Monday, 7 July 2025
NEWS FEED

‘หม่อนปลื้ม’ ชี้ ยกเลิกเครื่องแบบลูกเสือ อาจทำเด็กขาดวินัย ลั่น!! อย่าใช้ความเหลื่อมล้ำเป็นข้ออ้างเพื่อยกเลิกการเรียนลูกเสือ

เมื่อไม่นานมานี้ หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ ‘คุณปลื้ม’ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น เรื่องการเครื่องแบบ ในความคิดของก้าวไกล ไว้ว่า ตนเข้าใจดีในเรื่องที่กระทรวงศึกษาธิการถูกสังคมในปัจจุบันกดดันเรื่องของความเหลื่อมล้ำ ที่เกิดจากเครื่องแบบนักเรียนลูกเสือ ที่คนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้ายกขึ้นมาอ้างเพื่อให้มีการพิจารณายกเลิกการใส่เครื่องแบบลูกเสือ

โดยคุณปลื้มได้กล่าวว่า ตนไม่มีปัญหา และเข้าใจ หากมีคนต้องการให้มีการยกเลิกการใส่เครื่องแบบลูกเสือ แต่ด้วยความที่กระทรวงศึกษาธิการถูกกดดัน และสั่งการไปถึงทุกโรงเรียน ให้ทำหนังสือชี้แจ้งผู้ปกครอง เรื่องการอนุญาตให้นักเรียนไม่ต้องสวมเครื่องแบบลูกเสือ โดยให้สวมแค่ผ้าพันคอลูกเสือเพียงเท่านั้น แบบนี้เมื่อถึงเวลาอาจทำให้เกิดความสับสน นักเรียนบางส่วนอาจใส่เครื่องแบบมา อีกส่วนอาจไม่ใส่มา แบบนี้จะเวิร์กหรือไม่?

ถ้าคุณเคยเป็นทหาร คุณจะรู้ว่าส่วนสำคัญในการฝึกวินัยของทหาร มันเริ่มตั้งแต่การใส่เครื่องแบบ เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญ เป็นการฝึกวินัยในการดูแลเครื่องแบบ ตั้งแต่การซักรีด การติดดาว ติดยศให้ถูกต้อง การขัดรองเท้าให้เงา ทั้งหมดนี้เป็นการฝึกวินัย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นลูกเสือที่ดี ที่ไม่ได้มีแค่เรื่องจิตอาสาเพียงเท่านั้น แต่ยังสอนในเรื่องของการทำอาหาร การเดินป่า การผูกเชือก และทักษะการเอาตัวรอด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนทั้งสิ้น

ดังนั้น หากจะมีการรณรงค์ให้ยกเลิกการสวมเครื่องแบบลูกเสือ ในสถาบันการศึกษาของภาครัฐฯ และเอกชน อย่างที่มีการบังคับกันอยู่ในขณะนี้ ผมมองว่า หากจะให้มีการเรียนลูกเสืออยู่ ก็ควรจะต้องมีการสวมเครื่องแบบลูกเสือ

คุณปลื้มยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในสมัยก่อนที่มีการเรียนและแต่งเครื่องแบบลูกเสือ ก็ไม่ได้มีความเหลื่อมล้ำ เพราะฉะนั้น หากจะอ้างเรื่องของความยากจนและภาระทางการเงิน แล้วทำไมสมัยก่อนถึงแต่งเครื่องแบบลูกเสือกันได้? แล้วถ้าหากมีการประกาศว่าไม่ต้องมีการแต่งเครื่องแบบลูกเสือ แต่เมื่อถึงวันสำคัญที่ต้องแต่งเครื่องแบบจะทำอย่างไร?

