Monday, 12 May 2025
NEWS FEED

รพ.ศิริราชวอนบริจาคด่วน หลังเลือดขาดแคลนหนัก เหตุโควิด-19 กระทบแรง ห่วง 1 ก.พ.นี้ เปิดให้บริการรักษาเต็มรูปแบบ อาจไม่สามารถให้บริการผู้ป่วยได้

เผยเลือดสำรองจะใช้ได้ไม่เกิน 4-5 วัน ซ้ำเลือดหมู่ A และ O ยังมีน้อยกว่าเลือดสำรองหมู่อื่น สามารถติดต่อบริจาค ศูนย์รับบริจาคเลือดศิริราช อาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา ชั้น 3 รพ. ศิริราช ทุกวัน เวลา 08.30 - 16.00 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์) สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-414-0100 , 0 2-414-0102

รศ.พญ. ปาริชาติ เพิ่มพิกุล หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อการบริการรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะการบริจาคเลือดได้เพียงวันละ 60-100 ถุง ขณะที่ความต้องการใช้เลือดของผู้ป่วยวันละประมาณ 120-180 ถุง บางวันสูงถึง 200 ถุง คาดว่าเลือดสำรองจะใช้ได้ไม่เกิน 4-5 วัน ซ้ำเลือดหมู่ A และ O ยังมีน้อยกว่าเลือดสำรองหมู่อื่น และยิ่งหนักใจวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้ โรงพยาบาลศิริราชจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ยิ่งลำบากแน่นอน อาจทำให้ไม่สามารถให้บริการผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่อง

จึงขอเชิญชวนผู้ใจบุญทุกท่านร่วมบริจาคเลือดช่วยผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยที่รอการผ่าตัด รวมถึงผู้ป่วยโรคเลือดที่จำเป็นต้องใช้เลือด หากท่านมีสุขภาพดี และไม่มีความเสี่ยง มาร่วมช่วยชีวิตคนไทยด้วยกัน ซึ่งศูนย์รับบริจาคเลือดศิริราชมีระบบคัดกรองอย่างปลอดภัยและได้มาตรฐาน โดยวัดอุณหภูมิทั้งเจ้าหน้าที่และผู้บริจาค รวมทั้งทำความสะอาดอุปกรณ์และสถานที่อย่างสม่ำเสมอ

สำหรับท่านที่ต้องการบริจาคเลือด ขอให้เตรียมร่างกายให้พร้อม โดยพักผ่อนเพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง น้ำหนัก 48 กิโลกรัมขึ้นไป และต้องไม่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคลมชัก โรคหัวใจหรือเคยเจ็บแน่นหน้าอก เป็นต้น

ทั้งนี้ สามารถรับประทานอาหารและน้ำได้ตามปกติ แต่ขอให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่มีไขมันสูง งดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่เข้าข่ายผู้มีความเสี่ยงติด COVID-19 สามารถติดต่อบริจาคเลือดได้ที่ ศูนย์รับบริจาคเลือดศิริราช อาคารนวมินทรบพิตร ๘๔ พรรษา ชั้น 3 รพ. ศิริราช ทุกวัน เวลา 08.30 - 16.00 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์) สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-414-0100 , 02-414-0102



ที่มา: https://www.naewna.com/local/549119

โดนเด็กย้อน!! ‘ธนกร’ แซะ ‘เฉลิม’ หลังอัดรัฐ ‘ตั้งผู้เฒ่าแก้ปัญหาบ่อน ชาติหน้าก็แก้ไม่ได้’ ขุด!! สมัยเพื่อไทยบ่อนเต็มบ้าน ไม่เห็นย้ายใครได้

ธนกร’ ย้อนแรง ‘เฉลิม อยู่บำรุง’ สมัยรัฐเพื่อไทย ‘บ่อนเต็มเมือง’ ไม่เห็นย้ายใครได้ โว ‘บิ๊กตู่’ ย้ายจริงคนทำผิด ชี้ คนเกษียนยังทำงานได้ หากทุกฝ่ายช่วยกัน

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย โจมตีรัฐบาลว่าตั้งคนเกษียณแก้ปัญหาบ่อน ชาติหน้าก็แก้ไม่ได้ ว่า…


“สมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลมีบ่อนเต็มไปหมดใช่หรือไม่ แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหม แก้ปัญหาบ่อนอย่างเป็นระบบ ลงโทษเด็ดขาด ย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับผู้บัญชาการ และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนแนวคิดเปิดบ่อนพนันถูกต้องตามกฎหมายก็มีคณะกรรมการศึกษาข้อดีข้อเสียอยู่ เพราะมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สุดท้ายก็อยู่ที่ประชาชน”


นายธนกร กล่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม เสมือนคนเกษียณแล้วแต่ยังมีไฟอยู่ ดังนั้นอย่าดูถูกคนเกษียณ เพราะแต่ละคนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถ และเป็นที่ยอมรับของสังคม เชื่อว่าชาตินี้แก้ได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องรอชาติหน้า หากทุกฝ่ายช่วยกัน ส่วนที่บอกว่าคนมีอำนาจใหญ่โตหากินกับบ่อนการพนัน ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ตนมั่นใจในตัวพล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะจัดการเด็ดขาดโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประชาชนเผชิญสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งต้องคุมเข้ม และหวังว่า ร.ต.อ.เฉลิม คงไม่ใช้มุขเดิมมาตำหนิตนว่าเป็นมวยไม่มีราคา ม้าไม่มีชั้นอีก

ทำความรู้จัก ‘รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ’ รถพระราชทานเคลื่อนที่ตรวจวิเคราะห์ผล COVID-19 แบบรวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย รู้ผลการตรวจภายใน 2 ชั่วโมง สามารถทำงานแบบ One Stop Service ผลงานจากคณะวิศวะ จุฬาฯ เพื่อสนองพระราชดำริ นำร่องตรวจที่ NBT และสมุทรสาคร

จากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ระลอกสองที่พบผู้ติดเชื้อและประชาชนในกลุ่มเสี่ยง ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย การตรวจวิเคราะห์โรค COVID-19 ด้วยความรวดเร็ว แม่นยำ และมีความปลอดภัยต่อบุคลากรทางการแพทย์สูงสุด เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม มีเทคโนโลยีที่เข้าช่วยเหลือประชาชนในการตรวจวิเคราะห์โลก โดยเพจเฟซบุ๊กจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ว่า…

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่ทรงให้ความสำคัญในการวิเคราะห์ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว โดยการสร้าง ‘รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ’ (Express Analysis Mobile Unit) เพื่อเป็นห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ ออกตรวจวิเคราะห์ผล COVID-19 นอกโรงพยาบาลหรือหน่วยงาน ช่วยลดปัญหาการขนส่งตัวอย่างและระยะเวลา ในการรอผลวิเคราะห์จากการขนส่งตัวอย่างกลับมาวิเคราะห์ที่หน่วยงาน โดยได้พระราชทาน ‘รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษต้นแบบ’ ออกใช้งานคู่กับรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย ในการค้นหาเชิงรุกแบบเบ็ดเสร็จในสถานที่จริงที่สถานีโทรทัศน์ NBT เป็นงานแรก และล่าสุดถูกนำไปใช้ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครซึ่งเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของ COVID-19

‘รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ’ เป็นรถต้นแบบที่ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ บริษัท เอนจินไลฟ์ จำกัด ซึ่งก่อตั้งโดยทีมสตาร์ทอัพที่บ่มเพาะจากศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) และเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและเอกชน มีพื้นที่ใช้สอย 16.8 ตารางเมตร ประกอบด้วย 3 ห้องหลัก ได้แก่ ห้องสกัดสารพันธุกรรม ห้องเตรียมน้ำยาวิเคราะห์ และห้องวิเคราะห์ผลด้วยเทคนิคการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมดีเอ็นเอด้วยปฏิกิริยาโพลีเมอเรส (PCR)

นอกจากนี้ยังมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า และห้องบัฟเฟอร์เพื่อควบคุม และป้องกันการรั่วไหลของเชื้อโรค พร้อมเครื่องมือที่ติดตั้งภายในรถ ได้แก่ ตู้ปลอดเชื้อ ตู้ปฏิบัติงานพีซีอาร์ (PCR cabinet) เครื่องสกัดสารพันธุกรรมอัตโนมัติ เครื่องเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมดีเอ็นเอด้วยปฏิกิริยา โพลีเมอเรส (real-time PCR), ตู้แช่แข็ง -20 องศาเซลเซียส ตู้ทำความเย็น 4 องศาเซลเซียส ช่องส่งตัวอย่าง เครื่องเขย่าผสมสาร เครื่องปั่นเหวี่ยงตกตะกอน ไมโครปิเปต (Micropipette) ระบบยูวีฆ่าเชื้อ ระบบสื่อสารสองทาง ระบบกล้องวงจรปิด และเครื่องล้างมือแอลกอฮอล์อัตโนมัติ ทั้งนี้สามารถนำไปใช้วิเคราะห์เชื้ออื่นๆ ที่วิเคราะห์ด้วยเทคนิค PCR และใช้ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที การจัดสร้างรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษต้นแบบนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ใช้งบ 7.5 ล้านบาทต่อคัน

ศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษนี้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ น้อมรับพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการผลิตรถคันนี้ สามารถทำงานแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว (One Stop Service) โดยนำความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ให้ได้มาตรฐานในระดับเดียวกับห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมควบคุมโรค เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยสามารถรู้ผลการตรวจภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ช่วยลดความกังวลแก่ผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อ

คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า การสร้างนวัตกรรมไม่ได้เริ่มได้ในวันเดียว คณะวิศวกรรมศาสตร์ได้พัฒนานวัตกรรมมาเป็นระยะเวลานานแล้ว เมื่อเกิดสถานการณ์ COVID-19 สามารถปรับเปลี่ยนนวัตกรรม เช่น หุ่นยนต์เพื่อตอบสนองความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์ได้ ทั้งนี้ไทยประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ยังคงพัฒนาหุ่นยนต์อย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้เกิดระบบ Telemedicine ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ด้าน ผศ.ดร.จุฑามาศ รัตนวราภรณ์ ประธานหลักสูตรสหสาขาวิชาวิศวกรรมชีวเวช คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ผู้พัฒนารถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ กล่าวว่า ความพิเศษของรถคันนี้เป็นห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและความแม่นยำเทียบเท่ากับห้องปฏิบัติการทั่วไป โดยได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย การเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์ตัวอย่างที่รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษจะทำให้ทราบผลการตรวจวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว อุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถเป็นไปตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

“การออกแบบรถต้นแบบเริ่มตั้งแต่ พ.ย.63 หลัง ช่วงที่ COVID-19 ยังไม่ระบาดระลอก 2 ใช้ระยะเวลาในการผลิตรถต้นแบบ 2 เดือน รถคันนี้ตอบโจทย์การนำไปใช้งานได้จริง สะดวก ปลอดภัย ให้ผลการตรวจที่ถูกต้องสูงสุด”

ขณะที่ นพ.วิชาญ ปาวัน ผอ.สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ ใช้ร่วมกับรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย เพื่อค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ช่วยลดปัญหาในการขนส่งตัวอย่างสิ่งส่งตรวจเข้ามาในกทม.หรือจังหวัดใกล้เคียงที่ต้องใช้เวลานาน การทำงานภายในรถเหมือนระบบสายพานโรงงาน ทั้งการสกัดเชื้อและการวิเคราะห์ คาดว่าใน 8 ชั่วโมงสามารถตรวจตัวอย่างได้ 800–1,000 ตัวอย่าง การนำรถลงไปใช้งานจริงในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครในครั้งนี้จะทำให้เกิดความปลอดภัย และยุติปัญหาการระบาดของโรคในจ.สมุทรสาครให้เร็วที่สุด

