Wednesday, 24 April 2024
TEA TIMES

รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ‘ศิริภา อินทวิเชียร’ สวนกลับ ‘สัณหพจน์ สุขศรีเมือง’ อย่าดูถูกเสียงประชาชน ลั่นไม่มีใครตีตราจอง นอกจากประชาชนเลือกเอง พร้อมยก ‘ประชาธิปัตย์’ เก่าแก่ควรค่าเป็นดัง ‘ไม้ยืนต้น’ ส่วนพรรคเกิดใหม่ยังเป็นได้แค่ไม้ล้มลุก

นางสาวศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึง กรณีที่นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ได้กล่าวถีง การเลือกตั้งซ่อมในเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช ว่า อย่าดูถูกประชาชน ว่าพรรคการเมืองใดตีตราจองในเขตเลือกตั้ง เพราะการที่พรรคการเมืองใดที่ได้รับการเลือกตั้งในเขตนั้นๆติดต่อกัน ไม่ใช่พรรคการเมืองตีตราจอง

แต่เป็นเพราะเสียงของประชาชนจองพรรคนั้น และไม่มีผู้แทนในพื้นที่ หรือพรรคการเมืองใดจะจองได้ หากประชาชนไม่เอาด้วยก็ไม่มีทางได้รับความไว้วางใจ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นมีหลายเขตที่ต้องดูกันยาวๆ อย่าพยายามยกหางตัวเอง กลองที่ตีเสียงดังดีคือหนังแท้ กลองที่ตีได้ครั้งเดียวคือหนังเปื่อย

ส่วนเรื่องฮั้วกันในทางการเมือง พรรคการเมืองที่เป็นสถาบันจะทราบดี และเมื่อถึงวันเลือกตั้งก็จะรู้ว่าใครฮั้วกับพรรคไหน

ทั้งนี้ ตลอด 74 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เป็นหลักให้กับประเทศ ยึดมั่นในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มุ่งมั่นทำงาน เคารพเสียงประชาชน พรรคของเรา คนของเรา เป็นความภูมิใจของประชาชนที่มีส่วนเป็นเจ้าของพรรค

เมื่อคัดเลือกคนที่ไปลงเลือกตั้งก็ต้องแน่นอนได้ว่าเป็นคนของพรรคและเป็นคนของประชาชน ดังนั้นอย่าดูถูกความรักความศรัทธาของประชาชน ในอนาคตจะมีอีกหลายพรรคที่เราจะรู้ได้ว่าเป็นพรรคที่ยั่งยืนหรือฉาบฉวยหรือไม่ เช่นเดียวกับนักการเมืองที่มีหลักการ ซื่อสัตย์สุจริต ก็ต้องใช้เวลาดูแบบไม้ยืนต้น เพราะถ้าเป็นไม้ล้มลุกจะใช้เวลาดูไม่นานก็จะรู้ว่าไม่ยั่งยืนเหมือนไม้ยืนต้น

เหรียญอีกด้านที่เผยเบื้องลึกอีกมุมจากการรัฐประหารในพม่า โดย ‘นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว’ นักเขียนสารคดีชื่อดังและนักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนหญิง บุตรสาวอาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว ปราชญ์ด้านภาษาไทย

…เพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์ติดต่อส่งข่าวจาก Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 1 Feb 2021 7:02 ว่า ‘อองซาน ซูจี’ ถูกทหารเมียนมาควบคุมตัว พร้อมเจ้าหน้าที่ระดับสูงพรรค NLD โดยการควบคุมตัวนางซูจีเกิดขึ้น หลังจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัฐบาลพลเรือนและกองทัพเมียนมาได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจจะเกิดการรัฐประหารหลังจากกองทัพเมียนมาอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา

นายเมียว ยุนต์ โฆษกพรรค NLD เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ว่า นางซูจี, นายอู วินมิ่นท์ ประธานาธิบดีเมียนมา และผู้นำคนอื่นๆ ของเมียนมา ได้ถูกควบคุมตัวในช่วงเช้านี้ “ผมต้องการจะบอกกับประชาชนของเราว่าอย่าตอบโต้อย่างผลีผลาม และผมต้องการให้พวกเขาทำตามกฏหมาย” นายเมียวกล่าวและคาดว่าตัวเขาก็คงจะถูกควบคุมตัวด้วยเช่นกัน

ดิฉันจึงเริ่มประสานงานตรวจเช็คจากเพื่อน ๆ แหล่งข่าวกลุ่มชาติพันธุ์หลายคนที่ทำงานอยู่ชายแดนไทย และในเมียนมา โดยในยามสายได้มีข่าวจากกลุ่มชาติพันธุ์ชัดเจนแล้วว่า นายพล มิน อ่อง หล่าย เป็นผู้นำรัฐประหาร ตอนนี้ทหารพม่าได้เข้าจับกุม นักการเมืองท้องถิ่นที่รัฐบาลซูจีของพรรค NLD แต่งตั้งให้ทำงานอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ดังที่ท่าขี้เหล็กผู้นำท้องถิ่นสังกัดพรรค NLD ของซูจีโดนรวบแล้ว และตามเมืองต่างๆ ทหารได้เข้าล็อคตัวผู้นำที่รัฐบาลซูจีแต่งตั้งไว้แล้ว แต่ผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ และคนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำงานทางการเมืองโดยตรง ยังไม่โดนอะไร

สำหรับในประเทศเมียนมา ดิฉันได้ประสานงานกับเพื่อนสัญชาติพม่าที่อยู่ในเมียนมา เขาบอกชีวิตชาวบ้านและทุกอย่างยังสงบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เพิ่งมีประกาศเป็นทางการในทีวีพม่าว่า มีการแต่งตั้งอูมินส่วย รองประธานาธิบดีพม่าคนที่ 1 ขึ้นรักษาการประธานาธิบดีชั่วคราว ทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ 1 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ ให้โปร่งใสกว่านี้

ข้อมูลที่เป็นไฮไลท์จาก นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว ได้เผยว่า...

