Thursday, 28 March 2024
TEA TIMES

โลกการศึกษาเริ่มผสมผสานระหว่างการเรียนในห้องเรียนและการเรียนทางไกลผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น

ปัจจุบันโลกการศึกษาเริ่มผสมผสานระหว่างการเรียนในห้องเรียนและการเรียนทางไกลผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น หลังจากที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานของการเชื่อมต่อชีวิตผู้คน เช่นเดียวกันกับอุปกรณ์สื่อสารที่ทันสมัยไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ ที่น้อยคนจะไม่มีติดตัว

การเรียนการสอนแบบออนไลน์ จึงกลายเป็นเรื่องที่หลายคนเริ่มจะคุ้นเคยมากยิ่งขึ้น แต่จะมีก็แค่เรื่องของการสอบเท่านั้น ที่ยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะการจะจัดสอบออนไลน์ จำเป็นต้องพัฒนาระบบเครือข่าย อินเตอร์เน็ต-อุปกรณ์การสื่อสารของนักศึกษา และความสามารถในการตรวจสอบความโปร่งใส ที่ต้องซักซ้อมกันหนักพอดู

ทว่าเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการจัดสอบออนไลน์ขึ้น โดยทางมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นสถาบันแนวรุกที่พัฒนาการสอบออนไลน์อย่างจริงจังมาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนของตน

รองศาสตราจารย์ ดร.ปราณี สังขะตะวรรธน์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้เล่าให้ฟังถึงแนวคิดในการเปิดสอบออนไลน์ว่า การเปิดสอบออนไลน์เป็นประโยชน์ในอนาคตต่อระบบการศึกษาไทย หากเริ่มตั้งแต่เนิ่นๆ โดยพบว่านักศึกษามากกว่า 80% ที่เข้าร่วมสอบให้การตอบรับเป็นอย่างดี...

"มหาวิทยาลัยสุโขทัยฯ ได้มีการจัดสอบออนไลน์มาแล้วถึง 7 ครั้ง ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2563 และล่าสุดในช่วงระหว่างวันที่ 30 - 31 ม.ค.2564 ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 7 ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี และพิเศษอย่างมากต่อทางมหาวิทยาลัย เพราะรอบนี้มีจำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนสอบออนไลน์มากถึง 41,716 คน จนเรียกว่าเป็นการจัดสอบออนไลน์ที่มีจำนวนนักศึกษามากที่สุดในประเทศเลยก็ว่าได้"

"แน่นอนว่าการสอบออนไลน์เป็นเรื่องใหม่ ทำให้ทุก ๆ ครั้งที่มีการจัดสอบ จะต้องมีการจัดฝึกอบรมและซักซ้อมบุคลากรในการปฏิบัติงานคณะกรรมการคุมสอบให้มีศักยภาพและเป็นมาตรฐาน รวมถึงมีการเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารพิเศษในช่วงเวลาที่มีการสอบออนไลน์ ผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์, ไลน์แอด และสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่ประสบปัญหาในการสอบออนไลน์"

"ขณะเดียวกัน เรายังได้มีการจัดซ้อมการสอบเสมือนจริงให้กับนักศึกษาเพื่อทดลองใช้งานกับอุปกรณ์ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับระบบการสอบออนไลน์ด้วย"

ทั้งนี้ จากการประเมินนักศึกษาที่ได้เข้าร่วมสอบออนไลน์ในแต่ละครั้ง มีจำนวนมากกว่า 80% ที่สามารถส่งคำตอบให้แก่คณาจารย์ได้แบบไม่ติดขัด ส่วนที่เหลือจะพบปัญหาด้านเทคนิค เช่น ระบบการลงทะเบียน นักศึกษายืนยันตัวตนไม่ผ่าน การหยุดชะงักของระบบระหว่างที่ทำข้อสอบ

รวมถึงปัญหาส่วนบุคคลที่เกิดจากคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กที่ใช้ในการสอบ ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กล้อง ไมค์ ของนักศึกษา รวมไปถึงการจัดสภาพแวดล้อมในการสอบไม่เหมาะสม จนส่งผลต่อการก่อเสียงรบกวนให้ผู้สอบขาดสมาธิเอง

ทว่าทางมหาวิทยาลัย ก็ได้ติดตาม ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทันที อาทิ ได้ขยายเวลาในการสอบเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับเวลาที่สูญเสียไป และอื่น ๆ

