Tuesday, 13 May 2025
NEWS FEED

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีรัฐมนตรีมาขอคำปรึกษาเรื่องกฎหมายหรือไม่ว่า อีกหน่อยอาจจะมา แต่ขณะนี้ยังไม่มี

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีความเป็นห่วงเรื่องญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีการเกี่ยวข้องกับสถาบัน จำเป็นต้องประชุมลับหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็ยังไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นมา เอาไว้มีสัญญาณเมื่อเกิดเหตุ การดำเนินการอย่างนั้นก็คงต้องคิดกัน

แต่ยังไม่ค่อยห่วงมาก เพราะมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรอยู่ หากมีความจำเป็นสามารถขอให้ประชุมลับได้ แต่ประชาชนอาจจะอึดอัดนิดหน่อย เพราะอยากฟังว่าเขาพูดอะไรกัน แต่หากมีความจำเป็นก็ต้องประชุมลับ เพราะข้อบังคับและรัฐธรรมนูญเปิดไว้

เมื่อถามว่า ในอดีตเคยมีการขอเปิดอภิปรายลับหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า อาจจะมี แต่ตนนึกไม่ออก ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับประเด็นความมั่นคงของชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น ข้อพิพาทเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร เป็นเรื่องธรรมดา

นอกจากนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และ ส.ว.บางส่วน สนับสนุนญัตติของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค พปชร. ที่ให้ส่งเรื่องต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับทำได้หรือไม่ ว่า มีญัตติของนายไพบูลย์ค้างไว้ 3 - 4 เดือนแล้ว

ซึ่งก็ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวตกันอยู่แล้ว ตามระเบียบวาระเข้าใจว่าจะเข้าสภาฯ สัปดาห์หน้า ส่วนสภาฯจะลงมติให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตนไม่ทราบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามเจตนารมณ์แล้ว ส.ส.ร.สามารถยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทั้งฉบับหรือไม่ นายวิษณุ ปฏิเสธว่า ตนขอไม่ตอบ

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จริงจังแก้ปัญหาบ่อนการพนันและส่วยตำรวจ

“ตนบอกเป็นครั้งที่ร้อยแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จริงจังกับการแก้ปัญหาบ่อนทั้งระบบ น.ส.อรุณี ไม่เคยจำ ทำเหมือนนกแก้วนกขุนทอง และนายกฯ ยังให้ดำเนินการเอาผิดเด็ดขาดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะลงโทษเด็ดขาด รวมถึงเรื่องส่วย ยาเสพติด ก็มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ

“ส่วนปัญหายาเสพติดนั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ลุยแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ โดยในปี 2564 มีการเปิดแผนปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติด ตั้งเป้ายึดทรัพย์ 6,000 ล้านบาท พร้อมให้ ป.ป.ส. เป็นศูนย์กลางประสานทุกหน่วยงาน จัดหาเครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัยใช้ทำงานสาวให้ถึงต้นตอ”

นายธนกร กล่าวอีกว่า "กรณีที่ น.ส.อรุณี แนะนายกฯ ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตัวเองว่าเคยทำอะไรให้กับประเทศบ้างนั้น น.ส.อรุณี มีจิตใจที่มืดบอดหรือแกล้งโง่ จึงถามคำถามแบบนี้ ตลอดระยะเวลา 7 ปี พล.อ.ประยุทธ์ทำงานให้กับประเทศมากมาย โดยในช่วงแรกก็ลุยแก้ปัญหาที่พรรคเพื่อไทยก่อไว้ เช่น การทุจริตจำนำข้าว ทำให้ประเทศเสียหายกว่า 6 แสนล้านจนมีรัฐมนตรีต้องติดคุก อดีตนายกฯ ต้องหนีไปต่างประเทศ"

"รวมถึงการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น โครงสร้างพื้นฐาน โครงการช่วยเหลือเยียวยาและชดเชยให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการและผู้มีรายได้น้อย สนับสนุน อสม. มาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ เช่น โครงการชิมช้อปใช้ การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม เช่นโครงการประกันรายได้เกษตรกร การแก้ปัญหาราคายาง และยังมีอีกหลายโครงการที่เป็นผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์"