“หากเราต้องการอยู่ในสังคมที่ไร้การฝึกวินัยในเรื่องการแต่งกาย นี่นับเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีการถกเถียงกันในแง่ของนโยบายต่อไป และผมคิดว่า ไม่ควรยกเรื่องของความเหลื่อมล้ำ และความยากจนมาอ้างเพื่อเป็นการต่อยอดวาระในการยกเลิกการเรียนลูกเสือแบบถาวร”

ย้อนไทม์ไลน์ ‘บิตคอยน์’

ย้อนไทม์ไลน์เส้นทางการเติบโตของ ‘บิตคอยน์’ มาดูกันว่าตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

ปลัด แรงงาน แถลงจัด Job Expo Thailand 2023 ภายใต้งาน “คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน”

วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน Job Expo Thailand 2023 ท่ามกลางสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติ ณ ห้องประชุม ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน โดยมีนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน นายสันติ นันตสุวรรณ นายสิบหมื่นชัย โพธิสินธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และผู้แทนจากภาคบริษัทภาคเอกชน ร่วมงาน 

นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน จัดงาน Job Expo Thailand 2023 มหกรรมการจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่ระดับประเทศ ภายใต้งาน “คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน”

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้สมัครงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาใหม่ ผู้ว่างงาน คนพิการ ผู้สูงอายุ หรือทุกคนที่ต้องการมีงานทำ กับนายจ้าง สถานประกอบการ ได้พบและพิจารณาคัดเลือกกันโดยตรง เพื่อประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งส่งเสริมให้คนไทยทราบความต้องการของตลาดแรงงาน ได้รับบริการแนะแนวอาชีพ คำปรึกษาด้านอาชีพที่ถูกต้อง ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาความรู้ทักษะฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อจะได้เตรียมตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน ลดปัญหาการว่างงานและขาดแคลนแรงงาน โดยไฮไลท์สำคัญของงานอยู่ที่ตำแหน่งงานหลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศที่กรมการจัดหางงานรวบรวมไว้มากกว่า 500,000 อัตรา เพื่อรองรับคนหางานทุกช่วงวัย ทุกระดับวุฒิการศึกษา และการเชิญชวนนายจ้าง สถานประกอบการชั้นนำ ร่วม 400 แห่งมารับสมัครและสัมภาษณ์ผู้สมัครงานภายในงาน ควบคู่กับการสัมภาษณ์งานออนไลน์ผ่านระบบ Zoom เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนหางานจากทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าว่าจะมีผู้ร่วมงานตลอด 3 วันมากกว่า 5 หมื่นคน 

“การจัดงาน Job Expo Thailand 2023 ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถานประกอบการภาคเอกชน จำนวน 395 บริษัท ที่พร้อมใจนำตำแหน่งงานมาให้ผู้สมัครเลือกช็อปภายในงาน อาทิ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ชิสเทม จำกัด บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทย สมายส์ บัส จำกัด บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด บริษัท ฟอร์ท เวนติ้ง จำกัด บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) บริษัท โพสเซฟี่ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องประชาชนทุกคนที่มาร่วมงาน มีโอกาสที่จะได้งานกลับไป และเห็นภาพทิศทางตลาดแรงงานชัดขึ้น สามารถเตรียมพร้อมและพัฒนาทักษะตนเอง ให้เป็นแรงงานที่มีศักยภาพสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและขยับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศได้อย่างยั่งยืน” ปลัด.แรงงาน กล่าว 
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า JOB EXPO THAILAND 2023 มีกำหนดจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 8 – 10  มิถุนายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Hall EH 100 – 102 กรุงเทพมหานคร ภายในงานมี 7 โซนหลัก

ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ อาทิ นิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์แห่งพระราชา ศาสตร์แห่งความพอเพียง และโครงการจิตอาสา 904 โคก หนอง นา โมเดล กิจกรรมคนไทยไม่ทิ้งกัน คนหางาน งานหาคน Job Matching กิจกรรม Platform “ไทยมีงานทำ” กิจกรรมรวมใจสร้างงาน สร้างอาชีพ กิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำ และกิจกรรมส่งเสริม พัฒนา คุณภาพแรงงาน และกลุ่มเปราะบาง ไทยไม่ทิ้งกัน ล้านงานเพื่อล้านคน และบริการดีๆจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ได้แก่ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่ผู้ประกันตนจากโรงพยาบาล การให้ความรู้ เกี่ยวกับสิทธิผู้ประกันตนทุกมาตรา การตรวจสอบสิทธิผู้ประกันตน และเปิดรับสมัครผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยสำนักงานประกันสังคมและหน่วยพยาบาล นิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน คลินิกแรงงาน และนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายพื้นฐานสำหรับแรงงานที่ควรทราบ โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมบนเวที อย่างการเสวนาในหัวข้อต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เช่นหัวข้อ “คนยุคใหม่วางแผนทางการเงินอย่างไร” “การสร้างตัวตนสู่การสร้างรายได้บน TIKTOK แพลตฟอร์มยอดนิยมในปัจจุบัน” และ“การเกษตรเพื่อความยั่งยืน” มินิคอนเสิร์ต จากศิลปินชื่อดัง อาทิ YourMood , มีนตรา อินทิรา และปราง ปรางทิพย์ และกิจกรรมเชิญชวนผู้ร่วมงาน ร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัล

‘เสี่ยเฮ้ง’ โพสต์ซึ้ง หวนคิดถึงมิตรภาพในวันวาน พร้อมรำลึกบุญคุณผู้ให้ความสนับสนุนสมัยเป็นนักกีฬา

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้โพสต์รูปภาพพร้อมแคปชันสุดซึ้น ชวนให้คิดถึงวันวานในอดีต สมัยที่ตนยังเป็นนักกีฬาฟุตบอลตัวแทน จังหวัดชลบุรี และระลึกถึงผู้มีพระคุณที่เคยให้การสนับสนุนทีมฟุตบอลของตน โดยระบุว่า…

‘คิดถึงเพื่อน’ และ ‘2 ผู้มีพระคุณ’

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งภาพที่เล่าเรื่องราววันวาน เปิดภาพขึ้นมาดูทีไรก็ชวนให้คิดถึงเพื่อนๆ ปนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มระหว่างทบทวนความทรงจำ

ผมให้ชื่อภาพนี้ว่า ‘มิตรภาพ - มิตรไมตรี’ กับบรรยากาศเมื่อ 30 ปีก่อน ระหว่างเก็บตัวนักกีฬาฟุตบอล เยาวชน แห่งชาติ  ในครั้งนั้นฝีเท้าผมก็โดดเด่นไม่เบา ถึงขั้นได้เป็นตัวแทนจังหวัดชลบุรี พร้อมกับเพื่อนๆ อีกจำนวนหนึ่ง ไปแข่งคัดเลือกที่จังหวัดจันทบุรี 

ตอนนั้นผมได้เดินทางไปเก็บตัวกันที่เขื่อนเขาแหลม กาญจนบุรี อากาศดีมากๆ ทำให้หวนคิดถึงผู้มีพระคุณ คือ ‘เฮียกิม’ กับ ‘ซ้อ’ เจ้าของ ‘ร้านวิรัช เบนไทร์’ ที่เป็นสปอนเซอร์ออกค่าใช้จ่าย ให้ผมและเพื่อนๆ ในทีมฟุตบอล 

ครอบครัว ‘เฮียกิม’ กับ ‘ซ้อ’ ชอบฟุตบอล เป็นชีวิตจิตใจ ท่านมีเมตตากับพวกเราทุกคน ท่านเสียสละ ทรัพย์สินเงินทองในเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด ท่านคือผู้เสียสละ ให้วงการกีฬาฟุตบอล ชลบุรีมากที่สุด ผมยังระลึกบุญคุณท่านไม่ลืมเลือน

ใครได้อ่านข้อความนี้ ฝากไปถึง ‘เฮีย’ กับ ‘ซ้อ’ เจ้าของร้าน ‘วิรัช เบนไทร์’ ว่าจากวันนั้นจนวันนี้ผมไม่เคยลืมบุญคุณท่านเลย…

หลายคนบอกว่า ชอบอ่านเรื่องเล่าที่ผมเขียนหน้าเพจ ผมขอเท้าความย้อนไปก่อนว่า ผมเป็นคนชอบ ‘อ่านหนังสือ’ ศึกษาความรู้รอบด้านมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น ทักษะการเขียนหนังสือของผมจึงเป็นผลพลอยได้มาจากการ ‘อ่านอย่างสม่ำเสมอ’ และผมก็ชอบมากที่จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผมคิดว่าสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านได้ การเล่าเรื่องลง Facebook จึงเป็นอีก 1 งานอดิเรกที่ผมตั้งใจเขียนมาก

