Thursday, 28 March 2024
TEA TIMES

ย้อนไทม์ไลน์!! แผนแก้ฝุ่นพิษ 2.5 'พรรคภูมิใจไทย' เปลี่ยนรถเมล์ EV กว่า 1,250 คัน ยังแค่ออเดิร์ฟ!!

สิ่งที่คล้ายหมอก คล้ายควัน ที่กำลังคลุมทั่วท้องฟ้ากรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทยนั้น ใคร ๆ ต่างก็ทราบดีว่ามันคือ ฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่กลับมาทุก ๆ ปี และคงไม่ต้องสาธยายว่ามันคือ ต้นเหตุของปัญหาระบบทางเดินหายใจ และต้นเหตุของมะเร็งปอดที่คร่าชีวิตคนไทยไปนับไม่ถ้วน ติด 1 ใน 5 ของโรคที่คร่าชีวิตประชาชนคนไทย 

คำถาม คือ เหตุซ้ำซากเช่นนี้ ทำไมไร้แผนการ ไม่มีแผนระยะยาวเพื่อดูแลเลยหรือ? ถ้าให้ตอบโดยมีฝุ่นพิษในวันนี้เป็นตัวชี้วัด ก็คงตอบว่าใช่ แต่ถ้าจะให้ตอบว่าในอนาคตอันใกล้ อาจจะต้องบอกว่า 'มันกำลังถูกแก้' แบบยั่งยืน โดยเรื่องนี้ ต้องยอมให้กับพรรคภูมิใจไทย ที่ขับเคลื่อนผ่านกระทรวงคมนาคม

เหตุที่กล่าวเช่นนั้นเพราะ...

เท่าที่สำรวจตรวจสอบ พบว่า ขณะนี้การแก้ปัญหาฝุ่นพิษ แบบเอาจริงเอาจังนั้น ทางกระทรวงคมนาคม ที่ได้มีการตั้งด่านสกัดรถบรรทุก รถกระบะควันดำ ควันขาว จากการเผาไหม้ในห้องเครื่องที่ไม่สมบูรณ์ เป็นประจำสม่ำเสมอ ใครทำผิดก็ให้ไปแก้ไข ปรับปรุงสภาพเครื่องยนต์ แต่ไม่มีการรายงานข่าวแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเรื่องที่จะสร้างจิตสำนึกให้กับคนในชาติ ขณะที่การแก้ปัญหาด้านอื่น ๆ ก็ยังมีความพยายาม  

ขณะเดียวกันในส่วนของรถโดยสารประจำทาง หรือรถเมล์ เป็นส่วนสำคัญ เป็นต้นเหตุของปัญหานี้เช่นกัน เพราะรถเมล์ในเมืองไทยจำนวนหลายพันคันมีอายุหลายสิบปี สภาพเก่าแก่ เครื่องยนต์ทรุดโทรมตามกาลเวลา ปัญหารถเมล์แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ภาครัฐ ที่เป็นของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กับ รถร่วมเอกชน   

เอาในส่วนของภาครัฐ กระทรวงคมนาคม พยายามทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ยุค โสภณ ซารัมย์ เป็น รมว.คมนาคม พยายามเสนอเปลี่ยน รถ ขสมก.เป็นรถเมล์พลังงานสะอาด ใช้ก๊าซ NGV แต่ก็ถูกคัดค้านตีตกไปจาก พรรคพวกดีแต่พูด ไม่เคยมีผลงาน

วิบากกรรมกรุงเทพฯ โครงการดีๆ ที่เริ่มถูกลบด้วยเท้า จากคนเคยกล่าว “ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าอาสามาเป็นผู้ว่าฯ”

ไหวมั้ย...ท่านผู้ว่าฯ แต่ชาวประชา ดูท่าจะเริ่มทนไม่ไหว

ในฐานะเป็นคนกรุงเทพมหานครคนหนึ่ง วาดหวังมาตั้งแต่เด็กว่าอยากให้ กทม. มีป่าใจกลางเมือง รวมถึงสวนสาธารณะหลายแห่งกระจายทั่วพื้นที่ เพื่อให้คน กทม. มีพื้นที่สีเขียวไว้ฟอกปอด และพักผ่อนหย่อนใจแทนการอบแอร์ในห้างสรรพสินค้า

เมื่อรัฐบาลนี้ปรับปรุงพื้นที่โรงงานยาสูบเดิม แปลงโฉมให้กลายเป็นสวนเบญจกิติ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ จึงดีใจที่สุดว่าจะได้พื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ เพราะนี่ไม่ใช่สมบัติของคน กทม.เท่านั้น หากคือ สมบัติของคนไทยทั้งชาติ

ชื่อสวนเบญจกิติได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ มาทรงทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2547 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสวนป่าเบญจกิติอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งนับว่าสวนป่าเบญจกิติเป็นสวนสาธารณะที่เป็นสวนป่าแห่งแรกในกรุงเทพมหานคร 

ช่วงแรกกองทัพเข้ามาริเริ่มงาน จากนั้นก็ส่งไม้ต่อให้กรมธนารักษ์ ซึ่งกรมธนารักษ์มอบให้ทางกทม. ดูแล จำได้ว่าตอนที่เปิดสวนเบญจกิติใหม่ ๆ ทุกคนมีความสุขในการได้เข้าไปใช้พื้นที่ แต่ดูเหมือนว่าความสุขนั้นจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ชื่อ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ได้รับการอวยยศว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก

จากสวนอันแสนสวยงามที่ใคร ๆ กล่าวขวัญถึง กลายเป็นบึงสยองขวัญภายในไม่ทันถึงปี สภาพสวนและบึงน้ำรกเรื้อ ปราศจากการดูแลเอาใจใส่ น้ำแห้งขอดทุกคูรายรอบ ทั้งหญ้าและบัวแห้งตาย กลายเป็นสีน้ำตาลแห้งกรอบ ทำให้ผู้รักสวนสวยถึงกับหัวใจสลาย ด้วยนึกไม่ถึงว่าสภาพจะเลวร้ายขนาดนี้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากออกมาเรียกร้องให้ผู้ว่าช่วยมาดูแลปรับปรุงด้วย แต่สิ่งที่ได้รับคือท่านผู้ว่าชัชชาติตอบกลับมาว่า ที่นี่ไม่ใช่สนามกอล์ฟ จะได้เขียวสดตลอดปี ดังปรากฏในมติชนออนไลน์  

ประชาชนผู้ทนไม่ไหวถึงแจ้งต่อเพจสวนเบญจกิติ แต่ปรากฏว่าแอดมินผู้ดูแลเพจกลับชี้แจงไปในทำนองเดียวกับท่านผู้ว่าโดยโทษดินฟ้าอากาศ 

รู้จัก ‘ครูแก้ว - ศุภชัย โพธิ์สุ’ นักการเมืองที่ประชาชน...พึ่งพาได้!!

หากนึกถึงนครพนม เชื่อว่าใครหลายคนคงนึกถึงพระธาตุพนม ที่ใครมาเยือนนครพนมแล้วต้องไปไหว้พระธาตุกันสักครั้งในชีวิต หรือแม้แต่นึกถึงประเพณีไหลเรือไฟ ประเพณีที่ชาวนครพนมภาคภูมิใจ ยึดถือกันมานานตั้งแต่โบราณ

แต่ถ้าถามคนนครพนมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะนึกถึงและให้ความสำคัญอย่างมาก คือ ‘ครูแก้ว’ ศุภชัย โพธิ์สุ

นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือ ‘ครูแก้ว ผู้นำนครพนม’ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทย นักการเมืองผู้เป็นที่รักของคนในพื้นที่ และถือเป็นที่พึ่งของชาวนครพนมมาตลอดหลาย 10 ปี

และนี่คือเรื่องราวจากเด็กกำพร้า ลูกชาวนา สู่ชายคาเสนาบดีแห่งประเทศไทย ภายใต้บทบาทของการเป็น ส.ส. และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ไม่เคยคิดว่าตำแหน่งเหล่านี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ใช่ความภูมิใจส่วนบุคคล แต่เป็นของพี่น้องประชาชนชาวนครพนม ที่ตนอยากแบกรับหน้าที่ในการเป็นที่พึ่งแบบทุ่มสุดตัว 

