Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

ยอดขายของร้านหนังสือในจีน ยอดเติบโตก้าวกระโดดช่วงหยุดยาวตรุษจีนที่ผ่านมา เฉพาะที่เซี่ยงไฮ้ ทะลุ 8.5 ล้านหยวน ตอกย้ำ ‘ร้านหนังสือไม่มีวันตายในจีน’

ธุรกิจหนังสือและร้านหนังสือในจีน ยังคงเป็นธุรกิจที่สามารถทำเงินได้ ต่างจากประเทศอื่นๆ ที่โดยส่วนใหญ่ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์โดน Disrupt ด้วยสื่อและหนังสือแบบดิจิทัล

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะ?

เนื่องจากคนจีนเองถูกปลูกฝังให้รักการอ่านและคุ้นชินกับการอ่านหนังสือเป็นเล่มมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงการปรับตัวของร้านหนังสือ ที่ไม่ได้เป็นแค่ร้านหนังสือ แต่เป็นเหมือนสถานที่พักผ่อน พบปะ และสามารถท่องเที่ยวได้ด้วย เห็นได้จากคนจีน โดยเฉพาะคนที่มีลูก จะพาครอบครัวมาเที่ยวร้านหนังสือในช่วงวันหยุด

จากที่กล่าวมาข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจเลบว่า ทำไมช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน 12 ก.พ.64 ที่ผ่านมา ยอดขายหนังสือในร้านหนังสือจีน เฉพาะที่มหานครเซี่ยงไฮ้ ถึงทะลุ 8.5 ล้านหยวน หรือมากกว่า 2 เท่าของยอดขายหนังสือแบบออนไลน์

ยิ่งไปกว่านั้นยอดขายที่มากมาย ก็ยังเกิดขึ้นในช่วงที่ร้านหนังสือต่างๆ จำกัดจำนวนคนเข้าร้าน โดยลดลงกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนคนที่รับได้ เนื่องจากต้องป้องกัน COVID-19 แต่ก็ยังมีคนจีนหลั่งไหลมาซื้อหนังสืออ่านกัน

สำหรับหนังสือที่เป็นนิยมมากที่สุดในกลุ่มชาวเซี่ยงไฮ้ ได้แก่

- หนังสือสายสังคมวิทยา

- หนังสือเด็ก

- หนังสือแนววัฒนธรรม

- หนังสือนิยายวิทยาศาสตร์


ที่มา: อ้ายจงเล่าเรื่องจาก China Daily

https://www.facebook.com/348166825314887/posts/2160116784119873/

คลังเผย! กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน - พิเศษ ที่ลงทะเบียนเราชนะกลุ่มแรก รับเงินงวดแรกวันนี้ 4,000 บาท พร้อมรองวดต่อไป12 - 19 - 26 มี.ค. รวม 7,000 ส่วนกลุ่มสอง รอคัดกรองสิทธ์ิ 19 มี.ค. รอรับงวดแรก 6,000 บาท !

หลังจากที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ กลุ่มพิเศษเปิดให้ ลงทะเบียนร่วมโครงการเราชนะ โดยไม่ต้องลงทะเบียนผ่าน www.เราชนะ.com ตั้งแต่วันที่ - 21 ก.พ. กระทรวงการคลัง ได้แจ้งว่ามีผู้ผ่านการคัดกรองแล้วจำนวน 5 แสนคน

ดังนั้นในวันนี้ กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ กลุ่มพิเศษ ที่ลงทะเบียนในโครงการเราชนะตั้งแต่วันที่ 15 - 21 ก.พ. ซึ่งเป็นกลุ่มรอบแรก ที่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองแล้วจะรับเงินงวดที่ 1 จำนวน 4,000 บาทหลังจากนั้นทุกวันศุกร์ กระทรวงการคลัง โอนเงินเพิ่มอีก 1,000 บาท ในวันที่12 มีนาคม , วันที่19 มีนาคม และ วันที่ 26 มี.ค. รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,000 บาท

โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ผ่านผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะได้เลย สำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ลงทะเบียนเราชนะ ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. - 5 มี.ค. รับทราบผลการคัดกรองสิทธิ์ครั้งแรกในวันที่ 19 มี.ค. กลุ่มที่ 2 เมื่อผ่านการคัดกรองได้รับเงิน ครั้งแรกจำนวน 6,000 บาท หลังจากนั้นก็จะได้รับเงินในวันศุกร์ที่ 26 มี.ค. อีกจำนวน 1,000 บาท

หากย้อนกลับไปราว ๆ 2 ปีที่แล้ว ชื่อของ อี้ - แทนคุณ จิตต์อิสระ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขานุการคณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย และเคยเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร ของพรรคประชาธิปัตย์ เรียกว่าโด่งดังในหมู่คนรุ่นใหม่พอสมควร

เพียงแต่เป็นความโด่งดังในเชิง ‘ลบ’ ไปนิด หลังจากมีซีนเด็ดพิพาทระหว่างเขา กับ ‘เพนกวิน’ หรือ พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่น่าจะทำให้สังคมคนรุ่นใหม่บางกลุ่มมองเขาเป็นศัตรู

อย่างไรก็ตามในวันที่เขาได้มีโอกาสมานั่งคุยกับ THE STATES TIMES เขาบอกแบบเปิดใจว่า ไม่ได้กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับกันรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของชาติกลุ่มนี้มากกว่า

ว่าแต่ ชนวนเหตุ ของเหตุพิพาทคืออะไร?