นี่เป็นข้อมูลที่ดิฉันรวบรวมจากเพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์ และติดต่อทางสื่อออนไลน์คุยกับเพื่อนในเมียนมา โดยได้รับทราบมาตลอดหลายปี และรวบรวมเหตุการณ์รัฐประหารวันนี้ มีดังนี้

1.) การรัฐประหารครั้งนี้ ทั้งประชาชนพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก เป็นส่วนใหญ่ก็ว่าได้ ‘เห็นด้วยกับทหาร’ และประชาชนไม่เอาด้วยกับซูจีและนักการเมืองพรรค NLD

2.) สำหรับทางกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว แม้หลายปีมานี้ ในช่วงรัฐบาลซูจี ทางซูจีจะช่วยชนกลุ่มน้อยหลายอย่าง แต่ก็เหยียบย่ำบีบคั้น ชนกลุ่มน้อยมาก โดยบังคับให้ผู้นำทุกกลุ่มชาติพันธุ์ต้องพูดภาษาพม่าในรัฐสภา, กระทั่งนักการเมืองพรรค NLD เองจะเสนอแนวคิดใดในสภา ก็ต้องนำเสนอประเด็นที่จะพูดในรัฐสภากับซูจีก่อน จึงจะได้รับโอกาสให้เสนอความเห็นในสภาได้

3.) นักการเมืองเมียนมาจำนวนมาก และกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มเจอเรื่องสุดแสบจากซูจีมาตลอด 5 ปี จนเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ จนกระทั่งมีนักการเมืองรุ่นใหม่ทั้งของเมียนมาและชนกลุ่มน้อย ไม่เอากับ NLD และเข้ารวมตัวกันกับทหารรุ่นใหม่ เข้าสู่สนามเลือกตั้งในช่วงการเลือกตั้งปลายปีที่ผ่านมา

4.) เพื่อนกลุ่มชาติพันธุ์บอกกำลังตรวจเช็ค จะเป็นการรัฐประหารยาวหรือทำแค่ควบคุมระยะสั้น เพราะตอนนี้เป็นช่วงเลือกตั้งเสร็จใหม่ๆ เหลือเวลาให้ต้องเปิดรัฐสภาให้ได้ภายใน 10 วัน ถ้าเปิดสภาไม่ได้ ผลเลือกตั้งจะเป็นโมฆะ ทหารต้องการให้ผลเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะโกงมาก และทางซูจีจะต้องเปลี่ยนรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่แน่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญเอื้อกับการใช้อำนาจของทหารมาก ดังนั้นทหารต้องยึดอำนาจ ตรงนี้กลุ่มชาติพันธุ์ก็ต้องการที่สุดในการแก้ รธน. แต่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มชาติพันธุ์ก็ถูกบีบบังคับอย่างที่สุดจากซูจีด้วย และกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากได้เมินเฉยไม่เอากับรัฐบาลซูจีไปมากแล้วด้วย

5.) ดิฉันได้สัมภาษณ์ออนไลน์กับเพื่อนสัญชาติเมียนมา เขาอยู่กลางเมืองใหญ่ในเมียนมา เขาให้รายละเอียดว่า ขณะนี้ทั้งประเทศไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่ WIFI ธนาคารก็หยุดชั่วคราว เมื่อเช้านักการเมืองถูกคุมตัวที่เนปิดอว์ 31 คน ทั้งหมดเป็นคน NLD ของซูจี และพรรคอื่นๆ ซูจีก็โดนด้วย นักการเมืองมาชุมนุมกันที่เนปีดอว์ตอนเช้า เพราะวันนี้เป็นวันเริ่มประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตอนนี้ในประเทศเมียนมายังไม่มีประกาศอะไร ทีวีช่องต่างๆ ในเมียนมาไม่เปิด มีแต่ทีวีช่องทหารอันเดียว ซึ่งที่ออกอากาศให้ประชาชนดูกันอยู่ก็ไม่มีข่าวปัจจุบัน ไม่มีข่าวใหม่ มีแต่ข่าวเมื่อ 2 - 3 วันก่อน

ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเมียนมาและผู้ใหญ่ในกลุ่มชาติพันธุ์ที่พบปะติดต่อกัน มีความเห็นว่า ‘ดีที่มีการรัฐประหาร’ เพราะNLDของซูจี โกงเลือกตั้งมาก คนตายแล้วยังมีชื่อไปเลือกตั้ง บางคนชื่อมีสิทธิ์เลือกตั้งอยู่ถึง 3-4 เมือง และมีการไปเลือกตั้งทุกเมือง, คนไม่มีบัตรประชาชน คนอายุไม่ถึงเกณฑ์ ยังเข้าไปเลือกตั้งได้ หลายเมืองมากที่เสียงคนลงคะแนนเกินจำนวนคนมีสิทธิ์จริง การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในพม่า มีการโกงอย่างโจ่งแจ้ง เละเทะมาก

กระทั่งทหารเอง นายพล มิน อ่อง หล่าย ออกมาบอกหลายครั้ง ให้ตรวจสอบการโกงเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมก่อนเปิดสภา เพราะไม่เป็นประชาธิปไตยจริง ไม่สะอาด ไม่ถูกต้อง มิน อ่อง หล่าย ออกมาบอกหลายครั้ง ซูจีและNLD ก็ไม่ฟัง จะเปิดสภาให้ได้

จนเมื่อ 3 - 4 วันก่อน ทหารกับNLD ประชุมกันที่เนปีดอว์ ทหารขอให้มีการตรวจสอบการเลือกตั้งก่อน ให้ประชาชนได้เห็นความยุติธรรม ความสะอาดโปร่งใสก่อนค่อยเปิดสภา แต่ซูจีและNLD ไม่ยอม ยืนยันจะเปิดสภาให้ได้

6.) การรัฐประหารครั้งนี้ คนเมียนมาและผู้นำทางความคิดของกลุ่มชาติพันธุ์เห็นด้วย เพื่อนดิฉันที่เคยถูกทหารพม่าจับติดคุก และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอด ยืนยันว่า ดีที่มีการรัฐประหาร เขาเห็นด้วยกับการรัฐประหาร เพราะทหารไม่ได้มายึดอำนาจเหมือนครั้งก่อน แต่ทหารมาเป็นนายกสภา อูมินส่วย มารักษาการประธานาธิบดี ภายใน 1 ปีจะมีการเลือกตั้งใหม่

ที่คนจำนวนมาก ผู้นำทางความคิดของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากเห็นด้วยกับการยึดอำนาจของทหารครั้งนี้ เพราะตลอดหลายปีในการปกครองของซูจีและรัฐบาลพรรคNLD ซูจีได้ทำในหลายสิ่งที่ประชาชนต่อต้าน ไม่เห็นด้วย เป็นการกระทำที่แย่มากๆ ตัวอย่างเช่น ซูจีไปเอาคนยุโรป ฝรั่งต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาประเทศจำนวนถึงประมาณ 90 กว่าคน แต่ละคนต้องจ่ายเงินเดือนเขาอย่างน้อยเดือนละ 2000 USดอลลาร์ (60,000บาท) ทั้งที่ประเทศเมียนมาร์ยากจนมาก ประชาชนยากจนมาก ไม่มีเงิน

