Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

‘ทัพไทย’ ยันลงโทษแพทย์ทหาร หลอกฉีดวัคซีนกำลังพลในเซาท์ซูดาน - พร้อมดำเนินคดี อยู่ระหว่างการจับกุมตามหมายจับ ระบุเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ยอมรับไม่ผ่านการคัดเลือกก่อนส่งไปปฏิบัติหน้าที่ เผยเรื่องนี้ยูเอ็นไม่ติดใจ

กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.ท.เชาวลิตร สังฆฤทธิ์ โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมด้วย พล.ต.ณัฐพล แสงจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์สันติภาพ กรมยุทธการทหาร แถลงข่าว กรณีกำลังพลร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน (UNMISS) ประพฤติผิดวินัยร้ายแรงในการหลอกลวงฉ้อโกงเงินกำลังพลเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธ์แอฟริกาช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวว่า ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าว เกี่ยวกับนายทหารที่ไปปฏิบัติภารกิจที่เซาท์ซูดานถูกสอบสวนกรณีหลอกลวงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในประเทศแอฟริกานั้น กองบัญชาการกองทัพไทย ขอเรียนว่าเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องจริงเมื่อปี 2563 โดยนายทหารสัญญาบัตรยศร้อยโท ตำแหน่งนายแพทย์โรงพยาบาลสนามระดับ 1กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ ไทย/เซาท์ซูดาน

อย่างไรก็ตาม ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและรายงานให้ผู้บังคับบัญชากองกำลังภารกิจสหประชาชาติในเซาท์ซูดาน และกองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยต้นสังกัดทราบแล้ว พร้อมทั้งให้กำลังพลดังกล่าวจบภารกิจและส่งตัวกลับประเทศไทย เมื่อ มี.ค 2563

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของกองทัพไทยและประเทศไทยในภารกิจร่วมสหประชาชาติ ซึ่งต่อกรณีดังกล่าว ทางกองทัพไทยได้ดำเนินการอย่างทันท่วงที โดยไม่มีการปกป้องผู้กระทำผิดแต่อย่างใด และกองทัพบกในฐานะเป็นต้นสังกัดกำลังพลดังกล่าว ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง รวมถึงพิจารณาในประเด็นมาตรฐานทางจริยธรรมควบคู่กันไป

สำหรับผลการสอบสวนสรุปว่า นายทหารท่านดังกล่าวได้กระทำผิดจริง มีพฤติกรรมหลอกลวงผู้บังคับบัญชาและกำลังพล ให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยแอบอ้างว่าเป็นคำสั่งของนายแพทย์ประจำภารกิจ แต่กลับนำสารอื่นเข้าสู่ร่างกายกำลังพลแทน พร้อมทั้งได้เรียกเก็บเงินกำลังพลเป็นค่าวัคซีนด้วย แสดงถึงเจตนาทุจริตหลอกลวง พฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายฉ้อโกงและประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ในระหว่างการสอบสวนนายทหารคนดังกล่าวไม่มาปฏิบัติหน้าที่ราชการ และไม่สามารถติดต่อได้ หน่วยต้นสังกัดจึงได้ดำเนินการในฐานความผิดหนีราชการในเวลาประจำการ และเสนอปลดออกจากราชการ พร้อมกันนี้ศาลทหารกรุงเทพ ได้ออกหมายจับในข้อหาหนีราชการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนั้นได้มีหนังสือถึงแพทยสภาให้พิจารณา เพิกถอนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา ในระหว่างนี้แพทยสภาจะให้โอกาสนายแพทย์คนดังกล่าวมาชี้แจงอีกครั้ง หลังจากเรียกมาให้ข้อมูลครั้งนึงแล้ว หากไม่มาก็จะถอนใบประกอบวิชาชีพต่อไป

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอเรียนว่าเป็นการกระทำผิดส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่ผิดวินัยทหารและกฎหมาย รวมทั้งสร้างความเสื่อมเสียร้ายแรงต่อชื่อเสียงของกองทัพและประเทศชาติ กองทัพไทยได้ดำเนินการตามกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยทันที เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงได้ดำเนินการเรื่องจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเวชกรรมทั้งนี้เพื่อป้องกันผลกระทบและสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนทั่วไป”โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าว

อย่างไรก็ตาม ทางกองกำลังสหประชาชาติก็มีความเข้าใจในกระบวนการที่กองทัพไทยได้ดำเนินการต่อเรื่องดังกล่าว โดยเหตุการณ์ดังกล่าวไม่กระทบต่อภารกิจโดยรวมของกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน ซึ่งกำลังพลทุกนายยังทุ่มเทปฏิบัติงานด้านการช่างและการรักษาสันติภาพที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่อง

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวว่า ตั้งแต่มีการจัดกองกำลังไปปฏิบัติงานในนามของสหประชาชาติไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อนครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกเนื่องจากที่ผ่านมาเรามีกระบวนการคัดเลือกบุคลากร ศึกษาถึงภูมิหลัง สอบถามผู้บังคับบัญชา แต่กรณีของนายแพทย์คนดังกล่าว ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการคัดเลือก เนื่องจากไปแทนนายแพทย์คนเดิมที่ต้องกลับมาประเทศไทยในช่วงนั้น จึงเป็นเรื่องกะทันหันไม่ได้มีการพิจารณาตามขั้นตอนต่างๆ