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562 ตอนที่ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้ายื่นหนังสือพร้อมมอบพจนานุกรมภาษาไทยให้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการสภาผู้แทนราษฎร และ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ คณะทำงาน พร้อมระบุว่า อยากให้นายชวน นำพจนานุกรมไปศึกษาคำว่า ออกเสียงลงคะแนน กับ นับคะแนนใหม่ เนื่องจากมีความแตกต่างกัน พร้อมกับยกตัวอย่างว่า ตนเองเคยทำงานในสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัย หากมีการลงคะแนนเสร็จแล้วจะต้องยึดถือผลคะแนนนั้นไม่สามารถนับใหม่ได้ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้มีความเคารพนับถือนายชวนมาก จึงไม่อยากให้เสื่อมเสีย

แทนคุณ ซึ่งยืนฟังอยู่ จึงได้ขึ้นมาพูด พร้อมระบุว่า ขอคืนพจนานุกรมให้นายพริษฐ์ เนื่องจากมองว่าเป็นคนที่จำเป็นต้องใช้มากที่สุด เพราะยังขาดความเข้าใจในภาษาไทย ย้ำว่า ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งนายชวนปฎิบัติตามข้อบังคับทุกขั้นตอน และไม่ควรนำข้อบังคับการประชุมของมหาวิทยาลัยมาเปรียบเทียบกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพราะมีกติกาต่างกัน รวมถึงมองว่านายพริษฐ์ไม่ควรพูดพาดพิงบุคคลอื่น หรือ หากจะพาดพิงควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ

แม้วันนั้น แทนคุณ จะพูดทิ้งท้ายว่า ดีใจที่คนรุ่นใหม่สนใจการเมือง แต่เขามองว่าไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด เนื่องจากระหว่างการแถลงข่าว ข้างเวทีแถลงข่าวมีคนคอยบอกและสนับสนุนให้พริษฐ์แถลงข่าวต่อกับสื่อมวลชน ที่อาคารรัฐสภา เกียกกาย (เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562) แบบนั้น ทำให้เขาไม่สบายใจกับการกระทำที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่า ถ้อยคำและวิวาทะในวันนั้น ถูกมองเป็นการประกาศศึกกับคนรุ่นใหม่บางกลุ่ม จนน่าจะมี ‘กรุ๊ปทัวร์’ ย่อยๆ มาไล่ขยี้ อี้ แทนคุณ กันตั้งแต่วันนั้น

แม้จะถูกตั้งแง่จากคนรุ่นใหม่ตั้งแต่วันนั้น แต่กลับกันในใจของเขาพยายามเฝ้ามองพฤติกรรมของเยาวชน คนรุ่นใหม่ในบริบทที่พัฒนามาเป็นผู้ชุมนุมม็อบคณะราษฏรว่า สิ่งที่พวกเขาทำกำลังตัดบันไดทางลงของตน เพราะเหตุการณ์การชุมนุมกำลังนำพาเด็กๆ ไปจบในสถานที่ที่ไม่พึงประสงค์อย่าง ‘คุก’

และมันก็ดูจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

เขาเล่าให้ฟังว่า เขาอยากแนะ ‘ทางลง’ ให้กับผู้ชุมนุม ที่ควรทำได้เลยทันที จากการที่กลุ่มผู้ชุมนุมไปไล่กรีดแผลบางอย่างที่มิควรกรีด ตั้งแต่...หยุดการล่วงเกินต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกรูปแบบ ทุกเวที โดยอยากขอร้องให้น้องๆ ที่มีเจตนาดี อยากทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ โดยบริสุทธิ์ใจ ถอนตัวจากทุกการชุมนุมที่มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดด้วยถ้อยคำและท่าทีหรือการแสดงออกที่หยาบคาย เสียดสีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และร่วมประณาม หรือเตือนสติผู้ที่กำลังกระทำการจาบจ้วงนั้นอยู่ให้หยุดพฤติกรรมนั้นเสีย

ขณะเดียวกันก็ควรสนับสนุนการมีส่วนร่วมกับกลไกรัฐสภา โดยเลือกแกนนำที่มีเหตุมีผลเป็นตัวแทน มุ่งนำประเด็นที่เป็นไปได้จริงและมีผลต่อประชาชนส่วนรวมจำนวนมาก เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ที่จะนำไปสู่การเสนอข้อชี้แนะและแนวทางแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง โดยที่ไม่นำเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเงื่อนไข หรือนำไปสู่ความขัดแย้งต่อการทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจทำลายอนาคตของตัวเองและครอบครัว เพราะตอนนี้มีผู้ที่ไม่พอใจในสิ่งที่น้อง ๆ หลายคน ที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คึกคะนอง จากการรับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง จนเริ่มทนไม่ไหวจนและกำลังบานปลายเป็นการปะทะหักหาญกัน