แต่ซูจีเอางบประมาณชาติมาผลาญ ตลอด 5 ปีของรัฐบาลซูจีเสียเงินไปมาก ทั้งที่คนพม่าเองที่เก่งๆ มีความรู้ในเมืองก็มีมาก ซูจีไม่เอาไปปรึกษา เธอเห็นแก่ชาติตะวันตก ประเทศเมียนมาของเราจะเอาแบบตะวันตกไม่ได้ เราไม่เหมือนกัน ชนกลุ่มน้อยก็มีมาก คนไม่มีการศึกษาก็มาก ตลอด 5 ปีของการปกครองของซูจี บ้านเมืองไม่ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเลย งบประมาณที่ซูจีเอาไปให้ที่ปรึกษาฝรั่ง เอามาช่วยการศึกษาดีกว่า แต่ซูจีและNLD ไม่ทำ

ที่สำคัญซูจีไม่เห็นหัวชนกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่อยากร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่อยากเอาคนของกลุ่มชาติพันธุ์เข้าร่วมทำงานการเมืองในสภา ซูจีไม่เอาอย่างชัดเจนมาก ดังนั้นรัฐประหารครั้งนี้น่าจะดีกับประเทศของเรา มากกว่าปล่อยให้ซูจีเปิดสภาแล้วตั้งรัฐบาลปกครองประเทศต่อไป

ทั้งหมดนี้ดิฉันรวบรวมจากการสัมภาษณ์เพื่อนสัญชาติพม่า และคนของกลุ่มชาติพันธุ์ในช่วงครึ่งวันที่ผ่านมา


ที่มา:

https://www.facebook.com/1190754654403357/posts/2485003138311829/

https://www.thaipost.net/main/detail/91873

ส.ส.พลังประชารัฐ ขอพรรคการเมือง เลิกตีตราจอง แสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ ชี้ควรเคารพเสียงของประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจเลือกคนมาทำงานเป็นตัวแทน แนะพรรคการเมืองควรทำหน้าที่เป็นตัวเลือก ไม่ใช่ผู้ชี้ขาด

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยถึง กรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ส่งตัวแทน คือ นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมในเขต 3 จ.นครศรีธรรมราช แทน นายเทพไท เสนพงศ์ ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิทางการเมือง ว่า เป็นเพราะตนเคารพการตัดสินใจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

การที่พรรคส่งตัวแทนผู้สมัคร นั่นหมายความว่า พรรคไม่สนับสนุนให้มี “การตีตราจอง” ว่าใครเป็นเจ้าของพื้นที่ และ ยืนยันว่า จะไม่มี “การฮั้วกันทางการเมือง” แต่เป็นการเพิ่มช่องทางตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับประชาชน

“30 ปี ที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช ต้องเผชิญกับคำว่า "พรรคของเรา คนของเรา" มาโดยตลอด คนภายนอกอาจมองว่า พื้นที่นี้มีแต่พรรคการเมือง พรรคเดียวเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว ในสนามเลือกตั้งไม่มีใครเป็นเจ้าของพื้นที่ที่แท้จริงนอกจากพี่น้องประชาชน”

สำหรับวันนี้บ้านเมืองอยู่ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การเลือกตั้งซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในระบอบประชาธิปไตย จึงควรที่จะต้องมาจากคะแนนเสียงที่บริสุทธิ์ของพี่น้องประชาชน ในฐานะพรรคการเมือง เราเป็นเพียงตัวเลือกของพี่น้องประชาชน ในการเสนอตัวรับใช้ ไม่ใช่ “การตีตราจอง” ว่า พื้นที่นี้เป็นของฉัน หรือพื้นที่นี้เป็นของพรรคใดพรรคหนึ่ง

และ ผมเชื่อว่า “การฮั้ว” กัน ไม่ใช่หนทางของการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง และยังขัดต่อหลักการอย่างที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นการกระทำที่ปิดโอกาสทางเลือกให้พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจเลือกผู้แทนที่เขาอยากเลือก เพื่อมาทำงานรับใช้เขา

“สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันในหลักการมาโดยตลอดคือ เราต้องให้ความเคารพต่อคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชน แม้ว่าเขาไม่ได้เลือกเรา แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะต้องพ่ายแพ้ในเขตเลือกตั้งนั้นๆ เราไม่เคยตีโพยตีพาย แต่เราต้องใช้สถานการณ์ดังกล่าวในการคิดทบทวน และปรับปรุงตัวเราเอง”

อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐ เคารพและถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสุดที่พี่น้องประชาชน ได้ลงคะแนนเสียงเลือกตัวแทนของพรรค เราเชื่อว่าทุกคะแนนเสียงที่ได้รับ คือ “คะแนนบริสุทธิ์” ที่พี่น้องประชาชนได้ตัดสินใจเลือกตัวแทนของเขาแล้ว และคือผู้ให้โอกาสเราได้ทำงานตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจนั้น โดยเราพร้อมที่จะยอมรับกติกาที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

หลายท่านคงได้เห็นการเปิดตัวของ ‘Top News TV’ นำทีมโดย ‘สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม’ และอดีตทีมงาน ‘เนชั่นทีวี’ โดยมีธงในการนำเสนอที่ชัดเจนกันไปบ้างแล้ว

ทว่า ในบางมิติของสถานีข่าวดังกล่าว ก็เริ่มมีเสียงสะท้อนออกมาเชิงติติงถึงการนำเสนอที่อาจสร้างความขัดแย้งได้เบา ๆ โดย ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ ที่ได้ติดตามชมช่องนี้ ก็ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Warat Karuchit ว่า...

ด้วยความปรารถนาดีต่อ Top News นะครับ...