"ทุกๆ ครั้งของการสอบออนไลน์ ทางมหาวิทยาลัยจะติดตามช่วยเหลือนักศึกษาที่ประสบกับปัญหา อุปสรรคหรือเหตุขัดข้องในการสอบออนไลน์ อย่างกรณีรอบ 30 - 31 ม.ค.2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสอบที่มีจำนวนผู้เข้าสอบมากที่สุด และเกิดปัญหาทางเทคนิคต่างๆ ทางฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัย ก็ได้เร่งจัดประชุมปรึกษาหารือเพื่อหาทางชดเชยและเยียวยาโดยเร็วที่สุด"

"โดยขอความร่วมมือให้นักศึกษาที่ไม่สามารถเข้าสอบได้หรือมีปัญหาที่ไม่สามารถดำเนินการสอบได้สำเร็จแจ้งปัญหาที่พบระหว่างการสอบออนไลน์ พร้อมทั้งส่งหลักฐานภาพบันทึกหน้าจอผ่านทางแบบฟอร์มรายงานปัญหาของการสอบออนไลน์ของนักศึกษาที่หน้าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย

ซึ่งในเบื้องต้นทางมหาวิทยาลัยได้เตรียมมาตรการจัดสอบทดแทนที่สนามสอบให้กับนักศึกษาที่เข้าระบบการสอบออนไลน์ไม่ได้หรือเข้าสอบได้แต่ไม่สามารถดำเนินการทำข้อสอบได้สำเร็จด้วยสาเหตุของระบบขัดข้อง ส่วนกำหนดการสอบที่สนามสอบมหาวิทยาลัยประกาศแจ้งให้นักศึกษาทราบผ่านทางเว็บไซต์มหาวิทยาลัยภายหลังจากนี้"

ทั้งนี้แนวคิดในการริเริ่มรูปแบบการสอบออนไลน์มาจากนโยบายของสภามหาวิทยาลัยและฝ่ายบริหารที่มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาระบบการศึกษาทางไกลให้ก้าวทันโลกยุคดิจิทัล ยิ่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ความต้องการที่จะเข้าสอบออนไลน์มีมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจถึงความปลอดภัยและความสะดวกที่ไม่ต้องเดินทางไปในสถานที่สอบ

และประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น กลุ่มนักศึกษาที่อยู่ต่างประเทศและกลุ่มที่ไม่สะดวกเดินทางไปยังสนามสอบ ทำให้ทางมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เดินหน้าจัดสอบออนไลน์และเชื่อมั่นว่าจะสามารถดูแลนักศึกษาได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งมีความโปร่งใสควบคู่กันไป

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มีนักศึกษาปริญญาตรีราว 7 หมื่นคน ปริญญาโท 4 พันคน และปริญญาเอก 3 ร้อยกว่าคน ซึ่งในส่วนของการสอบออนไลน์ของชั้นปริญญาโทและปริญญาเอกในช่วงที่ผ่านมา ประสบปัญหาเพียงเล็กน้อย เช่น การส่งกระดาษคำตอบที่ต้องใช้เวลาในบางราย

“ปิยบุตร” ชี้รัฐสภาโหวตเห็นชอบส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความแก้รัฐธรรมนูญ ทำระบบถ่วงดุลเสียหาย เหน็บ 366 คน ที่โหวตเห็นชอบ พอจะแก้รัฐธรรมตามระบบทำออกมาค้าน ทีตอนรัฐประหารฉีกทิ้งทั้งฉบับไปเป่าสากอยู่ที่ไหน?

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า จัดเฟซบุ๊กไลฟ์ รายการ “สนามกฎหมาย” วิเคราะห์ถึงกรณีรัฐสภา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเพิ่งมีมติเห็นชอบให้ส่งเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตั้ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ตามที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ และนายสมชาย แสวงการ ส.ว. ได้ยื่นญัตติเข้ามา

โดยนายปิยบุตร กล่าวว่ามติวันนี้ ประเด็นแรก เป็นการส่งไปตามมาตรา 210 (2) ที่ระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ ซึ่งผูู้ยื่นญัตติเห็นว่าเป็นเรื่องต้องวินิจฉัย ว่ารัฐสภามีอำนาจในการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่