สุดท้าย ควรสื่อสารตรงในข้อสงสัยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าหากน้องๆยังมีข้อเสนอที่ต้องการจะสื่อสารหรือส่งต่อความคิดเห็น เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ขอให้ส่งไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถาบันโดยตรง ได้แก่ สำนักพระราชวัง สำนักงานองคมนตรี เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ ดูจะเป็นข้อเสนอที่หากไม่มองแบบเอนเอียง ก็ถือเป็นเป็นจุดเริ่มต้นในการทำให้เสรีภาพของน้องๆ ไม่สูญหายไป แต่เป็นการใช้เสรีภาพ ในทิศทางที่สร้างสรรค์อันจะนำมาซึ่งพลังและการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง

“คนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่ได้ผิด แต่พวกเขาต้องรู้จักวิธีการจัดลำดับความสำคัญ บางทีเรื่องใหญ่ของ ‘เขา’ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของ ‘ทุกคน’

“ยิ่งไปกว่านั้นการวิพากษ์วิจารณ์ กับด่าก็ไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าอิสรภาพและเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพในทางการเมือง ทำไปทำมากลายเป็นทำลายเสรีภาพของคนอื่น และเสรีภาพทางความคิดที่ปราศจากความรับผิดชอบ มันก็ไม่ได้ต่างจากคนที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่เก่ง ซึ่งเรื่องนี้น่ากลัวที่ผมพยายามอยากให้ทุกคนคิดก้าวออกจากจุดที่ไม่ถูกต้อง

“ผมไม่อยากให้อนาคตของชาติต้องเดินตามเส้นทางจากคนเก่งที่เห็นแก่ตัวชี้ไว้ เราเป็นคนไทย ต้องหาให้เจอว่าควรมีการเมืองแบบของเราอย่างไร อย่าเป็นนักก็อปปี้ที่ซื่อสัตย์ หรือนักบริโภคที่ซื่อตรงจนเกินไป”

ติดตามประสบการณ์เส้นทางการเมืองสไตล์ ‘แทนคุณ จิตต์อิสระ’ และมุมมองคิดที่น่าตามจากมิติการเมือง เศรษฐกิจ และพรรคประชาธิปัตย์เต็มๆ ได้ที่ Contributor EP.8 >> https://www.facebook.com/watch/?v=1074229983079722


อ้างอิง: https://www.thaipost.net/main/detail/82278

สุดฮือฮา เมื่อ “มวยไทย” กีฬาประจำชาติไทย ถูกบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาของมหกรรมกีฬา “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” ที่ประเทศโปแลนด์ นับเป็นครั้งแรกที่มวยไทยถูกบรรจุเข้าไปในมหกรรมนี้

เรื่องนี้ ได้รับการยืนยันจาก สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) ในฐานผู้กำกับดูแลเรื่องกีฬามวยไทย ที่อนุญาติให้นักกีฬาสามารถเข้าแข่งขันได้ เปิดเผยว่า คณะกรรมการโอลิมปิกยุโรป (อีโอซี) ได้บรรจุชนิดกีฬาที่ไม่มีจัดแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์เพิ่มเติม เพื่อเปิดเวที และสร้างโอกาส รวมทั้งประสบการณ์ให้นักกีฬา ได้แสดงความสามารถในชนิดกีฬาต่าง ๆ ให้ทั่วโลกได้เห็น

โดย มวยไทย ถือเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วในทวีปยุโรปทั้งกลุ่มของนักกีฬาและผู้ชมที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซี่งการแข่งขันครั้งนี้ จะมีชิงเหรียญทองประกอบด้วย ประเภทชาย 7 รุ่น ประเภทหญิง 7 รุ่น และประเภททีมผสม

สำหรับการแข่งขัน “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” นั้น เป็นมหกรรมกีฬาระหว่างประเทศในทวีปยุโรป ที่จัดต่อเนื่องทุก 4 ปี ซึ่งดำเนินการแข่งขันมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งต่อไปจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 - 25 มิ.ย. 2023 ที่ เมืองคราคอฟ ประเทศโปแลนด์ โดยมี 50 ชาติในยุโรปเข้าร่วมแข่งขัน

ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะทำให้คนทั่วโลก ได้รู้จักมวยไทยมากขึ้นกว่าเดิมด้วย

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ชี้ถ้าจะฉีดวัคซีนโควิดสร้างภูมิคุ้มกันกลุ่ม ต้องฉีดให้ประชากรในประเทศเกือบ 50 ล้านคน วัคซีนที่ใช้จะต้องมีร่วม 100 ล้านโดส ขณะที่ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 64 นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan หัวข้อ วัคซีนโควิด จำนวนผู้ฉีดวัคซีนเท่าไหร่จึงจะเกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม ดังนี้..