ความเห็นส่วนตัวของผมคือ คุณไม่ต้องเน้นย้ำเรื่องการนำเสนอ "ความจริง" หรอกครับ (แถมยังเป็น "ที่สุดแห่งความจริง" อีกต่างหาก)

คนที่เป็นแฟนคลับ ก็เชื่ออยู่แล้ว ไม่ต้องบอกก็เชื่อ

คนที่ชิงชัง หมั่นไส้ บอกยังไงก็ไม่เชื่อ จะเอาไปล้อเลียนด้วยซ้ำ

และอันที่จริงสำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก ไม่มีใครจำเป็นต้องบอกหรอกครับว่าเป็นสถานีที่นำเสนอความจริง

เพราะสำนักข่าวมีหน้าที่นำเสนอความจริงอยู่แล้ว และความจริงก็คือความจริง ไม่มีอะไรจริงมากจริงน้อย จริงน้อยก็คือบิดเบือน หรือไม่จริงนั่นเอง

ยิ่งเน้นย้ำเรื่องความจริง ยิ่งรู้สึกเหมือนพยายามจะปกปิดอะไรไปเสียอีก

การยิ่งย้ำเรื่องความจริง ในความคิดเห็นผม ยิ่งเป็นการผลักให้ Top News มีจุดยืน "ยึดครองความจริง" ชุดเดียวที่มีอยู่ ซึ่งผมไม่เห็นด้วย

ทุกสำนักข่าวสามารถใช้ความจริงได้ แต่แบบนี้เหมือนว่าสำนักข่าวอื่นนั้นจริงไม่เท่า ทำให้ตัวเองแปลกแยกออกมาและถูกหมั่นไส้โดยไม่จำเป็น ยิ่งเป็นเป้าให้จับผิดด้วย

ดังนั้นในแง่แบรนด์ดิ้ง ลองขยายจุดยืนไปให้มากกว่า "ความจริง" และ "รักชาติ" อาจจะขยายฐานผู้ชมได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากเห็น มากกว่าจะเป็นผู้ชมกลุ่มเดิม ๆ ที่เหนียวแน่น แต่จำนวนเท่าเดิม

ผมว่าในยามนี้สร้างมิตรดีกว่าศัตรู ทั้งในเรื่องผู้ชมและสปอนเซอร์ด้วย ตั้งใจทำดีต่อไป ให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่าครับ ว่าสำนักข่าวนี้จะสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างไรบ้าง


ที่มา: https://m.facebook.com/story.phpstory_fbid=4275680352447571&id=100000169455098

‘ทักษิณ - มินอ่องหล่าย’ รู้จักกันเป็นอย่างดี!! เปิดปมสัมพันธ์ (ไม่) ลับ ที่จับแต่ผลประโยชน์ทางธุรกิจล้วนๆ

เปิดสัมพันธ์ ‘ทักษิณ’ นักโทษหนีคดี กับ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ผู้ทำรัฐประหารเมียนมา พบลึกซึ้งตั้งแต่ยุค ‘ยิ่งลักษณ์’ เป็นนายกฯ สนิทถึงขั้นเรียก ‘ไอ้’ ได้ในคลิปถั่งเช่าฉาว และสามารถบุกไปดูโครงการท่าเรือทวาย พักบ้านหรูเชิงเขามัณฑะเลย์ ก่อนจะยกที่ดินใจกลางเมืองย่างกุ้งให้ แถมสุดท้ายได้บ่อน้ำมันสมใจ หลังเคยปล่อยเงินกู้ 4 พันล้าน ดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน ในยุคตัวเองเป็นผู้นำ จนถูกตัดสิน 3 ปี และหนีคดี

หลังเกิดเหตุรัฐประหาร ยึดอำนาจในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา นำโดย ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา ที่อยู่ในอำนาจ มานานถึง 10 ปี ด้วยวัย 64 ปี เข้าทำการยึดอำนาจจากนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา และประธานาธิบดีวิน มินต์ พร้อมกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี เพื่อจัดระเบียบต่างๆ ก่อนจะให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น ชื่อของ ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ ก็โดดเด้งขึ้นมาในสายตาของใครหลายๆ คน

สำหรับ ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ นั้นปรากฎพบชัดว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับประเทศไทยในหลายมิติ โดย เพจ ‘Wassana Nanuam’ ของน.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ระบุว่า พล.อ.มิน อ่อง หล่าย มาเยือนไทยหลายครั้ง อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อมาประชุม GBC คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-เมียนมา ในฐานะแขกของผบ.ทหารสูงสุดของไทย และก่อนหน้านี้ เมื่อมาไทย ก็มักจะไปพบกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ โดยมีความสนิทสนมกันมากถึงกับ ขอเป็นลูกบุญธรรมพล.อ.เปรม เพราะรู้สึกว่า เหมือนพ่อของตนเอง เนื่องจากพล.อ.เปรมอายุห่างจากพ่อของพล.อ.มิน อ่อง หล่าย เพียง 1 ปี กระทั่งพล.อ.เปรม ถึงแก่กรรม พล.อ.มิ่น อ่อง หล่าย ก็ยังเดินทางมาเคารพศพ ที่วัดเบญจมบพิตร และไปลงนาม ที่วังสราญรมย์ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์ กลับมีเรื่องที่น่าสนใจหนึ่ง โดยมีการขุดคุ้ยความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา และหัวหน้าคณะรัฐประหาร กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หนีคดีของไทย โดยนำ ‘คลิปถั่งเช่า’ ในอดีตที่โด่งดัง เมื่อปี 2556 ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ มาถอดความ ซึ่งในนั้นมีเสียงสนทนาของชายที่เสียงคล้ายพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม (ในขณะนั้น) กับนายทักษิณ ชินวัตร

ช่วงหนึ่งในคลิปถั่งเช่านี้ มีการพูดถึงคนชื่อ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ว่า “…เรื่องของพม่า ผมบอกกับนายกฯ ไปแล้วนะครับบอกว่าใช้ ‘ผบ.สูงสุด’ ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเลย เพราะ “ไอ้มิน อ่อง หล่าย” ซึ่งเป็น ผบ.สูงสุด ของพม่า มันเป็นมือหนึ่งของท่านประธานาธิบดีเต็งเส่งเลย แล้ว ‘เต็งเส่ง’ ให้ความเกรงใจมากที่สุด และทีนี้ ‘ไอ้ผบ.สูงสุด’ เขากับ ‘ผบ.สูงสุดไทย’ นี่ มันมาเป็นเคาน์เตอร์พาร์ตกัน ผลัดกันกินข้าวคนละเดือน คนละเดือน เพราะฉะนั้นถ้าจะบีบอะไรเรื่อง ‘ทวาย’ นายกฯ เรียกผบ.สูงสุดมาใช้ได้อีกงานหนึ่ง เป็นงานต่างประเทศ

ชายที่เสียงคล้ายนายทักษิณ กล่าวตอบหลายประโยคที่สะท้อนถึงความแนบแน่นว่า “ผมก็ไปสงกรานต์กับมัน กับ ไอ้เนี่ย ผบ.สูงสุด!! … พวกผมทั้งนั้นแหละ มันยกที่ให้ผมแปลงนึง ใจกลางเมืองย่างกุ้ง

