Tuesday, 8 July 2025
NEWS FEED

“ม.หัวเฉียวฯ” พลิกโฉม!! เปิด 19 ศูนย์บริการด้านสุขภาพและด้านจีนศึกษาแบบครบวงจร 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางผู้บริหารของทางมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ หรือ ม.หัวเฉียวฯ ได้ประสานความร่วมมือกับทางศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจสุวรรณภูมิ จัดงานบริการด้านสุขภาพ พร้อมทั้ง ให้ความรู้ด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านจีนศึกษาแก่ประชาชน ภายใต้ชื่องาน "ม.หัวเฉียวฯ เป็นมากกว่ามหาวิทยาลัย

โดยเป็นการเปิดมุมมองใหม่ของมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่แค่จัดหลักสูตรการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ได้พลิกโฉมนำประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ความเข้มแข็งทางวิชาการผนวกกับอุดมการณ์ปณิธานรับใช้สังคม จัดตั้งเป็น ศูนย์บริการด้านสุขภาพและด้านจีนศึกษาครบวงจรออกให้บริการ
ในครั้งนี้ 

โดย ได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์  อธิการบดี มฉก. พร้อมด้วย คุณวทัญญู วิสุทธิโกศล รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) คุณปรีดา เทิดทินวิทิต ผู้จัดการ ศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจ สุวรรณภูมิ ตลอดจนรองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานร่วมพิธีเปิดงาน 

เมื่อวันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2566 ณ บริเวณลาน ชั้น 1 ศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจสุวรรณภูมิ โดย รศ.ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์  อธิการบดี มฉก. กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยได้รับความรู้ในการดูแลรักษาสุขภาพแบบ 4P คือ Health
Predictive, Health Promotion, Health Prevention และ Personalized Health Care เป็นการผสานระหว่างศาสตร์การแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนปัจจุบัน 

ซึ่งจัดอยู่ในโซนสุขภาพ ประกอบด้วย คลินิกกายภาพบำบัดหน่วยฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง คลินิกการแพทย์แผนจีน ศูนย์ดูแลสุขภาพบุรุษและสตรีด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน HCU Wellness Center ศูนย์สุขภาพ ศูนย์นวัตกรรมเครื่องสำอางและสมุนไพร ศูนย์ยา มฉก. คลินิกเทคนิคการแพทย์ หัวเฉียวสหคลินิก และเสริมทักษะเพิ่มพูนความรู้ในโซนภาษาและบริการ ได้แก่ สถาบันขงจื่อการแพทย์แผนจีน สถาบันภาษา ศูนย์แต้จิ๋ววิทยา ศูนย์ข้อมูลการลงทุนธุรกิจไทย-จีน ศูนย์ข้อมูลสมุนไพรไทย-จีน สถาบันวิทยาการผู้นำไทย-จีน ศูนย์บริการวิชาการ ศูนย์ให้คำแนะนำกฎหมายสำหรับประชาชน และศูนย์ปฏิบัติการโรงแรมศรีวารี พาวิลเลียน รวมทั้งสิ้น 19 หน่วย 

รับบริการฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตลอดการจัดงาน พร้อมลุ้นรับของรางวัล ซึ่งงานจัดขึ้นระหว่างวันศุกร์ที่ 26 - วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.00-20.00 น. มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เรามีความตั้งใจช่วยดูแลด้านสุขภาพและให้ความรู้แก่ทุกท่านด้วยทีมอาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญยินดีให้คำปรึกษา คำแนะนำ ตอบคำถาม และช่วยเหลือท่านสอบถามรายละเอียดได้ที่ แผนกสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ หมายเลขโทรศัพท์ 
02-713-8100 ต่อ 1138 และ 1140 -41 หรือแอดไลน์พูดคุยที่ @commuhcu

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

เรื่องเล่าจาก ‘เงินถุงแดง’ ย้อนไทม์ไลน์วิวัฒนาการของ ‘ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ ผ่านเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย

(27 พ.ค. 66) จากประเด็น ‘ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ ที่ได้เกิดขึ้นมาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลัง ‘กลุ่มราษฎร’ ได้ประกาศจุดยืนในการเปลี่ยนแปลงประเทศ จึงทำให้ทางรายการข่าววันศุกร์ ข่าวช่องวัน ได้ออกมานำเสนอข่าว ‘วิวัฒนาการของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร

โดยได้สรปุอย่างคราวๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ไล่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 10 โดยระบุว่า…

วิวัฒนาการของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เริ่มต้นจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาล 1 ซึ่งนับเป็นยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ทรัพย์ราชสำนัก กับรัฐบาลที่ทับซ้อนกัน พระมหากษัตริย์ทรงใช้จ่ายได้อย่างอิสระ เนื่องจากในยุคนั้น ยังมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้น รัฐบาลจึงหมายถึง ตัวขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นทั้งประมุขและผู้นำฝ่ายบริหาร ยังไม่มีการจัดการเกี่ยวกับเรื่องของทรัพย์สินของรัฐฯ เพราะในยุคสมัยนั้น ยังไม่มีการจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม ในการรับผิดชอบ ดูแลเรื่องต่างๆ ในประเทศ

จนกระทั่ง ได้มีวิวัฒนาการก่อกำเนิดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งทรงมีปรีชาสามารถในเรื่องเกี่ยวกับการค้าขาย ทรงออกทะเลไปทำการเจรจาทางการค้ากับต่างประเทศ เมื่อได้เงินกลับมาจากการค้า จึงได้นำมาใส่ไว้ใน ‘ถุงแดง’ พระองค์ได้ทำการเก็บสะสมเงินเหล่านี้ไว้ เมื่อมีมากขึ้นจึงต้องสร้างห้อง ซึ่งติดกับพระแทน หรือ พระที่ เพื่อเก็บเงินถุงแดงเอาไว้ จนเรียกกันติดปากว่า ‘เงินข้างที่’ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคำว่า ‘พระคลังข้างที่’ นั่นเอง และเงินส่วนนี้ นับเป็นเงินส่วนพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ออกเรือไปทำการค้าขาย ยังไม่นับว่าเป็นเงินของประเทศไทย หรือ ‘สยาม’ ใน ณ ขณะนั้น