ที่มา: https://www.chula.ac.th/news/38055/?fbclid=IwAR1K0CtXvbybdpY8KQzbS9srWFBvyOvRFaZf7K2PrGcdqbG0-U49YthcaIE

รมว.แรงงาน แจงยอดขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ตามมติ ครม. วันที่ 29 ธันวาคม 2563 หลังผ่านครึ่งทางของการลงทะเบียนออนไลน์ ตั้งแต่ 15 ม.ค. 64 เป็นต้นมา มีแรงงานต่างด้าวยื่นบัญชีรายชื่อแล้ว ทั้งสิ้น 251,755 คน

ละต้องเข้าตรวจคัดกรองโควิด-19 พร้อมจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ภายใน 16 เม.ย. 64 ย้ำ ผู้ที่ยังไม่ดำเนินการ รีบยื่นบัญชีฯ ก่อนหมดเขต 13 ก.พ. 64

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวมาโดยตลอด ด้วยแรงงานต่างด้าวเป็นส่วนสำคัญหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนการผลิต เชื่อมโยงถึงเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะปัจจุบันที่ประเทศไทยต้องพบกับการระบาดระลอกใหม่ ของเชื้อโควิด – 19 จำเป็นต้องผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน ทุกระดับในสังคม เพื่อมีส่วนร่วม มีบทบาท ในการช่วยกันเร่งเยียวยาเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวโดยเร็ว

“กระทรวงแรงงาน ได้แก้ปัญหาด้านแรงงานต่างด้าว โดยบริหารจัดการให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ได้อยู่และทำงานในประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาขาดแคลนแรงงานและสามารถตรวจสอบควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งผลตอบรับการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 เป็นไปในทิศทางที่ดีมาก มีผู้ลงทะเบียนประมาณวันละกว่า 15,000 คน

ทั้งนี้ ขอย้ำเตือนแรงงานต่างด้าว และนายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว ที่ยังไม่แจ้งบัญชีรายชื่อให้รีบดำเนินการยื่นบัญชีฯ ผ่านระบบออนไลน์ภายในวันที่ 13 ก.พ. 64 หากพ้นกำหนดจะไม่สามารถดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้ และไม่สามารถอยู่ในประเทศไทย เพื่อทำงานได้อีกต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ข้อมูลจากระบบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ ทางอิเล็กทรอนิกส์ https://e-workpermit.doe.go.th ของกรมการจัดหางาน ณ วันที่ 29 มกราคม 2564 มีคนต่างด้าวยื่นบัญชีรายชื่อแล้วรวม 251,755 คน แบ่งเป็นกรณีคนต่างด้าวที่มีนายจ้าง ซึ่งมีนายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อฯ จำนวน 62,415 ราย เป็นคนต่างด้าว จำนวน 236,223 คน แบ่งเป็นสัญชาติเมียนมา 142,932 คน กัมพูชา 67,945 คน และลาว 25,346 คน และกรณีคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง โดยคนต่างด้าวแจ้งข้อมูลด้วยตนเอง จำนวน 17,882 คน แบ่งเป็นสัญชาติเมียนมา 9,671 คน กัมพูชา 6,904 คน และลาว 1,307 คน

“ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 เห็นชอบการทบทวนแนวทางการดำเนินการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 กำหนดให้คนต่างด้าวทั้งที่มีนายจ้าง และยังไม่มีนายจ้างที่ยื่นบัญชีรายชื่อฯแล้ว เข้าตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 กับโรงพยาบาลของรัฐ หรือโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคดังกล่าว ให้เป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 ส่วนการตรวจสุขภาพโรคต้องห้าม 6 โรค และประกันสุขภาพ

หากมีเหตุให้ไม่สามารถดำเนินการพร้อมกับการตรวจคัดกรองโรคโควิด – 19 ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 ให้ไปดำเนินการให้แล้วเสร็จ ไม่เกินวันที่ 18 ตุลาคม 2564

พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการตรวจโรคโควิด – 19 เพื่อการพิสูจน์ตัวตนของคนต่างด้าวและความมั่นคงของประเทศ และส่งข้อมูลให้กรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน ภายในวันที่ 16 เมษายน 2564

เมื่อคนต่างด้าวได้รับการรับรองผลว่าไม่เป็นโรคโควิด - 19 และผ่านการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ดังกล่าวแล้ว กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่มีนายจ้าง ให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวในระบบออนไลน์ https://e-workpermit.doe.go.th ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 และคนต่างด้าวไปจัดทำทะเบียนประวัติและรับบัตรประจำตัว

คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ด้านหลัง ณ สถานที่ ที่กรมการปกครองหรือกรุงเทพมหานครกำหนด ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ส่วนคนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง ให้ไปจัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (ทร.38/1) ตามวิธีการที่กรมการปกครอง หรือกรุงเทพมหานครกำหนด ภายในวันที่ 16 มิถุนายน 2564 เมื่อมีนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่ประสงค์จะรับคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าทำงาน ให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ ภายในวันที่ 13 กันยายน 2564 และคนต่างด้าวไปปรับปรุงทะเบียนประวัติ และรับบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ที่มีใบอนุญาตทำงานอยุ่ด้านหลัง ณ สถานที่ ที่กรมการปกครองหรือกรุงเทพมหานครกำหนด ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ

ศาลอาญาธนบุรีพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ‘ไอซ์ หีบเหล็ก’ กักขังหน่วงเหนี่ยว ฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน และอำพรางศพ พร้อมให้ชดใช้ค่าสินไหม 2.9 ล้าน ให้มารดากับบุตรผู้เสียชีวิต

ศาลอาญาธนบุรีอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.585/2563 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดโจทก์ และน.ส.ศึกษาพร ไชยเชษฐ มารดากับบุตร เป็นโจทก์ร่วมที่ 1,2 ฟ้องนายอภิชัย องค์วิศิษฐ์ หรือ "ไอซ์ หีบเหล็ก" เป็นจำเลย ฐานฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ,ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย, ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายและข้อหาร่วมกันทำให้เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งศพ

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 4-6 ส.ค.2562 จำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขัง น.ส.วรินทร์ธรณ์ ไชยเชษฐ หรือกุ๊กกิ๊ก ผู้ตายไว้ในห้องพักของจำเลย แล้วฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายจนถึงแก่ความตาย ต่อมาจำเลยกับพวกร่วมกันขุดหลุมและฝังศพผู้ตายเพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตายและเป็นการทำให้เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งศพ โดยไม่มีเหตุอันสมควร

เหตุเกิดที่แขวงและเขตบางแค กทม. ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199,289,310,366/3 ริบของกลาง ขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.201/2563, อ.1140/2563 และ ย.1831/2563 ของศาลนี้

จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายและข้อหาร่วมกันทำให้เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งศพ ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่รับว่าทำร้ายร่างกายผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยบันดาลโทสะ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ โดยศาลอ่านคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำพิเศษธนบุรี

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยแล้ว เห็นว่า ความผิดฐานร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตายและข้อหาร่วมกันทำให้เสียหาย เคลื่อนย้าย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งศพ กฎหมายไม่ได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว

ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายนั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยทำร้ายน.ส.วรินทร์ธรณ์หรือกุ๊กกิ๊ก และนำผู้ตายใส่ในกล่องเหล็กทึบจนเสียชีวิต แต่มีพยานที่รู้เห็นและเบิกความยืนยันพฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุที่จำเลยทำร้ายผู้ตาย โดยใช้ท่อนเหล็กทุบศีรษะและลำตัว ทั้งใส่กุญแจมือที่ข้อมือและข้อเท้าและบังคับให้น.ส.วรินทร์ธรณ์หรือกุ๊กกิ๊กเข้าไปนอนในกล่องเหล็กทึบ

และพฤติการณ์หลังจากที่ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งเจือสมกับทางนำสืบของจำเลยที่รับว่าทำร้ายผู้ตายและบังคับผู้ตายให้นอนในกล่องเหล็กทึบ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าทำร้ายน.ส.วรินทร์ธรณ์ หรือ กุ๊กกิ๊ก โดยบันดาลโทสะเพราะผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยและกลับไปหาสามีผู้ตายนั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม

จึงไม่ใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะ ที่จำเลยอ้างว่าจับผู้ตายเหวี่ยงไปถูกชั้นวางของทำให้ดัมเบลที่วางอยู่บนชั้นตกใส่ผู้ตายก็ไม่น่าจะมีน้ำหนักกระแทกรุนแรงถึงขนาดทำให้เสียชีวิต ประกอบกับรายงานการตรวจศพที่แพทย์สรุปสาเหตุการตายว่า มีเลือดออกในช่องอกขวาได้รับบาดเจ็บรุนแรง ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่น่าเชื่อถือ

พฤติการณ์ที่จำเลยรีบนำศพน.ส.วรินทร์ธรณ์หรือกุ๊กกิ๊กไปลักลอบฝัง แสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้ว่าตนกระทำผิดร้ายแรงและประสงค์จะปกปิดความผิดดังกล่าว พยานแวดล้อมกรณีของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีน้ำหนักเพียงพอที่ชี้ชัดว่า จำเลยใช้ท่อนเหล็กทุบตีทำร้ายผู้ตายจนได้รับบาดเจ็บรุนแรง มีเลือดออกในช่องอกแล้วบังคับให้น.ส.วรินทร์ธรณ์หรือกุ๊กกิ๊ก ลงไปนอนขดตัวภายในกล่องเหล็กทึบ ขนาดความกว้างประมาณ 40 ซม. ยาวประมาณ 70 ซม. สูงประมาณ 45 ซม. และปิดฝากล่องคล้องด้วยกุญแจไว้

โดยน.ส.วรินทร์ธรณ์ หรือ กุ๊กกิ๊ก อยู่ในสภาพนอนขดตัวงอเข่าชิดอก จนไม่สามารถขยับตัวหรือหายใจได้โดยสะดวก ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานขณะอยู่ภายในกล่องเหล็กทึบ แม้ผลการตรวจสภาพศพของแพทย์ไม่สามารถชี้ชัดว่าผู้ตายขาดอากาศหายใจ เนื่องจากศพมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากเสียชีวิตเป็นเวลานานทำให้อวัยวะภายในเสื่อมสลายก็ตาม

การกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเล็งเห็นผลว่า น.ส.วรินทร์ธรณ์ หรือ กุ๊กกิ๊ก อาจถึงแก่ความตายได้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง และเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขัง น.ส.วรินทร์ธรณ์ หรือ กุ๊กกิ๊ก เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และการที่จำเลยบังคับให้ผู้ตายลงไปนอนขดตัวภายในกล่องเหล็กทึบขนาดเล็กจน น.ส.วรินทร์ธรณ์ หรือ กุ๊กกิ๊กถึงแก่ความตายนั้น ถือได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน หรือ โดยกระทำทารุณโหดร้าย จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามฟ้อง

ในคดีส่วนแพ่ง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยทรมาน หรือ โดยกระทำทารุณโหดร้ายและฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่เป็นมารดาและบุตรของผู้ตาย