ชายที่เสียงคล้ายพล.อ.ศศิประภา ตอบว่า “ไอ้นี่ต้องเอาไว้นะครับ ถ้าได้ พม่านี่เสร็จเราหมดเลย ต้องเอาให้ได้ … ไอ้มิน อ่อง หล่าย และไอ้รัฐมนตรีกีฬากับโฮเต็ลอีกคนหนึ่ง ไอ้นี่ก็มหาศาลเหมือนกันนะ ผมจะเรียกให้มาพบท่าน มันสร้างทำเนียบรัฐบาลให้ประธานาธิบดี มันสร้างรัฐสภาให้ ขณะนี้มันกำลังสร้าง Sport Complex ให้ มันรวยมหาศาลเลย เจ้าของบ่อหยก

อีกด้านหนึ่ง เพจ Dr.X ได้แฉถึงสายสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย กับ นายทักษิณ ชินวัตร โดยอธิบายว่า…”ย้อนดูข่าวช่วงปี 2556 พบว่า นายทักษิณเดินทางเข้าพม่า 2 ครั้ง ครั้งแรก…เดือนมีนาคม 2556 และ ช่วงสงกรานต์ปี 2556 โดยในเดือนมีนาคม 2556 สำนักข่าวประเทศพม่า Eleven media group รายงานว่า นายทักษิณเดินทางไปที่เมืองทวายเพื่อเข้าดูท่าเรือของโครงการทวาย ขณะที่ในช่วงสงกรานต์ ปี 2556 นายทักษิณก็เดินทางไปยังเมืองเมย์เมียว โดยพบกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่า ที่บ้านพักหรูเชิงเขาในเขตมัณฑะเลย์ และปี 2557 ก่อนการรัฐประหารในไทย นายทักษิณก็ปรากฏตัวที่เมียนมาอีกครั้ง ข่าวว่าไปทำบุญแก้กรรม โดยเข้าพักที่ชั้น 10 โรงแรมชาเทรียม ในย่างกุ้ง แล้วแกนนำพรรคเพื่อไทย, รัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และข้าราชการระดับสูง แห่ไปพบกันเพียบ”

ทั้งนี้หากจับปรากฏการณ์ดังกล่าวจะพบว่า สายสัมพันธ์ของทั้ง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้หนีคดีของไทยนั้น พบว่า หลังเดือนมีนาคม 2556 ที่นายทักษิณเดินทางไปดูโครงการท่าเรือทวาย และช่วงสงกรานต์ 2556 ที่มีการเจรจาลับกันที่บ้านพักหรู เชิงเขาในเขตมัณฑะเลย์นั้น จากปากคำของนายทักษิณ ยอมรับเองว่า มีการยกที่ดินใจกลางเมืองย่างกุ้งให้ตนเอง ขณะเดียวกันมีการวิจารณ์กันด้วยว่า หลังเหตุการณ์ดังกล่าว คาดว่านายทักษิณจะมีบ่อน้ำมันในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย สมความตั้งใจที่ต้องการได้สิทธิมานาน

สำหรับโครงการลงทุนในทวายนั้น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ประเทศเมียนมาร์ และอยู่ทางตะวันตกจากกรุงเทพฯ โดยมีระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาได้ให้สิทธิในการพัฒนาพื้นที่ของโครงการทวายแก่บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งเป็น 6 เขตอุตสาหกรรม ได้แก่ เขตที่อยู่อาศัย เขตการค้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องภายในนิคมอุตสาหกรรม ถนนและทางรถไฟเชื่อมโยงไปสู่ประเทศไทย รวมไปถึง น้ำมันและท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวมะตะบันไปยังชายแดนไทย-สหภาพเมียนมา

ท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ตั้งอยู่ห่างจากจังหวัดทวายประมาณ 28 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในตอนเหนือของอ่าวเมืองมะกัน มีการลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ถนนเชื่อมโยงจากทวายไปยังประเทศไทย และด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์ในการเชื่อมโยงทางรถไฟจากทวาย ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ มูเซ เชื่อมต่อไปยังทางรถไฟจีนที่คุนหมิง ทำให้โครงการนี้ได้รับการเสนอให้เป็นจุดศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญของภูมิภาค

ทั้งนี้จะเห็นว่า นายทักษิณพยายามสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเมียนมามาโดยตลอด โดยเมื่อครั้งตัวเขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อจำนวน 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลสหภาพพม่า โดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน เพื่อนำเงินกู้ดังกล่าวไปใช้ในการซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งในเวลาต่อมา นายทักษิณถูกศาลตัดสินพิพากษา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 ว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) ให้จำคุก 3 ปี

เมื่อกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวที่คนกรุงเตรียมต้องเจอ หลังสเกลราคาเต็ม Max ตลอดสาย จะอยู่ที่ 104 บาท เริ่ม 16 ก.พ.2564 ทาง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี จึงได้ออกมาเปิดแนวทางแนะวิธีช่วยลดค่าโดยสารให้ถูกลง

เมื่อกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวที่คนกรุงเตรียมต้องเจอ หลังสเกลราคาเต็ม Max ตลอดสาย จะอยู่ที่ 104 บาท เริ่ม 16 ก.พ.2564 ทาง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี จึงได้ออกมาเปิดแนวทางแนะวิธีช่วยลดค่าโดยสารให้ถูกลงได้อย่างน่าสนใจผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ว่า...

เรื่องอัตราค่าโดยสารใหม่ของ BTS คงเป็นเรื่องกังวลใจของพวกเราหลาย ๆ คน เพราะจำนวนคนที่ใช้รถไฟฟ้า BTS ก่อนโควิด มีถึงเกือบ 700,000 คนเที่ยวต่อวัน

แล้วมีทางไหนไหม ที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง?

วิธีหนึ่งที่หลาย ๆ ประเทศในโลกใช้กัน คือ เพิ่มรายได้ในส่วนของ Non-Fare

รายได้จากกิจการรถไฟฟ้าหรือ กิจการขนส่งทั่วๆ ไป เราอาจมีรายได้ในสองรูปแบบ คือ...