ภูมิคุ้มกันกลุ่ม จะช่วยป้องกันการระบาดของโรคที่ติดต่อระหว่างคนสู่คน

การจะป้องกันได้ จะขึ้นอยู่กับว่าโรคนั้น ติดต่อง่ายหรือยาก

โรคติดต่อง่าย ก็จะต้องการภูมิคุ้มกันกลุ่ม ในอัตราที่สูง

โรคติดต่อยาก ก็จะใช้อัตราภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต่ำกว่า

โควิด 19 มีอัตราการติดต่อปานกลาง

เมื่อคำนวณภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต้องการ จะพบว่าอยู่ประมาณ 60%

การให้วัคซีนโควิด ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทาน ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ถ้าสมมุติว่าวัคซีนโควิด มีการสร้างภูมิต้านทานป้องกันโรคได้ 80%

จำนวนผู้ที่จะต้องฉีดวัคซีน ให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม จะมากกว่า 60% ขึ้นไปอีก จะอยู่ที่กว่า 70%

ดังนั้นการให้วัคซีนในประชากรไทย เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม ซึ่งในอนาคต จะต้องรวมเด็กด้วย และชาวต่างชาติทั้งหมด ที่อยู่ในประเทศไทย คิดยอดรวมประมาณ 70 ล้านคน

ภูมิต้านทานไม่ว่าจะจากการติดเชื้อ หรือการได้รับวัคซีน ที่เกิดขึ้นต้อง เกือบ 50 ล้านคน

ดังนั้น ความต้องการในการฉีดวัคซีนทั้งประเทศ ถ้าคนละ 2 เข็ม วัคซีนที่ใช้ก็จะต้องใช้ ร่วม 100 ล้านโดส ถ้าขณะนี้ยังไม่นับเด็ก ก็จะต้องใช้ถึง 85 ล้านโดส

ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีการหาวัคซีนเพิ่มเติม อีกเป็นจำนวนมาก

กลุ่มประชากรเด็ก จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะต้องได้รับวัคซีน จนกว่าจะมีการศึกษาขนาด และวิธีการใช้ เพื่อป้องกันการระบาดของโรค

และในอนาคตในปีหน้า ก็ยังไม่ทราบว่า มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่มอีกหรือไม่

การให้วัคซีน ในหมู่มากสำหรับประเทศไทย มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติ วิกฤตการระบาดของโรค ให้ได้อย่างรวดเร็ว ชีวิตความเป็นอยู่และสังคม จะได้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

ปัจจุบันการที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะมีอายุได้ยาวนานเป็นสิบปี ก็เรียกว่าเก่ง แต่ถ้าเป็นร้อยปี นี่ถือว่าหาได้ยากมาก ๆ แต่เชื่อไหมว่า ในโลกนี้มีธุรกิจที่มีอายุยาวนานถึง 1,400 ปีอยู่

และที่สำคัญยิ่งกว่า คือ บริษัทนี้ทำธุรกิจแบบเดียวกับที่ทำในอดีต มาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย

คงโงกูมิ (Kongō Gumi : 金剛組) หรือ ‘บริษัท คงโงกูมิ จำกัด’ คือ บริษัทที่ว่า...

คงโงกูมิ เป็นบริษัทรับจ้างก่อสร้างวัดและศาลเจ้า ก่อตั้งขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ปีพุทธศักราช 1121 โดยช่างไม้ชื่อ Shigemitsu Kongo จุดเริ่มต้น คือ เขาได้รับว่าจ้างจากราชสำนักให้สร้างวัดพุทธขึ้นเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาก็ได้สร้างวัดวัดชิเทนโนจิ ในจังหวัดโอซาก้าขึ้นมา และผลงานดังกล่าว ก็เป็นที่ชื่นชมอย่างมาก เขาจึงตัดสินใจก่อตั้ง บริษัท คงโงกูมิ เพื่อรับงานสร้างวัดอย่างจริงจัง

นับจากวันนั้น ศาสนาพุทธก็แพร่หลายในญี่ปุ่น ธุรกิจ คงโงกูมิ จึงมีงานสร้างวัด ศาลเจ้า และปราสาทต่าง ๆ เข้ามาอยู่ตลอด ด้วยความที่ผลงานเป็นที่ประจักษ์ คงโงกูมิ เลยมีงานให้ทำไม่หยุดหย่อน ยิ่งคนญี่ปุ่นมีศรัทธาแรงกล้าในพุทธศาสนามากขึ้นเท่าไร ธุรกิจของ คงโงกูมิ ก็ยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น วัดชื่อดังหลายแห่งในญี่ปุ่นก็เป็นผลงานของพวกเขา รวมถึงปราสาทโอซาก้าที่เป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตด้วย