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 366/3 ประกอบมาตรา 83 มาตรา 289(6), 310 วรรคสอง เมื่อเพิ่มโทษและลดโทษจำเลยตามกฎหมายแล้ว คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย.201/2563, อ.1140/2563 และย.1831/2563 ของศาลนี้ ริบของกลาง กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 1,700,000 แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และเป็นเงิน 1,200,000 บาท แก่โจทก์ร่วมที่ 2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลอาญาธนบุรีมีคำพิพากษาคดีของไอซ์ หีบเหล็ก จำเลยคดียาเสพติดและฆาตกรรมหญิงสาวต่อเนื่องไป 3 สำนวนแล้ว ประกอบด้วย เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2563 คดีหมายเลขดำ ย.199/2563 ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน, กัญชา และอาวุธปืน พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 10 ปี 5 เดือน ปรับ 564,750 บาท

กับเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2563 คดีหมายเลขดำ อ.586/2563 ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองและข่มขืน พิพากษาจำคุก 11 ปี 4 เดือน และวันที่ 25 ม.ค.2564 คดีหมายเลขดำที่ ย.941/2563 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 25 ปี ปรับ 750,000 บาท


ที่มา : https://mgronline.com/crime/detail/9640000009093

ผลการศึกษาของกลุ่มคลังสมองชั้นนำออสเตรเลีย ชี้ ไทยติด Top 10 รับมือโควิดดี บราซิลจัดการแย่สุดในโลก นิวซีแลนด์ครองอันดับ 1

สถาบันโลวีแห่งซิดนีย์ ใช้ 6 เกณฑ์ เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันแล้ว จำนวนผู้เสียชีวิต และการตรวจหาเชื้อ เพื่อดูว่าประเทศต่างๆ จัดการกับการระบาดของโควิดได้ดีแค่ไหน พบว่า นิวซีแลนด์รับมือได้ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก คุมการระบาดได้ด้วยการปิดประเทศ ล็อกดาวน์เข้มงวดแต่เนิ่นๆ พร้อมรุกตรวจหาเชื้อเช่นเดียวกับเวียดนาม ไต้หวัน ไทย ไซปรัส รวันดา ไอซ์แลนด์ ออสเตรเลีย ลัตเวีย และศรีลังกาที่ติดกลุ่ม Top 10 เช่นกัน

ส่วนประเทศที่รับมือได้แย่สุดอยู่ในอันดับ 98 ได้แก่ บราซิล ตามมาติดๆ ด้วยเม็กซิโก โคลอมเบีย อิหร่าน และสหรัฐ

ทั้งนี้ การเผยแพร่รายงานฉบับดังกล่าว ได้รับความสนใจไม่น้อย เพราะจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ได้รวมอยู่ในการจัดอันดับ เนื่องจากสถาบันโลวีให้เหตุผลว่า เพราะข้อมูลสำคัญๆ หลายด้านไม่ได้รับการเปิดเผยให้สาธารณชนรับทราบ


ที่มา . https://interactives.lowyinstitute.org/features/covid-performance/#rankings

‘แนทเธอรีน ดุสิตา’ อดีต BNK48 เจ้าของฉายา ‘ธิดาชาวสวน’ และกูรูผู้ทายผลบอลทีมนั้นชนะ ทีมนั้นมักแพ้ทุกที ยิ้มออก หลังศาลพิพากษาไม่ผิดปมต้นสังกัดฟ้องหมิ่น ส่วนสัญญาลาออกมีผลทันที

แต่ให้ชดใช้ 1 แสนค่าครู พร้อมคืนบัญชีสื่อโซเชียลมีเดีย แต่ขอเล็งอุทธรณ์บางประเด็น

ที่ห้องพิจารณา 712 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ พ1806/2563 ที่บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด (หรือ iAM ต้นสังกัดของศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปไอดอล BNK48) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง แนทเธอรีน - น.ส.ดุสิตา กิติสาระกุลชัย ศิลปิน อดีตสมาชิก BNK48 รุ่น 2 เป็นจำเลย ในข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาและการระบุเรื่องของขวัญจากแฟนคลับที่ไม่ได้รับ ซึ่งทางโจทก์มองว่าเป็นการหมิ่นประมาท

โดยโจทก์ฟ้องขอค่าเสียหายต่อชื่อเสียงที่เสียไป จากการที่จำเลย กล่าวหาว่า ลักของขวัญจากแฟนคลับ 1 ล้านบาท และค่าพัฒนาศิลปินอีกต่างหาก รวมเป็นค่าเสียหาย 1,588,298 บ.พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยส่งมอบ User (ชื่อผู้ใช้) และ Password (รหัสผ่าน) ของ Facebook และ Instagram ซึ่งเป็นสิทธิในทางทรัพย์สินของโจทก์คืนให้กับโจทก์, ให้จำเลยลบโพสต์หมิ่นประมาทโจทก์ทั้งหมดออกจากระบบคอมพิวเตอร์และระบบอินเตอร์เน็ต, ให้จำเลยขอขมาโจทก์ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ และแถลงข่าวขอขมาโจทก์

วันนี้ น.ส.ดุสิตา, นายดุสิต กิติสาระกุลชัย บิดา พร้อมนายพงศธร เอมอ่อน ทนายความจำเลย พร้อมทีมงานบุคคลใกล้ชิดเดินทางมาศาล ฝ่ายโจทก์มีเสมียนทนายความมาศาล นอกจากนี้ ยังมีแฟนคลับของ น.ส.ดุสิตา เดินทางมาให้กำลังใจอีกจำนวนหนึ่ง