1.) Fare Revenue รายได้จากค่าตั๋วโดยสาร

2.) Non-Fare Revenue รายได้จากกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าโฆษณา ค่าเช่าพื้นที่ ประโยชน์จากการเชื่อมต่อสถานี

จำนวนผู้โดยสารที่ผ่านระบบมากถึง 700,000 คน - เที่ยวต่อวัน ทำให้พื้นที่ในสถานีรถไฟฟ้า ในขบวนรถไฟฟ้า ราวจับ รวมถึงรอบตัวรถไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งเสาโครงสร้างรถไฟฟ้า มีมูลค่าสำหรับการโฆษณาสูงมาก

เราคงจะไม่เห็นพื้นที่ไหนที่มีการโฆษณามากเท่ากับพื้นที่ในสถานีรถไฟฟ้าแล้ว

อย่างในกรณีของ MTR ของฮ่องกง ในปี 2017 มีรายได้จาก Fare Revenue 63% และ Non-Fare Revenue 37%

สำหรับในส่วนของกทม. ผมเชื่อว่าถ้าเราบริหารจัดการให้ดี ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนให้ดี เราสามารถนำรายได้ในส่วนของ Non - Fare มาช่วยเสริมรายได้จากค่าโดยสารอีกไม่น้อยกว่า 20%

จากข้อมูลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เราพอจะหารายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเปรียบเทียบคร่าวๆ ได้ดังนี้

รายได้จากค่าโดยสารของรถไฟฟ้า BTS ในส่วนสายหลักระยะทาง 23.5 กิโลเมตร (สายสุขุมวิท จากสถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุชและสายสีลม จากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน) ในปี 2562 - 2563 เก็บค่าโดยสารได้รวม 6,814.24 ล้านบาท

ในขณะที่รายได้จากการโฆษณาและให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้า BTS ในปี 2562 - 2563 สูงถึง 2,183.89 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้จากค่าโดยสาร

ในอนาคต เมื่อสัมปทานปัจจุบันสิ้นสุดลง ถ้าเรามีการประมูลที่โปร่งใส ยุติธรรมกับทุกฝ่าย มีการนำรายได้อื่นๆ จากรถไฟฟ้ามาช่วยสนับสนุนค่าโดยสาร จะช่วยทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลงได้ครับ


ที่มา: https://www.facebook.com/532747176786139/posts/3864920170235473/

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ โต้ ‘ณฐพร โตประยุร’ เลอะเทอะ ไร้สาระ หลังยื่น กกต.ยุบพรรคก้าวไกล เหตุส.ส.ของพรรคใช้ตำแหน่งประกันตัวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ชี้เป็นแค่คนในระบอบสืบทอดอำนาจ คสช. ที่ออกมาหาเรื่องเท่านั้น

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถึงกรณีที่นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นกกต.ยุบพรรคก้าวไกล ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 โดยระบุว่า

เลอะเทอะ

ผมได้ติดตามข่าวและได้อ่านเอกสารคำร้องที่คุณณฐพร โตประยูร ที่ได้ส่งให้ กกต. แล้ว ผมไม่มีอะไรจะพูดอะไรมาก นอกจากคำว่า ‘เลอะเทอะ’ และ ‘ไร้สาระ’

คุณณฐพร โตประยูร ชื่อคุ้นๆ เพราะเป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวของกับคดีฟอกเงินที่ดินคลองจั่นเกือบ 5 ร้อยล้านบาท เป็นผู้สนับสนุนระบอบสืบทอดอำนาจ คสช. และเขาก็ยังเป็นคนเดียวกับที่เคยยื่นให้ยุบพรรคอนาคตใหม่คดี ‘อิลูมินาติ’ ด้วย ซึ่งในคดีนั้นก็จบลงที่ศาลวินิจฉัยไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากไม่ได้มีการล้มล้างการปกครองหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแต่อย่างใด

คำร้องยุบพรรคที่คุณณฐพรเขียนมาวันนี้ ข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างมาก็ไม่มีส่วนไหนเลยที่สนับสนุนสิ่งที่ตัวเองกล่าวหา ซึ่งอ่านทั้งหมดแล้วก็รู้สึกว่าไร้สาระยิ่งกว่าคดี ‘อิลูมินาติ’ เสียอีก ดังนั้น ทางผมและพรรคกำลังพิจารณาฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณณฐพร โตประยูร ในความผิดมาตรา 101 แห่ง พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2560

ในข้อหาที่ว่า “ผู้ใดแจ้งหรือกล่าวหาพรรคการเมืองหรือบุคคลใดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อคณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยรู้อยู่ว่าเป็นความเท็จต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น...”

สุดท้ายนี้ เมื่อดูภาพรวมประกอบบริบทสถานการณ์แล้ว การยื่นคำร้องยุบพรรคก้าวไกลแบบนี้ คิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากความตั้งใจก่อกวนให้พวกเราเสียสมาธิในการทำงาน และเบี่ยงประเด็นกลบเกลื่อนความผิดพลาดในการบริหารงานของรัฐบาล ที่จะถูกแฉในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมีขึ้นใน 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้

ขอเชิญชวนประชาชนทุกท่าน อย่าลืมติดตามการประชุมสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป พรรคก้าวไกลพร้อมอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ พวกเรายืนยันจะทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ภาษีทุกบาททุกสตางค์ต้องถูกใช้อย่างคุ้มค่าและโปร่งใส

เปิดเส้นทาง ‘สรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ นักการเมืองสายเลือดใหม่ ที่คนชลบุรี ภูมิใจนำเสนอ พร้อมภารกิจสำคัญ!! หัวโต๊ะประธาน กมธ. วัตถุอันตราย

ย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้าเลือกตั้งปี 60 ความต้องการ ‘นักการเมือง’ เข้ามาในสภาฯ เพราะเชื่อว่ามีไฟและแรงตั้งใจในการทำงานการเมืองสร้างสรรค์กว่า ‘คนเก่าๆ’ การเมืองเก่าๆ

นั่นจึงทำให้ประชาชนในหลายเขตพื้นที่ ต่างเฝ้ารอ ‘เลือกกา’ คนรุ่นใหม่ ที่จะมาช่วยเหลือปัญหาพื้นที่ของตนแบบพลิกโฉม!!

วันนี้ The States Times จะพาไปพบกับหนึ่งในนักการเมืองเลือดใหม่ ‘สรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ ส.ส.ชลบุรี และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ผู้ที่พิสูจน์ตนเองบนเส้นทางแห่งนี้ จนทำให้ผู้ใหญ่หลายคนยอมรับและกล้ามอบหมายหน้าที่สำคัญๆ ให้เพียบ!!