คงโงกูมิ ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน สืบทอดมาถึง 40 รุ่น มีการคัดเลือกทายาทที่เหมาะสม มีทั้งผู้สืบทอดที่เป็นลูกชาย ลูกสาว ลูกเขย ซึ่งทั้งหมดจะต้องผ่านการพิจารณาว่ามีภาวะผู้นำที่ดี และบริษัทยังมีการปรับตัวในยุควิกฤต เช่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่คนไม่สนใจจะสร้างวัด บริษัทก็หันมาต่อหีบศพขายเพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาด พอเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ พวกเขาก็เริ่มสร้างวัดด้วยคอนกรีตแทนไม้ โดยยังคงความงามของศิลปะดั้งเดิมไว้อยู่

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมบริษัทรับสร้างวัด จึงอยู่มาได้นานขนาดนี้?

มีการวิเคราะห์กันว่ามาจาก 3 ปัจจัยใหญ่ ๆ ซึ่งประกอบด้วย...

1.) ผู้นำที่ดี

ความน่าสนใจ ก็คือ การสืบทอดกิจการกันในครอบครัว ที่ไม่ได้ยึดติดกับ ‘ลูกคนโต’ มาสืบทอดงานตามปกติเหมือนธุรกิจอื่น ๆ แต่บริษัท คงโงกูมิ จะคัดเลือกผู้สืบทอดจากทายาทที่เหมาะสม โดยไม่สนทั้งอายุและเพศ ทำให้ผู้นำของบริษัทสามารถเป็นได้ทั้งลูกชาย ลูกสาว หรือแม้แต่ลูกเขย ที่แต่งเข้ามาก็ได้ ขอแค่พวกเขารักในงาน อยากสืบทอดกิจการ และมีความสามารถ ซึ่งนั่นทำให้ผู้นำบริษัท มักมีภาวะผู้นำที่ดีอยู่เสมอ

2.) สินค้ามีความต้องการอยู่ตลอดเวลา

บริษัท คงโงกูมิ ทำงานเกี่ยวข้องกับศาสนา ที่มีผู้คนศรัทธานับล้านคน ทำให้ตลอดพันปีที่ผ่านมา ความศรัทธานั้นก็ยังคงอยู่ พวกเขาจึงมีงานสร้างวัดอยู่เสมอ ๆ พอวัดใหม่ถูกสร้าง วัดเก่าก็ต้องการการปรับปรุง แล้วงบก็จะมาจากทั้งการว่าจ้างของเอกชน การระดมทุนของชุมชน หรือกระทั่งรัฐบาลสนับสนุนเงิน ทำให้มีเงินเข้ามาอยู่ตลอด ฉะนั้นลองคิดดูว่าใครที่ก่อสร้างวัด หรือปรับปรุงวัด ก็ต้องเรียกหา ‘คงโงกูมิ’ เป็นลำดับแรกๆ จนเรียกว่าเป็นเจ้าตลาด ในตลาดที่มีลูกค้าคอยใช้บริการอยู่ตลอด ก็ไม่ผิดนัก

3.) ความยืดหยุ่นของบริษัท

บริษัท คงโงกูมิ นับว่าเป็นบริษัทที่ผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายมามากที่สุดบริษัทหนึ่งเลยก็ว่าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น…

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่พวกเขาแทบไม่มีงานก่อสร้างวัดเลย เพราะนอกจากผู้คนจะยากลำบาก งบทุกอย่างยังต้องทุ่มไปที่สงครามด้วย แต่ผู้นำบริษัทในตอนนั้นก็ไม่อยู่นิ่ง เมื่อสงครามทำให้คนตายมหาศาล บริษัทก็ผันตัวไปผลิตโลงศพ เพื่อพยุงกิจการไว้

แถมหลังสงคราม พวกเขาก็กลับมารับหน้าที่บูรณะวัดที่ถูกทำลายจากช่วงสงครามได้อีกครั้ง

พอในยุคหลัง บริษัทยังเลือกที่จะเปลี่ยนจากการสร้างวัดด้วยไม้ ไปเป็นคอนกรีต เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ลดความเสี่ยงไฟไหม้ และทำให้บริการพวกเขาน่าสนใจกว่าคู่แข่งอีก

อย่างไรก็ตาม แม้ คงโงกูมิ จะมีชื่อเสียงทั้งเรื่องความมั่นคง และการปรับตัวแค่ไหน แต่พวกเขาก็ต้องพบปัญหาใหญ่!!