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์กับจำเลยแล้ว เห็นว่า กรณีจำเลยโพสต์ข้อความว่าของหายหมดเลยนั้น จำเลยไม่ได้ระบุชัดเจนว่าใครเอาของขวัญไป คนทั่วไปไม่ทราบว่าใครเอาไป จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ไม่ทำให้โจทก์เสียหายแก่ชื่อเสียง จึงไม่มีค่าเสียหายส่วนนี้ที่จะให้จำเลยต้องชดใช้ แต่จำเลยเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดในสัญญาโดยไม่ได้บอกกล่าวก่อนเป็นกำหนดระยะเวลาอันสมควร ถือว่าจำเลยผิดสัญญาพัฒนาศิลปิน จึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนค่าพัฒนาศิลปิน 100,000 บาท พร้อมส่งมอบบัญชี Facebook และ Instagram คืนให้แก่โจทก์

ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว น.ส.ดุสิตา หรือแนทเธอรีน เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจที่เราออกจากวงได้ หลังจากก่อนหน้านี้ตนส่งจดหมายลาออกไป แต่ทางวงแจ้งว่ายังไม่อนุมัติให้ลาออก แต่ศาลระบุการลาออกของตนมีผลตั้งแต่วันที่ส่งจดหมายลาออกแล้ว ดีใจที่เป็นอิสระรับงานได้อย่างไม่มีข้อผูกมัดอะไร ตอนนี้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแสดง งานเพลง ซึ่งเพลงที่ 2 เพิ่งเขียนเสร็จ กำลังจะทำการอัดในไม่ช้านี้ การที่เรามาศาลเพราะตกลงกันไม่ได้ มีประเด็นที่เห็นไม่ตรงกันต้องมาจบกันที่ศาล ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีในฐานะเด็กคนหนึ่ง ที่เรามาสู้เพื่อตัวเอง

น.ส.ดุสิตา กล่าวถึง กรณีหมิ่นประมาทที่ศาลยกฟ้องส่วนนี้ว่า ตนบอกไม่ได้รับของจากแฟนคลับ ของหายไป ตอนนั้นคุยกับแฟนคลับทาง Messenger หลังพ้นสภาพเป็น BNK48 แล้ว เขาถามได้รับของหรือยัง ตนบอกยังไม่ได้ ของหายไปไหนไม่รู้ เขาก็แคปข้อความไปลงทางเฟซบุ๊กพิมพ์ด่าต้นสังกัด แต่ตนไม่รู้เห็นด้วย และคำว่าของหายไปแปลว่าเราไม่ได้รับ ไม่ได้แปลว่าเราบอกว่าเขาขโมยไป ตนไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ทั้งนี้ ตนพอใจกับคำพิพากษา รู้สึกโล่ง หายกังวล ตนไม่ได้หมิ่นประมาท การถูกฟ้องทำให้ตนเสียใจมาก กระทบความรู้สึกมาโดยตลอด เพียงเท่านี้ก็ดีใจมาก ยิ้มกว้างได้เสียที

ด้าน นายดุสิต บิดาของแนทเธอรีน เปิดเผยว่า เราเคารพคำพิพากษาของศาล และศาลตัดสินแล้วว่า น.ส.ดุสิตา พ้นสภาพจากการเป็น BNK48 ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค. 2563 แล้ว ที่ยังไม่อนุมัติให้ออกไม่ถูกต้อง มีผลกับคนอื่นที่อยู่ในวงด้วย ถ้าคนไหนต้องการลาออกก็สามารถลาออกได้ ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาต ทันทีที่ลูกจ้างต้องการยกเลิกสัญญา สามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที ทั้งนี้ นายดุสิตยังมองว่า งานบางอย่างที่ไม่อยู่ในสัญญาแต่ไปให้คนในวงไปทำงาน ถ้าหาเงินได้จากตรงนั้น ทุกคนก็ควรจะได้รับค่าตอบแทนด้วยความเป็นธรรม คนในวงเหมือนลูกตนทั้งนั้น พ่อแม่ก็รักกันสนิทกัน

ส่วนประเด็นการส่งคืนบัญชี Instagram (ไอจี) นั้น นายดุสิต บิดาของแนทเธอรีน ระบุว่า สภาพบังคับยาก หลัง น.ส.ดุสิตา ออกจากวงมาแล้ว ศาลให้เหตุผลว่าผลงานในสื่อสังคมเป็นผลงานของต้นสังกัด ในข้อเท็จจริงหลังออกจากวง รูปภาพทั้งหมดที่ใส่ไปคือรูปหลังออกจากวง รูปก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว ถ้าเอากลับไปก็เป็นผลงานของ น.ส.ดุสิตา ใช้อะไรไม่ได้ ถ้าเอาไปปิดเฉยๆ ปัญหานี้ตนว่าต้องอุทธรณ์ ถ้าศาลสูงตัดสินให้ไอจีเป็นของ น.ส.ดุสิตา ทางนั้นปิดไปแล้วจะมาคืนได้อย่างไร ไอจีจะเปิดหรือทำใหม่ไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหาคือเราไม่เห็นด้วย น่าจะสร้างบรรทัดฐานให้รู้ว่าน่าจะเป็นข้อตกลงว่าไอจีเป็นของใคร น่าจะทำตั้งแต่แรก สัญญาไม่ได้กำหนด ตอนแรกน่าจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าไม่ฟ้องเรื่องหมิ่นประมาท คงไม่มีอะไรเลยตั้งแต่แรก ฟ้องมาก็เสียใจ เพราะในวง น.ส.ดุสิตา ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใครเลย

ส่วน นายพงศธร ทนายความของ น.ส.ดุสิตา จำเลย เปิดเผยว่า กรณีที่มีปัญหากันมีทั้งหมด 3 ประเด็น ศาลพิพากษาออกมาแล้ว ประเด็นแรก เรื่องการยกเลิกสัญญา มีผลไปแล้วตั้งแต่วันที่เราบอกเลิกสัญญา แต่ศาลให้ชดเชยค่าเสียหายจากการยกเลิกสัญญา (ค่าครูสอน/เทรนเนอร์) จำนวน 1 แสนบาท ซึ่งสมเหตุสมผล เราก็ยินดี เพราะว่าจะทำให้ยุติสัญญาไปด้วยความสบายใจ แล้วก็จะเป็นบรรทัดฐานให้กับสมาชิกในวงคนอื่นๆ ต่อไปอีกด้วย ถ้าหากวันใดวันหนึ่ง ถ้าเกิดไม่พอใจในวงแล้วอยากจะเลิกสัญญาก็สามารถทำได้