“อลงกรณ์” ผนึกความร่วมมือไทย-จีนส่งเสริมการค้าการลงทุนอุตสาหกรรมอาหาร

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวเปิดงาน
การประชุมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารจัดโดย คณะกรรมการเทศบาลเมืองแต้จิ๋วแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐบาลเทศบาลเมืองแต้จิ๋ว และสมาคมการค้าแลกเปลี่ยนเศรึไทย-เอเซีย
วันนี้ ที่รร.อนันตารา กรุงเทพฯ.มีผู้ร่วมงานประกอบด้วยนายหวัง ลี่ผิง อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและพาณิชย์ สถานทูตจีนประจำประเทศไทยเหอ เสี่ยวจวิน เลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลประจำแต้จิ๋ว เฉิน เสี่ยวตัน ผู้อำนวยการสำนักการค้าเทศบาลประจำแต้จิ๋ว

นายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ.
ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ  คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีพาณิชย์
นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานหอการค้าไทยจีน 
นายวิชัย มณีกิติกุล รักษาการแทนนายกสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย และตัวแทนภาคเอกชนไทยและจีน

โดยนายอลงกรณ์กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตจึงเป็นโอกาสของประเทศไทยและจีนในการขยายความร่วมมือเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารไทยและอาหารจีนซึ่งเป็นอาหารที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติภายใต้แนวทางอาหารไทย อาหารจีน อาหารโลกโดยเฉพาะเมืองแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้งเป็น 1 ใน 6 เมืองแห่งอาหารของจีนเมื่อผสมผสานศักยภาพของไทยในฐานะครัวไทยครัวโลกจะเพิ่มโอกาสของทั้ง 2 ฝ่าย

“จีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยเช่นเดียวกับด้านการลงทุนและการท่องเที่ยวด้วยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเสมือนกากี่นั๊ง ความร่วมมือระหว่างไทยกับเมืองแต้จิ๋วในครั้งนี้จะเป็นอีกเสาหลักของการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างกันโดยกระทรวงเกษตรฯ. กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนยินดีสนับสนุนส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอาหารไทย-จีนแต้จิ๋วอย่างเต็มที่”.

นราธิวาส-ผบ.ฉก.นราธิวาส ส่งมอบบ้านตามโครงการ 'หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ซ่อมสร้าง ปันสุข' เพื่อพัฒนา ยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมสร้างขวัญ และกำลังใจ เพิ่มพูนความสุขให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ บ้านเลขที่ 56 หมู่ 7 ตำบลบาโงสะโต อำเภอระเเงะ จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ส่งมอบบ้าน ตามโครงการ 'หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ซ่อมสร้าง ปันสุข' ให้กับ

นางสาวรอฮานี อูมา ซึ่งเป็นประชาชนที่มีฐานะยากจนให้ความร่วมมือกับส่วนราชการ และหน่วยเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เพื่อการพัฒนา ยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมสร้างขวัญ และกำลังใจ เพิ่มพูนความสุขให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยมี พันเอก ทวีรัตน์ เบญจาทิกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 45 นายอำเภอระแงะ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบาโงสะโต กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อิหม่ามประจำตำบล หัวหน้าส่วนราชการ และพี่น้องประชาชน เข้าร่วมในพิธี

ทั้งนี้ พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว กล่าวว่า สำหรับ โครงการ 'หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสซ่อมสร้าง ปันสุข' เกิดขึ้นโดยสืบเนื่อง จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ส่งผลกระทบในด้านความปลอดภัย และจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้พี่น้องประชาชนได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ในการประกอบอาชีพ ทำให้ขาดแคลนรายได้ หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส จึงกำหนดครอบครัวเป้าหมายที่มีความยากจน หรือเป็นพี่น้องประชาชนครอบครัว ไทยพุทธ และไทยมุสลิมในพื้นที่

ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในพื้นที่ มีฐานะยากจนและมีจิตสาธารณะ ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบ จำนวน 10 อำเภอ ของจังหวัดนราธิวาส โดยได้ดำเนินโครงการการซ่อมสร้างบ้าน ประจำปีงบประมาณ 2566 จำนวน 12 หลัง