จนเมื่อถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เกิดเหตุการณ์ ‘รัตนโกสินทร์ศก’ หรือที่เรียกกันว่า ‘ร.ศ.112’ ที่เกิดการปะทะกันระหว่างประเทศไทยและจักรวรรดินิยมของโลกในขณะนั้น อย่างประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส โดยเฉพาะฝรั่งเศส ที่มีการปะทะกันอย่างรุนแรง จนทำให้รัชกาลที่ 5 ต้องนำเงินถุงแดงมาจ่ายให้กับรัฐบาลฝรั่งเศส เพื่อเจรจาต่อรองให้กองทัพของฝรั่งเศส ถอดทัพออกจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา และยังต้องยอมแลกแผ่นดินบางส่วนของประเทศให้กับฝรั่งเศส เพื่อรักษาแผ่นดินผืนใหญ่ของชาติเอาไว้

หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้รัชกาลที่ 5 ท่านทรงเล็งเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการการปกครองต่างๆ ในประเทศมากขึ้น โดยได้เปลี่ยนจากรูปแบบเวียง วัง คลัง นา เป็นการจัดตั้งกระทรวงต่างๆ ขึ้นมาใหม่ และได้มีการตั้ง ‘กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ’ เพื่อจัดเก็บภาษี เป็นเงินแผ่นดิน นับเป็นการแยกทรัพย์สินของแผ่นดินสยาม และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ออกจากกันเป็นครั้งแรก ที่ได้มีการบันทึกไว้

นอกจากนี้ ยังได้ตั้ง ‘กรมพระคลังข้างที่’ ขึ้น เพื่อคอยดูแลจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ และยังเริ่มทำการลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย ซึ่งทำให้รายได้หลักของกรมพระคลังข้างที่นั้น มาจากการปล่อยให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ และการก่อตั้งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SCG’ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเงินจากกรมพระคลังข้างที่ ถือการลงทุนมหาศาลจนกลายเป็นหน่วยงานที่มีการครอบครองที่ดินมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังได้งบประมาณจากการจัดเก็บภาษี ปีละ 15% จากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เข้ากรมพระคลังข้างที่

ต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้กรมพระคลังข้างที่ ที่เคยมีบทบาทอย่างมากในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ถูกลดบทบาทลงมาจนกลายเป็น ‘สำนักงานพระคลังข้างที่’ ซึ่งขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังเป็นรัชสมัยที่สำคัญที่ทำให้ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์นั้นเกิดความสั่นคลอน โดยคณะ ‘อภิวัฒน์สยาม 2475’

ทำให้ในอีก 4 ปีต่อมา ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ได้เกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจกันอย่างดุเดือด ระหว่างฝ่ายอํามาตย์ และคณะราษฎร ว่าใครจะเป็นผู้ได้ทรัพย์สินจากกรมพระคลังข้างที่ ใครจะได้ทรัพย์สินที่เป็นของพระมหากษัตริย์ และอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด คือการออกฎกหมาย พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สิน ฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 และได้จัดตั้ง ‘สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ ซึ่งเป็นสำนักงานภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง โดยได้ทำการแยกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

1.) ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ ทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ 
2.) ทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือ ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ในฐานะบุคคลคนหนึ่ง
3.) ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสํานักงานพระราชวัง

จนกระทั่ง ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้มีการปรับเปลี่ยน และแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สิน ฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491 ในภายหลังจากที่กลุ่มคณะราษฎรนั้นได้เริ่มอ่อนกำลังลง จนกระทั่งสิ้นสุดอำนาจลง หลังจากการจากไปของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ถูกยกระดับ จากหน่วยงานราชการ ขึ้นเป็น ‘นิติบุคคล’ มีอิสระจากรัฐบาล โดยมีประธานกรรมการ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ‘ไม่ต้องเสียภาษี’ แต่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ‘ต้องเสียภาษี’ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ขึ้นตรงกับสํานักงานพระราชวัง

ทำให้นับจากนั้นเป็นต้นมา จนถึงในรัชสมัยปัจจุบันของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณ์อดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ได้มีการเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 โดยไม่มีการแบ่งฝ่ายในการจัดการอีกต่อไป ได้มีการรวมเอาทรัพย์สินทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน และได้ให้มีการเสียภาษี

ทั้งหมดนี้ คือ วิวัฒนาการของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ใครจะมีความเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยอย่างไร หรือจะตีความอย่างไร กับสิ่งที่ได้นำเสนอมานั้น เป็นเรื่องปัจเจกบุคคลที่ทุกท่านต้องใช้วิจารณญาณในการศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองกันต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งซับน้ำตา..มอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิต และเงินปลอบขวัญแก่ผู้บาดเจ็บจากเหตุพายุถล่มอาคารโดมโรงเรียนวัดเนินปอ จังหวัดพิจิตร

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์พายุถล่มอาคารโดมโรงเรียนวัดเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายราย เมื่อวันที่  22 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยภายหลังเกิดเหตุ อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จุดจังหวัดพิจิตร ได้ลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล และเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตออกจากจุดเกิดเหตุ

วันนี้ (วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ นายนิพนธ์ โชคภิรมย์วงศา กรรมการปฏิคม  และนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมเจ้าหน้าที่สาธารณภัยลงพื้นที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์และให้ความช่วยเหลือสาธารณภัย วาตภัย อำเภอสามง่าม เพื่อเข้าพบพร้อมให้กำลังใจ และมอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวน 7 รายๆ ละ 20,000 บาท  และมอบเงินปลอบขวัญแก่ผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวน 5 รายๆ ละ 5,000 บาท รวมงบประมาณการช่วยเหลือทั้งสิ้น  165,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยมี นายสุภโชค ศิลปคุณ นายอำเภอสามง่าม ร่วมในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิพิจิตรสามัคคีการกุศลสงเคราะห์ จังหวัดพิจิตร เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ บริเวณเทศบาลตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร   