ในช่วงยุคปี 2523 เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มเฟื่องฟู บริษัทแห่งนี้ จึงเริ่มหันมาจับงานด้านอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น และเพื่อขยายกิจการ ทางบริษัท จึงตัดสินใจได้กู้เงินก้อนใหญ่มาเพื่อลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ

ทว่าพวกเขากู้เงินมาลงทุน ในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไร และอย่างที่ทราบกันดีว่า เหตุการณ์ฟองสบู่แตกของญี่ปุ่นช่วงปี 2532 เป็นความบอบช้ำเหมือนต้มยำกุ้งที่คนไทยต้องเผชิญ ทำให้หลายกิจการต้องปิดตัวลงไป และนั่นก็ทำให้ คงโงกูมิ ต้องประสบกับภาวะที่ลำบาก

แม้ คงโงกูมิ จะไม่ถึงขั้นต้องปิดบริษัทในตอนนั้น แต่ปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้น ดันเข้ามาพร้อม ‘การถดถอยของศาสนาพุทธในญี่ปุ่น’ ทำให้รายได้ของบริษัทเริ่มลดลงอย่างน่าใจหาย เนื่องจาก 80% ของรายได้บริษัทแห่งนี้ ล้วนแต่มาจากการสร้างและปรับปรุงซ่อมแซมวัดแทบทั้งสิ้น

บริษัท คงโงกูมิ ใช้เวลาล้มลุกคลุกคลานกับปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเวลาเกือบ 20 ปี โดยมีรายได้เฉลี่ยปีละกว่า 2,200 ล้านบาท แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็กลับมีหนี้มหาศาล เกินกว่าที่จะจ่ายได้

จนกระทั่งเดือนมกราคม พ.ศ. 2549 เมื่อเห็นท่าว่าจะไปต่อไม่ไหว คงโงกูมิ จึงตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย และขายให้กับ ‘บริษัททากามัตสึ’ ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างรายใหญ่ไป

และนั่นก็ทำให้ ธุรกิจของตระกูลคงโง กับคงโงกูมิ ต้องยุติธุรกิจลงที่อายุ 1,428 ปี

แม้บทบาทของคนในตระกูลจะจบลง แต่อย่างไรก็ตาม คงโงกูมิ ก็เกิดใหม่ภายใต้บริษัททากามัตสึ ที่มีความเคารพในเกียรติยศของบริษัทที่มีอายุมากที่สุดในญี่ปุ่น ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าแบรนด์ คงโงกูมิ ยังขายต่อไปได้

โดยทางบริษัททากามัตสึอนุญาต จึงคงชื่อ คงโงกูมิ ไว้ และไม่มีการยุบหรือควบรวมเข้ามาเป็นบริษัทเดียวกัน และยังให้คนในตระกูลคงโงสามารถทำงานได้ภายใต้ชื่อของบริษัทคงโงกูมิ สืบมาจนถึงทุกวันนี้...


ที่มา

https://www.facebook.com/331394447302302/posts/1166482313793507/

https://www.facebook.com/powersmethai/photos/a.1125773347499569/2573378549405701/?type=3&theater

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผย สถิติการค้าของไทยกับประเทศคู่เจรจา FTA เดือนม.ค.64 มีมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โต 3% พบส่งออกสินค้าเกษตร มาแรง พุ่ง! 19% ตลาดอาเซียน จีน และฮ่องกง เติบโตดี ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม โต 5%

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทย ในช่วงเดือนมกราคม 2564 พบว่า การค้าของไทยกับประเทศที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) 18 ประเทศ มีมูลค่า 25,571.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.31% จากเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วน 64.55% ของการค้าไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นการส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอ มูลค่า 12,162.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (+4.04%) คิดเป็นสัดส่วน 61.72% ของการส่งออกทั้งหมด และเป็นการนำเข้าจากประเทศคู่เอฟทีเอ มูลค่ารวม 13,409.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (+2.66%) คิดเป็นสัดส่วน 67.35% ของการนำเข้าทั้งหมด

นางอรมน กล่าวว่า การส่งออกสินค้าของไทยมีการเติบโตในหลายรายการ อาทิ สินค้าเกษตร (กสิกรรม ปศุสัตว์และประมง) โดยไทยส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอ มูลค่า 1,288 ล้านเหรียญสหรัฐ (+19.4%) คิดเป็นสัดส่วน 72.16% ของการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยทั้งหมด ตลาดคู่เอฟทีเอที่มีการขยายตัว ได้แก่ อาเซียน (+13%) อาทิ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา สิงคโปร์ และเมียนมา จีน (+40%) ฮ่องกง (+24%) เกาหลีใต้ (+2%) อินเดีย (+63%) และเปรู (+768%)

นอกจากนี้ สินค้าอุตสาหกรรมมีการส่งออกขยายตัวเช่นเดียวกัน อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และวงจรไฟฟ้า โดยมีการส่งออก มูลค่า 9,446.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (+5.14%) คิดเป็นสัดส่วน 59.31% ของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด ตลาดคู่เอฟทีเอที่มีการขยายตัว ได้แก่ เวียดนาม (+16%) มาเลเซีย (+41%) ลาว (+4%) เมียนมา (+2%) จีน (+3%) ญี่ปุ่น (+6%) ฮ่องกง (+23%) เกาหลีใต้ (+23%) ออสเตรเลีย (+35%) นิวซีแลนด์ (+50%) และเปรู (+19%)