โฆษกกองทัพไทย กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ นายแพทย์คนดังกล่าว ยอมรับกับ ผบ.ร้อยทหารช่างฯ เองว่าทำคนเดียวไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยได้จัดซื้อวัคซีนจากประเทศอินเดีย ซึ่งทางยูเอ็นนำไปตรวจสอบ พบว่า เป็นวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักไม่ใช่ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์แอฟริกา ส่วนกำลังพลที่เสียหายไม่ได้ติดใจอะไร เนื่องจากจำนวนเงินที่เสียหายต่อคนประมาณแค่ 500 บาท รวมกำลังพลกว่า 200 นายรวมจำนวนแล้วประมาณ 1.7 แสนกว่าบาท ซึ่งไม่ได้เป็นจำนวนเงินมากมาย แต่สิ่งที่ตระหนัก คือ เรื่องของคุณธรรมจริยธรรม

ส่วนกรณีที่แพทย์คนนั้นได้อ้างว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งเป็นโรคที่ห้ามเป็นทหารนั้น ไม่ขอตอบประเด็นนี้ แต่การเป็นทหารและเรียนการแพทย์ทหารบก ทั้งสมองและร่างกายจะต้องมีความแข็งแรงสมบูรณ์ จะไม่รู้เจตนาว่าทำไปทำไม อีกทั้งตัวเขาเองนั้นก็ยศร้อยโท อายุไม่มากนัก ส่วนร่างกายที่อ้างว่าถูกกำลังพลของกองร้อยทหารช่างฯคุกคามข่มขู่นั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะจากการสอบถามกำลังพลทั้งหมดให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันในขณะที่ทบ. และแพทยสภาเปิดโอกาสให้ชี้แจง ตัวเขาก็ไม่มาชี้แจง

พล.ต.ณัฐพล กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลที่เดินทางไปในพื้นที่ดังกล่าวจะมีมาตรฐานจากยูเอ็นกำหนดไว้ โดยก่อนออกเดินทางทุกคนจะได้รับวัคซีน 3ชนิดคือ ไข้เหลือง, กาฬหลังแอ่น, อหิวาตกโรค หากมีความต้องการฉีดเพิ่มต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งช่วงดังกล่าวมีการแพร่ระบาดโควิด และมีการแนะนำว่าหากฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะช่วยไม่ให้ติดเชื้อ โควิด-19 ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการส่งแพทย์คนดังกล่าวไปแทนคนเก่านั้น ก็เป็นเหตุสุดวิสัย

การบินไทยยื่นแผนฟื้นฟู ตั้ง ‘ปิยสวัสดิ์ - จักรกฤศฎิ์’ บริหาร เตรียมปรับโครงสร้างองค์กรกระชับขึ้น ลดจำนวนผู้บริหาร ลดขั้นตอนการบังคับบัญชา เพื่อดำเนินงานได้คล่องตัว

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้การบินไทยได้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการจนแล้วเสร็จและได้ยื่นแผนฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วตามกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย โดยขั้นตอนจากนี้เจ้าหนี้จะได้รับสำเนาแผนฟื้นฟูกิจการจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อไป ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้เป็นตามที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้การบินไทยฟื้นฟูกิจการและตั้งผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2563

“การบินไทยได้พยายามอย่างเต็มที่ในการจัดเตรียมแผนฟื้นฟูกิจการที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมกับเจ้าหนี้ทั้งหลายมากที่สุด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแผนฟื้นฟูกิจการฉบับนี้จะได้รับการยอมรับจากเจ้าหนี้และได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน โดยในเบื้องต้น คณะผู้ทำแผนเสนอให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และนายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล เป็นผู้บริหารแผนที่จะบริหารและจัดการธุรกิจภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการต่อไป”

สำหรับผู้ทำแผนได้เตรียมความพร้อมที่จะดำเนินการตามแผนเอาไว้เป็นอย่างดีและได้ดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงไปแล้วดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เช่น ได้เตรียมแผนการประกอบธุรกิจ ได้เริ่มเตรียมความพร้อมที่จะดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับขึ้น ในส่วนของพนักงาน มีการลดจำนวนผู้บริหาร อีกทั้งยังมีการลดขั้นตอนการบังคับบัญชา เพื่อให้การดำเนินงานต่างๆ คล่องตัวขึ้น คณะผู้ทำแผนจึงมั่นใจได้ว่าผู้บริหารแผนจะสามารถดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้การบินไทยกลับมาประกอบธุรกิจได้

นายกฯ แจ้ง ครม.ปรับไว ปลาย มี.ค.- ต้น เม.ย. วอนการเมืองหยุดกระเพื่อม ลั่นทุกกระทรวงต้องไม่มีทุจริต ในฐานะนายกฯ ต้องทำประเทศปลอดภัย สงบสุข มีเสถียรภาพ ทั้งความมั่นคง - ศก.- สังคม - การเมือง

ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับโฉมหน้ารัฐบาลบิ๊กตู่ 2/3 ว่าจะได้ยลโฉมเมื่อไร และคาดว่าจะดูดีขึ้นหรือไม่ว่า เร็วๆ นี้ ได้มีการหารือกับพรรคการเมืองไว้เรียบร้อยหมดแล้ว สุดท้ายเป็นเรื่องของนายกฯ ตัดสินใจ ก็จะต้องทำให้เร็วที่สุด และวันนี้เป็นการแต่งตั้งรักษาการเป็นการชั่วคราว ก็คงไม่นานนัก และเป็นการสานต่อแนวทางเดิมจนกว่าจะมีรัฐมนตรีว่าการคนใหม่ขึ้นมาก็แค่นั้นเอง

เมื่อถามว่าการปรับ ครม.ที่มีข่าวว่านายกฯ แจ้งในที่ประชุมว่าจะปรับให้เสร็จภายในเดือน มี.ค. หรือต้น เม.ย. ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แล้วยังไง เมื่อถามว่าประชาชนอยากรอดู นายกฯ กล่าวว่า ก็รอสิ ปลาย มี.ค. หรือต้น เม.ย. ก็จะทำให้เร็วที่สุด ทำไมต้องเอาคำพูดนี้ไปแปลเป็นอย่างอื่นอีก มันจบตั้งแต่ความหมายตรงนี้แล้ว ทำไมต้องอธิบายซ้ำอีก ไม่เข้าใจ เมื่อถามว่าจะพิจารณาปรับเฉพาะตำแหน่งที่ว่างลงอย่างเดียวหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า กำลังคิดอยู่ เมื่อถามว่ามีพรรคร่วมรัฐบาลแสดงเจตนารมณ์ขอปรับรัฐมนตรีในส่วนของตัวเองหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มี หรือถ้ามีเดี๋ยวเขาก็บอกมาเอง แต่จากการพูดคุยกับหัวหน้าพรรคก็ยังไม่มี

“มันขัดแย้งกันเยอะอยู่แล้ว อย่าเอาอะไรกันอีกเลย ผมคิดว่าสามารถควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ดี ทั้งการเมือง และการบริหารแผ่นเดิน เราอยู่อำนาจบริหารก็ต้องบริหาร นิติบัญญัติก็อยู่นิติบัญญัติ ตุลาการก็อยู่ตุลาการ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่าที่นายกฯ บอกว่าคุยกับพรรคร่วมแล้วมีการปรับโควตาใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตอนนี้ยังเหมือนเดิม เมื่อถามว่าพรรคเล็กมีการรวมตัวแถลงข่าวขอเก้าอี้ นายกฯ กล่าวว่า ก็แถลงไป เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคที่จะไปคุยกัน ตนพูดอะไรก็ชอบไปแปลความกันต่อ ตนไม่ได้โมโหอะไรเลย และก็ชอบไปพูดกันว่านายกฯ เครียด ไม่ได้เครียดอะไร แต่เครียดเพราะคำถามเธอนั่นแหละ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ในเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศ หลายอย่างดีขึ้น ซึ่งเกิดจากมาตรการรัฐ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว 3 วันที่ผ่านมาจะเห็นว่าตัวเลขการสั่งจองโรงแรมต่างๆ สูงขึ้น มีการใช้มาตรการคนละครึ่ง เที่ยวด้วยกัน ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลทยอยออกมาเป็นลำดับ ตรงนี้เป็นไปตามแผนงาน ตามงบประมาณที่มีอยู่ รวมถึงงบเงินกู้ด้วย

“เพียงแต่ขอความร่วมมือ ความเข้าใจกับทุกท่าน ประชาชนทุกคนอันเป็นที่รักยิ่งของผม ช่วยกันทำให้ประเทศชาติเราเข้มแข็ง อย่ามุ่งหมายแต่ทำลายกัน มันไม่ถูกต้อง ประเทศไทยเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของพวกเรามายาวนาน ประกอบอาชีพมายาวนาน ฉะนั้นอะไรก็ตามที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ผมเองไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น ผมดำรงตนในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล ด้วยเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นในการที่จะทำให้ประเทศชาติของเราปลอดภัย สงบสุข มีเสถียรภาพ

ทั้งเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม เรื่องของการเมืองและเรื่องของอะไรต่าง ๆ วันนี้ผมได้พูดกับ ครม.ทั้งหมด ขอบคุณในความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ที่ทำให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จมาในระดับเป็นที่น่าพอใจ และวันนี้มีหลายวีดิทัศน์ที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยในหลายมิติด้วยกัน

ซึ่งทุกกระทรวงจะทยอยออกมาตามระยะเวลา ไม่ว่าจะเป็นรายวัน รายเดือน หรือราย 3 เดือนต่างๆ ก็จะรวบรวมว่ามีอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทยบ้าง เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ ไม่เช่นนั้นจะถูกเอาไปบิดเบือนทั้งหมด นั่นคือปัญหาของบ้านเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือความรักความสามัคคีของพวกเรา อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญกว่าอย่างอื่นในขณะนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว


ที่มา: https://mgronline.com/politics/detail/9640000020385

ศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก ‘สม รังสี’ พร้อมนักการเมืองฝ่ายค้านอีก 8 คน ฐานมีแผนการโค่นล้มรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ศาลกรุงพนมเปญในกัมพูชาตัดสินจำคุกสม รังสี อดีตแกนนำพรรคฝ่ายค้าน เป็นเวลา 25 ปี ฐานมีแผนการโค่นล้มรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน รวมถึงพยายามโจมตีเพื่อก่อให้เกิดอันตรายแก่ราชอาณาจักรกัมพูชา นอกจากนี้ ศาลยังตัดสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งและลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอีกด้วย

โดยรังสีแถลงการณ์ผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า "การตัดสินครั้งนี้เกิดจากความอ่อนแอและความกลัว นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กลัวความเสี่ยงที่ผมจะกลับสู่วงการการเมืองกัมพูชาและหวั่นว่าจะมีการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมซึ่งจะนำไปสู่จุดสิ้นสุดของระบอบเผด็จการของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"

ทั้งนี้ รังสี ลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2015 เพื่อหลบเลี่ยงการถูกจำคุกในความผิดหลายคดีที่ระบุว่า มีแรงจูงใจทางการเมือง โดยคดีล่าสุดเกี่ยวข้องกับการที่เขาพยายามจะเดินทางกลับกัมพูชาในปี 2019 ซึ่งถูกตัดสินว่าเป็นการพยายามโจมตีเพื่อก่อให้เกิดอันตรายแก่ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เคยกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าเป็นความพยายามก่อรัฐประหาร

นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองฝ่ายค้านอีก 8 คนรวมถึงภรรยาของรังสี ถูกตัดสินจำคุกระหว่าง 20 ถึง 22 ปีเช่นเดียวกัน

ด้านองค์การเพื่อสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ ออกประณามการตัดสินจำคุกครั้งนี้ว่า เป็นการจงใจไม่ให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้เดินทางกลับประเทศกัมพูชา และยังเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ชาวกัมพูชาอีกด้วย


ที่มา : www.posttoday.com/world/646754

‘อริย์ธัช’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคกล้า อัดรัฐบาลสื่อสารสับสน หวั่นทำคนกลัวการฉีดวัคซีน

วันนี้ (2 มี.ค.) นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตสวนหลวง พรรคกล้า ให้ความเห็นต่อการรับมือสถานการณ์โควิด - 19 ด้วยการฉีดวัคซีนว่า วัคซีนเป็นทั้งความหวังและอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคในครั้งนี้ โดยจะเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ทั้งในด้านสาธารณะสุขและทางเศรษฐกิจ ข่าวดีก็คือเวลานี้ ทั่วโลกฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 220 ล้านโดส พบว่า ประเทศที่มีการฉีดครอบคลุมไปแล้วจำนวนมากอย่าง อิสราเอล ที่ฉีดเข็มแรกไปคลุมประชากรไปแล้วกว่า 80 เปอร์เซนต์ มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงกว่าครึ่งและมีอัตราการตายต่อวันลดลงชัดเจน

สะท้อนว่าการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้คนหมู่มากสามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงก็มีน้อยมาก ในด้านเศรษฐกิจ พบว่า บรรดาประเทศที่มีการฉีดวัคซีนหมู่จำนวนมากสามารถกลับเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ รวมถึงการเปิดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่มีการตกลงระหว่างกันหรือที่เรียกว่า ทราเวลบับเบิ้ล ซึ่งจะอนุญาตให้ผู้ที่ฉีดวัคซีคแล้วเข้าประเทศไม่ต้องมีการกักตัวใดๆ เช่น กรีซกับอิสราเอล เป็นต้น

นายอริย์ธัช กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทยก็มีข่าวดีเช่นกันคือ ได้รับวัคซีนล็อตแรกแล้ว เป็นวัคซีนชิโนแวค จากประเทศจีน หลังจากนั้นก็จะมีวัคซีนจากแอสตราซิเนนกา เข้ามาอีกชุด นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่าจะมีการสั่งวัคซีนเข้ามาเพิ่มอีกจำนวนมากจากบริษัทต่าง ๆ เพื่อคืนสถานการณ์ปกติกลับมาให้ประเทศได้เร็วขึ้นจากแผนเดิม ซึ่งถือเป็นทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าเรื่องการสื่อสารของรัฐบาลยังคงเป็นปัญหาสำคัญ เพราะที่ผ่านมามีความสับสนไม่แน่นอนจนทำให้ประชาชนเริ่มขาดความเชื่อมั่นและอาจนำไปสู่การปฏิเสธการฉีดวัคซีนได้ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ ถ้าเป็นไปได้จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องรู้ตัวและเร่งปรับแก้ไขโดยด่วน

“การที่วันหนึ่งบอกว่านายกรัฐมนตรีจะฉีดเป็นคนแรกเพื่อสร้างความเชื่อมั่น พออีกวันหนึ่งก็มาแก้ข่าวกัน ว่าไม่ฉีดแล้วเพราะปัญหาธุรการ พออีกวันหนึ่งก็บอกใหม่ว่าเป็นเพราะอายุมากเกินจะฉีดวัคซีนชนิดนี้ นี่คือปัญหาสำคัญในด้านการสื่อสารโดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ เพราะการเปลี่ยนสารบ่อยๆสุดท้ายก็จะกลายเป็นข้อกังขา ทำให้ประชาชนรู้สึกกลัวและไม่กล้าฉีดวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนชิโนแวค ซึ่งเป็นวัคซีนล็อตแรกนำเข้ามา