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจ และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

กาฬสินธุ์พร้อมจัดใหญ่เทศกาลวิสาขปุณณมีบูชา ชมทะเลธุงหนึ่งเดียวในโลก

จังหวัดกาฬสินธุ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมใจจัดใหญ่งานเทศกาล “วิสาขปุณณมีบูชา” โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู ชูวัฒนธรรมอีสาน ชมทะเลธุง และอุโมงค์ธุงแห่งแรกหนึ่งเดียวในโลก  3-7 มิถุนายน 2566 นี้ พร้อมเชิญชวนพุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวมาสัมผัสกับกิจกรรมที่รังสรรค์ด้วยความตั้งใจ ด้านผู้ว่าฯกาฬสินธุ์รับประกัน อิ่มตา อิ่มใจ อิ่มบุญ และอิ่มท้องแน่นอน
ที่โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู  ต.หนองแปน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์  นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายก อบจ.กาฬสินธุ์ นายขัตติยา ชัยมณี วัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ นายสมบัติ ชัยรัตน์ ประชาสัมพันธ์ จ.กาฬสินธุ์  พ.ต.ท.นครินทร์ ศรีอัครวิเนต

รอง ผกก.สภ.กมลาไสย และนายเอนก บรรณสาร นายกเทศมนตรีตำบลหนองแปน พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวการจัดงานประเพณีเทศกาล "วิสาขปุณณมีปูชา" โดยมีส่วนราชการ ผู้นำชุมชน และประชาชนเข้าร่วม

นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า การจัดงานเทศกาล “วิสาขปุณณมีบูชา” กำหนดขึ้นระหว่างวันที่ 3-7 มิถุนายน 2566 ณ โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู ต.หนองแปน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดยจัดให้มีพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ท่ามกลางทะเลธุงที่สวยงาม หนึ่งเดียวในโลก ร่วมพิธีอัญเชิญน้ำสรงพระราชทานสรงน้ำพระธาตุยาคู การแสดงแสงสีเสียง ชุดฮอยเสมาพิมพาพิลาป ตื่นตากับการแสดงของหมอลำกาฬสินธุ์เฟสติวัล โดยจะรวบรวมศิลปินหมอลำชื่อดังจำนวนมากมาเปิดการแสดง นำโดยวีระพงษ์ วงศ์ศิลป์ ศิลปินภูไท  การแสดงโปงลางสังคีตอีสานจากโรงเรียนร่องคำ และการประกวดสาวงามภูษิตาฟ้าหยาด พร้อมจับจ่ายซื้อของในตลาดโบราณ เฮือนอีสาน

นายศุภศิษย์ กล่าวอีกว่า การจัดงานดังกล่าวยังเป็นไปตามหลักการทำงานของ จ.กาฬสินธุ์เป็นจังหวัด 3 รวย รวยวัฒนธรรม รวยน้ำใจ และรวยสุขภาพ  ซึ่งวัฒนธรรมด้านศาสนา มีความโดดเด่นมาก มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ในงานเทศกาลต่างๆ จะได้เห็นทะเลธุงที่สวยงาม งานปีนี้จะมีจุดเช็คอินเพิ่มขึ้น มีอุโมงค์ธุง นำมาผสมผสานวัฒนธรรม ความหลากหลายของแต่ละอำเภอ 

โดยการผลักดัน "Soft PoWer” อารยธรรมทวารวดี จ.กาฬสินธุ์ สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างคุณค่า และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทำดี ทำงาน และทำเงิน สืบสานภูมิปัญญาพื้นถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และสร้างความร่วมมือส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระหว่าง จ.กาฬสินธุ์และจังหวัดใกล้เคียง ได้ร่วมอนุรักษ์ไว้เป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนประชาสัมพันธ์พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวทั่วโลก ได้มาสัมผัสกับกิจกรรมที่ จ.กาฬสินธุ์ได้รังสรรค์ด้วยความตั้งใจ  ท่านจะได้อิ่มตา อิ่มใจ อิ่มบุญ และอิ่มท้อง ในงานเทศกาล “วิสาขปุณณมีบูชา” ครั้งนี้

รมต.ดีอีเอส แต่งตั้ง ผบ.ตร.เป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

รมต.ดีอีเอส แต่งตั้ง ผบ.ตร.เป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ดึงภาครัฐ และหน่วยงานส่วนเกี่ยวข้องบูรณการการ ทำงาน เดินหน้าปราบคดีออนไลน์ สร้างภูมิคุ้มกันวัคซีนไซเบอร์ให้ประชาชน หลังพอใจผลงาน สถิติคดีเริ่มลดลงต่อเนื่อง 

วันนี้ (27 พ.ค.66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ในฐานะประธานกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ลงนามคำสั่งคณะกรรมการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่ 3/2566 ลง 17 พ.ค.66 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยแต่งตั้ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.เป็นประธานอนุกรรมการ มีปลัดกระทรวงดีอีเอส และ พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร เป็นที่ปรึกษา มีส่วนราชการเกี่ยวข้องเป็นอนุกรรมการ รวมทั้งผู้แทนสมาคมธนาคารเข้าร่วมในคณะทำงาน มีอำนาจหน้าที่สำคัญอาทิ เช่น หารือร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้องในการปฏิบัติตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566  การเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล การแจ้งข้อมูลหลักฐาน การกำหนดเหตุอันควรสงสัย หรือการปฏิบัติอื่นใดตามกฎหมาย รวมทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันให้หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน นำไปเผยแพร่ โดยจัดการประชุมร่วมกันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งมิติของการป้องกัน การปราบปรามและการประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบการบูรณาการร่วมกัน

ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตามนโยบายรัฐบาลมาต่อเนื่อง ทั้งมิติการปราบปราม ที่มีการจับกุมเครือข่ายผู้กระทำผิดจำนวนมาก รายล่าสุด จับกุมแก๊งมิจฉาชีพที่อ้างตัวเป็นธนาคาร หน่วยงานต่างๆ ส่ง SMS ลิงก์ดูดเงิน พร้อมของกลางรถโมบายเคลื่อนที่ อุปกรณ์ส่งสัญญาณต่างๆ และในห้วงนี้ (15-31 พ.ค.66) มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ บัญชีม้า ซิมม้า จับกุมกว่า 100 คดี

ด้านการป้องกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ดำเนินโครงการวัคซีนไซเบอร์ สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน ร่วมกับภารรัฐ เอกชน และส่วนต่างๆ ผลิตสื่อให้ความรู้ทางออนไลน์ ส่งการเตือนภัยรูปแบบต่างๆ ให้ประชาชนมาต่อเนื่อง และผลิตครูไซเบอร์ ทั้ง ครู ก (ตำรวจ) 116 คน และ ครู ข (ตำรวจร่วมกับประชาชน) 8,132 คน ออกไปเผยแพร่ให้ความรู้กับประชาชนในสถานศึกษา และชุมชน 
และเป็นผู้ร่วมผลักดัน พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ออกมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้ง่ายขึ้น ในการปราบปรามบัญชีม้า ซิมม้า  การอายัดบัญชีโดยทันทีของธนาคาร ทำให้ประชาชนเมื่อถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงินจากบัญชี  สามารถโทรศัพท์เข้าสายด่วนของธนาคาร เพื่อให้ธนาคารระงับธุรกรรมไว้ชั่วคราว  แล้วนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ ให้ธนาคารอื่นและผู้ประกอบธุรกิจผู้รับโอนทุกยอดทราบและระงับการทำธุรกรรมไว้ทันที จากนั้นให้ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อมีคำสั่งเป็นหนังสือให้ระงับการทำธุรกรรมภายใน  7 วัน นับแต่วันที่มีการแจ้งความร้องทุกข์”

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “ ผลการมุ่งมั่นทำงานของ ผบ.ตร. พร้อมข้าราชการตำรวจในสังกัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการทุกมิติ ทั้งการปราบปราม การป้องกัน และการผลักดันกฎหมาย ทำให้ปัจจุบันสถิติคดีออนไลน์ลดลงจากเดิมเฉลี่ยรับแจ้งวันละ 790 เรื่อง ลดเหลือรับแจ้งวันละ 673 เรื่องต่อวัน สามารถอายัดบัญชีได้ทันทีจากเดิม 87 ล้านบาท เป็น 92 ล้านบาท แม้ว่ากฎหมายจะเพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่เดือน 

อย่างไรก็ตาม คำสั่งแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่แต่งตั้ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เป็นประธานอนุกรรมการ จะทำให้การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะมิติการบูรณาการทำงานร่วมกัน ที่จะมีการขับเคลื่อนประชุมร่วมกันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เชื่อว่าจะช่วยทำให้คดีอาชญากรรมออนไลน์ลดลงต่อเนื่อง ประชาชนถูกหลอกหลวงน้อยลง 

ผบ.ตร.ฝากเตือนประชาชนที่ยังหลงผิด เข้าร่วมกับมิจฉาชีพในการหลอกหลวง ขออย่าได้เห็นแก่รายได้ที่นำมาเสนอ หากถูกจับกุม ดำเนินคดี มีโทษสูง เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ รวมทั้งคนที่เปิดบัญชีม้า ซิมม้าต่างๆ ด้วย 

ส่วนพี่น้องประชาชนทั่วไปอย่าไปหลงเชื่อ อย่าไปรีบตัดสินใจ หากได้รับโทรศัพท์ SMS และอย่าไปโอนอะไรง่ายๆ หากสงสัยให้ติดต่อธนาคาร หน่วยงานราชการ หรือแจ้งหรือปรึกษาตำรวจได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์หมายเลข สายด่วน 1441 หรือ 081-8663000 ตลอด 24 ชม.

‘แอมมี่ บอตทอมบลูส์’ ทวิตแรง “ไอติมรสส้ม เหมือนอมแมลงสาบ” พร้อมติดแฮชแท็กเลือกตั้ง 66 ก่อนลบทิ้ง แต่มีมือดีแคปทัน!!

(27 พ.ค. 66) นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ ‘แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์’ นักร้องชื่อดังและยังเคยเป็นแกนนำในการออกมาเรียกร้อง พร้อมแสดงจุดยืนทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตย แต่ล่าสุดมีมือดีแคปภาพข้อความเด็ดผ่านทวิตเตอร์ของเจ้าตัว ที่ได้ทวิตข้อความสุดแซ่บแอบฟาดในใจความที่ว่า “ไอติมรสส้ม เหมือนอมแมลงสาบ” จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกชาวเน็ตบนโลกออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก

โดยเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา นักร้องนักดนตรีชื่อดังอย่าง แอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์ ได้ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวไว้ว่า “ไอติมรสส้ม ทำไมทานแล้วขม? เหมือนอม ‘แมลงสาบ’” พร้อมติดแฮชแท็กเลือกตั้ง 66 (หัวใจสีส้ม) และจากข้อความในข้างต้นนี้ ทำเอาเหล่าบรรดาชาวเน็ตต่างตั้งคำถามว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘พรรคก้าวไกล’ หรือไม่ เนื่องจากสัญลักษณ์ประจำพรรคคือ ‘สีส้ม’ หรืออีกความหมายหนึ่งคือ ‘ส้ม’ นั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตาม ด้านเจ้าก็ได้มีการลบทวิตข้อความดังกล่าวไปแล้ว เพราะมีแฟนคลับของพรรคก้าวไกล ได้เข้าไปเมนชันในโพสต์ดังกล่าวจำนวนมาก จนต่อมาเจ้าตัวต้องลบทิ้งไปนั่นเอง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 พ.ค. มีผู้สามารถบันทึกภาพไว้ได้ทัน และนำมาโพสต์ใหม่โดยระบุว่า “พนักงานกะดึกไม่ทำให้ผิดหวัง เก็บดิจิทัลฟุตบาทครบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอมแมลงสาบ หรือใครที่หางโผล่ อยากบอกว่าลบไม่ได้ช่วยให้ลืม เพราะแคปไว้แล้ว” จึงทำให้ชาวเน็ตต่างเข้ามาคอมเมนต์ในโพสต์ดังกล่าว เช่น “จริงปะเนี่ย แอมมี่เป็นไร ใครรู้บอกที”, “อดีตลบได้แต่แคปทัน”