"น.ส.อรุณี ไม่ควรมีอคติจนเกินไป ควรเปิดใจให้กว้าง รับฟังบ้าง ไม่ใช่โจมตีรัฐบาลทุกเรื่องอย่างไม่ลืมหูลืมตา หรือท่องไปตามบทที่คนใหญ่คนโตในพรรคเขียนบทมาให้"

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการกรมการจัดหางาน เข้มงวด ตรวจสอบ ผู้มีพฤติกรรมหลอกลวง โฆษณาการจัดหางาน ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยฉวยโอกาสหลอกเหยื่อที่ตกงานช่วงโควิด อ้างรายได้ดี และเรียกเงินค่าจัดทำวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากคนหางาน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ สถานประกอบการในประเทศจำนวนมากได้รับผลกระทบจนไม่สามารถจ้างงานได้เช่นเดิม ทำให้แรงงานไทยส่วนหนึ่ง มีความหวังจะไปทำงานต่างประเทศเพื่อหารายได้

ซึ่งล่าสุดได้สั่งการกรมการจัดหางาน ให้ติดตาม ตรวจสอบแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิอย่างเข้มงวด เพื่อระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์ลักลอบไปทำงานต่างประเทศอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันการถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน แนะนำ คนหางานที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ อย่าหลงเชื่อข้อความโฆษณาทาง ‘โซเชียลมีเดีย’ และขอให้ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ

เพราะมีโอกาสถูกหลอกลวงให้สูญเงิน จนถึงเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางานได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน www.doe.go.th/ipd ซึ่งขณะนี้มีบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น 127 บริษัท

"การโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน จะมีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

"ทั้งนี้ เดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศแล้ว จำนวน 49 คน และคนงานไทยไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศ จำนวน 1,965 คน" อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

สำหรับผู้สนใจจะไปทำงานในต่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลการเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

แม้จะพิสูจน์ผลงาน จนกลายเป็นไอดอลระดับโลก แต่สาว ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ ก็ยังไม่วายโดนกลุ่มแอนตี้ ออกมาเหยียดเรื่องเชื้อชาติไม่เลิก

เรื่องนี้ทำเอาชาวไทยและแฟนคลับของสาว ‘ลิซ่า’ ต้องออกมาช่วยกันปกป้องไอดอลสาวอย่างไว เพราะกลุ่มแฟนคลับต่างชาติบางส่วนทั้งใน จีน และ ตุรกี ที่อ้างว่าเป็นแฟนคลับของ BlackPink แต่รังเกียจ ‘ลิซ่า’ ได้ออกมาแสดงความเห็นดูถูกเธอเป็นจำนวนมาก เหตุเพราะเป็นคนไทย และมองประเทศไทยมีแต่เรื่องค้าผู้หญิง

งานนี้ชาว BLINK จึงพร้อมใจกันติดแฮชแท็ก #RespectLisa ขึ้นเทรนด์ไปทั่วโลก หลังจากที่ ลิซ่า ต้องตกเป็นเหยื่อของการถูกเหยียดเชื้อชาติจากแฟนคลับต่างชาติ

ปมเหตุของเรื่องนี้เกิดขึ้นในกลุ่มแฟนคลับต่างชาติ ที่ได้มีการพูดคุยถึงคอนเสิร์ต The Show ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยต่างวิพากษ์วิจารณ์คอนเสิร์ตออนไลน์ของสาวๆ BlackPink ก่อนที่บางส่วนจะมุ่งโจมตีไปที่ ลิซ่า โดยเฉพาะ

กลุ่มแฟนคลับจีนที่บอกว่าตนเองเป็น BLINK โดยดูได้จากทั้งจากรูปโปรไฟล์และชื่อแอคเคาท์ที่ใช้ แต่ได้แสดงความเห็นแย่ๆ เกี่ยวกับรูปลักษณ์ของ ลิซ่า โดยเปรียบเทียบเธอกับ เลดี้บอย, กะเทย หรือ ผู้หญิงข้ามเพศ