ซึ่งเป็นอำนาจที่มีต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540, 2550, และ 2560 คู่กับศาลรัฐธรรมนูญไทยมาตั้งแต่มีศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาในประเทศไทย ระบบศาลรัฐธรรมนูญในหลากหลายประเทศก็มีหน้าที่เช่นนี้เป็นเรื่องปกติ รวมทั้งการพิจารณาวินิจฉัยปัญหา เมื่อองค์กรตามรัฐธรรมนูญต่างๆมีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างองค์กร ว่าอำนาจและหน้าที่หนึ่งๆเป็นขององค์กรใดกันแน่ ศาลรัฐธรรมนูญก็จะเป็นผู้ชี้ขาดว่าอำนาจและหน้าที่นั้น เป็นขอองงค์กรใดกันแน่

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในญัตตินี้ จะพบเห็นได้ว่าไม่มีกรณีที่รัฐสภาขัดแย้งกับใครเลย ว่าอำนาจหน้าที่ในการแก้รัฐธรรมนูญเป็นของใคร เพียงแค่อยู่ดีๆวันหนึ่งนายสมชายและนายไพบูลย์ตื่นขึ้นมาก็มานั่งคิดว่ารัฐสภาสามารถแก้รัฐธรรมนูญได้หรือไม่

กรณีเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าทำกันเช่นนี้สม่ำเสมอ ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับรัฐสภา ไม่ใช่ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแล้ว เราต้องไม่ลืมว่าศาลรัฐธรรมนูญก็คือองค์กรตุลาการ มีหน้าที่และภารกิจในการลงไปวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท

แต่กรณีนี้รัฐสภาเพียงแต่สงสัย ยังไม่ได้มีข้อพิพาทกับใคร ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นเหมือนคณะกรรมการกฤษฎีกา และที่เลวร้ายไปกว่านั้น ยังส่งผลต่อระบบการแบ่งแยกอำนาจตามรัฐธรรมนูญ จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุด เหนือทุกองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ทั้ง ๆ ที่แต่ละองค์กรมีแดนอำนาจของตนเอง

ประเด็นที่สอง นายปิยบุตร กล่าวต่อ ไปถึงข้อถกเถียงที่ถูกยกขึ้นมาโดยกลุ่มของนายสมชายและนายไพบูลย์ ที่ว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ใช่การแก้รัฐธรรมนูญ แต่เป็นการทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพราะจะเป็นการไปแก้ให้มี สสร.ขึ้นมาทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ จึงไม่สามารถทำได้

.

ซึ่งตนก็จำเป็นต้องชี้ให้เห็น ว่าประเทศไทยเคยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญมาหลายครั้ง มาจนถึงฉบับ 2560 เป็นฉบับที่ 20 แล้ว หลายๆครั้งก็มีการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้ไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญแบบอารยชน ที่ไม่ใช่การเปลี่ยนรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการรัฐประหารที่ไร้อารยะ แต่ประเทศไทยก็เปลี่ยนรัฐธรรมนูญในลักษณะเช่นนี้บ่อยครั้งกว่ามาก

คำถามก็คือ ตกลงถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญกันในระบบเพื่อนำไปสู่การทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แต่ดันมีสมาชิกรัฐสภามาสงสัยในอำนาจนี้ ว่าการแก้รัฐธรรมนูญกันในระบบให้มี สสร.เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ แปลว่าสุดท้ายประเทศนี้จะยอมรับให้มีแต่คณะรัฐประหารเท่านั้น ที่สามารถยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญ ถึงจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อย่างนั้นหรือ?

“ก็น่าคิดนะครับ ว่าสมชาย แสวงการ และไพบูลย์ นิติตะวัน รวมทั้งอีก 366 คนที่โหวตวันนี้ ไอ้วันที่ยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2550 ทิ้งทั้งฉบับ แล้วเกิดรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 แล้วกลายมาเป็นรัฐธรรมนูญ 2560 เนี่ย ไปอยู่ที่ไหนกันมา? ได้ทักท้วงกันบ้างไหม? แล้วพอมาแก้ในระบบ อยู่ดีๆเกิดฉงนสนเท่ขึ้นมาทันที ดังนั้นใครบอกว่าการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาทำไม่ได้นั้นไม่จริง ประเทศไทยเคยทำมาแล้วสองครั้ง ถ้าคนไหนบอกว่าทำไม่ได้ ต้องถามเขากลับไปดังๆ ว่าแล้วทำไมรัฐประหารทำกันได้ล่ะ? แก้รัฐธรรมนูญในระบบนี่ทำไม่ได้ใช่ไหม? รัฐประหารนี่ทำกันได้ ฉีกทิ้งทั้งฉบับนี่ทำได้ใช่ไหม?” นายปิยบุตร กล่าว

