Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

รมว.พิพัฒน์ เปิดกิจกรรมสัมมนาเพื่อสร้างการรับรู้แนวทางการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเท่ียวอย่างยั่งยืน

วันศุกร์ท่ี ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๖
ณ ห้องสมิหลา แกรนด์ โรงแรมบีพี สมิหลา บีช แอนด์ รีสอร์ท อําเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา นายพิพัฒน์  รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนา เพื่อสร้างการรับรู้แนวทางการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และการดําเนนิ งาน ตามมาตรฐานการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน Sustainable Tourism management Standards หรือเรียกสั้นๆว่า (STMS) ซึ่งจัดโดย องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเท่ียวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. โดยมีนาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยอย่างยั่งยืน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 142 องค์กร ให้การต้อนรับ

รมว.พิพัฒน์ กล่าวว่า พื้นที่ลุ่มน้ําทะเลสาบสงขลา เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติ มีความหลากหลายทางระบบนิเวศ มีวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ มีวิถีชีวิตที่เป็นอัตลักษณ์ ท่ีโดดเด่น และเป็นพ้ืนท่ีท่ีมีศักยภาพด้านการท่องเท่ียว อย่างไรก็ตาม พื้นท่ีลุ่มน้ําทะเลสาบสงขลา ยังคงต้องการการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นด้านการอนุรักษ์ การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และวิถี ลุ่มน้ําทะเลสาบสงขลาให้มีความยั่งยืน และช่วยกันยกระดับเพื่อนําไปสู่มาตรฐาน ท้ังในระดับประเทศ และระดับโลก อพท. จึงได้เสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนลุ่มน้ําทะเลสาบสงขลา และเห็นชอบ แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนลุ่มน้ําทะเลสาบสงขลา ระยะ ๕ ปี (พ.ศ.๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ท่ีประกอบด้วยโครงการกว่า ๒๗๐ โครงการ งบประมาณ รวมกว่า ๕,๐๐๐ ล้านบาท

ภายใต้วิสัยทัศน์ “ลุ่มน้ําทะเลสาบสงขลา ต้นแบบการท่องเที่ยว เชิงนิเวศและวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน” ซึ่งจะเป็นกรอบและแนวทางสําหรับบูรณาการ ความร่วมมือและดําเนินงานร่วมกับของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการมีส่วนร่วม ขับเคลื่อน การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวสร้างสรรค์ จากฐานทรัพยากรการท่องเที่ยว ที่มีคุณค่าของทะเลสาบสงขลา และวิถีเขาโหนด-นา-เล สู่การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและยั่งยืนในบริบทของการเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเท่ียวอย่างยั่งยืน โดยมี โครงการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จํานวน ๑๖๖ โครงการ งบประมาณรวมเกือบ ๓,๔๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนงบประมาณกว่า ๗๐ เปอร์เซ็นต์ในแผน ที่มีหน่วยรับผิดชอบคือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของพวกท่าน ซึ่งเป็นผู้พัฒนาและดูแลพื้นที่อย่างแท้จริง “มาตรฐานการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน Sustainable Tourism management Standards (STMS)” เป็นมาตรฐานท่ีได้รับการรับรองว่าเทียบเท่ากับ หลักเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสําหรับสถานที่ท่องเที่ยวของสภาการท่องเที่ยว อย่างยั่งยืนโลก ซึ่งเป็นองค์กรระดับสากล มาตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ นั่นหมายความว่า มาตรฐานนี้ เป็นแนวปฏิบัติที่ได้รับความเช่ือถือในระดับนานาชาติ การนําแนวทางตามมาตรฐานดังกล่าว ไปดําเนินงาน จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรต่างๆ ที่มีภารกิจในการบริหาร จัดการการท่องเที่ยวให้สามารถบริหารจัดการการท่องเที่ยวได้อย่างมีระบบและบูรณาการ งานท่องเที่ยวที่สามารถตอบสนองความต้องการของทุกภาคส่วนได้