Q: จังหวัดนครพนมเปลี่ยนไปแค่ไหน ในวันที่ ‘ครูแก้ว’ ก้าวเข้ามาเป็นผู้นำนครพนม?
ครูแก้ว: นครพนมในอดีต เป็นเมืองชายแดนเล็กๆ อยู่กันอย่างสงบ อยู่ไกลสุดเขตประเทศไทย ติดกับแขวงคำม่วน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไม่ค่อยอยู่ในความสนใจของผู้คนมากมายนัก จนกระทั่งผมได้เข้ามาเป็น ส.ส. แต่ต้องออกตัวก่อนว่า ไม่ได้หมายความถึงผลงานทั้งหมดมาจากผมคนเดียว แต่เป็นผลงานของเพื่อน ส.ส.นครพนมทั้งหมด ที่ช่วยกันผลักดันให้เกิดสะพานข้ามแม่น้ำโขง หรือ สะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 3 ที่ถือว่าเป็นสะพานสุดงดงาม มีพระธาตุประจำวันเกิด เกิดขึ้นเรียงรายอยู่ตามอำเภอต่างๆ ซึ่งเป็นพระธาตุบริวารขององค์พระธาตุพนม พร้อมทั้งมีพระธาตุประจำวันเกิดที่ใครมาก็เดินทางไปกราบไหว้สักการะบูชาตามวันเกิดของตนเอง นี่คือส่วนหนึ่ง 

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเส้นทางปั่นจักรยานเลียบริมฝั่งโขงที่ยาว แล้วก็มีองค์พญาศรีสัตตนาคราชเกิดขึ้น มีพระหยกด้านหน้าวัดพระอินทร์แปลง แล้วก็มีส่วนประกอบใหม่ๆ ที่กลายเป็นแลนด์มาร์กเกิดขึ้นมากมาย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเราเป็น ส.ส. พูดง่ายๆ ว่าผมเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเกือบ 4 ปี คนนครพนมสัมผัสได้ว่า จังหวัดนครพนมมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องถนนหนทาง เรื่องการพัฒนาอาชีพ เรื่องการพัฒนาระบบชลประทาน รวมถึงประโยชน์จากโครงการของภาครัฐที่ส่งตรงถึงพี่น้องประชาชนชาวนครพนม 

ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นครพนมได้รับงบประมาณโดยเฉพาะจากกระทรวงคมนาคมลงไปพัฒนาหลายพันล้านบาท เกิดถนนสี่เลนจากอำเภอเมืองถึงอำเภอบ้านแพง ซึ่งปีหน้าก็เสร็จเรียบร้อย เกิดถนนสี่เลนจากบ้านท่าดอกแก้ว อำเภอท่าอุเทนไปจนถึงอำเภอสีม่วงครามบ้านเพ ซึ่งเริ่มต้นไปแล้วหนึ่งปีและปีหน้าคิดว่าจะเสร็จ เกิดโครงการถนนเชื่อมระหว่างบายพาสของจังหวัดนครพนม จากสนามบิน-เมืองนครพนม

อีกทั้งเดิมรถใหญ่ๆ ที่มาจากสกลนคร หรือมาจากต่างจังหวัด ที่จะไปข้ามสะพานข้ามแม่น้ำโขง เพื่อไปยังฝั่งประเทศลาว-ไปเวียดนาม-ไปจีนนั้น ปกติก็จะวิ่งเข้าเมือง แต่ตอนนี้กระทรวงคมนาคมอนุมัติงบประมาณให้กรมทางหลวงชนบท 1,600 ล้านบาท สร้างถนนสี่ช่องจราจรเชื่อมตั้งแต่เลยสนามบินนครพนมไปจนถึงหัวสะพานข้ามแม่น้ำโขง และอีกไม่นานนี้รถไฟรางคู่จากอำเภอบ้านไผ่ ผ่านมหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, มุกดาหารและตรงดิ่งมาที่หัวสะพานข้ามแม่น้ำโขงจังหวัดนครพนม งบประมาณ 6 กว่าล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างที่การรถไฟจ่ายค่าเวนคืนสองข้างทาง ส่วนผู้รับเหมาก็คงจะมีการวางศิลาฤกษ์เพื่อปักหมุดในการสร้างสถานีรถไฟ ที่จะเชื่อมจากอำเภอบ้านไผ่มาถึงจังหวัดนครพนมภายในปลายปีนี้อย่างแน่นอน

แต่นอกจากนั้นผมเองในฐานะที่เป็น ส.ส. ก็ไปร่วมมือกับทางท่านนายก อบจ.นครพนม ร่วมมือกับนายกเทศมนตรีเทศบาลนครพนม ซึ่งเราก็มีแผนที่จะสร้างร่วมกับกรมโยธาธิการ กำลังเร่งออกแบบและสร้างหอชมโขงให้กับจังหวัดนครพนม ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เพิ่มศักยภาพให้กับจังหวัดนครพนมอีกมากมาย ขณะเดียวกันก็ยังมีโครงการที่จะปรับปรุงบริเวณห้าแยกในเมืองนครพนมให้เป็นวงเวียนขนาดใหญ่ที่มีความสวยสดงดงามที่จะรองรับแขกต่างบ้านต่างเมืองมาเที่ยวชมจังหวัดนครพนมของเราอีกด้วย 

Q: ขอย้อนอดีต ‘ครูแก้ว’ เหตุผลใดที่ทำให้ก้าวเข้ามาอยู่บนเส้นทางการเมือง?
ครูแก้ว: ถ้าพูดถึงเหตุผลที่ต้องเดินเข้าสู่เส้นทางการเมือง ความจริงผมมีจิตวิญญาณของความเป็นนักสู้มาตั้งแต่เด็กฐานะครอบครัวเป็นคนยากจน เป็นเด็กกำพร้าลูกชาวนา แล้วก็ต่อสู้กับชีวิต ถูกดูถูกเหยียดหยาม เป็นสภาพที่ห่างไกลความเจริญมากๆ เป็นสิ่งที่กดดันเรา ส่วนหนึ่งทำให้เราต้องมาคิดว่า ทำไมตัวเราถึงยากลำบากขนาดนี้ พอมองออกมาข้างนอกเห็นคนที่เขารวย บางคนรวยล้นฟ้าแต่คนจนหาข้าวจะกรอกหม้อก็ไม่มี มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องแสวงหาคำตอบให้กับตัวเอง แล้วจะทำยังไงถึงจะช่วยเหลือแก้ปัญหา ทั้งเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาตัวเอง เริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาให้กับชุมชนสังคม ในหมู่บ้านตัวเองซึ่งเป็นบ้านนอก นี่คือจุดเริ่มต้นจุดแรก ที่มาก็คือว่าผมต้องการหาแนวทางช่องทางในการที่จะช่วยเหลือญาติพี่น้องของผมที่มีฐานะยากจน ที่มีความเดือดร้อน หาแนวทางช่วยเหลือชนบท ทำยังไงจะเจริญทัดเทียมใกล้เคียงกับเมือง นี่คือจุดเริ่มต้นของความคิดทางการเมือง 

จนในที่สุดมีการเลือกตั้งเมื่อปี 2540 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ท่านก็ยังมีบารมีในนครนครพนมอยู่ ท่านก็ให้คนมาติดต่อทาบทาม ท่านก็มองเห็นว่าถ้าเขตเล็ก อย่างไรก็สู้ครูแก้วไม่ได้ เพราะผมทำพื้นที่มายาวนาน ปี 2544 ผมก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ครั้งแรกในนามพรรคความหวังใหม่ รวมเวลาที่ผมรอคอยตั้งแต่ผมสมัคร ส.ส. ครั้งแรกปี 2535 ใช้เวลา 9 ปี ในการทำงานการเมืองจนกระทั่งประสบความสำเร็จได้เป็น ส.ส. 