สำหรับสินค้าเกษตรแปรรูปของไทย แม้การส่งออกจะชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยมีมูลค่า 829.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (-5.57%) แต่การส่งออกในหลายตลาดคู่เอฟทีเอยังคงสามารถขยายตัวได้ โดยเฉพาะอาเซียน (+1.4%) อาทิ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ลาว และบรูไน ซึ่งจากเดิมในปี 2563 การส่งออกมีการหดตัวมาโดยตลอด นอกจากนี้ ฮ่องกง และชิลี มีการนำเข้าสินค้าเกษตรแปรรูปจากไทยเพิ่มขึ้น อาทิ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และเครื่องดื่ม

นางอรมน เพิ่มเติมว่า การส่งออกของไทยในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีการขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนธันวาคม 2563 จากปัจจัยบวก อาทิ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจการค้าโลก การผ่อนคลายมาตรการปิดประเทศ มาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง และการเริ่มกระจายการฉีดวัคซีนต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยในอนาคต พบว่า มีโอกาสสูงที่การส่งออกของไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากความพร้อมของไทยที่สามารถควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดี ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญมีแนวโน้มขยายตัว ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรต้องปรับตัวและปรับการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เช่น การควบคุมคุณภาพมาตรฐานสินค้าที่ปลอดภัยไร้การปนเปื้อนของเชื้อโรค และการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีที่ไทยได้รับการลดและยกเว้นภาษีนำเข้ากับกลุ่มประเทศคู่เอฟทีเอ เป็นต้น

ดาบตำรวจ สน.วังทองหลาง คุมม็อบบ้านนายกฯ 28 ก.พ.64 ติดโควิด-19 ก่อนมาถูกสั่งกักตัวแล้วคาดเช็คไทม์ไลน์ อาจจะติดจากกลับเยี่ยมบ้านสมุทรสาคร

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.64 พ.ต.อ.เอกภพ ตันประยูร ผกก.สน.วังทองหลาง เปิดเผยว่า จากการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เบื้องต้นของดาบตำรวจชุดควบคุมฝูงชน สน.วังทองหลาง พบว่า ติดเชื้อโควิด-19 ขณะนี้ให้กักตัวอยู่ที่พักเพื่อรอรถโรงพยาบาลมารับตัวไปตรวจซ้ำอีกครั้ง หากพบเชื้อต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัวและรักษา

ดาบตำรวจรายนี้ได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง เมื่อวันที่ 18 ก.พ.64 และพบกับเพื่อนในละแวกบ้าน กระทั่งเมื่อวันที่ 3 มี.ค.64เพื่อนได้โทรมาแจ้งว่าติดเชื้อโควิด ดาบตำรวจจึงไปตรวจหาเชื้อและพบว่าติดโควิด-19

พ.ต.อ.เอกภพ ยังระบุว่า ขณะนี้ได้สั่งทำความสะอาดพื้นที่บริเวณโรงพัก และสิ่งของที่ดาบตำรวจสมยศสัมผัสทั้งหมด พร้อมสั่งกักตัวชุดควบคุมฝูงชนที่ใกล้ชิดดาบตำรวจแล้ว

ทั้งนี้ดาบตำรวจได้ปฎิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนในหลายพื้นที่ รวมทั้งล่าสุดที่พล.1 รอ.ถนนวิภาวดี เมื่อวันที่ 28 ก.พ.64

สำหรับไทม์ไลน์มีดังนี้

18 ก.พ. กลับบ้านกระทุ่มแบนแวะพบเพื่อนที่ติดเชื้อก่อนหน้า แล้วกลับกรุงเทพฯ
19 ก.พ. ไปควบคุมฝูงชนที่รัฐสภา รถควบคุมผู้ต้องหาเล็ก
20 ก.พ. ไปคุมฝูงชนรัฐสภา รถควบคุมผู้ต้องหาเล็ก
21 ก.พ. เวรพัก อยู่บ้าน
22 ก.พ. เวรพัก อยู่บ้าน
23 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 08.00-16.00 กลับบ้าน
24 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 08.00-16.00 กลับบ้าน
25 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 16.00-24.00 กลับบ้าน
26 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 16.00-24.00 กลับบ้าน
27 ก.พ. ไปควบคุมฝูงชน กก.สวัสดิภาพเด็กและสตรี
28 ก.พ. ไปควบคุมฝูงชนที่ พล.1 รอ. รถควบคุมผู้ต้องหาเล็ก
1 มี.ค. ไปเตะบอล ที่ รฟม. พระรามเก้า
2 มี.ค. เพื่อนในกลุ่มโทรบอกว่าติดเชื้อ เลยไปตรวจที่ รพ.รามคำแหง 15.30 และมากักตัวที่แฟลตตำรวจ
3 มี.ค. ผลเบื้องต้นเป็นบวก = กักตัว