อพท. จึงได้นํามาตรฐาน ดังกล่าวไปส่งเสริมและประเมินผลการดําเนินงานองค์กรที่มีบทบาทในการบริหารจัดการ การท่องเที่ยว โดยเริ่มที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นองค์กรหลักในพื้นที่ที่จะบริหาร จัดการการท่องเท่ียวได้อย่างย่ังยืน

เกาหลีใต้ ยัน ไม่มีแบล็กลิสต์คนไทยจากบางภาค แนะ ให้ระมัดระวังรับข่าวเท็จ ก่อนเกิดความเสียหาย

โฆษกรัฐบาล ย้ำ สถานทูตเกาหลีใต้ ยืนยัน ไม่มีการขึ้นบัญชีดำคนไทยจากบางภาค

เมื่อวันที่ 17 มี.ค.66 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความว่า สาธารณรัฐเกาหลี(เกาหลีใต้) ขึ้นบัญชีดำคนไทยที่มีภูมิลำเนาจากบางภูมิภาคในไทย ในการเดินทางเข้าเกาหลีใต้นั้น ไม่เป็นความจริง 

ทั้งนี้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ได้ออกประเทศเตือนว่าข้อความดังกล่าวเป็นข่าวปลอม ดังนี้ “เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการแพร่กระจายข่าวลงสื่อในบางช่องทาง เกี่ยวกับการขึ้นบัญชีดำคนไทยที่มีภูมิลำเนาจากบางภูมิภาค โดยรัฐบาลเกาหลีนั้น เราขอแจ้งว่าข่าวนั้นไม่เป็นจริง จึงขอความร่วมมือทุกท่านให้ระมัดระวังการรับข่าวเท็จ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายใด ๆ ขอบคุณค่ะ”

นายอนุชา กล่าวว่า ขอให้ประชาชนระมัดระวังในการรับทราบข่าวสาร โดยขอให้รับข่าวสารจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากข่าวสารก่อนเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสีย ความสับสน และอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ 

วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ จัดพิธีมอบประกาศนียบัตร ผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2565

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2566 นายชาตรี ม่วงสว่าง ศึกษาธิการภาค 15 เป็นประธานในพิธี มอบเกียรติบัตรแก่นักเรียน นักศึกษาที่มีผลการเรียนดี และมอบใบประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ และระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประจำปีการศึกษา 2565  ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ พร้อมกล่าวให้โอวาทแก่ผู้สำเร็จการศึกษาโดยมี นายพิทยาธรณ์ แจ่มศรี รองผู้อำนวยการ รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณะกรรมการชมรมผู้ปกครอง คณะครู บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียน นักศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ ณ หอประชุมอาคาร 7 วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ 

นายพิทยาธรณ์ แจ่มศรี รองผู้อำนวยการ รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ กล่าวว่า วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่  จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ และระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประจำปีการศึกษา 2565 โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ จำนวน 385 คน และระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จำนวน 463 คน รวมทั้งสิ้น 848 คน ใน 4 ประเภทวิชา 13 สาขาวิชา ทั้งระบบปกติ ระบบทวิภาคีระบบ Mini English Program ระบบ Mini Chinese Program ระบบออนไลน์ และระบบสมทบ ได้แก่

ผบ.ตร.เชิญชวนข้าราชการตำรวจ ครอบครัวและประชาชน ร่วมบริจาคเงินเพื่อทุนการศึกษาแก่บุตร พ.ต.ต.เอกพงษ์ฯ สารวัตรสืบเมืองยโสธร ตำรวจกล้าที่พลีชีพช่วยลูกน้องตามจับคนร้ายคดียาเสพติด จนจมน้ำเสียชีวิต

เมื่อวันที่  16 มี.ค.66 พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. กล่าวว่า “ สืบเนื่องจากเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 13 มี.ค.66 พ.ต.ต.เอกพงษ์  ทิปะณี สว.สส.สภ.เมืองยโสธร ได้เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชา ในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด ณ บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำแกง อ.เมือง จ.ยโสธร


หลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์  ผบ.ตร.ได้เดินทางไปร่วมพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ได้ชื่นชมในความความกล้าหาญ เสียสละ ด้วยภาวะผู้นำอันเต็มเปี่ยมของ พ.ต.ต.เอกพงษ์ฯ ไม่ได้คำนึงถึงภยันตรายที่อาจเกิดแก่ชีวิตตน อันเป็นแบบอย่างแก่เพื่อนข้าราชการตำรวจและพี่น้องประชาชน อย่างสมเกียรติฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง

 
ขณะเดียวกัน ผบ.ตร.ได้รับทราบว่า ครอบครัวของ พ.ต.ต.เอกพงษ์ฯ เหลือเพียงผู้เป็นพ่อ และ ลูกสาว 2 คน อายุ 7 และ 8  ขวบ ส่วนภรรยานั้นหย่าร้างไปอยู่ต่างประเทศ  ที่ผ่านมา พ.ต.ต.เอกพงษ์ฯ เป็นเสาหลักของครอบครัวมาโดยตลอด การสูญเสีย พ.ต.ต.เอกพงษ์ฯ จึงทำให้ชีวิตครอบครัวเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะอนาคตทางการศึกษาของบุตรสาวทั้ง 2 คน

นายกฯ ไทยที่มีอายุการทำงาน ''สั้นและยาวที่สุด''

อีกประมาณ 2 เดือนข้างหน้าจะเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ เป็นที่รู้กันว่าตามรัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติไว้ให้นายกรัฐมนตรีมีวาระในการดำรงตำแหน่งไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 8 ปี หากย้อนดูในประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 29 คน ซึ่งแต่ละคนก็มีวาระในการดำรงตำแหน่ง และห้วงเวลาสั้น ยาว แตกต่างกันไป

แต่ถ้าพูดถึงนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในอำนาจสั้นที่สุด นั่นคือ  "ทวี บุณยะเกตุ" ซึ่งอยู่ในตำแหน่งเพียง 18 วัน เป็นช่วงเวลาแสนสั้น  แต่ภารกิจนั้นกลับสำคัญยิ่ง

ย้อนกลับไปเมื่อ 15 สิงหาคม 2488 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มเข้าสู่จุดสิ้นสุดเมื่อญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงคราม นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 ได้ออก “ประกาศสันติภาพ” อันมีใจความสำคัญว่า การประกาศสงครามของไทยต่ออังกฤษและสหรัฐฯ เป็นโมฆะ ทำให้รัฐบาลนายควง  อภัยวงศ์ ลาออกตามมารยาทการเมือง

ขณะที่ต้องรอเวลาให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าเสรีไทยสายสหรัฐอเมริกา เดินทางกลับมาที่ไทยเพื่อรับตำแหน่งนายกฯ ต่อไป ทว่ามีภารกิจเร่งด่วนที่สุดของประเทศที่รอไม่ได้ คือการเจรจายุติสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ  จึงจำเป็นต้องตั้ง "รัฐบาลเฉพาะกิจ" เร่งจัดการเรื่องต่างๆ ช่วงรอยต่อจากภาวะสงคราม

"ทวี บุณยเกตุ" คือบุคคลที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมให้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี "ขัดตาทัพ" ด้วยความที่เป็นสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองเป็นเลขา ครม.ในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ และเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดคือ นายทวี เป็นแกนนำคณะเสรีไทย ที่นายปรีดี พนมยงค์ ไว้ใจ รวมถึงเป็นที่ยอมรับของฝ่ายสัมพันธมิตร

ดังนั้นรัฐบาลของนายกฯ "ทวี บุณยเกตุ"  จึงมีอายุเพียงแค่ "18 วัน" ตั้งแต่ 31 สิงหาคม-17 กันยายน 2488  ในการทำภารกิจสำคัญเร่งด่วน คือ เตรียมการเจรจายุติสถานะสงครามกับอังกฤษ และสหรัฐฯ  พร้อมปูทางให้ไทยสมัครเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ รวมถึงเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “ไทยแลนด์” กลับมาใช้ชื่อ “สยาม”  และยุบตำแหน่ง “ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน” เพื่อลดเกียรติภูมิของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ตัดสินใจให้ความร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นก่อนหน้านั้น