‘นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ ส.ส.ชลบุรี และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เริ่มฉายแววความเก่งฉกาจ จากพลังและความคิดสร้างสรรค์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่นำเสนอนโยบายต่างๆ จนชื่อของ สรวุฒิ กลายเป็นแคนดิเดต ในการรับมอบภารกิจใหม่ๆ บ่อยขึ้น ล่าสุด ก็ถูกวางตัวเป็นมือกระบี่ในการดูแลภารกิจใหญ่ อย่าง ‘การควบคุมวัตถุอันตราย’ ซึ่งการพิจารณาวัตถุอันตรายมีความซับซ้อนทำให้มีความจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือแม้แต่องค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความรู้ความสามารถในเชิงลึก เพื่อดำเนินการดังกล่าวกรณีจึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย โดยให้มีผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวเพื่อให้การพิจารณาวัตถุอันตรายมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยเมื่อปลายเดือนมกราคม 64 ที่รัฐสภา ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่...) พ.ศ. ... นัดแรก มีการพิจารณาเลือกตำแหน่งต่างๆ ใน กมธ. และชื่อของ ‘นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ ส.ส.ชลบุรี และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้รับเลือกเป็นประธานกมธ. ด้านนี้

ภายหลังการเข้ารับบทบาทใหม่ สรวุฒิ เล่าว่า “ตอนนี้อยู่ในหลักการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพ.ร.บ.ฯ โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายและกำหนดอำนาจของรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการได้มา รวมทั้งการขึ้นบัญชี ผู้เชี่ยวชาญองค์กร ผู้เชี่ยวชาญหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อัตราค่าบัตรขึ้นบัญชีสูงสุดและค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุด ประเภทค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอและกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายรวมทั้งหลักเกณฑ์ในการรับเงินการจ่ายเงินและการเก็บรักษาเงินดังกล่าว ซึ่งเป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างมาก”

ทั้งนี้หากมองพื้นเพเดิมของ สรวุฒิ เขาเป็นเด็กกรุงเทพฯ ครึ่งหนึ่ง ต่างจังหวัดครึ่งหนึ่ง เรียนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็ก โดยพกดีกรีด้านพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือเก่งด้านการเงินและการธนาคาร (ไฟแนนซ์) ติดตัวมา และมีสไตล์การทำงานแบบหัวคิดต่อยอด ทำให้เขาสามารถสานต่อธุรกิจต่างๆ ของครอบครัวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเกษตรกรรม ไร่อ้อย ไร่ยาง ไร่ปาล์ม กิจการตลาด หลังจากเคยได้เข้าร่วมรั้วองค์กรใหญ่อย่าง ‘ซีพี’ สังกัดสำนักบริหารกลางของเครือ ที่ดูแลเซเว่นอีเลฟเว่น การลงทุนในจีนในช่วงระยะหนึ่ง

ในระหว่างที่ดูแลธุรกิจหลากหลายอย่าง เขาก็ได้มีโอกาสคลุกคลีกับประชาชนที่อยู่ในห่วงโซ่นี้ไปในตัว จนหลายครั้งก็ช่วยเข้าไปแก้ปัญหาต่างๆ ของประชาชนได้ด้วย เรียกว่าเก่งทั้งการบริหารธุรกิจและแถมยังเข้าใจระบบนิเวศน์ของปัญหา ‘ประชาชน’ ไปได้พร้อมๆ กันเลยทีเดียว

ย่างก้าวบนเส้นทางการเมืองในวันนี้ของ ส.ส.ต้น สรวุฒิ จึงเรียกได้ว่าเป็นทั้งความภูมิใจของครอบครัว พรรคพลังประชารัฐที่กล้ามอบงานท้าทายๆ ให้ลอง โดยมีกองเชียร์ชาวชลฯ ที่พูดเป็นเสียงเดียวว่า ส.ส.คนนี้ เป็นความภูมิใจที่น่าจับตาจริงๆ...

แหล่งที่มา:

https://www.matichon.co.th/prachachuen/interview/news_1264827

https://www.naewna.com/politic/549136

 

รู้จัก​ 'มิน อ่อง หล่าย'​ หัวหน้าคณะปฏิวัติเมียนมา​ ผู้เคยเป็นลูกบุญธรรม 'ป๋าเปรม'​ และยึดแนวทางคำสั่งสอนของป๋ามาโดยตลอด

ตอนนี้ก็เรียกได้เต็มปากว่า​ ขุมอำนาจทางการเมืองในเมียนมากลับเข้าอยู่อ้อมอกของของทหารอีกครั้ง หลังจากกองทัพได้เข้าควบคุมตัวนางอองซานซูจี และผู้นำระดับสูงของรัฐบาล เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศหลังจากพ้นสภาวะฉุกเฉินในอีก 1 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม​ ต่อจากนี้​ 1​ ปี​ เมียนมาจะมีผู้กุมอำนาจเล็ดเสร็จที่สุดโดย พล.อ.อาวุโส 'มิน อ่อง หล่าย'​ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา 

พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นใคร? 

มีเกร็ดเรื่องราวที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรมของ ‘ป๋าเปรม’ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ 

เขาเคยได้เข้าพบ ‘ป๋าเปรม’ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ในปี 2555 หลังจากที่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทสส.เมียนมา และเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยี่ยมเยือนที่กองบัญชาการกองทัพไทย​ ซึ่งทั้งคู่ต่างพูดคุยถูกคอกันจึงทำให้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ขอเป็น ‘บุตรบุญธรรม’ ตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้นทุกครั้งที่มาเยือนไทยก็จะเข้าพบ ‘ป๋าเปรม’ เสมอ

พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย นับถือ ‘ป๋าเปรม’ เป็นเสมือนบิดา ก็เพราะบิดาของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย อายุมากกว่า ‘ป๋าเปรม’ 1 ปี โดยบิดาของเขาได้เสียชีวิตไปเมื่อปี 2545

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 62 พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และคณะนายทหารเมียนมา ในฐานะบุตรชายบุญธรรมของ 'ป๋าเปรม'​ ก็ได้เดินทางมาลงนามเพื่อแสดงความอาลัยต่อการจากไปของ 'ป๋าเปรม'​ ด้วย

ในครั้งนั้น พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวภายหลังลงนามไว้อาลัยถึงความรู้สึกหลังจากที่ทราบข่าวการสูญเสีย พล.อ.เปรม ว่าเหมือนตนสูญเสียบิดาไปท่านหนึ่งว่า... 