ประเด็นต่อมา นายปิยบุตร กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีการอ้างถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18-22/2555 ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ตอนมีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อเปิดทางให้มี สสร.มาทำใหม่ทั้งฉบับ ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเพียงบอกว่าเนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2550 ผ่านการทำประชามติมา ดังนั้นก่อนที่จะไปทำกันใหม่ทั้งฉบับ ควรถามประชาชนด้วยการทำประชามติก่อน

ศาลรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “ควรจะได้ให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ได้ลงประชามติเสียก่อนว่าสมควรจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่?” แต่ถึงกระนั้นรัฐธรรมนูญปี 2550 และรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็ไม่เหมือนกัน การแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ต้องจบที่ประชามติอยู่แล้วตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ อย่างไรก็ต้องไปจบที่การลงประชามติอยู่แล้ว

นอกจากนี้ นายสมชายและนายไพบูลย์ยังระบุว่านี่คือการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ใช่การแก้ไข แต่จริงๆแล้วมันคือการแก้ เป็นการแก้รัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เพิ่มหมวดใหม่ว่าด้วยการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา แล้วใช้กระบวนการตามรัฐธรรมนูญ 2560 ไปสร้าง สสร.ไปทำใหม่ทั้งฉบับ ก่อนที่จะไปจบด้วยการลงประชามติ แล้วจึงจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมาแทน

นี่คือกระบวนการของการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การทำใหม่ ซึ่งต้องเอารัฐธรรมนูฉบับนี้ออกไปแล้วเอาอีกฉบับเข้ามาเสียบแทนเลย แต่นี่คือกระบวนการแก้ไขตามปกติ แก้เพื่อให้มี สสร.ไปทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา จึงเป็นที่ยืนยันได้ว่าญัตติที่เสนอกันเข้าไปในสภาคือญัตติการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ญัตติทำรัฐธรรมนูญใหม่แต่อย่างไร

ประเด็นต่อมา ในทางทฤษฎีกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีข้อถกเถียงเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ หรือก็คืออำนาจทีไปก่อตั้งรัฐธรรมนูญขึ้นมานั่นเอง ซึ่งประกอบไปด้วยสองส่วน คืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญลำดับแรก เป็นจุดเริ่มต้นจากไม่มีรัฐธรรมนูญ จนประชาชนได้ร่วมกันสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นมา

กับอีกส่วนหนึ่ง ก็คืออำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญลำดับที่สอง หลังจากที่รัฐธรรมนูญได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาแล้ว สิ่งที่รัฐสภากำลังทำอยู่ทุกวันนี้ ก็คืออำนาจนาจแบบที่สอง เป็นการไปแก้รัฐธรรมนูญ รัฐสภามีอำนาจนี้ได้ก็เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 บอกให้มี ที่ทำได้เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ให้ทำ ไม่ใช่เป็นการไประเบิดรัฐธรรมนูญทิ้ง แต่เป็นการแก้ให้มี สสร. และไม่ใช่การถ่ายโอนอำนาจในการแก้รัฐธรรมนูญให้กับ สสร.ไปเลย แต่สสร.ที่จะเกิดขึ้นคือผู้จัดทำร่างฉบับใหม่ แต่ระหว่างทาง รัฐสภาก็แก้รัฐธรรมนูญรายมาตราได้อยู่เสมอ

“ดังนั้น ทำแล้วในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร จะผ่านหรือไม่ผ่าน มันจะไปจบที่ประชามติ แล้วประชามติใครเป็นคนชี้ขาด? ก็คือประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นกระบวนการครั้งนี้ในท้ายที่สุดมันจะไปจบที่ประชาชน ในฐานะเจ้าของอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ที่จะต้องเป็นผู้ชี้ขาดอยู่ดี” นายปิยบุตร กล่าว