รวบ "ป้าทองยุพิน" หลอกเหยื่อร่วมลงทุนโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ก่อนเชิดหนีกว่า 6 ปี จนมุมสืบนครบาลที่เมืองนนท์จนได้

วันที่ 27 พฤษภาคม 66 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. แถลงผลการปฏิบัติหน้าที่ นำทีมโดย พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ,พ.ต.ท.ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ ,พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี รอง ผกก.ฯ พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.ฯ พร้อมกำลังร่วมจับกุมตัว นางอระอินทร์ หรือยุพิน อายุ  55 ปี  อยู่ที่บ้านเลขที่ 10 หมู่ 2 ตำบลหนองบัวใต้ อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ตามหมายจับศาลจังหวัดตาก ที่ จ.9/2560 ลงวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2560 โดยกล่าวหา “ฉ้อโกง” จับกุมตัวได้ที่หน้าอาคาร T2 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี  

ชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การปฏิเสธโดยอ้างว่า มิได้มีเจตนาก่อเหตุ ที่ไม่สามารถนำสลากกินแบ่งรัฐบาลมาส่งมอบให้กับกลุ่มผู้เสียหายได้ตามกำหนด เนื่องจากวันที่ไปรับสลากกินแบ่งรัฐบาล ตนถูกคนร้ายทำร้ายและชิงเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลไป ทำให้ไม่สามารถส่งมอบให้กลุ่มผู้เสียหายได้ตามสัญญา ส่วนสาเหตุที่ตนหลบหนีหายออกจากพื้นที่จังหวัดตาก ไปกว่า 6 ปีเนื่องจากเกรงว่าจะถูกทำร้ายจากกลุ่มคนที่เคยติดตาม ข่มขู่ตน ทั้งนี้ คนเคยคิดที่จะกลับไปมอบตัว แต่เนื่องจากเกรงอันตรายจึงหลบหนีมาหางานรับจ้างทำในพื้นที่กรุงเทพฯ และนนทบุรี ตำรวจจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองตาก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  
            
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนว่าในสังคมปัจจุบัน มิจฉาชีพ มีเล่เหลี่ยมกลโกงมากมายหลายรูปแบบ ขอให้ประชาชนได้โปรดใช้สติในการใช้ชีวิตในสังคม อย่างหลงเชื่อกลโกง เนื่องจากมิจฉาชีพมักใช้ความโลภ ความเห็นแก่ผลกำไร มาเป็นจุดล่อใจให้ประชาชนหลงกล ควรมีสติวิเคราะห์ถึงพฤติกรรม กลโกง หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าบุคคลที่เข้ามาเสนอผลประโยชน์ เสนอขาย หรือชักชวนลงทุนในด้านต่างๆ นั้นจะเป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด มายังเพจ “สืบสวนนครบาล IDMB” ได้ตลอด 24 ชม.

“อลงกรณ์” ฝากรัฐบาลใหม่ สานต่อ 12 ก้าวใหม่ปฏิรูปภาคเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เขียนเฟสบุ๊ควันนี้(27พ.ค.)เรื่อง “ วิสัยทัศน์และภารกิจ( Vision & Mission) ก้าวใหม่ปฏิรูปภาคเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูงคืออนาคตที่ต้องรีบสร้างเป็นโอกาสในวิกฤติของไทย “โดยฝากรัฐบาลใหม่สานต่อไว้อย่างน่าสนใจว่า
ท่ามกลางวิกฤติโควิด19และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบกว้างไกลทำให้เศรษฐกิจประเทศต่างๆชะลอตัว ราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ยและอาหารสัตว์แพงขึ้น กระทบต่อราคาและระบบผลิตอาหารทั่วโลก เกิดภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

นับเป็นวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ที่ยาวนานมากว่า3ปีที่ยังไม่มีใครคาดเดาว่าจบลงเมื่อใด แต่ในวิกฤติมีโอกาสเสมอ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO)วิเคราะห์ว่าโลกกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารที่รุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศที่ขาดความมั่นคงทางอาหาร และ
นี่คือโอกาสของไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับต้นของโลกที่จะปฏิรูปตัวเองสร้างความเข้มแข้งและขีดความสามารถใหม่ของประเทศไทย

ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ. ผมจะเล่าเรื่อง “12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน
มิติใหม่ภาคเกษตรของไทย”เป็นแพลตฟอร์มการปฏิรูปสร้างจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างและระบบเพื่อตอบโจทย์โอกาสของวันนี้และอนาคตที่กำลังจะมาถึง เป็นการบริหารจากวิสัยทัศน์สู่การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายปฏิรูปภาคเกษตรด้วยนวัตกรรมการบริหารแบบบูรณาการทำงานเชิงรุกกับทุกภาคส่วนเป็นคานงัดสร้างจุดเปลี่ยนให้กับอนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน

ก้าวที่ 1>> ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม

เราจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(Agritech and Innovation Center)เรียกสั้นๆว่า ศูนย์AIC 77 จังหวัดเป็นฐานการพัฒนาเชิงพื้นที่(Area based Development)ของเทคโนโลยีในทุกจังหวัดและจัดตั้งศูนย์AICประเภทศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะด้าน(Center of Excellence:COE)อีก 23 ศูนย์ โดยศูนย์AICทำหน้าที่เป็นศูนย์การวิจัยและพัฒนา(R&D)และเป็นศูนย์วิจัยพัฒนาและเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกรผู้ประกอบการและถ่ายทอดนวัตกรรมเน้นเมดอินไทยแลนด์(Made In Thailand)เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของเราเองโดยคิกออฟพร้อมกันทุกศูนย์ทุกจังหวัดทั่วประเทศเมื่อ1มิถุนายน2563 วันนี้เรามีเทคโนโลยีเกษตรกว่า 800 นวัตกรรม
ที่ถ่ายทอดต่อยอดสู่แปลงนาแปลงสวนแปลงไร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า10,000รายแล้ว

ก้าวที่ 2>>ระบบบิ๊กดาต้าเกษตร

เราจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ(National Agriculture Big Data Center:NABC)ภายใต้แพลตฟอร์มดิจิตอลใหม่ๆตั้งอยู่ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)เริ่มดำเนินการตั้งแต่มีนาคม2563 ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีข้อมูล(Information Technology)คือเครื่องมือเอนกประสงค์ของทุกภารกิจและทุกหน่วยงานโดยกำลังเชื่อมต่อกับBig Dataของหน่วยงานรัฐ เอกชน สถาบันเกษตรกรและศูนย์AICทุกจังหวัดโดยจะให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ข้อมูลเกษตรในมิติต่างๆบนมือถือและคอมพิวเตอร์

ก้าวที่ 3>> ดิจิตอล ทรานสฟอร์เมชั่น(Digital Transformation)

เรากำลังปฏิรูป 22หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ.ให้เป็นกระทรวงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี(TechMinistry)ภายใต้โครงการGovTech อย่างคืบหน้า
ด้วยแพลตฟอร์มดิจิตอล ทรานสฟอร์เมชั่น(Digital Transformation)เพื่อ เปลี่ยนการบริหารและการบริการแบบอนาล็อคเป็นดิจิตอล เปลี่ยนการลงนามอนุมัติด้วยมือเป็นลายเซ็นดิจิตอล(Digital Signature) และเร่งรัดพัฒนาการโครงการNational Single Windowสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯเป็นการปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ใหม่ในการทำงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ก้าวที่ 4>>เกษตรอัจฉริยะ

เราขับเคลื่อนฟาร์มอัจฉริยะ(smart farming)ตามแผนปฏิบัติการเกษตรอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆของไทยเช่น ระบบสมาร์ทฟาร์ม ระบบเซนเซอร์ตรวจวัดดินน้ำอากาศและการอารักขาพืช การพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร การปรับระดับพื้นแปลงเกษตร(Land Leveling) ระบบเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์(Sead Technology) ระบบตรวจสอบย้อนกลับ(Traceability) ระบบชลประทานอัจฉริยะรวมทั้งการใช้โดรนการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและแพลตฟอร์มเกษตรดิจิตอล(Agrimap platform)โดยมีโครงการเกษตรแม่นยำ(Precision Agriculture)5ล้านไร่เป็นโครงการเรือธงโดยร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(AIC : Agritech and Innovation Center) รวมทั้งการส่งเสริมการตลาดแบบออนไลน์(Digital Marketing)โดยการสนับสนุนแพลตฟอร์มร้านค้าอีคอมเมิร์ซ และโครงการพัฒนาเกษตรกรเป็นนักการค้าออนไลน์ทุกจังหวัดเช่นโครงการLocal Hero เป็นต้น โดยมีทีมเกษตรอัจฉริยะ ทีมอีคอมเมิร์ซ(E-Commerce) ทีมBig DataและGovTech ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร4.0รับผิดชอบ

ก้าวที่ 5>>เกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง-ชนบท

เราริเริ่มโครงการใหม่ๆเช่นการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Sustainable Urban Agriculture Development )อย่างเป็นระบบมีโครงสร้างครอบคลุมทั่วประเทศเป็นครั้งแรกตอบโจทย์การขยายตัวของเมือง(Urbanization)ที่ขาดความมั่นคงทางอาหารและระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติ(ประชากรไทยในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี2562) ตลอดจนการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์โดยจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์PGSแห่งประเทศไทยได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และการขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์1.3ล้านไร่ การพัฒนาสวนยางยั่งยืนรวมทั้งการพัฒนาแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่บนฐานศาสตร์พระราชา4,009ตำบล และโครงการข้าวอินทรีย์1ล้านไร่ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล ฯลฯ.

นับเป็นการวางหมุดหมายใหม่ของระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่ประกอบด้วย เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน วนเกษตรและเกษตรธรรมชาติทั้งในเมืองและในชนบทครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ

ก้าวที่ 6>>เกษตรแห่งอนาคต อาหารแห่งอนาคต

เราขับเคลื่อนนโยบายอาหารแห่งอนาคต พืชแห่งอนาคต(Future Food Future Crop)เพื่อสร้างเกษตรทางเลือกใหม่แปรรูปเป็นอาหารคน อาหารสัตว์ เวชสำอางค์ เวชกรรม น้ำมันชีวภาพเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ใหม่ๆให้เกษตรกรของเราและเป็นสินค้าส่งออกตัวใหม่สร้างรายได้ให้ประเทศเป็นการตอบโจทย์เทรนด์ของโลกยุคNext Normalที่สนใจสุขภาพมากขึ้นหลังจากเกิดโควิดแพร่ระบาดไปทั่วโลก(Covid Pandemic)ได้แก่ การสนับสนุนโปรตีนทางเลือกจากแมลง(Edible Inseat base Protein)ตามนโยบายฮับแมลงโลก ปัจจุบันมีเกษตรกรกว่า 1 แสนรายทำฟาร์มแมลงเช่น ดักแด้ไหม ดักแด้อีรี่ จิ้งหรีด แมลงวันลาย(bsf) หนอนนกฯลฯ

สอดรับกับนโยบายขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO)ที่ประกาศว่าแมลงกินได้Edible Insectคืออนาคตใหม่ของโปรตีนโลกและทศวรรษแห่งโภชนาการ รวมไปถึงการส่งเสริมโปรตีนทางเลือกจากพืช(Plant base Protein)เช่น สาหร่าย ผำ เห็ด  แหนแดง ฯลฯมีบริษัทstartupใหม่ๆเกิดขึ้นหลายบริษัท 

ตลอดจนการเปลี่ยนวิสัยทัศน์และแนวทางใหม่โดยโฟกัสการผลิตและการตลาดใหม่แบบคลัสเตอร์เช่น คลัสเตอร์อาหารเจ(vegetarian)อาหารVeganและอาหารFleximiliam อาหารใหม่(Novel food) และคลัสเตอร์อาหารฮาลาลซึ่งมีลูกค้ากลุ่มประชากรมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมกว่า2พันล้านคน มูลค่าตลาดกว่า 30พันล้านบาท

ก้าวที่ 7>>โลจิสติกส์เกษตร เชื่อมไทย-เชื่อมโลก

เราได้วางโรดแม็ปเส้นทางโลจิสติกส์เกษตรเชื่อมไทยเชื่อมโลกในระบบการขนส่งหลายรูปแบบ(Multimodal Transportation)ทั้งทางรถทางรางทางน้ำและทางอากาศ(Low Cost Air Cargo)เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงตลาดทั่วโลกและตลาดเป้าหมายใหม่เช่นโครงการดูไบคอริดอร์-ไทยแลนด์ คอริดอร์ (Dubai Coridor- Thailand Corridor),เส้นทางรถไฟอีต้าอีลู่(BRI)เชื่อมไทย-ลาว-จีน-เอเซียใต้-เอเซียตะวันออก-เอเซียกลาง-ตะวันออกกลาง-รัสเซียและยุโรป และกำลังเปิดประตูใหม่จากอีสานสู่แปซิฟิกไปทวีปอเมริกาเหนืออเมริกาใต้และเปิดประตูตะวันตกประตูใต้สู่ทะเลอันดามัน-อ่าวเบงกอลและมหาสมุทรอินเดียสู่เอเซียใต้ อัฟริกา ตะวันออกกลางและยุโรป

ก้าวที่ 8>>เกษตรแปลงใหญ่ สตาร์ทอัพเกษตร
เรากำลังปรับเปลี่ยนเกษตรแปลงย่อยเป็นเกษตรแปลงใหญ่(Big Farm)ซึ่งขณะนี้ขยายเพิ่มเป็น
กว่า9,800แปลงโดยมีการสนับสนุนเครื่องจักรกลเกษตรและระบบเกษตรอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปีนี้จะเริ่มโปรแกรมอัพเกรดวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ เกษครแปลงใหญ่และสถาบันเกษตรเป็นสตาร์ทอัพเกษตร(startupเกษตร)และเอสเอ็มอี.เกษตร(SME เกษตร)

ก้าวที่ 9>> ยกระดับเกษตรกรก้าวใหม่
เราพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่เป็นyoung smart farmerได้กว่า 20,000คนและส่งเสริมพัฒนาศูนย์ศพก.เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ระดับอำเภอโดยสมาร์ทฟาร์มเมอร์(smart farmer) ปราชญ์เกษตรและอาสาสมัครเกษตร(อกษ.)เป็นทีมงานแนวหน้าทุกหมู่บ้านชุมชนพร้อมกับยกระดับเกษตรกรที่มีประสบการณ์สู่ระบบคุณวุฒิวิชาชีพโดยร่วมมือกับภาคเอกชน ศูนย์AIC สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพซึ่งเป็นองค์การมหาชนในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอว.และกระทรวงพาณิชย์

ก้าวที่ 10>> เกษตรสร้างสรรค์สู่The Brand Project 

เรากำลังนำระบบทรัพย์สินทางปัญญา(Intellectual property)มาใช้ในการเดินหน้าสู่เกษตรสร้างสรรค์เกษตรมูลค่าสูงด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างแบรนด์(Branding)ตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy)เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตเกษตร พืช ประมงและปศุสัตว์เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศภายใต้โครงการ เดอะ แบรนด์ โปรเจ็ค(The Brand Project)

ก้าวที่ 11>>การพัฒนาเชิงพื้นที่(Area base)ไม่มีเหลื่อมล้ำ
เราบริหารการพัฒนาเชิงพื้นที่(Area base)ควบคู่กับการบริหารการพัฒนาเชิงคลัสเตอร์เช่น โครงการ1กลุ่มจังหวัด1นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารทั้งหมด18กลุ่มจังหวัดครอบคลุม77จังหวัดเป็นศูนย์กลางการแปรรูปผลผลิตเกษตรตามศักยภาพของแต่ละกลุ่มจังหวัดเพื่อกระจายโอกาสการพัฒนาทุกภาคทุกจังหวัดไม่ให้เจริญแบบกระจุกตัวเหมือนที่ผ่านมาซึ่งก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาโดยปลายปี2564รัฐมนตรีเกษตรฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนได้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการเกษตรทุกอำเภอทุกจังหวัดและปีนี้กำลังจัดตั้งคณะทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล7,435ตำบลให้แล้วเสร็จเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนระดับพื้นที่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

เรายังริเริ่มและเดินหน้าอีกหลายโครงการเช่นการจัดตั้งองค์กรชุมขนประมงท้องถิ่นเกือบ3,000 องค์กร
การดำเนินการโครงการธนาคารสีเขียว(Green Bank)ตอบโจทย์Climate Changeโดยเพิ่มต้นไม้ลดก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งโครงการพัฒนาระบบความเย็น(Cold Chain)ตลอดห่วงโซ่อุปทานครอบคลุมทั่วประเทศและระบบแช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลว(N2)แบบNitrogen Freezer เป็นต้น

ก้าวที่ 12 >>เปิดกว้างสร้างหุ้นส่วน(Partnership platform)
ความก้าวหน้าของงานแต่ละด้านเกิดจากการบริหารแบบเปิดกว้างสร้างหุ้นส่วน(Partnership platform)ในการทำงานกับทุกภาคีภาคส่วนเช่นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมต่างๆ สถาบันอาหาร มหาวิทยาลัยและวิทยาลัย สถาบันเกษตรกร
 สมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย เครือข่ายองค์กรเอกชน ทุกกระทรวงและทุกพรรคการเมืองไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลโดยยึดประโยชน์บ้านเมืองมาก่อนประโยชน์ทางการเมืองได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจนำมาซึ่งความร่วมมืออย่างจริงจังและจริงใจ ประการสำคัญคือการทำงานอย่างทุ่มเทของคนกระทรวงเกษตรฯ.

