตร ซึ่งเป็นนักวิชาการกฎหมายมาหลายสิบปี ไม่เคยถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 แต่เมื่อเข้าสู่แวดวงการเมืองกลับมีคดีติดตัว จึงเป็นข้อสังเกตว่า สรุปแล้วการดำเนินคดีตามมาตรา 112 เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองใช่หรือไม่ จึงอยากใช้โอกาสนี้ในการเตือนสติผู้มีอำนาจว่า หากปล่อยให้ใช้ มาตรา 112 แบบนี้ต่อไปจะไม่ยิ่งส่งผลดีต่อพระมหากษัตริย์ ขอวิงวอนให้หยุดใช้ มาตรา 112 เป็นเครื่องมือในการจัดการผู้เห็นต่าง

ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีการใช้ มาตรา 112 ไปแล้ว 216 คดี ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยบนเวทีโลกมากมาย เพราะทุกครั้งที่มีวาระด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ประเทศไทยมักจะถูกตั้งคำถามถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ หากรัฐบาลมีหัวใจและมีความจริงใจจะบริหารประเทศจริงต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้

'ก้าวไกล-ก้าวหน้า' จับมือจัด 'เสวนา-ปาร์ตี้' หลัง 'สมรสเท่าเทียม' ผ่านสภาวาระแรก

ปักธงความเท่าเทียม ก้าวไกลจัดเสวนาก้าวต่อไปหลังสมรสเท่าเทียมผ่านวาระแรก พร้อมปาร์ตี้สุดพิเศษ Progressive Pride Party โดยคณะก้าวหน้า เพื่อฉลองวาระแห่งความเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ของไทย

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นพณัช ชัยวิมล ผู้กำกับซีรีส์วาย GMM และปอย ตรีชฎา เพชรรัตน์ นักแสดงและนางแบบ ร่วมเสวนาถึงก้าวต่อไปของร่างพ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม โดยมีพริษฐ์ วัชรสินธุ์ ดำเนินรายการ ในหัวข้อ “อนาคตกฎหมาย #สมรสเท่าเทียม สู่ความหวังสังคมที่คนเท่ากัน” เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2565 ภายในงาน ธัญวัจน์ได้เปิดเผยความรู้สึกวินาทีที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านวาระแรกไว้ว่า  “จริงๆ วันนั้นตื่นขึ้นมารู้สึกมืดมิดแต่ในใจก็คือต้องทำให้ได้ ตอนประกาศปุ๊บมันเห็นเหมือนแสง เห้ย เราได้จริงๆ ด้วย เรารู้สึกมันเป็นมง(ลง)ประชาชน หลายคนยังมีความคิดและการไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ แม้แต่ในรายงานรัฐสภา ที่บอกว่าพวกเราผิดธรรมชาติ จึงต้องใช้กฎหมายแยกออกไป ซึ่งธัญพยายามจะบอกว่า เราบินไปดาวอังคาร เรายอมรับธรรมชาตินั้น แต่เราไม่ยอมรับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยังไง”

ธัญวัจน์กล่าวต่อไปว่า ตนเองเชื่อว่า ส.ส. ทุกคนทำงานตามหน้าที่ แต่ที่สุดแล้วทุกคนต้องมีหัวใจด้วย และการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมวาระแรกนี้มันทำให้เห็น ส.ส. ที่มีหัวใจ ธัญวัจน เผยต่อไปถึงอนาคตของสมรสเท่าเทียมในวาระ 2 ว่าไม่ง่าย แต่ร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ก็มีปัญหาในตัวเอง ยังไม่ให้สถานะคนหลากหลายทางเพศเท่ากับคู่สมรสต่างเพศ ดังนั้นตนต้องทำงานต่ออย่างหนักเพื่อผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมให้ผ่านให้ได้ โดยเชื่อว่าทางออกที่ดีที่สุดคือประเทศไทยมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นพื้นฐาน ทุกคนจดทะเบียนสมรสได้ แต่ก็มี พ.ร.บ. คู่ชีวิตด้วย เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากจดทะเบียนคู่ชีวิต