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการพูดถึงกันมากถึงประสิทธิภาพของวัคซีนว่ายังไม่แน่นอนเพราะมีผลแตกต่างกันมากในหลายประเทศ บางประเทศมีประสิทธิภาพเพียงมากกว่าร้อยละ 50 นิดหน่อยเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าหลายประเทศปฏิเสธที่จะฉีดวัคซีนชนิดนี้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เพราะมองว่าเป็นหน้าด่านที่มีความใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและจะไม่ฉีดให้กับผู้ที่มีอายุสูงกว่า 60 ปี” นายอริย์ธัช กล่าว

นายอริย์ธัช ยังกล่าวต่อว่า ความจริงแล้วในเรื่องนี้สามารถชี้แจงได้ด้วยการให้รายละเอียดทางการแพทย์มาประกอบเพื่อสร้างความเข้าใจและรับรู้ตรงกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เหมือนที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ยืนยันว่า วัคซีนชิโนแวค มีประสิทธิภาพลดความรุนแรงของโรค โดยป้องกันการป่วยที่มีอาการน้อยต้องพบแพทย์แบบผู้ป่วยนอกได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และป้องกันการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ไม่ต้องพบแพทย์ 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ต้องสื่อสารให้ประชาชนรับทราบโดยตลอด และควรวางแผนการฉีดให้สอดคล้องกับกลุ่มประชากร เช่น หากหลายประเทศมีข้อกังวลในการฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ เราก็อาจยึดมาเป็นแนวทาง

โดยใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าในการฉีดคุ้มกันให้ด่านหน้าและกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ส่วนวัคซีนชิโนแวคซึ่งได้รับการยอมรับเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ก็ควรเลือกใช้กับกลุ่มประชากรที่แข็งแรงและมีความเสี่ยงน้อย ถ้ามีความชัดเจนแบบนี้แต่แรก ไม่รีบพยายามสื่อสารเพียงเพราะต้องการให้หน้าให้ตาใครบางคนให้ได้ซีนมากเกินไป แล้วว่ากันไปตามข้อมูลทางการแพทย์ก็คงไม่ต้องมาจับตาว่าใครคนไหนจะฉีดเป็นเข็มแรก จนกลายเป็นความสับสนซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมของแผนวัคซีนเลย


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000020277

โควิดสมุทรสาครดีขึ้น จังหวัดทยอยปิดโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง ในสมุทรสาคร หลังรองรับผู้ป่วยโควิดต่อเนื่องช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ปฎิบัติหน้าที่แทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าฯ / นพ.นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องภาครัฐ - เอกชน ร่วมกันปิดโรงพยาบาลแห่งแรก ของจังหวัดสมุทรสาคร หรือ ‘ศูนย์ห่วงใยคนสาคร1’ ที่สนามกีฬาจังหวัด ซึ่งเริ่มรองรับผู้ป่วยโควิด จำนวน 700 เตียง มาตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของการแพร่ระบาดโควิดในจังหวัด

โดยโรงพยาบาลสนาม นับเป็นจุดเริ่มต้นของการหาสถานที่กักตัว ผู้ติดเชื้อโควิด ที่มีอาการไม่รุนแรง และ ไม่แสดงอาการ เพื่อนำตัวแยกออกจากชุมชน แยกออกจากสังคม มากักตัว เพื่อสังเกตอาการเพื่อจะได้ไม่เกิดความเสี่ยงแพร่เชื้อกับคนอื่นต่อในช่วงที่จังหวัดสมุทรสาคร ยังต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิดในช่วงนั้น

โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้น ที่นำไปสู่หาสถานที่อื่นๆ เพื่อสร้างโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมในจังหวัดจนนำมาสู่การมี รพ.สนาม จำนวน 8 แห่ง ในช่วงเวลา 1 เดือน ของการแพร่ระบาด และเพิ่มเป็น 10 แห่ง ในช่วง 2 เดือน ของการแพร่ระบาด

สำหรับผู้ป่วยโควิดกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ คือ กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ติดเชื้อจากตลาดกลางกุ้งจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาด ในจังหวัดสมุทรสาคร จากนั้นเป็นกลุ่มแรงงานจากโรงงานอื่นๆ และ สถานที่อื่นๆ ที่พบผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่มากนัก หรือไม่แสดงอาการ ถูกทยอยส่งมาที่นี่ รวมถึงกระจายไปยัง โรงพยาบาลสนามแห่งอื่น ๆ ที่อยู่ใน จังหวัดสมุทรสาคร

แม้การปิดโรงพยาบาลสนามครั้งนี้ ทางจังหวัดต้องการทำให้เห็นว่าทิศทางของสมุทรสาครดีขึ้นแล้ว แต่หากตรวจพบผู้ป่วยจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก ก็จะถูกส่งตัวไปยังสถานที่อื่น ซึ่งอยู่ในรูปแบบที่เจ้าหน้าที่สามารถดูแลในระบบ ‘Local Quarantine’ ได้ โดยจะแตกต่างจากโรงพยาบาลสนาม เพราะมีอาคาร มีสถานที่สำหรับกักตัวที่ชัดเจน มีห้องพักอยู่ได้เป็นสัดส่วน ห้องละ 1 คน หรือ 2 คน เพราะจำนวนไม่มากเหมือนช่วงสถานการณ์พีคๆ เมื่อ 1 เดือนก่อนที่พบผู้ติดเชื้อ 500+ / 600+ หรือ 900+ ในบางวัน