เมื่อเป็น ส.ส. สมัยที่ 1 ปี 2544 เป็นสมัยที่ 2 แล้วก็เป็นสมัยที่ 3 พอเป็นสมัยที่ 3 ความหวังใหม่ยุบไปรวมกับพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้นมาพรรคไทยรักไทยก็ถูกยุบมาตั้งเป็นพรรคพลังประชาชน ต่อมาสักระยะพรรคพลังประชาชนถูกยุบอีก กลุ่มท่านเนวินกับพวกผมที่เคยทำงานเคลื่อนไหวในพลังประชาชนด้วยกัน ทำงานกิจกรรมเสื้อแดงด้วยกัน เคลื่อนไหวทางการเมืองช่วยท่านทักษิณมาโดยตลอด ก็หารือกันว่าถ้าเรายังทำเสื้อแดงต่อมันก็คงจะสู้ไม่มีที่สิ้นสุด สู้ไม่มีวันจบสิ้น และสุดท้ายมันก็จะทำให้ประเทศชาติเรามีปัญหา ก็เลยตัดสินใจไม่ไปร่วมตั้งพรรคเพื่อไทยกับเพื่อน พวกผมก็ออกมาตั้งพรรคภูมิใจไทย

Q: ทำไมถึงบอกว่าการตั้งพรรคภูมิใจไทย เริ่มจากความน้อยเนื้อต่ำใจ?
ครูแก้ว: ภาคอีสานเป็นภาคที่กว้างใหญ่ไพศาล จำนวน ส.ส. ก็เยอะนะครับ เมื่อก่อนร้อยยี่สิบกว่าคน ตอนนี้รู้สึกจะประมาณร้อยสามสิบกว่าคน หลังจากที่เราเพิ่ม ส.ส.เขตขึ้นมาจาก 350 เป็น 400 แต่ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งๆ ที่จำนวน ส.ส. มากกว่าเพื่อน แต่เราก็ไม่สามารถที่จะผลักดันให้คนอีสานขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้เลย อย่าว่าแต่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แม้แต่อยู่ในพรรคการเมืองบางพรรค ไม่ได้จะโจมตีกันนะครับ คือมี ส.ส.อีสานมากที่สุด แต่ว่าพอจะเอาตำแหน่งสำคัญๆ แม้แต่ในพรรค อย่าว่าแต่รัฐมนตรี พรรคนั้นได้ ส.ส. 126 คน ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย ซึ่งไม่สำคัญเลยแค่ 4 ตำแหน่ง แต่อีกพรรคนั้นได้ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เพียงคนเดียวกลับได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการถึง 9 ตำแหน่ง นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเราน้อยเนื้อต่ำใจที่ตัดสินใจออกมาตั้งพรรคภูมิใจไทย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เรารับไม่ได้จากการไม่ให้เกียรติคนอีสาน แม้แต่ทุกวันนี้เพื่อนฝูงอยู่ในพรรคนั้นก็ยังคุยกับผมนะว่า ท่านควรจะเป็นหัวหน้าพรรคได้แล้วนะ แต่ถ้าเทียบกับคนที่เขาเอาขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค กับนักการเมืองของพรรคในภาคอีสาน มันต่างกันมาก แต่ว่าเจ้าของพรรคเขาไม่เอา ก็ไม่รู้เป็นยังไง ทั้งๆ ที่ ส.ส.อีสานเยอะ แล้วก็มีคนเก่งๆ เยอะแต่ก็เป็นได้แค่ประธานกรรมาธิการฯ จะเป็นรัฐมนตรีก็ไม่ได้ เป็นหัวหน้าพรรคก็ไม่ได้ อย่างมากก็เป็นรองหัวหน้าพรรค 

ฉะนั้น ถ้าคนอีสานเราคิดในเรื่องนี้กันหน่อย ให้พรรคการเมืองที่เป็นพรรคของคนอีสานจริงๆ ได้คะแนนได้เสียงมาเป็นกอบเป็นกำ หรือได้ ส.ส.เป็นคนอีสานจริงๆ ขึ้นมา ได้นายกรัฐมนตรีเป็นคนภาคอีสาน งบประมาณของประเทศก็จะลงไปดูแลพัฒนาภาคอีสานมาก เราไม่ต้องการมากกว่าภาคอื่นหรอก แต่เราต้องการตามสัดส่วนของจำนวนประชากร ตามสัดส่วนของพื้นที่ ไม่ใช่ว่าให้ภาคใต้ห้า ให้ภาคกลางก็ห้า ให้ภาคตะวันตกก็ห้า ให้ภาคเหนือก็ห้า ให้ภาคอีสานก็ห้า มันจะไปเทียบกันอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่ออีสานเป็นภาคที่กว้างใหญ่ไพศาล อีสานเป็นภาคที่มีจำนวนประชากรมากกว่าเพื่อน อีสานเป็นภาคที่มีความทุรกันดาร ความแห้งแล้ง ความเดือดร้อน ความยากลำบากมากกว่าเพื่อน การดูแลประเทศชาติ การบริหารมันต้องทุ่มเทลงมาใส่จุดที่มีปัญหา มันต้องเป็นอย่างนั้น

Q: ว่ากันว่าช่วงที่สอบตก ‘ครูแก้ว’ ก็ยังทำงานช่วยชาวบ้านต่อ ทำไปทำไม?
ครูแก้ว: ประชาชนมวลชนที่รักเราอยู่แล้วเขาไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจเขาก็ปฏิเสธเรา พอปฏิเสธเรามันก็ทำให้เราสอบตก ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง และการตัดสินใจออกมาจากเพื่อนที่ไปตั้งพรรคเพื่อไทย การที่เรามาตั้งภูมิใจไทยทำให้ประชาชนไม่เข้าใจก็สอบตกกันระนาว แต่ว่าผมใช้เวลาทั้งหมด 7 ปีในการทำกิจกรรมทุกอย่างทำหนักกว่าการเป็น ส.ส.อีก ตอนที่ผมแพ้พรรคเพื่อไทยในพื้นที่ ผมสอบตก ผมแพ้ด้วยคะแนน 12,000 คะแนน แต่ 7 ปีต่อมาผมลงแข่งกับเพื่อไทยคนเดิมอีก ผมชนะผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย 38,900 กว่าคะแนน คือชาวบ้านกลับมาเข้าใจ กลับมาเห็นใจเรา แล้วก็มาเลือกเรา ถึงแม้ตอนนั้นอาจจะไม่ค่อยชอบพรรคภูมิใจไทย แต่ว่าเขาก็ถือว่ามันจำเป็นต้องเลือกครูแก้วเพราะสงสารครูแก้ว แล้วครูแก้วก็สู้จริงทำจริงดูแลพี่น้องประชาชนจริง ดังนั้นจึงได้กลับมาเป็น ส.ส. อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้รับการเสนอจากพรรคร่วมรัฐบาลให้ลงสมัครแข่งเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ผมก็ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนในสภาให้ทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สองตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ 

Q: คิดอย่างไรกับคำว่านักการเมืองน้ำดี?
ครูแก้ว: ถ้าพูดถึงนักการเมืองน้ำดี นิยามคำนี้ผมรู้สึกว่า ต้องเป็นนักการเมืองที่เอาใจใส่ในผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน คือต้องเป็นนักการเมืองที่เสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวมาทำงานเพื่อส่วนรวม มาทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก หมายว่าตลอดเวลาที่เป็นนักการเมืองอยู่ เขาจะต้องทุ่มเทดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะทั้งส่วนตัว ส่วนรวม ทั้งในภาพรวมอะไรต่างๆ การพัฒนาในพื้นที่ก็ตาม การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ หมายความว่าหายใจเข้าออกเป็นเรื่องของประชาชน เป็นเรื่องของประเทศชาติ ไม่เอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมคิดว่านักการเมืองน้ำดีมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักการเมืองน้ำดีนะครับ แต่ว่าพี่น้องประชาชนก็ให้ความไว้วางใจ 