กระทั่ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เดินทางกลับถึงไทย วันที่ 17 กันยายน 2488 นายทวีได้นำคณะรัฐมนตรีลาออกเพื่อเปิดทางให้ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช จัดตั้งรัฐบาลตามที่ตกลงกันไว้ เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจของนายกรัฐมนตรีที่มีระยะเวลาอยู่ในตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

เมื่อพูดถึง “นายกฯ ที่มีอายุงานสั้นที่สุด” ในมุมตรงข้าม นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด ต้องยกให้ "จอมพล ป. พิบูลสงคราม"  ที่เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ช่วง รวมเวลายาวนานถึง 15 ปี กับอีก 11 เดือน

'หมอแล็บแพนด้า' เตือนอย่าเอายาทาเล็บมาทาฟัน ชี้ อาจขาวทันใจ แต่มีสารอันตรายเพียบ

(16 มี.ค. 66) ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน หรือ หมอแล็บแพนด้า นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กเตือน อย่าเอายาทาเล็บมาทาฟัน ระบุว่า พี่ ๆ ช่างแต่งหน้าตามงานประกวดบางคน ยังชอบเอายาทาเล็บมาทาฟันอยู่อีก ฟันจะได้ขาววิ้งทันใจ เห็นคลิปแล้วก็สงสารน้อง เพราะยาทาเล็บมีสารอันตรายหลายตัว และมีสารก่อมะเร็งด้วย ห้ามเอาเข้าปากเด็ดขาดนะครับ

อย่าลืมว่าในยาทาเล็บมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ ไนโตรเซลลูโลส ฟอร์มาลดีไฮด์ เรซินโทลูอีน ไดบิวทิล พทาเลต ส่วนผสมในยาทาเล็บที่ควรระวังและอาจเป็นอันตราย ได้แก่

ไดบิวทิล พทาเลต (Dibutyl Phthalate) ตัวนี้เป็นสารที่เขามักเอามาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตสี ย่าฆ่าแมลง และพลาสติก ใช้ในยาทาเล็บจะทำให้ทาได้ง่าย เรียบ มีความยืดหยุ่นดี แต่ห้ามเอาเข้าปากเพราะเป็นสารก่อมะเร็งและทำให้ลูกพิการแต่กำเนิด ใครที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตรไม่ควรใช้ และอาจทำให้มีผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ในเพศชายได้

ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) เป็นสารก่อมะเร็งที่มักจะใช้เป็นส่วนผสมของสีทาเล็บ ทำให้ยาเคลือบเงาเล็บแข็งตัว และเกาะกับเล็บได้ดี ราคาถูก แต่มีพิษต่อร่างกาย มีไอระเหย ถ้าสูดดมเข้าไปจะทำให้แสบจมูก แสบคอ แสบตา ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน ทำลายภูมิคุ้มกัน และเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย

รมว.พิพัฒน์ ประชุม หารือ กับผู้ประกอบการจังหวัดกระบี่ เปิดเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงเกาะลันตา - ลังกาวี

วันนี้ (16 มี.ค.66) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุมพนมเบญจา ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดกระบี่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมหารือเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงเกาะลันตา - ลังกาวี ของจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยนายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำโดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ,นางศุภิดา อ่อนบรรจง ผู้อำนวยการกลุ่มงานต้านตลาดในประเทศ ,นายสมชาย ชมพูน้อย ผู้อำนวยการฝ่ายภูมิภาคภาคใต้ ,นายอะหมาน หมัดอะดัม ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานกระบี่ ,นายไพรัช สุขงาม  ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานสตูล ,นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ น.ส.ศศิธร กิตติธรกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.กระบี่ ภาคเอกชนและผู้ประกอบการ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “เมื่อวันที่ 6 มค ที่ผ่านมาได้เดินทางไปยังเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย พร้อมกับ ททท เพื่อหารือกับผู้บริหารพื้นที่พิเศษของลังกาวี ก็มีความคิดตรงกันว่าจะทำอย่างไร ให้เป็น Destination to Island คือ หนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว สองเกาะ สองประเทศ จึงเป็นที่มาของการหารือในวันนี้ร่วมกับจังหวัด ว่าหากจะเปิดเส้นทางการท่องเที่ยวเกาะลันตา - ลังกาวี ว่าจะพร้อมขนาดไหน ซึ่งท่านผู้ว่าบอกว่าได้มีการเตรียมความพร้อมในการตั้งด่านตรวจคนเข้าเมือง ที่ศาลาด่าน เกาะลันตา ซึ่งได้ลงไปดูพื้นที่แล้ว และหารือในรายละเอียดด้านการเดินทาง ว่าจะเดินทางอย่างไร โดยมีข้อจำกัดว่าลังกาวีไม่อนุญาตให้นำเรือสปีดโบ้ทเข้าไป ก็น่าจะมีทางออกว่า ใช้เรือเฟอรี่ ซึ่งก็จะได้ดำเนินการต่อไปทั้งสองส่วนคือเกาะลันตาและลังกาวี เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวนี้ได้”