นอกจากการปิด โรงพยาบาลสนาม ‘ศูนย์ห่วงใยคนสาคร1’ แล้ว ทางจังหวัดสมุทรสาคร ยังปิดอีกแห่งคือ ‘ศูนย์ห่วงใยคนสาคร3’ ที่ วัฒนา แฟคตอรี่ ของ นายก อบต. พันท้ายนรสิงห์ ‘นายวัฒนา แตงมณี’ ที่ยกอาคารโกดังขนาดใหญ่ 2 อาคาร อาคารละ 120 เตียง รวม 2 อาคารมี 240 เตียง ซึ่งก่อนหน้านี้ นายวัฒนา ได้ยกอาคารโกดังให้เจ้าหน้าที่ให้ทำเป็น โรงพยาบาลสนาม ในทันที เมื่อทราบว่าจังหวัดกำลังหาสถานที่ ที่ต้องการสร้างโรงพยาบาลสนาม เพิ่มเติมเมื่อช่วงต้นเดือน มกราคม 2564 และต่อมายังก่อสร้างโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม (ศูนย์ห่วงใยคนสาคร8) เพื่อรองรับอีก 1,000 เตียง

สำหรับโรงพยาบาลสนามแห่งอื่น ๆ คาดว่าจะทยอยปิดตาม แต่จะยังคงเปิดบางแห่งไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ในช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อและสถานการณ์ โควิด-19 ที่จังหวัดสมุทรสาคร ยังไม่นิ่ง


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3945770772110687&id=100000334098614

สาวอเมริกันทำแสบ ฉ้อโกงเงินเยียวยา Covid กว่า 4.4 ล้าน ไปช้อปปิ้งมือเติบ แหวนเพชร กระเป๋าหลุยส์

ช้อปแหลกไม่แคร์โลก ทำเอาชาวอเมริกันเดือดเมื่อรู้ข่าวว่า สาวชาวนอร์ท แคโรไลนา ได้ผลาญเงินเยียวยาของรัฐบาลไปช้อปปิ้งแหวนเพชร กระเป๋าหลุยส์ วิตตองไปถึง 149,000 เหรียญ (ประมาณ 4.47 ล้านบาท) และยิ่งแสบกว่านั้นคือเป็นเงินที่เธอฉ้อโกงมาโดยการแอบอ้างกิจการของเธอที่เจ๊งไปแล้วตั้งแต่ก่อน Covid มาหลอกขอเงินรัฐบาล

เจ้าของวีรกรรมสุดแสบ คือ 'แจสมิน จอห์นเน คลิฟตัน' สาววัย 24 ปีจากเมืองชาร์ลอท รัฐนอร์ท แคโรไลนา เธอเคยเป็นเจ้าของกิจการขายเสื้อผ้าออนไลน์ ที่จดทะเบียนบริษัทในชื่อ Jazzy Jas LLC แต่เลิกกิจการไปแล้วตั้งแต่ช่วงกันยายน ปี 2019 ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติ Covid-19 ในอเมริกา

แต่พอการแพร่ระบาดของ Covid-19 ลุกลามหนักในสหรัฐ ที่มีผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ ร้านค้า กิจการหลายแห่งต้องปิดตัวลงในช่วงนี้ ผู้คนตกงานมากมาย ซึ่งรัฐ นอร์ท แคโรไลนา ก็เจอปัญหาหนัก มีผู้ตกงานเพิ่มสูงขึ้นถึง 6.5% ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

ช่วงเวลานั้น รัฐบาลสหรัฐได้ออกมาตรการแจกเงินเยียวยา Covid-19 และยังอัดฉีดเม็ดเงินในกองทุนฟื้นฟูกิจการ ที่ชื่อว่า CARES Act มีจุดประสงค์ให้เจ้าของกิจการที่ต้องปิดตัวในช่วงวิกฤติ Covid-19 ให้สามารถกลับมาทำธุรกิจต่อได้หลังจากนี้

แต่กลับเป็นช่องทางให้สาวมะกันสุดแสบคนนี้ใช้เป็นช่องทางหาเงินก้อนโต ด้วยการแอบอ้างชื่อ Jazzy Jas LLC ร้านขายเสื้อผ้าของเธอที่แจ้งเลิกกิจการไปนานแล้วมาขอเงินกู้ในกองทุนฟื้นฟู โดยอ้างว่าเคยมีรายได้ถึงปีละ 3.5 แสนเหรียญ พอ Covid มา ร้านก็เลยเจ๊งค่ะคุณตำรวจ

หลังจากที่ได้ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จไป ทำให้เธอได้เงินจากกองทุนฟื้นฟูของรัฐบาลมาถึง 149,000 เหรียญ แต่แทนที่จะนำเงินไปเริ่มต้นกิจการใหม่ แต่เธอกลับนำเงินก้อนโตไปช็อปปิ้งสินค้าฟุ่มเฟือย เครื่องเพชร กระเป๋าแบรนด์หรู ของแต่งบ้านในห้างดัง