พี่น้องนครพนม เงินซื้อไม่ได้ ต้องยอมรับว่าพี่น้องชนบทเขายังเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมอะไรก็ตามของชาวบ้านของชุมชนของสังคม เขาคิดอะไรไม่ออกก็ต้องคิดถึง ส.ส. ที่บ้านผม ถ้ามีโอกาสได้ไปดูจะเห็นว่าผมมีโต๊ะเป็นกลุ่มเป็นชุดเอาไว้ พี่น้องประชาชนมาก็จะนั่งรอคิวเหมือนกับคนมาคลินิกหาหมอ สัก 7.00-7.30 น. ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อมกับทีมงานที่เป็นข้าราชการ เป็นอดีตข้าราชการที่เกษียณแล้ว ชุดทนายความ ชุด สจ. ชุดนายก อบต. ก็จะมารอรับแขกร่วมกับผม พี่น้องประชาชนมีปัญหาอะไร ผมก็รับรู้รับทราบเสร็จ เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับอะไร เกี่ยวข้องกับส่วนราชการซึ่งจะต้องประสานให้อำเภอประสานผู้กำกับประสานผู้ว่าฯ เราก็ให้ฝ่ายประสานของเราประสานไป หรือบางทีเราก็ประสานเอง แต่ถ้าพี่น้องมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย อย่างเช่น เรื่องโอนที่ดิน เรื่องถูกจับกุมคุมขัง เรื่องความเดือดร้อนต่างๆ เราก็ต้องมีทนายความคอยให้คำแนะนำอีกทีหนึ่งว่าควรจะทำยังไง ควรจะเดินไปยังไง 

ฉะนั้นแต่ละวันพี่น้องประชาชนจะมานั่งเรียงคิวเป็นกลุ่มไว้ บางวันมีถึงขนาดว่าสิบกว่ากลุ่มหรือยี่สิบกลุ่มก็ยังมี จาก 7.00 น. ถึง 9.00 น. ผมจะให้เวลากับพี่น้องที่มาร้องทุกข์มาปรึกษาหารือ หรือบางคนก็มาขอบคุณหลังจากที่เราช่วยเหลือประสบความสำเร็จแล้ว ก็เข้ามาหา เราก็ดูแลกัน ถ้ามาในเวลากินข้าว เรานั่งกินข้าวอยู่ เราก็เรียกมากินข้าวด้วยกันนั่งคุยกัน กว่าจะกินข้าวเสร็จเราก็จะได้แก้ปัญหาพี่น้อง 1-2 เรื่องแล้ว หรือพี่น้องไม่กินก็มานั่งดื่มน้ำมานั่งคุยกับเรา มันเกิดความเป็นกันเองสนิทสนม พี่น้องประชาชนก็จะมีความรู้สึกว่าครูแก้วพึ่งได้อาศัยได้จริงๆ ถ้าอะไรช่วยได้ช่วยทันที แก้ไขได้แก้ไขทันที ผมถือหลักอย่างนี้ ไม่ได้เก็บไว้ ไม่ได้บอกว่า เออเดี๋ยวจะดูให้ ไม่มีนะ ต้องบอกว่าทำทันทีเลย ซึ่งจะไม่ใช่ผมคนเดียว แต่เป็นทีมงานของเราทั้งกระบวนการ เราจะมีวิธีการทำงานแบบนี้กับพี่น้องประชาชน 

Q: ครูแก้วคาดหวังจำนวน ส.ส.ภูมิใจไทย ในนครพนมกับการเลือกตั้งหนหน้าแค่ไหน?
ครูแก้ว: ในการเลือกตั้งเที่ยวหน้านี้ก็หวังอย่างนั้นนะครับ คือพูดง่ายๆ ว่า วันนี้ ผมกับพี่น้องนครพนมเป็นหนี้พรรคภูมิใจไทยค่อนข้างมาก ที่บอกว่าเป็นหนี้ก็เพราะว่าคราวก่อนมี ส.ส.ภูมิใจไทยคนเดียวตอนที่แยกมาตั้งพรรคภูมิใจไทย นครพนมก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ไป คราวนี้เลือกตั้งนครพนมก็ได้ ส.ส.ภูมิใจไทยแค่คนเดียวคือผม ซึ่งผมก็ดูแลสกลนครด้วย มุกดาหารด้วย ทางพรรคก็ยังเมตตา ทั้งท่านหัวหน้า ท่านเลขา ผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคส่งเข้าไปแข่งขันเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร พอเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรในสภา พวกเขาคงเห็นบทบาทที่ผมทำงาน ฉะนั้นเมื่อมีสถานะตรงนี้ ทางท่านนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ รัฐมนตรีต่างๆ ท่านก็มีความเกรงอกเกรงใจกันอยู่พอสมควร ฉะนั้นเวลาเราเอาปัญหา เอาความเดือดร้อน เอาความทุกข์ยาก ความต้องการของพี่น้องนครพนมเสนอไปหาท่านต่างๆ เหล่านั้น ก็จะได้รับความเมตตาในการเอาใจใส่ อะไรที่ท่านผลักดันให้ได้ ท่านก็ผลักดันไป โดยเฉพาะรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย สามกระทรวงหลัก ไม่ว่าจะเป็นสาธารณสุขโดยท่านหัวหน้าอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการอยู่ กระทรวงคมนาคมโดยมีท่านเลขาธิการพรรคคือท่านศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการอยู่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นรัฐมนตรีว่าการอยู่ นอกจากนั้นเรายังมี มท.2 ช่วยมหาดไทย ช่วยศึกษา ช่วยเกษตร ช่วยคมนาคม หมายความว่าตำแหน่งรัฐมนตรี 7 คนของพรรค ก็ได้ดูแลและตอบสนองปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวจังหวัดนครพนมเป็นอย่างดี 

Q: มาที่ผลงาน ช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนงานด้านสาธารณสุขของนครพนมจะเป็นพระเอกพอสมควร?
ครูแก้ว: ผมสามารถช่วยดูแลพี่น้องนครพนมได้ในหลายๆ เรื่อง ฟอกไตฟรีทั่วประเทศก็เกิดมาจากแนวความคิดของผม เอาจากข้อมูลข้อเท็จจริงจากนครพนม ไปเรียนท่านหัวหน้าพรรคฯ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เอาไปประชุมกระทรวงสาธารณสุข แล้วจากนั้นก็มีมติออกมาว่าให้ฟอกไตฟรีทั่วทั้งประเทศ ใครก็ตามที่เป็นโรคไต จะฟอกด้วยประเภทไหน ด้วยวิธีไหนก็ตามก็ให้ฟอกฟรี ผมสงสารพี่น้องคนที่ป่วยเป็นโรคไต คนหนึ่งป่วยเป็นโรคไตต้องฟอกไต สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เฉพาะค่าฟอกไตที่จ่ายให้โรงพยาบาล ครั้งละ 1,500 บาท ถ้าสามครั้งเป็นเงิน 4,500 บาท ยังไม่รวมค่าเหมารถ ยังไม่รวมค่าญาติพี่น้องเข้าไปดูแลกัน อาหารการกิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมจิปาถะเดือนหนึ่งสรุปแล้วรวมแล้วก็เกือบ 20,000 ต่อเดือน

ลองคิดดูสิว่าพี่น้องคนยากคนจนส่วนใหญ่เขาจะอยู่ได้ยังไง คนป่วยโรคไตไม่ตายทันทีนะ การฟอกไตก็ยืดอายุไป สุดท้ายถ้าหมดเงินเมื่อไรไม่สามารถฟอกไตได้ก็จะเสียชีวิต พอคนหนึ่งเสียชีวิต คนที่เหลือก็เหมือนกับตายทั้งเป็นเพราะไม่เหลืออะไรแล้ว เพราะต้องขายสมบัติเพื่อไปดูแลกัน จะไปทิ้งกันเฉยๆ ก็ไม่ได้ เกิดมาร่วมกันแล้ว ผมเองสงสารมาก

เมื่อก่อนผมทำผ้าป่าได้เงิน 500,000 ร่วมกับโรงพยาบาล แล้วก็ขอเงินจากท่านหัวหน้าอนุทิน 500,000 ไปซื้อเครื่องฟอกไตให้กับโรงพยาบาลศรีสงครามเป็นครั้งแรก ต่อจากนั้นมาโรงพยาบาลก็ได้งบประมาณบ้าง หาเงินมาซื้อเพิ่มเติม แต่ตอนหลังมันก็ไม่เพียงพอ เพราะ 6 อำเภอโซนเหนือ มีศูนย์ฟอกไตอยู่ที่อำเภอศรีสงครามที่เดียว 