นอกจากนี้ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ยังได้กล่าวด้วยว่า “การท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ เคยมีรายได้พีคสุดในปี 62 คือ 120,000 ล้านบาท เราจะพัฒนาได้มั๊ยว่าจะเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวได้มากขึ้นอย่างไร เพราะจังหวัดกระบี่ยังมีศักยภาพที่ยังพัฒนาได้อีกมาก โดยขณะนี้ก็ได้วางโครงสร้างไว้ คือ สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ ได้แก่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ ซึ่งภูเก็ตเราจะพูดถึงเมืองในอนาคต Smart City และพังงา ได้กำหนดเป็นการท่องเที่ยว Low Carbon ส่วนจังหวัดกระบี่ ก็จะชูคลองท่อมเมืองสปา เนื่องจากอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำพุร้อน แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือ เรามีน้ำพุร้อนเค็ม ซึ่งเป็น 1 ใน 2 แห่งของโลกเท่านั้น เราจึงต้องการพัฒนาให้อำเภอคลองท่อมเป็นเมืองสปา ควบคู่กับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเชื่อมต่อไปยังการท่องเที่ยวทางทะเล” 

ด้านนายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จังหวัดกระบี่มีศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยว เป็นเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ข้อมูลตั้งแต่หลังโควิด ช่วง ต.ค. 65 - ก.พ.66 เรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่เกือบ 800,000 คน ซึ่งถือว่าสูงมาก วันนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่ได้หารือการเปิดเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ไปยังเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย เพื่อเป็นโอกาสที่จะแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยว  และจะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ และหากมีการก่อสร้างสะพานข้ามเกาะลันตาเสร็จก็จะสามารถเชื่อมโยงกันได้ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของทั้งจังหวัด ททท และกระทรวง ที่จะต้องช่วยกันผลักดัน ซึ่งจังหวัดกระบี่ก็พร้อมที่จะพัฒนาด้านการท่องเที่ยวร่วมกันเพื่อความยั่งยืนต่อไป "

กระทรวง อว. จับมือ รร.นายร้อยตำรวจ ป้องกันอาชญากรรมทั้งการกระทำความผิดและการตกเป็นเหยื่อในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ทักษะเอาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญเหตุและสร้างระบบสภาพแวดล้อมในพื้นที่

เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการป้องกันอาชญากรรมในเครือข่ายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ” ระหว่างกระทรวง อว. กับ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วม

ทั้งนี้ มี ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. และ พล.ต.ท.ดร.เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เป็นผู้ร่วมลงนาม ที่สำนักงานปลัดกระทรวง อว. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสภาวการณ์ของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้ปัญหาอาชญากรรมมีการพัฒนารูปแบบไปตามยุคสมัยและถือเป็นภัยใกล้ตัวที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวบุคคลและความสงบเรียบร้อยของสังคม ดังนั้นการจัดการกับปัญหาโดยเฉพาะการป้องกันจึงเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนจะต้องบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการบ่มเพาะกำลังคนสมรรถนะสูงที่จะเป็นกำลังหลักของประเทศในอนาคตในการนำองค์ความรู้และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้สำหรับการป้องกันอาชญากรรมให้ครอบคลุมทั้งมิติของการป้องกันการกระทำความผิดและมิติของการป้องกันการตกเป็นเหยื่อ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม 