นอกจากข้อความจากแอนตี้แฟนฝั่งจีนแล้ว ทางแอนตี้แฟนฝั่งตุรกีก็วิจารณ์ว่าไม่ชอบความสามารถของ ลิซ่า ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อไปสู่การดูถูก ลิซ่า โดยใช้คนไทยบางส่วนมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งนอกจากคำดูถูกแล้ว บางส่วนยังเหยียดความสามารถของ ลิซ่า ด้วยก่อนที่บทสนทนาจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ และลุกลามไปสู่การมโนใส่ร้าย

จากข้อความเหล่านี้ แฟนคลับที่รัก ลิซ่า จึงได้พร้อมใจกันปกป้องพากันติดแฮชแท็ก #RespectLisa จนขึ้นเทรนด์อันดับ 3 ไปทั่วโลก และขึ้นอันดับ 1 ในหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ลิซ่า กลายเป็นเป้าโดนดูถูกเหยียดหยามจากแฟนคลับต่างชาติจากการที่บางคนไม่ชอบที่เธอเป็นคนไทย และมาโด่งดังในฐานะศิลปินวงเกาหลี แต่ถึงกระนั้น ก็มีแฟนๆ อีกไม่น้อยที่พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างและปกป้อง ลิซ่า เพื่อเป็นกำลังใจให้กับสาวไทยรายนี้ต่อไป


ที่มา: https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000010672

ก.แรงงาน เปิดไทม์ไลน์ฝึกอบรม ก.พ. - มี.ค. ชงสถาบัน MARA เทรนสมองกล - หุ่นยนต์ สร้างคนอัจฉริยะป้อน EEC

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่เริ่มดีขึ้น หลายจังหวัดมีผู้ติดเชื้อน้อยลงหรือแทบไม่มีผู้ติดเชื้อภายในจังหวัดอีกเลย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายให้กพร.เร่งดำเนินการ จัดฝึกอบรม ผลิตกำลังแรงงานป้อนสู่ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะการฝึกอบรมสาขาเทคโนโลยีการผลิตและหุ่นยนต์ ไปสู่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เนื่องจากยังมีความต้องการแรงานที่มีทักษะฝีมือจำนวนมากทั้งในระดับช่างปฏิบัติการและวิศวกร

ในส่วนนี้สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) ซึ่งเป็นศูนย์ Training Excellent Center ของกพร. จึงเร่งดำเนินการพัฒนากำลังแรงงานในสาขานี้ เพื่อให้มีศักยภาพรองรับนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง (High Technology) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

โดยล่าสุดสถาบัน MARA เปิดไทม์ไลน์โปรแกรมหลักฝึกอบรมช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2564 จำนวน 14 หลักสูตร ดังนี้...

(1) การใช้โปรแกรม PLC Basic PLC Gx Works

(2) PLC Advance

(3) การประยุกต์ใช้ PLC ในงานอุตสาหกรรม (Siemens)

(4) การประยุกต์ใช้ PLC ในงานอุตสาหกรรม (Omron)

(5) การประยุกต์ใช้ CC-Link ในงานอุตสาหกรรม (Mitsubishi)

(6) การใช้เทคโนโลยี Industrial Internet of Things ในงานอุตสาหกรรม ระดับ 1 เปิด 2 รุ่น สาขาหุ่นยนต์

(7) ช่างควบคุมหุ่นยนต์ FANUC

(8) การควบคุมหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสำหรับการจับชิ้นงาน

(9) การบำรุงรักษาหุ่นยนต์อุตสาหกรรม สาขาโปรแกรมการผลิต CAD/CAM/CAE

(10) การใช้โปรแกรม Solidworks CAD

(11) การใช้โปรแกรม NX CAD

(12) การจำลองขบวนการผลิตและวางแผนการผลิตด้วยโปรแกรม TECNOMATIX และสาขาเครื่องจักรกลการผลิต