ประเด็นที่สอง เรื่องเฟซบุ๊กและไอจี ศาลให้คืนชื่อและพาสเวิร์ดให้กับบริษัท ซึ่งเราจะปรึกษากันในการอุทธรณ์ต่อไป ส่วนประเด็นที่ 3 ศาลพิพากษาว่าการโพสต์ข้อความนั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ทั้งนี้ คดีเป็นเพียงศาลชั้นต้น ยังไม่ถึงที่สุด จึงจะต้องปรึกษาหารือกับ น.ส.ดุสิตา, บิดา และทีมทนายความว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยอาจจะอุทธรณ์ในบางประเด็นที่เรายังไม่พอใจ ซึ่งหากจะอุทธรณ์เมื่อไหร่ก็จะให้ข่าวอีกครั้ง


Cr : ภาพ https://www.facebook.com/natherinedusitaa

นครราชสีมา พบผู้สูงอายุ 610 ราย ถูกเรียกเบี้ยยังชีพคืนย้อนหลัง ด้านผู้ว่านครราชสีมา เร่งหาทางช่วยเหลือด้านกฎหมายและการเยียวยาด่วน

ก่อนหน้านี้มีข่าวพบผู้สูงอายุจำนวน 13 ราย ในพื้นที่ ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ถูกเทศบาลตำบลจอหอ เรียกเก็บเงินค่าเบี้ยยังชีพคืนย้อนหลัง ตามคำสั่งของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง หลังจากตรวจพบว่าผู้สูงอายุเหล่านั้นได้รับเงินบำนาญพิเศษมาก่อนแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

ทางเทศบาลตำบลจอหอ จึงได้มีหนังสือเรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง ทั้งเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย โดยให้ผ่อนชำระรายเดือน ใน 3 เดือนแรก ในอัตราเงินที่สูง บางรายเดือนละ 18,000 บาท

หลังจากนั้นก็ให้ผ่อนชำระในอัตราลดหย่อนลงมาจนครบ ซึ่งมีผู้สูงอายุ จำนวน 9 รายที่ยอมจ่ายเงินคืน ขณะที่อีก 4 ราย ปฏิเสธการจ่ายคืน เนื่องจากเป็นเงินจำนวนมากไม่มีเงินมาจ่ายคืน ทำให้ทางเทศบาลตำบลจอหอ ต้องส่งเรื่องฟ้องไปยังศาลแขวงนครราชสีมา เพื่อพิจารณาคดีทางแพ่ง

ต่อมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้สั่งการให้สำนักงานท้องถิ่นจังหวัด และสำนักงานคลังจังหวัด ทำการสำรวจจำนวนผู้สูงอายุที่ถูกเรียกเงินเบี้ยยังชีพคืนในพื้นที่ทั้ง 32 อำเภอ เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยา และช่วยเหลือทางด้านกฎหมายอย่างเร่งด่วน

ล่าสุด วันนี้ (29 มกราคม 2564) นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้เผยว่า ทำการสำรวจในระบบในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาทั้ง 32 อำเภอ มีผู้สูงอายุที่ถูกเรียกเก็บเบี้ยยังชีพคืนทั้งหมดจำนวน 610 ราย ซึ่งตามระเบียบการเรียกเงินคืนนั้นก็มีแนวทางในการผ่อนปรน คือ ผ่อนจ่ายเป็นรายเดือน โดยหากผ่อนจ่าย หมดไม่เกิน 1 ปี จะไม่เสียดอกเบี้ย หากเกิน 1 ปี จะเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อย 7.5 ต่อปี

ส่วนผู้สูงอายุจำนวน 610 ราย ที่ต้องถูกเรียกเบี้ยผู้สูงอายุคืนย้อนหลังนั้น ขณะนี้กำลังตรวจสอบมียอดจำนวนเงินเท่าไร มีจ่ายคืนแล้วจำนวนกี่ราย

อย่างไรก็ตามทางหน่วยงานภาครัฐเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนและพร้อมให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

สำหรับประเด็นการเรียกคืนเบี้ยยังชีพย้อนหลังนี้ ทางกรมบัญชีกลางได้ให้ท้องถิ่นทุกพื้นที่ สำรวจตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2562 ก่อนจะพบผู้สูงได้รับเงินทับซ้อน จึงมีการเรียกเก็บคืน บางรายก็ยอมผ่อนจ่ายตามระเบียบ แต่ก็มีบางรายไม่มีจ่ายคืน จึงทำให้ทางท้องถิ่นจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกเก็บเงินคืน

‘ทิพานัน’ ชี้ หาก "ก้าวไกล" ยื่นญัตติแก้ไขยกเลิก มาตรา 112 เข้าข่ายโทษยุบพรรค เหตุถูกชี้นำ ย้อน ‘ปิยบุตร’ เผด็จการทางความคิด ไล่ไทม์ไลน์ ตอนเป็น ส.ส. ก็ไม่ยกเลิกมาตรา 112 ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ภายหลังจากที่พรรคก้าวไกลมีมติดำเนินการเพื่อแก้ไขยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 และมี ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคนออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยและจะไม่ออกเสียงลงมติดังกล่าว

และหลังจากนั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาฯพรรคอนาคตใหม่ และเลขาธิการคณะก้าวหน้าก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวหัวข้อว่า [ ส.ส. ต้องเป็น “ผู้แทน” ของราษฎร มิใช่ “พนักงานของรัฐ” ] พร้อมแฮชแท็ก “ยกเลิก112” นั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 29 แห่ง พรป. พรรคการเมือง 2560 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม”