หลังจากนั้น นายปิยบุตรได้ตั้งข้อกังเกตต่อไป ว่า มติที่ออกมาวันนี้ แสดงออกให้เห็นถึงการถ่วงเวลา-สกัดกั้น และความไม่จริงใจในการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางไปสู่การทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยมีความพยายามมาแล้วหลังการรัฐประหารปี 2549 ที่จะแก้รัฐธรรมนูญ 2550 ให้มี สสร.ขึ้นมาทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ครั้งนั้นก็โดนขัดขวาง มีการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ คนคัดค้านก็หน้าตาเดิม ๆ จนรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ถูกฉีกทิ้งไปจากการทำรัฐประหาร 2557

พอมีการทำรัฐธรรมนูญ 2560 ใหม่ ฝ่ายที่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขจัดผลพวงของการรัฐประหาร ก็ต้องพบกับกลุ่มคนหน้าเดิมที่ออกมาขัดขวางอีก มีกลเม็ดที่จะขัดขวางไม่ให้เกิดการแก้ไขตลอดเวลา ทำให้เป็นเรื่องยากลำบาก

“การอยากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชนทั้งทีมันยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน แต่วันที่ทหารเข็นรถถังออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ คนพวกนี้หายกริบ บางคนก็ไม่ได้หายกริบ กลับยินดีปรีดา แล้วเข้าไปสังฆกรรมกับคณะรัฐประหารด้วย กระบวนการนี้คือภาพใหญ่ แสดงให้เห็นถึงซากเดนของเผด็จการ ซากเดนของระบอบรัฐประหาร มันยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็จะพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง” นายปิยบุตรกล่าว

ข้อสังเกตประการต่อมา นายปิยบุตรกล่าวว่า ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร เรื่องนี้ได้ส่งผลสะเทือนต่อระบบรัฐธรรมนูญในประเทศไทยไปแล้ว สมมุติว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ทำไม่ได้ นั่นหมายความว่าประเทศไทยจะไม่มีโอกาสร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับเลย จะทำได้เพียงแก้รายมาตราไปเรื่อย ๆ ประชาชนทุกคนก็จะต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ไปตลอดกาล ทำได้อย่างมากก็แค่แก้ทีละมาตราเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่ามีการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญนี้เกิดขึ้น

แต่ถ้าเกิดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้สามารถทำได้ โดยให้เหตุผลว่าเพราะยังคงหมวด 1 - 2 เอาไว้ ไม่ใช่การทำใหม่ทั้งฉบับ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญใช้เหตุผลดังนี้ ผลที่ตามมาก็คือการแก้รัฐธรรมนูญแต่ละครั้งต่อๆไป ก็จะต้องเว้นหมวด 1 - 2 เอาไว้ มิเช่นนั้นจะเข้าข่ายการทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ

สรุปว่ามติรัฐสภาวันนี้ ทั้ง 366 เสียงที่เห็นชอบได้สร้างมติอัปยศขึ้นมา เป็นมติที่รัฐสภายอมจำนนต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตนเองมีอำนาจแก้รัฐธรรมนูญก็ไม่ยอมใช้ กลับไปถามศาลรัฐธรรมนูญว่าทำได้หรือไม่ ไปยื่นดาบให้ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วให้ศาลรัฐธรรมนูญมาบั่นคอตัวเอง ซึ่งตนขอประชาชนทุกคนจำไว้ให้ดีว่าใครบ้าง ที่เป็น ส.ส.และ ส.ว.ผู้ร่วมลงมติอัปยศในครั้งนี้

รวมสเต็ปลุงตู่สุดฟิต แต่มีอีกคนฟิตไม่เป็นรองกัน!

‘พร้อมตลอด ๆ’ เมื่อวานนี้เห็น ‘ลุงตู่’ นายกฯ ของเราบอกกับบรรดาสื่อมวลชนแบบนั้น แฮ่! ทางเราก็กลัวแควนๆ เอ้ย! แฟน ๆ ลุงตู่ไม่มั่นใจ จัดคลิป ‘รวมความฟิต’ ของนายกฯ ทั้งเตะ ทั้งต่อย บอกเลยว่า ฟิตม๊ากกกก! ตตตตตแต่! พอดียังมีอีกคนที่ ‘ฟิตเหมือนก๊านนน!’ ตามไปดูว่า ใครฟิตกว่ากัน? แหม๊! ถ้าได้ลงนวมร่วมกันสักยก มีหวังแฟน ๆ กรี๊ดดดดด!!