(13) การใช้เครื่องมือวัดสามมิติ CMM ระดับ 1

(14) ช่างควบคุมเครื่องกัด CNC 5 แกน

ทั้ง 14 หลักสูตรเป็นไปตามความต้องการของนายจ้างและสถานประกอบกิจการในเขต EEC ที่ต้องการให้เปิดฝึกอบรมในการพัฒนากำลังแรงงานในสาขานี้อีกด้วย

“ทุกหลักสูตรจะใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 30 ชั่วโมง บางหลักสูตรมีฝึกอบรมเฉพาะวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้พนักงานในสถานประกอบกิจการเข้ารับการฝึกอบรมได้สะดวกขึ้น รับสมัครจำนวนจำกัดเพียง 20 คนต่อหนึ่งหลักสูตร สร้างระยะห่างทางสังคมเป็นไปตามมาตรการที่กพร. กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ยังคงคุณภาพของการฝึกอบรมไว้เช่นเดิม เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป

ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dsd.go.th/mara และ www.facebook.com/dsdmara หรือติดต่อสอบถามที่เบอร์โทร 0 3827 6823” อธิบดีกพร กล่าว

สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก ยันรัฐประหารในประเทศเมียนมา ไม่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การค้าชายแดนฝั่งไทย ย้ำผู้ประกอบการค้า การพาณิชย์ และการอุตสาหกรรมยังคงประกอบกิจการตามปกติ ไม่มีผลกระทบใด ๆ

นายชัยวัฒน์ วิทิตธรรมวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก กล่าวถึงการรัฐประหารในประเทศเมียนมา ว่ายังไม่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การค้าชายแดนฝั่งไทย

ซึ่งในช่วงนี้ผลผลิต พืชไร่ ในเมียนมากำลังจะมีการนำเข้ามาฝั่งไทย และในส่วนของภาคอุตสาหกรรมนั้น ผู้ประกอบการค้า การพาณิชย์ และการอุตสาหกรรมยังคงประกอบกิจการตามปกติ ไม่มีผลกระทบใด ๆ

นายสุชาติ ตรีรัตน์รัตนา ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดตาก และผู้ประกอบการค้ารายใหญ่ในพื้นที่ชายแดนแม่สอด กล่าวว่า ระยะแรก ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับระบบเศรษฐกิจธุรกิจ ที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก ส่วนระยะยาวคงต้องดูสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง

สำหรับสถานการณ์ในเมียนมา ล่าสุดเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ได้มีประชาชนได้มีการประท้วงกองทัพอย่างสงบ โดยแสดงออกถึงสัญญาลักษณ์การต่อต้านเท่านั้น

ทำเสียชื่อกันสุด ๆ เมื่อพบแก๊งมิจฉาชีพชาวจีนแอบผลิตวัคซีน Covid-19 ปลอม โดยใส่น้ำเกลือธรรมดา อ้างสรรพคุณเป็นวัคซีน Covid-19 เตรียมจำหน่ายทั้งในจีน และต่างประเทศ

หลังจากที่มีการพบวัคซีนปลอม กระจายเกลื่อนในหลายเมืองของจีน ตำรวจจากมณฑลเจียงซู ปักกิ่ง และ ซานตง ได้ร่วมสรรพกำลังสืบสาวจนถึงต้นตอ เพื่อทลายแก๊งวัคซีนปลอมให้ได้ ล่าสุดพบตัวแล้ว สามารถจับกุมตัวได้มากกว่า 80 พร้อมของกลางที่ยึดได้พร้อมส่งอีกกว่า 3,000 โดส

แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ แก๊งวัคซีนปลอม มาจากโรงงานผลิตวัคซีนแห่งหนึ่ง ที่แหล่งข่าวจีนไม่ได้ระบุชื่อ และเริ่มทำธุรกิจหลอกขายวัคซีนปลอมมาตั้งแต่กันยายน 2020 ที่ผ่านมาแล้ว โดยใช้น้ำเกลือแทนตัวยาที่เป็นวัคซีนจริงๆ และจัดส่งไปขายแล้วหลายเมือง ในราคาสูง แถมเตรียมที่จะผลิต ล็อตใหญ่ส่งออกต่างประเทศด้วย โดยมีเป้าหมายที่จะแอบลักลอบส่งวัคซีนปลอมไปขายในทวีปแอฟริกา