โดยจะดำเนินการซ่อม หรือสร้างบ้าน ให้กับประชาชนในพื้นที่ ที่มีฐานะยากจน ไม่มีที่อยู่อาศัย เพื่อช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และสร้างทัศนะคติที่ดี ต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ส่งผลกระทบในด้านความปลอดภัย และจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ ทำให้ได้รับความเดือดร้อนทั้งในการประกอบอาชีพ และการดำเนินชีวิตประจำวัน

ซึ่งพี่น้องประชาชนที่มีฐานะยากจนยิ่งลำบากมากขึ้น หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสเล็งเห็นถึงความสำคัญในการเข้าไปให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จึงได้จัด โครงการ 'หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสซ่อมสร้าง ปันสุข' เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีฐานะยากจนและเป็นบุคคลที่มีจิตสาธารณะ เพื่อให้มีกำลังใจในการทำความดีต่อไป

ผู้ช่วย ผบ.ตร. ห่วงใยประชาชน ขับเคลื่อนโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” ลดอุบัติเหตุและการเสียชีวิตบนท้องถนน มุ่งสร้างตำรวจจราจรมืออาชีพ มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล

วันนี้ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท. ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. (มค) ได้ให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนลดการเสียชีวิตและบาดเจ็บบนท้องถนน สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชนและสังคม จึงได้จัดทำโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย”

โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รองผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผอ.ศจร.ตร.) ประชุมขับเคลื่อน เร่งรัดและติดตามประเมินผลความคืบหน้าโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย โดยมีผู้แทน บช.น., ภ.1-9 และ บช.ก. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบงานจราจรของ บก.น., ภ.จว., บก.ทล. และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายจราจรทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ ร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลโดยพร้อมเพรียงกัน

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า การดำเนินโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย มีวัตถุประสงค์เพื่อลดอัตรา    การเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้ยังเป็นการแก้ไขปัญหาภาพลักษณ์ และพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร เช่น การทุจริต การข่มขู่ บุคลิกท่าทาง ที่ไม่เหมาะสม มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานให้กับข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่งานจราจร และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนภาคีเครือข่ายและข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนสร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและหน่วยงานที่ปฏิบัติ โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนโครงการ

สุภาพบุรุษจราจร แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สุภาพบุรุษจราจรประเภทบุคคล โดยจะต้องปฏิบัติตามหลัก 5S คือ  SMlLE ยิ้มแย้มเป็นมิตร SMART บุคลิกภาพดี SALUTE สุภาพให้เกียรติ SERVICE MlND มีจิตอาสาบริการ และ STANDARD มีมาตรฐานสากล โดยจะต้องนำไปสู่จำนวนสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ลดน้อยลง สำหรับสุภาพบุรุษจราจรประเภทหน่วยงาน
จะต้องมีผลการปฏิบัติที่มีจำนวนสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ลดน้อยลง ตามเป้าหมาย คือ ผู้เสียชีวิตลดลงมากกว่า 5 % หรือ

ลดลงมากกว่า 10 คน ขึ้นไป จากค่าสถิติจากบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถเฉลี่ยปี 2560 – 2562 สำหรับ ภ.1-9 และจากค่าสถิติ อบถ. ปี 2564 สำหรับ บช.น. โดยประเภทบุคคลจะมีการคัดเลือกข้าราชการตำรวจที่เหมาะสมได้รับรางวัลจำนวน บก./ภ.จว. ละ 2 นาย (สัญญาบัตร 1 นาย และ ประทวน 1 นาย) รวม 188 นาย