ศักยภาพใหม่สู่เกษตรมูลค่าสูงงานหนักและอุปสรรครออยู่ข้างหน้าอีกมาก แต่ด้วยก้าวใหม่ๆตามโรดแม็ปที่วางไว้ เราเดินเข้าใกล้เป้าหมายในทุกก้าวที่กล้าเดินเพื่อปรับรากฐานเดิมสร้างกลไกใหม่สำหรับยกระดับอัพเกรดภาคเกษตรกรรมของไทยสู่เกษตรมูลค่าสูงภายใต้5ยุทธศาสตร์ของ รัฐมนตรี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน

การปฏิรูปรากฐานใหม่ของภาคเกษตรกรรมด้วยความมุ่งมั่นเพื่อสร้างศักยภาพใหม่ให้กับเศรษฐกิจฐานรากและสร้างความพร้อมของประเทศในการเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆของวันนี้และวันหน้าเป็นอนาคตที่ต้องรีบสร้าง จึงขอฝากรัฐบาลใหม่สานต่อด้วยครับ

‘ติวเตอร์ภาษา’ ชี้!! ประเทศที่คนไทยควรกลัว ไม่ใช่ ‘อเมริกา’ แต่เป็น ‘จีน’ ที่กำลังบุกยึดพื้นที่ทำกิน แย่งงานคนไทยทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 66 ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘krudewtoeic’ หรือ ‘ครูดิว’ ซึ่งเป็นติวเตอร์สอนภาษาชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์คลิป อธิบายเรื่องที่คนไทยกลัวประเทศสหรัฐอเมริกา จะเข้ามาตั้งฐานทัพและแทรกแซงประเทศไทย ซึ่งตอนนี้เป็นกระแสในโลกโซเชียลอย่างมาก โดยระบุว่า…

ประเทศที่คนไทยกลัว มีอยู่ 2 ประเทศ คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน คนไทยกลัวว่า อเมริกาจะมาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องของอนาคต ที่อาจจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้

แต่สิ่งที่กำลังเกิดจริงในตอนนี้ คือ การที่ประเทศจีนได้ตั้งฐานทัพอยู่ทุกพื้นที่ในประเทศไทย จนเกิดการกระจายตัวของเหล่าคนจีน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตลอดจนถึงการที่คนจีนมาเปิดร้านอาหารแข่งกับคนไทย ในย่านการค้าที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับคนไทย อย่างย่านเยาวราช ห้วยขวาง และรัชดา รวมถึงในอีกหลายๆ พื้นที่ของประเทศ อีกทั้งยังอาจไม่ได้เสียภาษีให้กับประเทศไทยอีกด้วย

“คำถามคือ ระหว่างสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว คนไทยเราควรจะกลัวอะไรมากกว่ากัน คิดสิคะ คิด หากถามดิฉัน ดิฉันกลัวคนจีนค่ะ เพราะเขามาแล้ว แต่คนไทยยังเถียงกันเรื่องอเมริกากันอยู่เลย เพราะอะไร ดิฉันไม่เข้าใจ?” ครูดิว กล่าวทิ้งทาย

เหตุใดถนนสายบันเทิง อย่าง ‘RCA’ ถึงเป็นทางโค้ง? พร้อมเตรียมประมูลใหม่ เพื่อรองรับรถไฟฟ้าสายสีส้มในอนาคต

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้นำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของ ‘โค้ง RCA’ ที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยทราบมาเล่าให้ฟังกัน

เคยสงสัยกันหรือไม่? ว่าเพราะเหตุใด ‘ถนน RCA’ ถึงเป็นโค้งเชื่อมไปที่ทางรถไฟสายตะวันออก ที่สถานีรถไฟคลองตัน

แล้วทราบหรือไม่? ว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เคยมีโครงการรถไฟเลี่ยงกรุงเทพชั้นใน (บางซื่อ-คลองตัน) เพื่อรับและเชื่อมโยงรถไฟสายตะวันออก กับ เหนือ-ใต้ โดยไม่ผ่านสามเหลี่ยมจิตรลดา ซึ่งพื้นที่ RCA ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนั้น แต่ยิ่งกว่านั้น ถนนรัชดาภิเษก ช่วง ต่างระดับรัชวิภา-ศูนย์วัฒนธรรม และ ถนนศูนย์วัฒนธรรม ก็เป็นเขตพื้นที่ทางรถไฟ คลายข้อสงสัยกับหลายๆ คนว่าทำไม การรถไฟฯ ถึงมีที่ดินให้เช่าอยู่บนถนนรัชดา-RCA

แม้ตอนนี้อาจจะไม่ได้เห็นการพัฒนาทางรถไฟในเส้นทางนี้แล้ว แต่เส้นทางนี้ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่เพื่อการพัฒนา มาเป็นแหล่งรายได้ในการสนับสนุนการรถไฟฯ ในอนาคต ซึ่งที่ดินแปลง RCA นี้กำลังจะหมดสัญญา และจะถูกเปิดประมูลใหม่ ภายใต้การดูแลของ ‘SRTAsset’ (บริษัทบริหารสินทรัพย์ การรถไฟฯ) โดยจะมีการยกระดับการพัฒนาจากการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า สายสีส้ม ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งอยู่ต้นทาง RCA ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top