ผมเห็นในอินเทอร์เน็ตว่าทางคุณคีรี กาญจนพาสน์ เจ้าของ BTS ท่านเคยป่วยโรคไตและได้เปลี่ยนไตแล้ว ท่านรู้ว่าเป็นโรคไตมันทรมานขนาดไหน ท่านบริจาคเงินสร้างศูนย์ฟอกไตแล้วก็ให้คนได้ฟอกฟรีอยู่หลายศูนย์ ผมก็ไปหาท่านเลย ไปกราบขอความเมตตา ท่านก็เมตตาให้ลูกน้องลงไปดูแล้วอนุมัติเงินไปสร้าง ปรับปรุงอาคารเก่าให้เป็นศูนย์ฟอกไตของมูลนิธิฟ้าสั่งทั้งหมด 15 เครื่อง เพื่อการฟอกไต ซึ่งจะสามารถฟอกไตพี่น้องประชาชนได้เครื่องละประมาณ 3 คน มาวันนึงก็ประมาณสี่สิบกว่าคน แต่ถ้าหากว่าฟอกทั้งเดือนก็จะได้รวมกันประมาณร้อยกว่าคน ก็สามารถช่วยพี่น้องร้อยกว่าคนที่ยากจน คัดเอาที่ยากจนจริงๆ เดือดร้อนจริงๆ ไม่มีเงินจริงๆ ให้เขาได้ฟอกไตฟรี 

แต่ว่าฟอกไตฟรีได้แค่ปีเดียว มูลนิธิบอกว่าขาดสภาพคล่อง เกิดโควิดระบาดหนัก ก็มอบอุปกรณ์ทั้งหมดมูลค่า 25 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาลศรีสงคราม แล้วโรงพยาบาลก็จำเป็นต้องเก็บเงินจากผู้ที่มาฟอกไต แต่ไม่ได้เก็บ 1,500 บาท เก็บแค่คนละ 1,000 บาท แต่คนละ 1,000 บาทก็เดือดร้อน โชคดีที่ท่านอนุทิน ชาญวีรกุลไปเยี่ยมเรื่องปลูกกัญชาทางการแพทย์ที่บ้านผม ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง ท่านก็งงนะว่ามันมีจริงหรือ เพราะท่านเข้าใจว่าฟอกไตฟรี เถียงกันอยู่กับผม ในที่สุดท่านก็โทรถามปลัดกระทรวง ทางปลัดกระทรวงบอกว่า ฟอกฟรีเฉพาะคนที่ฟอกทางหน้าท้อง ซึ่งก็ไม่มีใครฟอก เพราะทำได้ 1-2 ครั้งก็อักเสบแล้ว แต่ถ้าฟอกผ่านทางเส้นเลือด จ่าย 1,500 บาท ท่านอนุทินก็ว่า โห ตายแล้วแบบนี้ ท่านก็เอาเข้าที่ประชุมกระทรวงสาธารณสุขไม่ถึงเดือน กระทรวงสาธารณสุขก็ประกาศออกมาเลยว่า ต่อไปนี้ สปสช. จะรับเป็นเจ้าภาพในการจ่ายเงินแทนพี่น้องประชาชน จากวันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา ไม่ว่าฟอกไตด้วยวิธีไหน ก็ฟอกฟรีทั้งประเทศ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจากที่ผมพยายามต่อสู้ให้กับพี่น้องประชาชนมาตลอด 

ไทยเกือบเหมือน 'ยูเครน' หากไร้ 'ปราชญ์แห่งสยาม' พลิกเกม!! หลังพลาดตามก้นเมกา ปล่อยตั้งฐานทัพบินถลาถล่มเพื่อนบ้าน

เป็นที่รู้กันว่า เหตุที่ยูเครนถูกรัสเซียถล่มในตอนนี้ ก็เพราะหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายในสมัยประธานาธิบดี มิคาอิล กอร์บาชอฟ แตกเป็นรัฐเล็กๆ ถึง ๑๕ รัฐ หลายรัฐได้หันเข้าไปหาชาติตะวันตก หวังจะให้ช่วยคุ้มกัน ยอมร่วมสนธิสัญญานาโต้ จึงค่อยๆ ขยายตัวโอบล้อมรัสเซียเข้ามา จนกระทั่งยูเครนที่รัสเซียหวังให้เป็นกันชน เมื่อประธานาธิบดีคนปัจจุบันที่มาจากคนดังแต่ยังอ่อนประสบการณ์ทางด้านการเมือง ก็จะเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ด้วย รัสเซียจึงยอมไม่ได้ที่จะให้นาโต้ที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อจะเล่นงานรัสเซียโดยเฉพาะ เอาอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาตั้งจ่อคอ

ไทยเราก็เกือบเหมือนยูเครน เมื่อรัฐบาลยุคหนึ่งใช้นโยบาย “ตามก้นอเมริกา” ส่งทหารไปร่วมรบในเวียดนามแล้ว ยังยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา, อุดรธานี, นครพนม, อุบล, โคราช, ตาคลี รวมทั้งดอนเมือง ส่งเครื่องบินรบทรงอานุภาพที่สุดเท่าที่มี ขนระเบิดไปถล่มเวียดนามเหนือและลาว สัปดาห์ละ ๘๗๕-๑,๕๐๐ เที่ยว เครื่องบินทิ้งระเบิด B-๕๒ เที่ยวหนึ่งขนได้ ๓๒ ตัน รบกันถึง ๑๙ ปี ๖ เดือน ไม่รู้ว่าถล่มระเบิดไปกี่ล้านตัน แต่ก็แพ้ ต้องถอนทหารกลับไป

แต่เมื่อสหรัฐต้องถอนทหารออกจากเวียดนามใต้ในเดือนเมษายน ๒๕๑๘ ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน ประเทศไทยก็ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ ๑๓ คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นปราชญ์ที่ลึกซึ้งทั้งประวัติศาสตร์และการเมือง ไม่ใช่มือใหม่หัดขับ อ่านสถานการณ์ได้ทะลุว่า ขืนล่มหัวจมท้ายกับอเมริกันต่อไปต้องถูกเวียดนามคิดบัญชีแน่

ในการแถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘ นายกรัฐมนตรีจึงประกาศว่าปรารถนาจะสถาปนาการทูตระหว่างไทยจีนขึ้นใหม่ เป็นการส่งสัญญาณไปถึงจีนก่อน

ต่อจากนั้นในวันที่ ๓๐ มิถุนายน นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วย พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศ ก็บินเงียบฝ่ากฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ไปพบผู้นำจีน ซึ่งทำให้โลกเสรีต้องตกตะลึง

การต้อนรับคณะนายกรัฐมนตรีไทยนั้น เป็นการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์อย่างที่จีนไม่เคยต้อนรับใครมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจหรือมุขบุรุษของประเทศใด นอกจากได้เข้าพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีโจวเอนไล และรองนายกรัฐมนตรีเติ้งเสี่ยวผิงแล้ว ประธานเหมาเจ๋อตุงในวัยชรา ยังเพิ่มรายการพิเศษแหวกคิวกะทันหันให้ไปพบขณะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน และคุยกันอย่างเป็นกันเองเป็นเวลายาวนาน ซึ่ง สละ ลิขิตกุล นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ผู้ติดตามคึกฤทธิ์บันทึกไว้ว่า

"ถึงใจพระเดชพระคุณ" อย่างผู้ใหญ่พูดกับลูกกับหลาน ถาม พล.ต.ชาติชายว่า “ไอ้หนูนี่เคยมาเมืองจีนแล้วไม่ใช่หรือ” ส่วน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็เรียก “ไอ้หนู” เหมือนกัน เข้ามากอดและตบบ่า เป็นการทูตแบบตะวันออกที่ตะวันตกไม่มีทางเข้าใจ
ก่อนหน้าที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จะพาทีมไปจีนนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งเปิดโอกาสให้ไทยได้ประกาศเปลี่ยนนโยบาย

ในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๘ หลังจากที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์แถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ ๑๙ มีนาคม ก็เกิด “กรณีมายาเกซ” ขึ้น เมื่อเรือสินค้าของสหรัฐอเมริกาชื่อ มายาเกซ บรรทุกเวชภัณฑ์และเสบียงจะมาท่าเรือสัตหีบ ขณะแล่นผ่านเข้าไปใกล้ชายฝั่งกัมพูชา ได้ถูกเรือปืนเขมรแดงยึดและจับลูกเรือเป็นประกัน สหรัฐจึงส่งนาวิกโยธินจำนวน ๑,๐๐๐ นายจากโอกินาวามายังฐานทัพอู่ตะเภา และเข้าไปชิงลูกเรือที่ถูกควบคุมอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งโดยมีเครื่องบินจากฐานทัพอุดรธานีและนครราชสีมาเข้าร่วม หลังจากรบกัน ๓ วันก็สามารถช่วยลูกเรือกลับมาได้ แต่ทหารสหรัฐเสียชีวิตไป ๔๐ คนและสูญหายไปอีกจำนวนหนึ่ง

เรื่องนี้เป็นข่าวดังไปทั่วโลก รัฐบาลไทยเห็นว่าสหรัฐใช้ดินแดนไทยไปปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จึงได้เชิญอุปทูตสหรัฐมาพบ ประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการกระทำของสหรัฐ และเรียกร้องให้สหรัฐถอนกำลังกลุ่มนี้ออกไปทันที

ต่อมาในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศ ยังได้เชิญอุปทูตสหรัฐมาพบ เพื่อแจ้งอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลไทยจะทบทวนความร่วมมือและข้อผูกพันระหว่างไทยกับสหรัฐทั้งหมด และในวันเดียวกันก็มีคำสั่งให้เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันเดินทางกลับกรุงเทพฯ แสดงความไม่พอใจในการกระทำในครั้งนี้

'โบว์ ณัฏฐา' แสดงมุมมองต่อกรณี นักแสดงสาว 'แตงโมนิดา' จมน้ำเสียชีวิต พร้อมเตือนสติสื่อ อย่า 'โยนขยะเข้าสู่สังคม' แล้วหวังให้ชาวบ้านใช้วิจารณญาณ

จากกรณี ‘แตงโม นิดา’ หรือ ‘ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์’ อายุ 38 ปี ดารานักแสดงสาวชื่อดังที่พลัดตกแม่น้ำเจ้าพระยาจมหายไป ขณะล่องเรือสปีดโบ๊ตไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนชาย-หญิง รวม 6 คน กว่า 38 ชั่วโมง จนกระทั่งพบร่างของนักแสดงสาวลอยขึ้นมาใกล้กับโป๊ะเรือในจุดที่จมหายไป ซึ่งกรณีนี้ก็ได้กลายเป็นที่พูดถึงกันในวงกว้าง และในเกือบทุกแวดวง ซึ่งรวมไปถึงวงการกฎหมายนั้น

ทางด้าน ‘คุณโบว์ - ณัฏฐา มหัทธนา’ ได้ให้ความเห็นในมุมมองที่น่าสนใจ ผ่านรายการ MEET THE STATES TIMES เดอะ ดีเบต โดยยกกรณีของดาราสาวมาเป็นบทเรียนว่า...

“โบว์ ได้มีโอกาสฟังข่าววิทยุ โดยได้มีสื่อไปสัมภาษณ์ทนายความท่านหนึ่ง ซึ่งบางทีรายการข่าวชอบโทรสัมภาษณ์ทนายเวลาที่มีเคสอะไรขึ้นมา เหมือนเป็นแหล่งอ้างอิง แล้วก็จะใช้ทนายซ้ำๆ อยู่ไม่กี่คน 

“แต่ประเด็น คือ การตอบคำถามของทนายบางครั้งจะเกินเลยไป จนเป็นการสร้างจำเลยสังคมขึ้นมา ซึ่งโบว์บอกเลยในฐานะที่พอรู้กฎหมายบ้าง ถ้าคุณไปถามทนาย 10 คน บางทีก็ตอบไม่เหมือนกันหรอก อีกทั้งความรู้ก็ไม่เท่ากัน อคติต่อแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน แล้วก็ความเชี่ยวชาญต่างกัน”

“ดังนั้นเรื่องนี้ที่ยกขึ้นมาพูดในวันนี้ เพราะอยากจะแนะนำสื่อตรงๆ ว่า ไม่ควรไปยึดทนายคนใดคนหนึ่งมาเป็นสรณะ แล้วชี้นำสังคมผ่านการสัมภาษณ์แบบนี้ โดยที่เขาไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวกับคดี เพราะเขาอาจจะมโนไป พูดกันเป็นละคร วางเป็นพลอตเรื่องเองกันหมด มันแย่มาก กลายเป็นว่าไม่ใช้ปัญญา ไม่ได้ตั้งอยู่บนความรู้อะไร แต่อยากจะสร้างความบันเทิงจากสิ่งนี้”

“ถ้าคุณอยากสัมภาษณ์ทนายหรือนักกฎหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีจริงๆ ควรมีมากกว่าหนึ่งคน ต้องมี Second Opinion แล้วให้สังคมใช้วิจารณญาณ”

ทั้งนี้ คุณโบว์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผลิตบัณฑิตในสาขานิติศาสตร์อีกด้วยว่า “สิ่งหนึ่งที่เห็นว่าอาจจะหายไปในการสอนนิติศาสตร์ในบางสถาบันในปัจจุบัน คือ วิชา ‘นิติปรัชญา’ พอไม่ได้เรียนลึกซึ้ง ถึงระดับปรัชญาของกฎหมาย มันก็จะมีการตีความอะไรทื่อๆ ไปตามตัวอักษร และท้ายที่สุดแล้วจะไม่นำไปสู่ความยุติธรรม” 

'โบว์ - ณัฏฐา' ชี้ ขายออนไลน์แล้วปากจัด เป็นหนึ่งใน 'การสร้างความบันเทิง' ท้ายสุด 'คุณภาพสินค้า' ก็ต้องมาก่อนเป็นที่หนึ่ง

ขายออนไลน์ต้องปากจัด ?

เหตุใดการค้าขายออนไลน์ในสมัยนี้ เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายถึงมักงัด ‘ฝีปาก+ท่าทาง’ หรืออาจจะถึงขั้นทำพฤติกรรมถ่อยๆ ผ่านหน้าจอโซเชียลกันมากขึ้น 

เราจะเริ่มเห็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลายคนหลายกลุ่ม เริ่มขายไปด่าไป บางรายหนักไปจนถึงขั้นท้าลูกค้าตบ แต่เรื่องน่าแปลก คือ แม้ว่าท่าทางและถ้อยคำที่ไม่สุภาพเหล่านั้นจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์ แต่กลับกันดันมีกลุ่มนิยมและทำให้สินค้า ‘ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า’ 

เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย เกิดอะไรขึ้นกับวัฒนธรรมการค้าขาย และการเสพติดของคนในโซเชียลกันแน่?

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ‘คุณโบว์-ณัฏฐา มหัทธนา’ ได้ให้ความเห็นไว้ผ่านรายการ Meet THE STATES TIMES ‘เดอะ ดีเบต’ ว่า…

“การค้าขายในลักษณะนี้ หากมองในหลากหลายมิติ โดยเลือกมองในมิติที่ตื้นสุดแล้ว จะพบว่า การค้าขายเหล่านี้ คือ ‘การสร้างความบันเทิง’ อย่างหนึ่งให้กับผู้รับชม

“มิติต่อมา คือ ‘นี่เป็นของแปลก’ เพราะหากมองย้อนไปการค้าขายในรูปแบบก่อนๆ  ผู้ค้าขายมักจะประพฤติตนด้วยความสุภาพ ให้เกียรติลูกค้า พร้อมตั้งใจบรรยายสรรพคุณต่างๆ แต่พอเป็นสมัยนี้ การค้าขายเปลี่ยนรูปแบบการขายไปด่าไป หรืออาจใช้การแต่งตัวเข้าช่วย ก็ทำให้คนรู้สึกว่าแปลกใหม่ จึงสร้างความสนใจให้กันคน 

‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ นักบริหารมืออาชีพ ตัวจริงข้างรัฐบาลลุงตู่

นับตั้งแต่การก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐเมื่อปลายปี 2561 จนถึงวันนี้ ตัวละครในพรรคพลังประชารัฐเปลี่ยนโฉมหน้าไปหลายคำรบ ตั้งแต่ผู้บริหารพรรคยันไปจนถึง ส.ส. เหตุเพราะตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐ ต้องเผชิญกับปัญหาภายในพรรคมาอย่างต่อเนื่อง 