ซึ่งยังโชคดีที่ช่วงนี้ทางการจีนยังเข้มงวดเรื่องการเดินทางเข้า-ออก นอกประเทศ จึงเชื่อว่ายังไม่น่ามีวัคซีนปลอมกระจายออกไปยังตลาดต่างประเทศ

ส่วนวัคซีนปลอมที่กระจายส่งภายในจีน ทางการจีนยืนยันว่าติดตามได้หมดแล้ว และหากแก๊งวัคซีนปลอมใช้น้ำเกลือในการผลิตทั้งหมด ก็จะไม่มีอันตรายกับผู้ที่รับวัคซีนปลอมไปแล้ว แต่ก็เป็นข่าวที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นไม่น้อยทีเดียว

เนื่องจากก่อนหน้าที่แก๊งวัคซีนปลอมจะถูกจับ ได้ส่งขายวัคซีนปลอมออกขายไปแล้วไม่ทราบจำนวน รวมๆไปกับวัคซีนแท้ ที่อาจเล็ดลอดการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ เนื่องจากตอนนี้อยู่ในช่วงที่วัคซีน Covid-19 มีความต้องการสูงมากในท้องตลาด ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวว่า มีชาวญี่ปุ่นออกมาร้องเรียนว่าได้วัคซีน Covid-19 ที่เชื่อได้ว่าเป็นของปลอมจากจีน ที่เคยมีเรื่องมีราวกับทางสถานทูตจีนมาแล้ว ที่ออกมาตอบโต้ว่าไม่เป็นความจริง

แต่ทั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันว่าจะมีบทลงโทษอย่างไรกับผู้ต้องหาคดีวัคซีนปลอมในครั้งนี้ แต่หากอ้างอิงจากฎหมายว่าด้วยเรื่องยา และวัคซีนฉบับใหม่ของจีนระบุโทษไว้ว่า ผู้ที่ผลิตและจำหน่ายยา หรือวัคซีนปลอมมีโทษปรับสูงตั้งแต่ 15 - 50 เท่าของมูลค่าสินค้า ที่ต้องมาพิสูจน์กันอีกทีว่าจำหน่ายไปแล้วกี่ชุด

ซึ่งก็เคยมีคดีศึกษาของการผลิตยา หรือซีนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ที่เกิดขึ้นในบริษัทยาฉางชุน ฉางเฉอ ในมณฑลซานตง ในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคคอตีบจำนวน 250,000 ชุด ก็โดนโทษปรับไป 3.4 ล้านหยวน ซึ่งถือว่าเล็กน้อยมากหากเทียบกับผลกำไรของบริษัทต่อปีที่สูงถึง 566 ล้านหยวน

ดังนั้นรัฐบาลจีนจึงมีการปรับแก้กฎหมายใหม่เพิ่มโทษปรับให้สูงขึ้น แล้วก็โดนกับบริษัทยาเจ้าเดิม ที่ผลิตวัคซีนพิษสุนัขบ้าไม่ได้มาตรฐาน คราวนี้เจอโทษปรับไปถึง 9 พันล้านหยวน ซึ่งผู้บริหารก็ถูกจับกุม ดำเนินคดีด้วย

ก็หวังว่าจีนจะเอาจริง ตามจับแก๊งวัคซีน Covid ปลอมได้หมดจดจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเสียชื่อสถาบันจีนหมด


อ้างอิง

https://www.globaltimes.cn/page/202102/1214637.shtml

https://www.scmp.com/news/china/politics/article/3120083/chinese-police-detain-80-selling-fake-covid-19-vaccines

https://edition.cnn.com/2021/02/01/asia/china-fake-covid-vaccines-intl/index.html