ซึ่งหากพรรคก้าวไกลและสมาชิกยังคงดำเนินการยื่นญัตติและลงมติเพื่อแก้ไขยกเลิกกฎหมายดังกล่าวแล้ว ก็จะเป็นการชัดเจน มีผลให้นายปิยบุตรต้องโทษตามมาตรา 108 คือ จำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี และปรับตั้งแต่ 100,00-200,00 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

"นอกจากนี้ สำหรับพรรคก้าวไกลหากยังคงเดินหน้าดำเนินการยื่นญัตติและลงมติเพื่อแก้ไขยกเลิกกฎหมายดังกล่าว ก็อาจจะเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 28 แห่ง พรป. พรรคการเมือง 2560 ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม” ทำให้ต้องได้รับโทษยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 92(3) และคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองจะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 92 วรรคท้าย" น.ส. ทิพานัน กล่าว

น.ส. ทิพานัน กล่าว จากการแสดงออกของนายปิยบุตรเองนั้น แสดงให้เห็นลักษณะของการเผด็จการทางความคิด และเป็นที่น่าเสียดายที่นายปิยบุตรไม่สามารถควบคุมโทสจริตของตนเองได้จนมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการพยายาม ควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้พรรคการเมือง และ ส.ส. ดำเนินการแก้ไขยกเลิกกฎหมายอาญา ม.112 ในสภา

น.ส. ทิพานัน กล่าวว่า นอกจากนี้การชี้นิ้วประณาม ส.ส. ว่า “..ส.ส. ก็เป็นเพียงคนที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ของตนเท่านั้น หาก ส.ส. ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ..” ซึ่งในที่นี้หมายถึงการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามแฮชแท็กในโพสต์ดังกล่าวแล้ว ก็ขอให้นายปิยบุตรย้อนดูการกระทำของตัวเองว่าที่ผ่านมาในขณะที่เป็น ส.ส. นั้น นายปิยบุตรก็เข้าข่ายเป็น ส.ส. ที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ของตนเอง และคิดว่า ส.ส. เป็น “อาชีพ” ตามที่ว่าคนอื่นหรือไม่ อยากให้ศึกษาสุภาษิตไทยที่ว่า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” ด้วย

หากไล่ตามไทม์ไลน์ นายปิยบุตรก็กลับไปกลับมาในประเด็นดังกล่าวและหยุดเคลื่อนไหวแก้ไขยกเลิกกฎหมายเพื่อดำรงความเป็น ส.ส. ของตัวเองไว้ ดังนี้

เมื่อ 17 ม.ค. 2555 นายปิยบุตรในฐานะนักวิชาการได้เข้าร่วมลงชื่อในคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 และเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าวมาโดยตลอด

เมื่อ 27 มี.ค. 2561 เมื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่เพื่อสมัครเป็น ส.ส. ก็ประกาศหยุดเคลื่อนไหว และเคยให้สัมภาษณ์ ว่า “ขอยืนยันว่าจะไม่นำเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาเกี่ยวข้องกับพรรค และไม่นำไปผลักดันในพรรค”

เมื่อ 8 เม.ย. 2561 ยืนยันอีกครั้งโดยนายธนาธร ว่า หากเป็นนายกฯ ไม่คิดแก้ ม.112 แม้นายปิยบุตรเคยเคลื่อนไหวก็ตาม

ต่อมาเมื่อนายปิยบุตร ไม่ได้เป็น ส.ส. เพราะถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งแล้ว นายปิยบุตรก็กลับมาเคลื่อนไหวการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอีกและยังพยายามชี้นำ ครอบงำ ส.ส. ให้ผลักดันแก้ไขกฎหมายดังกล่าวด้วย โดยเมื่อ 14 ม.ค. 64 ได้ออกมาโพสต์ข้อความยอมรับเองว่า “กลางเดือนมีนาคม 2561 สมัยผมเริ่มก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ผมยอม “กลืนเลือด” ตัดสินใจขัดแย้งกับมโนธรรมสำนึกของผมอย่างสิ้นเชิงมาแล้ว ด้วยการประกาศว่า ไม่มีนโยบายแก้ 112 ทั้งนี้ ก็เพื่อขจัดอุปสรรคขัดขวาง ให้พรรคก่อตั้งได้ ให้พรรคได้ไปต่อ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทำงานได้ เพื่อฝ่าแรงเสียดทานจนไปสู่การลงเลือกตั้งได้ และด้วยหวังว่าเขาจะปรานีให้พรรคอนาคตใหม่ได้ต่อสู้ทางการเมือง”

คำพูดตามไทม์ไลน์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่านายปิยบุตร ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่หายใจไปวันๆ เพื่อตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง อำนาจ ด้วยหรือไม่ น.ส. ทิพานัน กล่าว

รมว.แรงงาน เล็งช่วยผู้ประกันตน "ประกันสังคมมาตรา 33" ประมาณ 11 ล้านคน จ่ายเยียวยา 4 พันบาท 1 เดือน เร่งถกคลังสรุปตัวเลขและงบประมาณ ชงเข้าครม.สัปดาห์หน้า

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานหารือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แล้ว เกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือ ผู้ประกันตน ในระบบ ประกันสังคมมาตรา 33 ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้ได้รับเงินเยียวยา 3,500 หรือ 4,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยเบื้องต้นจะใช้เงื่อนไขเหมือนกับโครงการเราชนะ ว่า ต้องเป็นแรงงานสัญชาติไทย และมีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท

ทั้งนี้ สศช.จะนำรายละเอียดข้อมูลกลับไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อสรุปตัวเลขและงบประมาณ คาดว่าสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุป หลังจากนั้นจะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ เบื้องต้นมีจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ประมาณ 11 ล้านคน คิดเป็นงบประมาณที่ต้องใช้กว่า 40,000 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top