แน่นอนว่า หนึ่งในภาพใหญ่ที่คอการเมืองคงจำได้ดี นั่นคือ กลุ่ม ‘4 กุมาร’ ภายใต้การนำของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ กลุ่ม อดีต กปปส. ที่ต้องคำพิพากษา จนต้องตัดสินใจหันหลัง ออกจากพรรคไป ทั้งที่เป็นกลุ่มที่ตั้งพรรคมากับมือ แต่สัมพันธภาพของ 4 กุมาร และ ‘สุริยะ’ ก็ไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด ทุกอย่างยังคงเหนียวแน่น เป็นการออกกันไปเองของ 4 กุมาร และตอนนี้ก็มีพรรคสร้างอนาคตไทย เป็นเรื่องเป็นราวแล้ว

อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของเหล่าคีย์แมนหลักอย่าง ‘นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ รมว.อุตสาหกรรม, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ดูจะไม่ได้กระเทือนอย่างที่ใครคาดคิด เพียงแต่ดุลอำนาจจากกลุ่มสามมิตรที่เสียไป อาจจะสั่นคลอนไปบ้าง สังเกตได้จากกรณี นายอนุชา นาคาศัย ถูก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กระชากเก้าอี้ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ไปแบบต่อหน้าต่อตา 

ขณะเดียวกันความขัดแย้งระหว่างสามมิตรกับธรรมนัส ที่ยังคงดูจะยังคุกรุ่นต่อเนื่อง จนถึงขั้นมีข่าวลือหนาหูว่าสามมิตร จะหวนกลับไปซบรังเก่า ‘พรรคเพื่อไทย’ พลันให้แกนหลักอย่าง ‘สุริยะ’ ต้องรีบออกมาสยบข่าวลือว่า ‘กลุ่มสามมิตรจะยังอยู่กับ พปชร. ต่อไป ไม่ย้ายซบเพื่อไทยแน่นอน’

แต่ถึงกระนั้น ภายหลังก๊วน ส.ส. กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส ถูกขับออกจากพรรคเมื่อ 19 ม.ค. 65 ที่ผ่านมา กูรูการเมืองต่างก็วิเคราะห์กันว่า ‘กลุ่มสามมิตร’ จะกลับมาพาวเวอร์ฟูล ในพลังประชารัฐอีกครั้ง หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันที่จะนำรัฐนาวาแห่งนี้แล่นไปถึงฝั่ง (อยู่ครบเทอม) เพราะ ส.ส.ที่อยู่ในกลุ่มนี้ราว 30 คน ล้วนเป็นฐานเสียงสำคัญที่จะช่วยประคองขาเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ไม่ให้หักก่อนเวลาอันควร

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การมโน เพราะหากตรวจแนวรบของสามมิตร โดยมี ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ค้ำยันเป็นคีย์แมนหลักแล้ว ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่า โอกาสที่สถานการณ์ความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐจะหมดสิ้น รวมไปถึงการทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ น่าจะเดินหน้าไปด้วยกันได้ดี

เหตุที่กล่าวเช่นนี้ นั่นเพราะ ในยุทธจักรการเมืองไทย ‘สุริยะ’ ถือเป็น ‘นักการเมืองที่ไม่ค่อยมีภาพความขัดแย้ง’ และที่สำคัญสามารถทำงานได้กับทุกฝ่ายทุกก๊วน 

เปิดเอกสารลับสหรัฐฯ กรณี ‘บลูไดมอนด์’ แค่เรื่องลวงรายปีจากก๊วนล้มสถาบันฯ

เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการพบหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ตอกย้ำข้อเท็จจริงว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไม่ได้เกี่ยวข้อง และมิได้ทรงครอบครอง ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียตามที่กล่าวหากัน โดยเฟซบุ๊กเพจ ‘ฤๅ - Lue History’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…

แทบทุกปีจะมีข่าวลือเดิมๆ กุขึ้นว่า เพชรที่สมเด็จพระพันปีหลวง ทรงสวมใส่ คือ ‘เพชรสีน้ำเงิน’ หรือที่เรารู้จักในชื่อ ‘บลูไดมอนด์’ (Blue Diamond) ซึ่งเป็นสมบัติที่ถูกขโมยมาจากราชวงศ์ไฟซาลแห่งซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดความบาดหมางขึ้นระหว่างซาอุดีอาระเบียและประเทศไทย

แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว มันเป็นแค่วงจรข่าวลือที่ยังคงหมุนเปลี่ยนวนเวียนกลับมาอยู่เรื่อยๆ จากพวก ‘กลุ่มต่อต้านราชวงศ์’ ที่คอยล้างสมองคนรุ่นใหม่ให้หลงเชื่อ เพื่อหวังผลเดิมๆ คือ ‘ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์’

ทั้งนี้ ข่าวลือที่ว่า สมเด็จพระพันปีหลวง ทรงครอบครองเพชรซาอุฯ (บลูไดมอนด์) ปัจจุบันได้รับการ ‘พิสูจน์’ แล้วว่าเป็นเรื่องโกหกแทบทั้งสิ้น เช่น การนำภาพของสมเด็จพระพันปีหลวง ที่ทรงสวมใส่เครื่องประดับอัญมณีสีน้ำเงินภาพหนึ่ง มาใส่คำบรรยายว่า คือ ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ของราชวงศ์ซาอุฯ ที่หายไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 แต่ต่อมาเมื่อมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดแล้ว พบว่า...

>> เครื่องประดับอัญมณีนั้นไม่ใช่เพชร แต่เป็น ‘ไพลิน’ ซึ่งได้รับการตกทอดมาในราชสำนักตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

>> ทั้งนี้ ภาพดังกล่าวได้ถ่ายไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2506 ซึ่งเกิดขึ้นก่อนคดีเพชรซาอุฯ เกือบ 30 ปี

ดังนั้น ภาพดังกล่าว จึงเป็นการใส่ร้ายโจมตีสมเด็จพระพันปีหลวงด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ แถมยังถูกนำมาเผยแพร่ส่งต่อในโลกออนไลน์ทุกๆ ปี

แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ได้ปรากฏเอกสารลับ (โทรเลข) จากสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เรื่อง ‘คำสาปแห่งเพชรบลูไดมอนด์’ (THE CURSE OF THE BLUE DIAMOND) ที่ระบุชัดว่า ‘กลุ่มต่อต้านราชวงศ์’ อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวลือว่า สมเด็จพระพันปีหลวงทรงครอบครอง ‘เพชรบลูไดมอนด์’ ของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย

เกมบีบตู่!! ขับ ‘ธรรมนัส’ พ้นจากพรรค สถานะ ส.ส. ที่ยังอยู่ ต่อรองได้ยาวๆ 

เกมนี้ไม่มีผลประโยชน์ประเทศ หรือผลประโยชน์ของฟากฝั่งใด มีแต่ประโยชน์ส่วนตนล้วนๆ

รอยต่อการเมืองไทยต่อจากนี้น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพรรคพลังประชารัฐ มีการลงมติ ขับร้อยเอกธรรมนัส และ สส. อีก 20 คน รวมเป็น 21 คน ให้พ้นจากสมาชิกพรรค ด้วย 3 สาเหตุหลัก คือ ตัวบุคคลผิดวินัยร้ายแรง ผิดจรรยาบรรณร้ายแรง ทำให้พรรคบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ และเพื่อแก้ไขความขัดแย้งภายในพรรค

โดยตลอดช่วงเย็นวาน (19 ม.ค. 65) มีกระแสข่าวลือสะพัดว่า ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า จะนำทีม สส. ลาออกจากพรรค ขณะที่มีกระแสว่า ทางร้อยเอกธรรมนัสเอง จะใช้เรื่องนี้ต่อรองกับทางพรรค เพื่อต้องการให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี อีกทั้งยังขอตำแหน่งรัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) เพื่อแลกกับจำนวน ส.ส. ในมือกว่า 20 คน ที่จะยอมยกมือเป็นองค์ประชุมในสภาให้