.

วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2543 จากนวนิยายเรื่อง ‘อมตะ’ ได้โพสต์ข้อความถึงเรื่อง “คุณธรรมกับกฎหมาย” ในเฟซบุ๊กส่วนตัวให้รู้สึกกังวล ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไทยที่เริ่มถูกความเมตตามาแทรกแซงกฎระเบียบ

ม็อบหรือการต่อสู้ครั้งนี้มีเป้าหมายอยู่ที่การ “ล้มเจ้า” อาวุธหลักที่พวกเขาใช้ คือ การใช้ถ้อยคำที่ต่ำช้าสามานย์ที่สุดเท่าที่จะนึกหรือคิดขึ้นได้ รวมทั้งพูดเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้ง พวกเขามีหลักคิดและเชื่อว่าถ้อยคำพวกนี้จะสามารถ “ทำลายชนชั้น” ได้ ดังที่ศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ใช้คำว่า “ทำลายช่วงชั้น” ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ “คนเท่ากัน”

…แต่ผลของวิธีนี้ ก็ทำให้ผิดกฎหมายมาตรา 112

แม้มาตรา 112 จะเป็นคดีอาญา แต่ก็มองเป็นคดีแพ่งได้ เพราะเป็นเรื่องการเมือง - เป็นความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้นจึงมีเรื่อง “ความเมตตา” เข้ามาประนีประนอม

ผลที่ตามมาก็คือ การเผชิญหน้ากันระหว่าง “คุณธรรม” (ความเมตตา) กับ “กฎหมาย”

ถ้ากฎหมายถูก “ยกไว้” หรือ “ชะลอไว้” ก็อาจจะส่งผลให้ผิดกฎหมายมาตราอื่นตามมา คือ เจ้าหน้ารัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

กฎหมายก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหน้าที่รัฐก็ขาดความเชื่อถือ เมื่อมีคนทำผิดกฎหมายมาตราอื่นๆ ก็จะอ้างถึงคดีในมาตรา 112 และอ้างถึงความเมตตาบ้าง

นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ขอลายชื่อสาธารณชนเพื่อคัดค้านการยกเลิกมาตรา 112 จึงเป็นเรื่องที่ขำขื่น เพราะปัจจุบันยังมีมาตรา 112 อยู่ ก็ยังคาราคาซังและกังขาว่าจะเอาอย่างไรแน่

ท่านนายกฯ ออกมาประกาศขึงขังว่าจะเอาจริงนั้น >> ยังไม่มีผลมากนัก

ทางออกของเรื่องนี้ในมุมของ วิมล จึงมีดังนี้

ทางออกที่ 1 ให้ดำเนินคดีไปตามปรกติเช่นเดียวกับคดีอื่นๆ ศาลตัดสินแล้วจึงผ่อนโทษหรืออภัยโทษ

ทางออกที่ 2 แก้ไขมาตรา 112 ให้เหมาะสมกับคุณธรรม

ทางออกที่ 3 ยกเลิกมาตรานี้ แล้วมีมาตราใหม่ขึ้นมา

ทางออกที่ 2 กับ 3 นั้นเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร

วิมล มองว่า หากความชัดเจนของกฎหมาย เช่น ม.112 ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเป็นตัวอย่างให้กฎหมายอื่นๆ ไม่น่าเชื่อถือ ประเทศก็สูญเสียหลักการปกครอง (ทุกคนเท่าเทียมกันตามกฎหมาย) สังคมก็จะสับสนจนมั่ว คนก็ไม่เกรงกลัวกฎหมาย เห็นได้จากม็อบครั้งนี้ ส่วนคนที่เคารพกฎหมายก็ด่ารัฐบาล และสุดท้ายก็จะไม่สนใจอีกต่อไป


ที่มา: https://www.facebook.com/100002386922271/posts/3731544303601764/

แม้จะออกมาขอโทษต่อสังคมไปแล้ว สำหรับ ‘แอน จักรพงษ์’ ผู้บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จํากัด (มหาชน)หลังจากได้ไปออกรายการทีวีรายการหนึ่ง และมีการพูดจากพาดพิงนางงามจักรวาลคนดัง แคทรีโอนา เกร จนทำให้ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกออนไลน์