ด้าน ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการป้องกันอาชญากรรมและการประยุกต์ใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีสำหรับการป้องกันอาชญากรรรมในเครือข่ายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศและเพื่อสร้างระบบสภาพแวดล้อมการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ รวมทั้งส่งเสริมทักษะการเอาตัวรอดแก่บุคลากรของมหาวิทยาลัย นักศึกษาหรือประชาชนในพื้นที่โดยรอบ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการค้นคว้าวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมทางสังคมที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเฉพาะกระบวนการป้องกันอาชญากรรมทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค โดยความร่วมมือดังกล่าวมีระยะเวลา 3 ปี 

ผบ.พล.ร.15 นำกำลังพล ร่วมเดินทางไกลประจำเดือน เสริมสร้างสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงให้แก่กำลังพล ณ ค่ายกัลยาณิวัฒนา จ.นราธิวาส

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ กรมทหารราบที่ 151 ค่ายกัลยาณิวัฒนา ตำบล กะลุวอ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิดการตรวจสภาพความพร้อมรบ และเดินทางไกลประจำเดือน ของกรมทหารราบที่ 151 และหน่วยขึ้นตรงกองพลทหารราบที่ 15 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานทุกภารกิจของกองทัพบก และความพร้อมของเครื่องมือยุทโธปกรณ์ทางทหาร รวมถึงเพื่อทดสอบขีดความสามารถ และความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจ ถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ก่อเกิดความสามัคคีให้แก่กำลังพล ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย และจิตใจให้สมบูรณ์ แข็งแรง พร้อมในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ได้ในทุกเมื่อ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมประชุมกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ออสเตรเลียด้านการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ

วันนี้ (16 มี.ค.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ได้เดินทางมายังกรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อร่วมการประชุมกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ออสเตรเลียด้านการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ (Mekong-Australia Partnership on Transnational Crime: MAP-TNC) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 มี.ค.66 ณ โรงแรมคราวน์พลาซ่า กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยมีผู้แทนจากกลุ่มประเทศในเขตลุ่มแม่น้ำโขง อาทิเช่น ประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเมียนมา รวมทั้งประเทศคู่เจรจา ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการแสวงหาความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติในทุกรูปแบบ

ในการประชุมดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้นำเสนอเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้กับทางการสหรัฐอเมริกาทราบ เมื่อวันที่ 2 มี.ค.66 ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการนำเสนอผลการปฏิบัติทั้งในคดีค้ามนุษย์และคดีการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าหลายปีที่ผ่านมารวมกัน โดยในปีนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มีการเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยเชิญผู้ที่เคยเป็นผู้เสียหายเข้ามาร่วมในคณะกรรมการชุดดังกล่าว เพื่อให้ตัวผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการนำประสบการณ์มาใช้พัฒนากระบวนการให้บริการผู้เสียหายให้ดียิ่งขึ้น โดยใช้แนวคิดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้นำเสนอเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับ NGOs อย่างใกล้ชิด และมีการซักซ้อมการปฏิบัติตามกระบวนการ NRM โดยมีการเริ่มใช้ในจังหวัดสตูลในการคัดแยกผู้เสียหายจากการโยกย้ายถิ่นฐานของบุคคลต่างด้าว ซึ่งประเทศไทยไม่มีการกักตัวผู้เสียหายที่เป็นเด็กในห้องกักอีกต่อไป อีกทั้งได้ขยายการใช้กระบวนการ NRM ให้ครบทุกภูมิภาคของประเทศไทย นอกจากนี้ในยุคปัจจุบัน สถานการณ์ค้ามนุษย์จำเป็นจะต้องมองในระดับภูมิภาค เพื่อให้การขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากประเทศใดไม่ให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง จะต้องมีการกดดันในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ อาชญากรรมหลายประเภทสามารถนำไปสู่การค้ามนุษย์ได้ และมีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด จึงต้องพัฒนาแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top