กระทั่งในช่วงเย็นวานนี้ มีการเรียกประชุมด่วน กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ ซึ่งมีรายงานว่า การประชุมครั้งนี้กินเวลาตั้งแต่ช่วง 17.00 น. ไปจนถึง 20.30 น. จึงเลิกประชุม ขณะที่ผู้สื่อข่าวก็ไปเกาะติดรอกันที่พรรคพลังประชารัฐ ว่าผลการประชุมจะเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายไม่มีการแถลงข่าว 

ทั้งนี้ยังมีรายงานข่าวว่า ในที่ประชุม พลเอกประวิตร ถึงขั้นแจ้งต่อที่ประชุมว่า “ยอม ๆ ไปเถอะ ถ้าอยากออกก็ให้ออกไป จะได้สงบ พรรคจะได้เดินต่อ”, “และเรื่องนี้ได้คุยกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้ว” 

ทั้งนี้ เงื่อนไขในการให้ขับออก เพราะร้อยเอกธรรมนัสขอโควตา รัฐมนตรีที่ว่างลง 2 ตำแหน่ง แต่คาดว่าจะไม่ใช่รัฐมนตรีช่วยฯ เพราะเล็งไปที่ตำแหน่งรัฐมนตรีเลย เนื่องจากมีเสียง ส.ส. ในมือถึง 21 คน ซึ่งเรื่องนี้ร้อยเอกธรรมนัสก็คงทราบดีว่า บิ๊กตู่ไม่น่าจะยอม จึงต่อรองหวังให้ทางพรรคมีมติขับออกจากพรรค เพราะถ้าลาออกเอง จะพ้นสถานะ ส.ส. ทันที และยังต้องไปเลือกตั้งซ่อมกันใหม่สิ้นเปลืองงบประมาณ 

เรื่องนี้หากมองดูผิวเผิน เหมือนเป็นเกมเขี่ยอดีตรัฐมนตรีแป้ง แต่ไม่ว่าผลจะเป็นลาออกยกทีมของธรรมนัส หรือถูกขับออกจากพรรคในช่วงเวลานี้ ก็ไม่อาจเป็นผลดีต่อรัฐบาล ซึ่งเรื่องนี้เชื่อว่าทุกฝ่ายก็คงรู้ เพราะอย่างที่บอก ไหนจะสิ้นเปลืองงบประมาณเลือกตั้ง ไหนจะต้องมีการเลือกตั้งซ่อมทีเดียวร่วม 20 เขต ซึ่งเป็นไปได้ยาก 

ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. หญิงคนแรก หาก ‘ก้าวไกล’ กล้าดันวัดศรัทธาคนกรุง

ภายหลังจบศึกสมรภูมิการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ทั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.), สมาชิกสภาเทศบาล และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เพิ่งจบไปหมาด ๆ นั้น

สมรภูมิถัดไปที่น่าจะแวะเวียนมาในเวลาอันใกล้ คงต้องเป็นคิวของเวทีเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งคาดกันว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2565 เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะครบวาระในปี 2566

พูดถึงสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ คนกรุง ก็ต้องบอกว่าถูกแช่แข็งมานาน ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อปี 2557 นั่นจึงทำให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ครั้งที่จะถึงนี้ น่าจะมีความคึกคัก และดุเดือดมากกว่าครั้งไหน ๆ เพราะน่าจะเป็นการวัดพลังของบรรดาพรรคใหญ่ชื่อดังทั้งเก่าและใหม่ ว่าใครคือตัวจริงที่ยังยึดพื้นที่เมืองหลวงเป็นฐานที่มั่นไว้ได้ในรอบนี้ได้

>> สังเวียนวัดพลัง ‘พรรค’ ผู้อยู่เบื้องหลังเจ้าเมืองบางกอก

อย่างไรซะ แม้ตอนนี้จะยังไม่มีกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไร? แต่หลายพรรคการเมืองก็เริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว ทั้งพรรคเพื่อไทย, พลังประชารัฐ, ก้าวไกล และประชาธิปัตย์ เพียงแต่ยังอุบชื่อแคนดิเดตกันไว้อยู่

ทว่าถึงพรรคเหล่านี้จะยังอุบชื่อตัวผู้สมัครไว้ แต่วงในการเมือง เขาก็พอจะรู้กันเนือง ๆ ว่าพรรคไหนจะส่งใคร หรือจะสนับสนุนใคร

ถ้าใครที่พอจะติดตามข่าวสารการเมืองอยู่บ้าง คงทราบว่าเต็งหนึ่งในสนามเลือกตั้งผู้ว่ากทม. รอบนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ฉายารัฐมนตรีที่แกร่งที่สุดในปฐพี ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะทำโพลล์สำรวจกี่ครั้ง คนกรุงเทพฯ ก็ยังเทคะแนนให้เป็นอันดับแรกทุกครั้ง 

ถึงกระนั้นก็คงต้องตามกระแสลมของ ‘พรรคเพื่อไทย’ ดูไว้หน่อยว่าจะส่งผู้สมัครผู้ใดเข้าแข่งด้วยหรือไม่ เพราะถึงแม้ ‘ชัชชาติ’ จะมีสัมพันธ์อันดีกับพรรคเพื่อไทย แต่ในการลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ในครั้งนี้ เจ้าตัวลงสมัครในนามอิสระ และยืนยันมาตลอดว่า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยอีกแล้ว

ข้ามฟากมา ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ซึ่งยืนยันมาตลอดเช่นกันว่า จะไม่ส่งผู้สมัครชิงตำแหน่ง แต่หากพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่ากทม.คนปัจจุบัน ตัดสินใจลงแข่งเพื่อเป็นผู้ว่าอีกสมัย ก็ต้องวัดใจผู้ใหญ่ในพปชร. ว่าจะสนับสนุนต่อหรือไม่ หรือ จะมีทางเลือกอื่น ซึ่งตอนนี้เริ่มมีชื่อ ‘ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร’ หรือ ผู้ว่าหมูป่า ขึ้นมาเป็นแคนดิเดตอีกคน

ขณะที่ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เก่ามายาวนานหลายปี ก่อนที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะถูกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจตาม ม.44 ปลดพ้นตำแหน่ง เมื่อปี 2559 ก็ดูเหมือนจะหมายมั่นปั้นมือที่จะกลับมาทวงคืนศรัทธาจากคนกรุงอีกครั้ง หลังจากเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์ถูกเท ไม่ได้แม้แต่เก้าอี้เดียวในกทม. เพราะเจอทั้งกระแส ‘ลุงตู่ฟีเวอร์’ กับ ‘ความแรงของพรรคอนาคตใหม่’ 

กล่าวโดยสรุปแล้ว รายชื่อของผู้สมัคร ก็คงไม่น่าจะหนีจากกระแสข่าวหลักมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าคอการเมืองคงทราบกันดีว่า สมรภูมิการเลือกตั้งในกทม. นั้น จะต้องอาศัยทั้งชื่อชั้นของผู้สมัคร และ ความนิยมในพรรคการเมืองที่สังกัด จึงจะได้รับเสียงสนับสนุนจากคนกทม. ได้อย่างแท้จริง

>> โจทย์หินเจ้าเมืองบางกอก ต้องลอกคราบพรรคการเมือง

ฉะนั้นแม้จะมีภาพพรรคการเมืองอุ้มหลังแต่เก่าก่อน หากแต่วันนี้จะเว้าวอนให้คนกรุงเทใจให้ บรรดาผู้สมัครก็คงจะต้องสลัดพันธุกรรมการเมืองเมื่อคิดลงสู่สนามนี้ เหมือนที่ ชัชชาติ ประกาศชัดว่า จะลงผู้ว่ากทม. โดยไม่สังกัดพรรคการเมืองใด นั่นเพราะไม่ต้องการให้ติดภาพความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทย เพราะยังมีคนกรุงจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านพรรคอยู่ เรียกว่าวัดกันที่แสงส่วนตัวไปเลยเพียว ๆ

นั่นก็เพราะภาพการเมืองที่ผ่านมาหลายปี มันทำลายหวังของคนกรุงไปพอควร ฉะนั้นหากต้องการให้กรุงเทพฯ มีความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา การให้โอกาสคนที่มีความรู้ความสามารถ สอดแทรกขึ้นมาบริหารกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือเก่า แต่ไร้กลิ่นการเมืองเกาะกาย ก็คงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top