แต่แล้วความจริงก็คือความจริง เมื่อรัฐบาลกลางมีการตรวจสอบบัญชีย้อนหลัง และพบว่าแจสมินได้ยื่นหลักฐานเท็จ แอบอ้างกิจการที่ไม่มีอยู่จริงที่จะเข้าข่ายได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฟื้นฟู จึงได้แจ้งข้อหา และอายัดเงินในบัญชีของเธอกว่า 50,000 เหรียญ

ส่วนคดีความตอนนี้กำลังพิจารณาอยู่ในชั้นศาลของรัฐบาลกลางในข้อหาฉ้อโกง แอบอ้างรับผลประโยชน์จากกองทุนช่วยเหลือเพื่อสาธารณะภัยของรัฐ และหากถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจมีสิทธิ์ต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 30 ปี และปรับเงินอีกไม่น้อยกว่า 1.25 ล้านเหรียญ (ประมาณ 37.5 ล้านบาท)

สำนักงานอัยการของรัฐออกมาเตือนว่า กองทุนช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟูกิจการจากวิกฤติ Covid-19 มีไว้ช่วยเหลือเจ้าของกิจการรายย่อยทั่วสหรัฐกว่า 75% ที่ได้รับผลกระทบหนักในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็พบกลุ่มคนที่หาประโยชน์จากกองทุนนี้ด้วยวิธีมิชอบ อย่างเช่นกรณีสาวแสบจากนอร์ท แคโรไลนาคนนี้

และตอนนี้ทางรัฐบาลกลางก็ได้ตั้งชุดทำงานไว้ตรวจสอบ ไล่ล่าคนที่คิดจะฉ้อโกงหาผลประโยชน์จากกองทุนนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรได้ เพราะฉะนั้น โปรดอย่าคิดจะรอด และอย่าคิดทำ หากเจอโทษหนักทั้งจำ ทั้งปรับ ไม่คุ้มได้นะครับ บอกเลย


ที่มา:

North Carolina woman is accused of using her $149,000 Covid-19 relief loan for shopping sprees - CNN

https://edition.cnn.com/2021/02/25/us/north-carolina-covid-shopping-spree-trnd/index.html?utm_source=fbCNNi&utm_medium=social&utm_term=link&utm_content=2021-02-28T13%3A30%3A16?iid=cnn-mobile-app&adobe_mc=TS%3D1614605421%7CMCMID%3D72896598776226317998010576196136757497%7CMCAID%3D30131C8745DA0E30-60000E406754C553%7CMCORGID%3D7FF852E2556756057F000101%40AdobeOrg

‘สมศักดิ์’ ลั่น! รู้ตัวคนวางเพลิงหน้าเรือนจำคลองเปรม สั่งตั้ง ‘คณะพาลีปราบยา’ สืบสวนเชิงลึกคาดออกหมายจับได้เร็วนี้ พร้อมข้อหาหนักทำลายทรัพย์ - บุกรุกยามวิกาล - เผยแพร่ข้อมูลความมั่นคง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการติดตามกรณีคนร้ายวางเพลิงป้ายและทำลายทรัพย์สิน บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพว่า หลังจากที่กรมราชทัณฑ์ไปแจ้งความเอาผิดกับผู้กระทำผิดและตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ทางตำรวจได้เก็บหลักฐานจากภาพกล้องวงจรปิดของเรือนจำ ที่สามารถจับภาพคนร้ายได้ โดยมีผู้ต้องสงสัย 3 คนเป็น ชาย 2 หญิง 1 ซึ่งตามภาพจากกล้องวงจรปิดไปจนถึงที่พักพบว่า มีความเชื่อมโยงทางการเมือง

ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมหลังจากที่ได้ทราบถึงกลุ่มบุคคลที่ลงมือก่อเหตุวางเพลิง ตนจึงได้สั่งการให้คณะทำงานเฉพาะกิจชื่อว่า ‘คณะทำงานพาลีปราบยาของกระทรวงยุติธรรม’ ช่วยทำการสืบสวนเชิงลึกในกรณีดังกล่าว ทำให้ในขณะนี้เราได้ข้อมูลสำคัญที่ทำให้ทราบถึงตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุดังกล่าว

รวมถึงได้ข้อมูลสำคัญที่ทำให้ทราบถึงบุคคลและกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการเผยแพร่ภาพดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์รวมถึงเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถออกหมายจับดำเนินคดีได้ทั้งกลุ่มผู้ลงมือ กลุ่มผู้ร่วมขบวนการและตัวการสำคัญในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “กระทรวงยุติธรรมมีคณะทำงานเฉพาะกิจ คือ ‘พาลีปราบยา’ จึงให้ช่วยสืบสวนข้อมูลเชิงลึก ทำให้ทราบถึงผู้บงการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ รวมถึงคนเผยแพร่ข้อมูลความมั่นคงลงในโลกโซเชียล การสืบสวนในครั้งนี้ทำให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์มากขึ้นในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด

เพราะจากข้อมูลของตำรวจเกี่ยวกับผู้กระทำผิดมีหลักฐานที่ชัดเจนทำให้เราสืบต่อไปได้ เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้เพราะเป็นความผิดที่ร้ายแรง ทั้งการบุกทำลายทรัพย์สินของราชการในยามวิกาล และเรือนจำกลางคลองเปรมเป็นสถานที่ความมั่นคงสูง รวมถึงการนำข้อมูลความมั่นคงเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อหาเหล่านี้เป็นข้อหาหนัก เราต้องนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่างโดยเร็ว”

โดยผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่า แสดงว่าขณะนี้ได้ตัวผู้บงการแล้วใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “ก็ต้องบอกว่ารู้ โดยจะส่งข้อมูลไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในการออกหมาย” เมื่อถามว่า จะไปดำเนินการแจ้งความที่ ปอท.หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของตำรวจท้องที่

โปรดเกล้าฯ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “ปลอดประสพ สุรัสวดี” หลังต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 ราชกิจจานุเบกษาได้แพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ความว่า

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก มหาวชิรมงกุฎ ประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ทุติยจุลจอมเกล้า ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 2 เหรียญจักรพรรดิมาลา เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1 และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 3 ซึ่งนายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับพระราชทาน

เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ในคดีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเป็นเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามข้อ 6 และ ข้อ 7 (2) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 และนายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นผู้ถูกถอนชื่อออกจากรายชื่อผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามประกาศที่เกี่ยวข้องแล้ว

‘แรมโบ้’ ซัด เพื่อไทยและกลุ่มแคร์ ‘ซาดิสม์’ สนับสนุนม็อบใช้ความรุนแรง ยืนยัน เหตุตำรวจสลายการชุมนุมตามหลักสากล ย้อนถาม “เพื่อไทย - กลุ่มแคร์” เข้าข้างม็อบฝ่ายเดียว แล้วตำรวจไม่ใช่คนหรือ เหตุใดจึงออกมาประณาม

2 มีนาคม 2564 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแคร์ ออกมาประณามสลายชุมนุมที่รุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีสิทธิทำเกินกว่าเหตุ และเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนท่าทีพิจารณาใช้มาตรการจัดการกับการเคลื่อนไหวของประชาชนตามมาตรฐานสากล โดยยืนยันว่าการดำเนินการต่างๆของเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นนายกฯ และตำรวจได้ออกมายืนยันแล้วว่าเป็นไปตามหลักสากล และตนเองยังมองว่าก่อนที่พรรคเพื่อไทย หรือกลุ่มแคร์จะออกมาประณามการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่นั้น ก็ควรมองถึงต้นตอก่อนว่าเกิดจากใคร ซึ่งหากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ออกมาชุมนุม หรือชุมนุมให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้น

และการชุมนุมครั้งนี้รวมถึงการชุมนุมที่ผ่านมา ตำรวจได้ออกมาชี้แจงแล้วว่าตำรวจถูกทำร้ายด้วยก้อนหิน ประทัดยักษ์ ระเบิดปิงปอง ปลายธงฟาดตำรวจ จนได้รับบาดเจ็บ ถึง 90 นาย และยังมีตำรวจเสียชีวิต

“ที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแคร์ ออกมาพูด ออกมาประณามการกระทำของตำรวจฝ่ายเดียว คิดว่าตำรวจไม่ใช่คนเหมือนกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงคิดแต่เข้าข้างกลุ่มผู้ชุมนุมเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร

ทั้งนี้ หากตนเองและคนอื่น ๆ จะขอประณามการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมที่กระทำรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้หรือไม่ เป็นถึงผู้ใหญ่ เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ และเป็นผู้แทนของประชาชน เหตุใดถึงคิดแค่นี้ หรือว่าที่ออกมาปกป้องกลุ่มผู้ชุมนุม เพียงเพราะอยากเกาะกลุ่มผู้ชุมนุมหวังล้มรัฐบาล เพื่อพรรคของตัวเองจะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล

ซึ่งหากคิดแค่นี้ ตนเองก็มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยคงได้เป็นฝ่ายค้านไปตลอดชีวิต และเป็นเรื่องที่น่ากลัวหากพรรคการเมืองที่มีแนวคิดเช่นนี้จะเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะสนับสนุนการใช้ความรุนแรงของกลุ่มผู้ชุมนุม”

"พฤติกรรมความเลวร้ายความชั่วร้ายของกลุ่มชุมนุม พรรคเพื่อไทยและกลุ่มแคร์ กลับมองไม่เห็น ตาบอดมืดมิดได้อย่างเหลือเชื่อ เหมือนผีบังตา เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกระทำอย่างรุนแรงบาดเจ็บมากมายเช่นนี้ ประชาชนคนไทยยอมไม่ได้เด็ดขาด พรรคการเมืองหรือคนกลุ่มไหนที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือเผาทำลายทรัพย์สินราชการเสียหายจะได้จารึกชื่อพรรคการเมืองนั้น ๆ ให้ประชาชนได้สาปแช่งลงโทษลงทัณฑ์ในการเลือกตั้งสมัยหน้าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอย่างแน่นอน และจะได้บันทึกไว้ว่าพรรคเพื่อไทย สนับสนุนการใช้ความรุนแรงให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top