ซึ่งผู้ได้รับรางวัลจะต้องมีบุคลิกลักษณะตามหลัก 5S ผ่านเกณฑ์ทดสอบความรู้ ผ่านผลการประเมินของประชาชนและผู้บังคับบัญชา มีภาพลักษณ์ วิสัยทัศน์และทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนในประเภทหน่วยงาน จะมีรางวัลในระดับ บก. 29 รางวัล ระดับ บช. 3 รางวัล รวมจำนวน 32 รางวัล โดยในห้วง ต.ค.65 - ปัจจุบันหน่วย บช.น., ภ.1 - 9 และ บก.ทล. ได้เร่งรัดดำเนินกิจกรรมโครงการ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามโครงการสุภาพบุรุษจราจรประชาชนสัญจรปลอดภัย ในพื้นที่ของหน่วย โดยเฉลี่ย กว่า 1,500 กิจกรรมโครงการต่อหน่วย ซึ่งได้รับความร่วมมือและการตอบรับ จากประชาชนและสังคมเป็นอย่างดีและเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ได้ร่วมประชุม เพื่อเร่งรัดติดตามความคืบหน้าและผลการปฏิบัติตามโครงการ ทั้งนี้ได้กำชับ ให้ผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบงานจราจรทุกหน่วย ประชุมชี้แจงสถานีตำรวจในสังกัด ให้ดำเนินการตามโครงการ สร้างความรู้ความเข้าใจ บทบาทของตำรวจตามหลัก 5S และแนวทางการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในพื้นที่ตามเป้าหมายของโครงการ พร้อมทั้งเร่งรัดดำเนินกิจกรรมตามโครงการให้บรรลุผลสำเร็จ ทั้ง 2 ประเภท หน่วยที่มีผลการดำเนินการน้อยหรือไม่ครบถ้วน ให้เร่งรัดดำเนินการก่อนเวลาสิ้นสุดโครงการ

พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และมุ่งแสวงหาความร่วมมือ จากภาคประชาชนและภาคีเครือข่าย และให้ผู้บังคับบัญชาให้คำแนะนำ กำชับและกำกับดูแลการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด  โดยต้องพร้อมรองรับการตรวจจากผู้บังคับบัญชาและการประเมินผล

พล.ต.ท. ประจวบฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวจะประสบผลสำเร็จ ประชาชนสามารถสัญจรอย่างปลอดภัย ป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนการเสียชีวิตและบาดเจ็บบนท้องถนน

ทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นมาตรฐานสากล ภายใต้ความร่วมมือของประชาชนและสังคม ดังนั้นสถานีตำรวจและข้าราชการตำรวจทุกนาย จักต้องดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องจริงจังให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนและสังคมได้รับประโยชน์สูงสุด

‘พลทหารหนุ่ม’ สุดเศร้า!! เต็มใจมาสมัครเป็นทหารรับใช้ชาติ แต่กลับโดนสาวบอกเลิก เพราะรอไม่ไหว ชาวเน็ตแห่ให้กำลังใจเพียบ!!

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘taweenamonpim’ หรือ ‘จ่าวี’ เผยแพร่เรื่องราวสุดเศร้าของพลทหารหนุ่มน้องใหม่ท่านหนึ่ง ขณะกำลังนั่งร้องไห้อยู่ โดยจ่าวีได้เดินเข้าไปสอบถาม จนได้ความว่า พลทหารท่านนี้ ได้สมัครเข้ามาเป็นทหารด้วยความสมัครใจ เมื่อถึงเวลาที่ทางค่ายทหารจะคืนโทรศัพท์มือถือให้แก่เหล่าพลทหารใหม่ เพื่อให้ใช้ติดต่อหาครอบครัว พลทหารใหม่ท่านนี้ ได้ใช้โทรศัพท์เข้าไปส่องโซเชียลเฟซบุ๊กของแฟนสาว เพราะตนมีรหัสเฟซบุ๊กของอีกฝ่าย ทำให้ค้นพบว่าแฟนสาวของตน ได้ลบตนออกจากเฟซบุ๊ก และได้ขึ้นสถานะกับหนุ่มคนใหม่เรียบร้อยแล้ว พลทหารจึงโทรศัพท์ไปพูดคุย จนได้ทราบว่า ฝ่ายหญิงขอเลิก เหตุเพราะรอตนไม่ไหว เนื่องจากตนต้องมาทำหน้าที่รับใช้ชาติเป็นเวลานานหลายเดือน

“เขาบอกกับผมว่า เขารอผมไม่ได้ เขาบอกว่าเขาไม่ได้รักผมตั้งแต่แรกแล้ว ตอนแรกเขาบอกว่า เขารอผมได้ ผมเลยตัดสินใจมาสมัครเป็นทหาร” พลทหารหนุ่ม กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