ขณะที่นพณัช ในฐานะผู้กำกับซีรีส์วายชื่อดังหลายเรื่อง กล่าวว่าส่วนตัวเป็นคนที่อินกับประเด็นนี้ เคยมีโอกาสได้เดินพาเหรดไพรด์ที่ไต้หวัน และรู้สึกว่าหัวใจพองฟูหลังทราบว่าพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมผ่านวาระแรก นพณัชยกตัวอย่างประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะผู้กำกับซีรีส์วาย และได้อธิบายความสัมพันธ์ของซีรีส์วายกับการขับเคลื่อนเรื่องสิทธิว่า จุดเริ่มต้นของซีรีส์วายมาจากความบันเทิงเป็นหลัก ไม่ได้มีหน้าที่เพื่อขับเคลื่อนสิทธิความหลากหลาย แต่ปัจจุบันในฐานะผู้ผลิต ก็ต้องพยายามบาลานซ์ทั้งความบันเทิงและเรียกร้องสิทธิไปพร้อมๆ กัน ตอนนี้ซีรีส์วายรวมถึงซีรีส์ LGBT กำลังรวมทั้งความบันเทิงและการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมเข้าด้วยกัน 

ผู้กำกับซีรีส์ “เพราะเราคู่กัน” ยังอธิบายเพิ่มเติมถึงเรื่องที่สังคมสงสัย ว่านักแสดง ไอดอล สามารถแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือเรียกร้องในประเด็นที่ละเอียดอ่อนได้หรือไม่ พร้อมยืนยันว่าบริษัทไม่มีนโยบายห้ามนักแสดงและไอดอลในการแสดงออก “คุณต้องรับรู้ว่าคุณคือไอดอล และมีอิทธิพลต่อความคิดของเยาวชน ไอดอลหนึ่งคนมีคนติดตามกว่าล้านคน การที่จะโพสต์อะไร ต้องคิดก่อนและรับผิดชอบต่อความเห็นที่คุณแชร์ ก็จะเห็นนักแสดง และน้องๆ ในซีรีส์วายหลายคนออกมาขับเคลื่อนประเด็นนี้” เขาสรุป

'สุริยะ' เร่งผลักดันการส่งออกอาหารแปรรูปไทย  รับมือสถานการณ์ความมั่นคงอาหารโลก 

'สุริยะ' พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เร่งผลักดันการส่งออกอาหารแปรรูปไทย พร้อมรับมือสถานการณ์ความมั่นคงอาหารโลก ก้าวสู่ 1 ใน 10 ประเทศผู้ส่งออก

กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผย ครม. เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565 มีมติรับทราบความคืบหน้าและแนวทางการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562-2570) ตั้งเป้าส่งออกอาหารแปรรูปของไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2565 มีมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 และลุ้นปี 2565 ทะลุ New High 1.3 ล้านล้านบาท พร้อมพลิกวิกฤตเป็นโอกาสรับมือสถานการณ์ความมั่นคงด้านอาหารโลก ก้าวสู่ 1 ใน 10 ประเทศผู้ส่งออก ผ่าน 4 มาตรการ เพื่อเร่งสร้างโอกาสสู่การขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบความคืบหน้าและแนวทางการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562 - 2570) ที่กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานหลักได้รับมอบหมายให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดว่าการส่งออกอาหารแปรรูปของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จะมีมูลค่าประมาณ 600,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 ส่วนภาพรวมปี 2565 คาดจะถึงจุดสูงสุดเดิมและมีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการรับมือกับสถานการณ์ความมั่นคงด้านอาหารโลก และก้าวสู่ 1 ใน 10 ประเทศผู้ส่งออก ผ่านการขับเคลื่อน 4 มาตรการหลักตามแผนปฏิบัติการ เพื่อเร่งสร้างโอกาสสู่การขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต โดยมีความคืบหน้า ดังนี้...