คนจะซวย ช่วยไม่ได้จริง ๆ เมื่อหนุ่มไต้หวัน ที่ขอเปิดเผยแค่ว่าชื่อนายเฉิน ถูกทางการไต้หวันปรับเงินถึง 1 ล้านเหรียญไต้หวัน เนื่องจากฝ่าฝืนมาตรการกักตัว 14 วัน หลังจากที่เขาเพิ่งกลับจากฮ่องกงในวันที่ 30 ตุลาคมปีที่แล้ว

แต่ทว่า เรื่องราวนี้คดีพลิก เพราะนายเฉินอ้างว่าตัวเขาคือเหยื่อ ไม่ใช่จำเลยสังคมที่อยู่ดีๆก็ออกมาเดินเพ่นพ่านทั้ง ๆ ที่อยู่ในช่วงกักตัว

นายเฉินเล่าว่า ตัวเขาเพิ่งเดินทางกลับจากฮ่องกง และทำเรื่องว่าจะไปกักตัวเอง 14 วันที่บ้านเพื่อนในเมืองหนานโถว

แต่ระหว่างที่อยู่บ้านเพื่อน กลับพบนักทวงหนี้ จึงรู้ว่าเพื่อนของเขากำลังหนีเจ้าหนี้นอกระบบ แล้วนักทวงหนี้ก็เข้าใจว่าตัวเขาคือลูกหนี้ จึงเข้ามาข่มขู่รีดไถเอาเงิน และก็ยังทำร้ายร่างกายเขาอีก บังคับให้เขาจ่ายเงินให้ได้

นายเฉิน บอกว่านักทวงหนี้บีบให้เขาต้องรีบเดินทางกลับบ้านตัวเองเพื่อไปเอาเงิน และยังประกบติดตามตัวเขาตลอดเวลา หลังจากที่จ่ายเงินบางส่วนไป ก็เขารีบไปหาตำรวจ แต่กลับถูกจับ ปรับเงิน 1 ล้านเหรียญข้อหาฝ่าฝืนมาตรการกักตัว

สำหรับกฎระเบียบเรื่องการกักตัว 14 วันในไต้หวันถือเป็นกฎเหล็กสุดเข้ม หากใครฝ่าฝืนมีโทษปรับ 1 ล้านเหรียญไต้หวันทุกกรณี โดยไม่มีข้ออ้างว่าจะออกจากสถานที่กักตัวนานแค่ไหน และเพื่ออะไร

ดังตัวอย่างเช่น คนงานฟิลิปปินส์ที่ถูกกักตัวในโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองเกาสง แค่เดินออกจากห้องแต่ 8 วินาที ก็โดนปรับ 1 ล้านทันทีโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

แต่สำหรับเคสของนายเฉิน ทางการไต้หวันยังพอปรานีอยู่บ้าง ที่จะยกเว้นโทษปรับให้ จากคำให้การว่าเขาถูกบีบบังคับ และลักพาตัวให้ออกจากสถานที่กักตัว และกลายเป็นครั้งแรกที่ไต้หวันจะละเว้นโทษปรับนับล้านจากการฝ่าฝืนมาตรกสรกักตัวให้

แต่ทั้งนี้ ข้ออ้างเรื่องการถูกนักทวงหนี้ข่มขู่ทำร้ายร่างกาย และรีดไถเงิน จะยังคงสืบสวนต่อว่าเป็นความจริงหรือไม่

หากไม่มีหลักฐานยืนยันว่าคำบอกเล่าของนายเฉินเป็นเรื่องจริงหล่ะก็ คงได้คดีพลิกอีกรอบ และนายเฉิน ก็เปิดบ้านรองานเข้าได้เลย เพราะนอกจากต้องจ่ายเงินล้านแล้ว ยังมีสิทธิ์คิดคุกข้อหาแจ้งความเท็จอีกกระทงด้วย


อ้างอิง

https://www.taiwannews.com.tw/en/news/4113852

https://edition.cnn.com/travel/article/taiwan-quarantine-kidnap-intl-hnk-scli/index.html