หลังจา่กที่คลิปดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไป ทำให้มีชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก ต่างเข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจ พร้อมอวยพรขอให้พลทหารหนุ่มได้พบเจอกับความรักครั้งใหม่ที่ดีในอนาคต

ปทุมธานี “24 พ.ค.วันป่าชุมชนแห่งชาติ” กรมป่าไม้ เผยความความสำเร็จ ตั้งป่าชุมชนแล้ว 11,985 แห่ง รวม 6.57 ล้านไร่

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 66  เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานพิธีเปิด งาน “วันป่าชุมชนแห่งชาติ” พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประธานเครือข่ายป่าชุมชน 68 จังหวัด เข้าร่วม

โดยมี นายบรรณรักษ์ เสริมทอง รองอธิบดีกรมป่าไม้กล่าวรายงานและวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ณ ห้องไดมอลด์ฮอลล์ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท จังหวัดปทุมธานี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยกรมป่าไม้ ได้กำหนดจัดงาน “วันป่าชุมชนแห่งชาติ” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 โดยมีกิจกรรมที่สำคัญประกอบด้วย วันที่ 23 พฤษภาคม เวลา 13.00 – 17.00 น. เป็นการจัดกิจกรรมการเดินรณรงค์กระตุ้นจิตสำนึก สร้างการรับรู้ “24 พฤษภาคม วันป่าชุมชนแห่งชาติ” บริเวณลานรอบศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต จังหวัดปทุมธานี และวันที่ 24 พฤษภาคม เป็นพิธีเปิดงาน “วันป่าชุมชนแห่งชาติ” ในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการ พระราชปณิธาน ด้านการสืบสาน รักษา ต่อยอด, นิทรรศการจากหน่วยงานภาคีสนับสนุนการพัฒนาป่าชุมชน, นิทรรศการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านป่าชุมชน ตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562, นิทรรศการผลผลิต ผลิตภัณฑ์จากป่าชุมชน ,คลินิกรับคำปรึกษา แนวทางปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ป่าชุมชน พ.ศ. 2562

พร้อมทั้งมีการมอบโล่สำหรับผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน, การมอบถ้วยรางวัลเครือข่ายป่าชุมชนต้นแบบ ประจำปี พ.ศ. 2566, การมอบโล่ให้แก่ภาคีเครือข่าย หน่วยงาน องค์กร ที่สนับสนุนการพัฒนาป่าชุมชน ประจำปี พ.ศ. 2566 และการมอบเกียรติบัตรให้กับหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนการจัดนิทรรศการเนื่องในงานวันป่าชุมชนแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2566รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบให้วันที่ 24 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันป่าชุมชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 เป็นกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนได้ร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ อย่างสมดุลและยั่งยืนในรูปแบบของป่าชุมชน

เพื่อให้ชุมชนสามารถจัดการป่าชุมชนและได้ประโยชน์จากป่าชุมชน อันจะส่งผลให้ชุมชนดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศให้มีความสมบูรณ์และยั่งยืน ซึ่งจากการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยกรมป่าไม้ ได้ดำเนินการบริหารจัดการป่าอย่างมีส่วนร่วมตามแนวทางป่าชุมชน มาตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบัน มีป่าชุมชนที่ได้รับการส่งเสริมให้จัดตั้งตามพ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562 รวมแล้วเป็นจำนวนถึง 11,985 แห่ง รวมเนื้อที่ประมาณ 6.57 ล้านไร่

ซึ่งเป้าหมายการดำเนินการต่อไปนั้น ภายในปี พ.ศ.2570 จะต้องจัดตั้งป่าชุมชนให้ได้จำนวน 15,000 แห่ง และชุมชนที่มีส่วนร่วม 18,000 หมู่บ้าน รวมเนื้อที่หมด 10 ล้านไร่ การจัดงานวันป่าชุมชนแห่งชาติ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ให้กับประชาชนทั่วไป หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้มีความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของป่าชุมชนและทรัพยากรป่าไม้ของชาติ