ที่มา:
https://www.posttoday.com/politic/news/647008

ฝ่ายค้านไม่ตัดใจ เชื่อ ‘แอมมี่’ อาจบริสุทธ์ หลังเลขาฯ เพื่อไทย ติดใจเพลิงไหม้พระบรมฉายาลักษณ์ อาจแค่ลุกลาม ส่วนก้าวไกล ชี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าแอมมี่ทำผิด

ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลอาญาออกหมายจับ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ ‘แอมมี่ The bottom blues’ คดีเกี่ยวกับการเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรมนั้น พรรคฝ่ายค้านจะให้การช่วยเหลือหรือยื่นประกันตัวหรือว่า

“เท่าที่ตนทราบข่าวล่าสุด ยังไม่ยืนยันว่าควบคุมตัวหรือยัง อีกทั้งทางตำรวจยังไม่แถลงข่าวการจับกุม หากมีการจับกุมที่ชัดเจน คงจะต้องมีการหารือเพื่อช่วยเหลือในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งต้องดูข้อกล่าวหาและประเด็นต่างๆ เพราะจากการติดตามข่าว คือ มีเหตุเพลิงไหม้ และ ‘ลุกลาม’ ไปถึงพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งในเรื่องนี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อน ซึ่งเราก็จะพิจารณาอย่างรอบคอบ”

ด้าน นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังอยู่ใน ‘ขั้นกล่าวหา’ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่านายไชยอมรทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ อย่างไรก็ตามในอดีตที่ผ่านมาที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลเข้าไปมีบทบาทในการช่วยประกันตัว เป็นการทำในฐานะประกันสิทธิในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้โอกาสออกมาต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ส่วนจะถูกหรือผิดก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรามีจุดยืนที่ว่าเราควรเคารพสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมของทุกฝ่าย และให้สันนิษฐานว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยจนถึงที่สุด
.
“เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นปัญหาความขัดแย้งทางความคิดไปแล้ว เราอยากให้รัฐบาลและผู้มีอำนาจคิดต่อประเด็นการชุมนุมที่ผ่านมา การแสดงออกทางการเมืองที่ผ่านมา ในฐานะที่เป็นความขัดแย้งทางความคิด ทั้งนี้ เมื่อเป็นความคิดเห็นแตกต่างทางการเมืองก็ควรใช้กระบวนการทางการเมืองในการแก้ปัญหา ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถยุติหรือมีทางออกได้ หากใช้กฎหมายปราบปรามอย่างเข้มงวดโดยมองเหมือนปัญหาการก่ออาชญากรรม ก่อคดีอาญาปกติ แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาความขัดแย้งทางความคิด”
 


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/224477

“กอ.รมน.” แจง ใช้โซเชียล สร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร แก้ไขปัญหาได้ตรงตามความต้องการของปชช. ชี้กรณีเฟซบุ๊กลบบัญชี เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวองค์กร

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณา(กอ.รมน.) พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน. ได้เปิดเผยว่า ตามที่สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้นำเสนอข่าวการสั่งปิด Facebook และปิดบัญชีรวมทั้ง Page Facebook โดยได้ลบ 185 บัญชี และกลุ่มที่ตรวจจับได้ว่าสมัครเข้ามาเพื่อปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO มีส่วนเชื่อมโยงกับกองทัพไทย และกอ.รมน. ได้โพสเนื้อหาสนับสนุนกองทัพ, สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์, เรียกร้องความสงบสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้, โจมตีกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยไม่ได้เปิดเผยว่าบัญชีเหล่านี้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐ นั้น

กอ.รมน.ขอชี้แจงให้ได้รับทราบว่า กอ.รมน.ไม่ทราบถึงการถูกถอดบัญชี Facebook ตามที่เป็นข่าว เนื่องจากการใช้งานของเฟซบุ๊ก (Facebook) เป็นบัญชีส่วนบุคคล ไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กร (กอ.รมน.) การลบบัญชีจากเฟซบุ๊ก ถือเป็นการลบบัญชีส่วนบุคคล ปัจจุบันเฟซบุ๊กของ กอ.รมน. ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ

พล.ต.ธนาธิป กล่าวอีกว่า กอ.รมน. ไม่มีนโยบายให้หน่วยดำเนินงานตามที่เป็นข่าว จากนโยบายของ กอ.รมน. มีหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานกลางขับเคลื่อนประสานงาน ในการช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความเดือดร้อน ซึ่งกอ.รมน.ได้ยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติงานมาโดยตลอด

และ การใช้งานของโซเชียลมีเดียของ กอ.รมน. มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ กิจกรรม ผลงาน ของ กอ.รมน. สร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างรวดเร็ว พร้อมรับทราบ ความต้องการของประชาชน เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ให้กับประชาชนได้ตรงตามความต้องการ และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ปัจจุบัน กอ.รมน.ได้มี  Call Center 1374  รับแจ้งเหตุความมั่นคง เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่จะทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top