EXIM BANK แจงรัฐประหารในเมียนมา ยังไม่ส่งผลกระทบต่อลูกค้า และการค้าการลงทุนไทย - เมียนมา

นางวรรธนา มงคลศรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้ติดตามสถานการณ์รัฐประหารในเมียนมาอย่างใกล้ชิด และพบว่ายังไม่มีลูกค้า EXIM BANK ได้รับผลกระทบ เนื่องจากผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศของเมียนมา

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีบริการประกันการส่งออกคุ้มครองความเสี่ยงแก่ผู้ส่งออกไทยจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อหรือธนาคารผู้ซื้อในต่างประเทศ ทั้งจากสาเหตุทางการค้าและการเมือง รวมทั้งบริการประกันความเสี่ยงการลงทุน (Investment Insurance) คุ้มครองความเสี่ยงทางการเมือง

กรณีโครงการลงทุนได้รับความเสียหายจากการดำเนินนโยบาย กฎระเบียบ หรือการดำเนินการใด ๆ ของรัฐบาลในประเทศที่เข้าไปลงทุน จนมีผลกระทบในทางลบต่อโครงการและความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ของนักลงทุน

ทั้งนี้ ในปี 2563 ไทยและเมียนมามีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 6,593 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปเมียนมา 3,798 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าของไทยจากเมียนมา 2,795 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเมียนมาเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 17 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 1.6% ของมูลค่าส่งออกรวม ในปี 2563 ที่ผ่านมามูลค่าส่งออกของไทยไปเมียนมาหดตัว 13% เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้การค้าชายแดนมีอุปสรรคในการขนส่งสินค้าและความต้องการบริโภคของเมียนมาชะลอตัวลง

"EXIM BANK โดยสำนักงานผู้แทนในย่างกุ้ง เมียนมา จะติดตามสถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อประเมินผลกระทบในระยะสั้นและระยะถัดไปต่อการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับเมียนมา และช่วยเหลือดูแลด้านการเงิน

รวมถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุน เพื่อให้ลูกค้าและผู้ประกอบการไทยสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเพื่อผ่อนคลายผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน" นางวรรธนา กล่าว

ครม.ปรับเกณฑ์ ‘เราชนะ’ อีกรอบ เปิดให้ร้านธงฟ้า - รถเร่ขายของ - สามล้อถีบ ร่วมโครงการได้ ลงทะเบียนถึง 12 ก.พ. แต่ห้ามใช้ซื้อทองคำ - อัญมณี

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบมาตรการเยียวยาประชาชนในโครงการ "เราชนะ" ซึ่งทางสภาพัฒน์ฯได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อย โดยสาระสำคัญคือ เดิมผู้ประกอบการที่เป็นธงฟ้าอาจจะมีข้อที่ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่า ถ้าเป็นนิติบุคคลจะสามารถเข้าร่วมโครงการได้หรือไม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนถ้าเป็นธงฟ้าในรูปนิติบุคคล สามารถเข้าร่วมโครงการได้

นอกจากนี้ ร้านค้าในโครงการคนละครึ่งสามารถเข้าร่วมโครงการเราชนะได้ และผู้ประกอบการของกองทุนหมู่บ้าน กองทุนชุมชนเมือง หรือผู้ประกอบการของชุมชนก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้เช่นเดียวกัน รวมถึงผู้ประกอบการที่สามารถตรวจสอบหลักแหล่งได้แต่เป็นประเภทรถ เช่น สามล้อถีบก็สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งทั้งหมดสามารถไปลงทะเบียนร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์เราชนะตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม - 31 มีนาคม 2564 นี้

นายอนุชา กล่าวว่า "สำหรับกรณีที่จะใช้เงินในโครงการเราชนะไปซื้อสินค้า เช่น ทองคำ หรือร้านค้าที่ขายของประเภทของเก่าที่ขายพวกเพชร พลอย ทอง นาค เงิน หรืออัญมณี อันนี้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการเราชนะได้ เนื่องจากดูแล้วไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top