รวมถึงส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดการและใช้ประโยชน์ป่าชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน พร้อมกันนี้ ยังช่วยส่งเสริมให้สมาชิกเครือข่ายป่าชุมชนและประชาชนทั่วไป ได้มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการป่าชุมชนเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาป่าชุมชนเพื่อสร้างรายได้ อันเป็นการสร้างแรงจูงในการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการป่าชุมชน ซึ่งสอดคล้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562

‘เกลือ เป็นต่อ’ ระบายความรู้สึก ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ลั่น!! ไม่เชื่อว่าคนที่วิจารณ์สถาบันฯ จะหันมาปกป้องอย่างบริสุทธิ์ใจ

(24 พ.ค. 66) นายกิตติ เชี่ยววงศ์กุล หรือ ‘เกลือ เป็นต่อ’ นักเขียนบท และผู้กำกับละครชื่อดัง ได้โพสต์คลิปลงใน TikTok ระบายความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจ เกี่ยวกับความเคารพรัก ความภักดี และความรู้สึกที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เทิดทูนไว้อยู่เหนือสิ่งอื่นใด โดยมีใจความว่า…

“เอาคนที่ด่าในหลวง มาแก้กฎหมายปกป้องในหลวงงั้นเหรอ? คุณเชื่อก็ได้คุณมีสิทธิ์จะเชื่อ แต่ผมไม่เชื่อ ผมไม่เชื่อว่าคนที่โพสต์ Social ด่าในหลวง จะมาเขียนกฎหมายปกป้องในหลวง ก็แล้วแต่ เพราะอย่างไร สุดท้ายประเทศนี้ก็เป็นประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณก็คือ คุณอย่าหลอกตัวเอง ว่าเขาพยายามจะปกป้อง คุณดูประวัติ ส.ส. บางคนก็ได้ ผมไม่ได้ใส่ร้าย คุณไปดูเอาเอง ว่าสิ่งที่คุณทำเขาเรียกว่าหลับตาข้างเดียวอยู่หรือเปล่า คุณทำไปแล้วคุณโหวตไปแล้วด้วย ผมเป็นคนนึงที่ผมไม่ได้โหวต และผมก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร”

เกลือ เป็นต่อ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การปกป้องท่านด้วยการลดทอนอำนาจของท่าน จะเรียกว่า ‘เทิดทูน’ ได้อย่างไร ทำอย่างนี้แล้วท่านดีขึ้นอย่างไร ตนไม่ได้เป็นคนที่สุดโต่ง แบบที่ว่าจะวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องแยกให้ชัดเจนก่อน คือ คำว่า ‘วิจารณ์’ หรือ ‘ใส่ร้ายป้ายสี’ หรือ ‘อาฆาตมาดร้าย’ ต้องบอกตรงนี้เลยว่า หลายคนกำลังเข้าใจผิด เขาคิดว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่คือการวิจารณ์ แต่เปล่าเลย มันคือการใส่ร้ายป้ายสี และแสดงอาการอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนในฐานะพสกนิกรคนหนึ่งที่รักพระองค์ท่าน ตนไม่มีสิทธิ์ไปแจ้งความว่าเขาทำผิดมาตรา 112 เหรอ? แล้วตนทำผิดอะไร ในเมื่อตนเห็นคนทำผิดกฎหมายแล้วแจ้งความบอกตำรวจ เพราะตนเห็นว่าเขาเหล่านั้นทำผิดกฎหมาย หลักฐานก็มี หากไม่มีหลักฐานเขาก็รอดไป แต่ถ้ามีหลักฐานจริง เขาก็ผิด ก็ติดคุก

“ทำไมต้องลดทอนอำนาจของประชาชนที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้กับพระมหากษัตริย์ ผมไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย ถ้ามีการแก้ไขกฎหมายเกิดขึ้น แล้วส่งผลทำให้เสื่อมเกียรติของพระองค์ท่าน ผมจะเป็นคนหนึ่งที่บอกว่า ผมไม่เคยเห็นด้วยเลยกับเรื่องนี้ และผมก็ไม่เคยรู้สึกผิดที่จะพูดอย่างนี้ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง” เกลือ เป็นต่อ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top