“พล.อ.เปรม เป็นบุคลากรที่สำคัญเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์มากมาย ทั้งการทหาร การเมือง และหลายๆ ด้านของประเทศไทย

ส่วนใหญ่ที่ผมได้พบกับท่านก็จะพูดคุยในเรื่องของประสบการณ์ดีๆ ของท่านให้ฟัง และจะมีคำแนะนำว่าสิ่งใดที่ดี ที่ควรทำซึ่งเมื่อเจอกันก็จะพูดในเรื่องนี้ทุกครั้ง” ผบ.ทสส.เมียนมากล่าว

พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวอีกว่า ก่อนหน้าที่ตนจะเป็น ผบ.ทสส. ไม่เคยได้เข้าพบ พล.อ.เปรมเลย จนกระทั่งได้เป็น ผบ.ทสส.แล้วจึงได้เข้าพบ พล.อ.เปรม และได้นั่งเคียงข้างกัน ได้จับมือกัน ถ้ามีเรื่องอะไรที่สำคัญก็จะจับมือคุยกันเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกัน​ ตนจึงเปรียบ พล.อ.เปรม เหมือนบิดา 

คำสั่งสอนต่างๆ ของ พล.อ.เปรมก็มีมากมาย ประกอบด้วย 2 ประเด็น คือ...

1.) ทางด้านการเมือง ก็จะพูดถึงประชาธิปไตย ก็จะต้องเป็นประชาธิปไตยของประเทศของตนเอง หรือประเทศใครประเทศคนนั้นให้เหมาะสมกับประเทศตนเอง

และประเด็นที่ 2.) ที่ พล.อ.เปรมพูดอยู่เสมอว่า เราเกิดในแผ่นดินนี้ เราต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ถ้าใครไม่ตอบแทนคุณแผ่นดิน คนนั้นถือว่าเป็นคนทรยศต่อประเทศชาติ 

ผบ.ทสส.เมียนมา​ กล่าวว่า อีกประเด็นหนึ่งที่ พล.อ.เปรมพูดถึงในฐานะที่ท่านเป็นประธานองคมนตรี และตามเสด็จในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาโดยตลอด ซึ่ง พล.อ.เปรมมักพูดอยู่เสมอว่า การลดจำนวนคนยากคนจน​

โดยในขณะนั้นประเทศไทยมีคนจนประมาณ 10 ล้านคน แล้วท่านก็ได้ให้ข้อคิดกับประเทศเมียนมาในฐานะที่เราสองประเทศเป็นประเทศทางการเกษตร เราต้องพยายามลดคนยากจน​ โดยใช้การเกษตรดำเนินการ และท่านได้สอนการเป็นผู้นำว่าเราต้องเป็นตัวอย่างให้ชั้นผู้น้อยเราต้องมีความยุติธรรมกับชั้นผู้น้อยของเรา ซึ่งตนก็ปฏิบัติมาโดยตลอด และเมื่อได้คำสอนมาจาก พล.อ.เปรม ตนก็ได้เดินอย่างมั่นคง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านสั่งสอน

เขาทิ้งท้ายอีกว่า​ "คำที่ พล.อ.เปรมมักพูดอยู่เสมอ  คือ​ เมื่อทำอะไรให้ประเทศชาติ เราต้องมีน้ำใจ และมอบใจให้กับประเทศชาติ”



ที่มา: 
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4033929856640056&id=100000692431266
 

‘บิ๊กตู่’ โพสต์เฟซบุ๊ก ย้ำ ประชาชนต้องช่วยกันฝ่าโควิด อย่าฝากความหวังแค่วัคซีน หลังส่อเค้าแผนจัดส่งสะดุด แต่ยังยืนยันจะพยายามทำทุกวิถีทางให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนตามแผน

พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ ว่า ช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมา มีความวุ่นวายเกิดขึ้นกับกำหนดการส่งมอบวัคซีนของหลายประเทศทั่วโลก

หลังจากที่บริษัทผู้ผลิตวัคซีนออกมาเปิดเผยว่าการผลิตวัคซีนไม่เป็นไปตามแผน ถึงขั้นที่บางบริษัทออกมาชี้แจงว่าจำนวนวัคซีนที่จะส่งมอบให้ผู้สั่งจอง จะได้ไม่ถึงครึ่งนึงของจำนวนที่วางแผนไว้ด้วยซ้ำ ส่งผลให้หลายประเทศต้องรื้อแผนการฉีดวัคซีน และหลายประเทศจะอาจไม่สามารถดำเนินการฉีดวัคซีนได้ถึงเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ในปีนี้

ท่ามกลางสถานการณ์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ทั่วโลก ผมอยากให้ทุกท่านทราบจุดยืนของผม

เราต้องยึดแนวทางที่ทำมาตั้งแต่ต้น ที่พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าเป็นแนวทางที่ได้ผลถูกต้อง คือ ดำเนินการเชิงรุกอย่างเข้มงวด ตั้งแต่ต้น ควบคุมและป้องกันไม่ให้โควิดเข้ามาในประเทศไทย และหากเจอเล็ดลอดเข้ามา เราต้องจัดการโดยทันที คนไทยทุกคนต้องร่วมมือกัน แบบนี้คือหนทางที่จะช่วยทำให้เราอยู่ในสถานการณ์ที่พอจะสามารถใช้ชีวิตและทำมาหากินกันได้บ้างในระดับหนึ่ง แทนที่จะเลือกใช้ชีวิตกันแบบสบาย ๆ แล้วฝากความหวังไว้ว่าวัคซีนจะมาแก้ปัญหา

นี่คือแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเห็นแล้วว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการมีโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และอาจเกิดขึ้นใหม่ได้อีก ผู้เชี่ยวชาญในหลายประเทศยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าวัคซีนปัจจุบันจะสามารถปกป้องเราจากโควิดทุกสายพันธุ์ใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้น

อาวุธสำคัญที่จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดอยู่ในมือของเราครับ นั่นคือทุกคนต้องทำหน้าที่เพื่อชาติ คือ สวมหน้ากากอนามัย ปฏิบัติตามแนวทางสาธารณสุข และอย่าปกปิดข้อมูล ขอให้ทุกท่านอย่าคิดว่าการไม่ทำตามมาตรการบ้างนิดๆ หน่อยๆ จะไม่เป็นอะไรนะครับ สิ่งเล็กๆ ที่ทุกคนทำมีผลต่อประเทศทั้งสิ้น

สิ่งที่พวกเราได้ทำกันมา ช่วยทำให้วันนี้ พวกเราไม่ต้องเจอกับปัญหาแบบที่ประเทศอื่นยังต้องเผชิญกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการล็อกดาวน์ ปิดร้านค้า หรือห้ามออกจากบ้าน ผมขอให้ทุกคนตระหนัก และร่วมมือกันต่อไปครับ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ และจะยังคงต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้ประเทศไทยได้รับวัคซีนตามแผนครับ

#รวมไทยสร้างชาติ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top