มาตรการที่ 1 การสร้างนักรบอุตสาหกรรมอาหารพันธุ์ใหม่ (Food Warriors) ผ่าน 4 หน่วยงานของกระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และสถาบันอาหาร) ในการพัฒนายกระดับผู้ประกอบการ สถานประกอบการและวิสาหกิจชุมชน ผ่านการอบรมและให้คำปรึกษาด้านการเพิ่มผลิตภาพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากลและมาตรฐานฮาลาล (HALAL) ถ่ายทอดความรู้เชิงธุรกิจและการนำนวัตกรรมมาใช้ในการผลิต เช่น การยกระดับศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่สากล การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปสู่การเป็นโรงงานอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีดิจิตัล รวมทั้งสิ้น 3,218 ราย (4,836 คน) พัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูปให้มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่า 390 ผลิตภัณฑ์  

มาตรการที่ 2 การสร้างนวัตกรรมอาหารอนาคต มีการเชื่อมโยงกลไกและให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผ่านเครือข่ายเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยมีผู้ประกอบการได้รับการเสริมสร้างความสามารถในการดำเนินธุรกิจนวัตกรรม 651 ราย สร้างนักวิจัยให้สามารถผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมูลค่าสูง เช่น การวิจัยและพัฒนาสารสกัดที่มีฤทธิ์ต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังสำหรับผู้สูงอายุ และจัดให้มีศูนย์บริการด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาหารให้บริการครบวงจร นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยจัดทำโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ให้มีคุณภาพมาตรฐานกว่า 791 ราย

มาตรการที่ 3 การสร้างโอกาสทางธุรกิจยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 โดยในปี 2564 กระทรวงพาณิชย์ จัดงานแสดงสินค้าระดับโลกในไทย จำนวน 2 ครั้ง มีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการที่ลงทะเบียนในแฟลตฟอร์ม ทั้งสิ้น 2,363 ราย 2,088 บริษัท 97 ประเทศ มูลค่าการสั่งซื้อรวมประมาณ 3,122.8069 ล้านบาท ด้านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ให้การส่งเสริม กิจการอุตสาหกรรมแปรรูปที่เป็น SMEs มูลค่า 322 ล้านบาท และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จัดทำและปรับปรุงฐานข้อมูล SMEs ประเทศไทย และเชื่อมโยงข้อมูลเข้าสู่ระบบ SMEs Big Data 

พบ 'วัคซีนฝีดาษ' อายุ 40 ปี 1 หมื่นขวด กรมวิทย์ฯ เร่งตรวจประสิทธิภาพ-การปนเปื้อน

กรมวิทย์เผยวัคซีนฝีดาษอายุ 40 ปี มี 1 หมื่นไวอัล แบ่งฉีดได้ 5 แสนโดส ทดสอบประสิทธิภาพ 1 ไวอัลยังออกฤทธิ์แรง แต่ยังต้องทดสอบ 1 โดสยังประสิทธิภาพดีหรือไม่ พร้อมตรวจการปนเปื้อน ย้ำเป็นเทคโนโลยีเก่ามีรายงานผลข้างเคียง กล้ามเนื้อหัวใจ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ แต่น้อยมาก

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบวัคซีนฝีดาษที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เก็บแช่แข็งรักษาไว้ หลังยุติการปลูกฝี เพราะกวาดล้างโรคจนหมดไปในปี 2523 ว่า ขณะนั้นไทยผลิตได้เองเหลือเก็บไว้จนถึงตอนนี้กว่า 40 ปี เป็นวัคซีนลักษณะผง (Dry freeze) มี 10,000 ขวด (ไวอัล) ในจำนวน 13 ล็อต ใน 1 ไวอัลฉีดได้ 50 โดส เมื่อคำนวณจะเท่ากับมีประมาณ 5 แสนโดส เบื้องต้นกรมวิทย์ฯ นำมาทดสอบประสิทธิภาพผลปรากฎสามารถฟื้นตัวได้ดี และออกฤทธิ์ได้แรงดี

"วัคซีนฝีดาษชนิดผงนี้ทำมาจากฝีดาษวัว ซึ่งเป็นเชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนแรง เป็นวัคซีนรุ่นแรก รูปแบบการนำมาใช้จะสะกิดให้ผิวหนังเป็นแผลและนำผงวัคซีนแตะแปะไว้ ก็จะเกิดเป็นฝีแล้วกลายเป็นสะเก็ดแห้ง จากนั้นก็จะไปสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ในขณะที่วัคซีนฝีดาษปัจจุบันเป็นรุ่นที่สามที่ใช้ฉีดเข้าผิวหนัง" นพ.ศุภกิจกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top