แต่ดูเหมือนประเด็นภาคต่อยังไม่จบ เมื่อ ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ พิธีกรชื่อดัง ผู้จัดการประกวดนางงามเวทีมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล ทนไม่ไหวออกมาตอบโต้เรื่องนี้อย่างรุนแรง โดยประกาศขอแบน แอน จักรพงษ์ ด้วยการไม่ให้มาออกทุกรายการที่ตนทำอยู่ พร้อมประโยคทิ้งท้ายแรงๆ ว่า “ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างยกเว้นนิสัยและความคิด”

ล่าสุดแอน จักรพงษ์ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวแฉถึงพฤติกรรมของ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล พิธีกรชื่อดังอย่างดุเดือดโดยระบุว่า

เรียนคุณ ณ.... ดิฉันแอน จักรพงษ์ มีความรู้สึกเซอร์ไพรส์กับการกระทำของคุณที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียงอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงตัวดิฉันซึ่งเป็นลูกค้าที่อุดหนุนคุณมาตลอดระยะเวลา 4 ปีและเป็นเงินหลายล้านบาท เพื่อการออกสื่อประชาสัมพันธ์ในรายการทอล์กโชว์ของคุณ ซึ่งดิฉันเป็นแขกรับเชิญมากกว่า 7 เทปแล้ว...รวมถึงการให้เกียรติไปเป็นกรรมการงานประกวดนางงามของคุณในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา...

มากไปกว่านั้นคือ การที่เคยพาคุณไปแนะนำตัวกับคู่ค้าของดิฉันในต่างประเทศด้วยความรักและจริงใจเพื่อการขยายงานของคุณให้ประสบความสำเร็จดียิ่งขึ้น โดยดิฉันยกย่องให้คุณเป็นบุคคลที่มีคุณค่ากับเพื่อนฝูงนักธุรกิจของเจเคเอ็นตลอดมาและเราสองคนก็มีมิตรภาพที่ดีต่อกันเสมอ...

แต่อะไรคือ แรงจูงใจที่ทำให้คุณพักนี้ต้องออกมาพูดถึงคนดังหลายคนในเชิงลบตลอดเวลาคะ? คำว่ากตัญญูต่อลูกค้ามีความหมายสำหรับคุณไหมคะ? ดิฉันสร้างบริษัทขึ้นมาด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 2014 จนเข้าตลาดหลักทรัพย์ มาถึงปัจจุบันนี้ก็มีรายรับรวมเกือบจะ 10,000 ล้านบาทแล้ว พร้อมกับกำไรและเงินสดนับพันล้าน ซึ่งปีนี้ผลประกอบการก็ยิ่งดีขึ้นไปอีกหลายเท่า...

คำว่าลูกค้าและผู้มีพระคุณที่อุดหนุนเราคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด...ไม่นานมานี้ ดิฉันพลาดพลั้งเกินเลยอะไรไปบนหน้าจอระหว่างการถ่ายทอดสด ในรายการแฉ ก็ออกมาขอโทษอย่างจริงใจกับคนไทยทั้งประเทศแล้วรวมถึงศิลปินท่านนั้น ภายใต้สังกัด TV 5 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยจดหมายอย่างเป็นทางการในฐานะที่เป็นคู่ค้าซื้อละครกัน

แต่หลังจากนั้นคุณกลับทับถมดิฉัน ด้วยคำเขียนที่ว่า ‘ผมขอแบนคนนี้...ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างยกเว้นนิสัยและความคิด’ วัตถุประสงค์ของคุณคืออะไรคะ? ได้อะไรจากการเหยียบย่ำซ้ำเติมนี้คะ? เราผิดใจอะไรกันหรือคะ? ลูกค้าทุกคนของคุณต่อไปจะกล้าอุดหนุนไหมคะ? ความเป็นสุภาพบุรุษของคุณที่ดิฉันเคยรู้จักมันหายไปไหนคะ? หวังว่าคุณจะรับฟังสิ่งที่แอนเขียนวันนี้เพราะมันจะดีต่อธุรกิจของคุณ ด้วยความห่วงใยและเคารพเหมือนเดิม แอน จักรพงษ์


แหล่งข่าว

https://www.facebook.com/annejkn.official/posts/2907308876204075

https://www.thaipost.net/main/detail/92331

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2026599

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2025873

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich เล่าเรื่อง คนเนรคุณสองแผ่นดิน

"แม่รักลูกไม่เท่ากัน

ลูกชายคนเล็ก แม่รักมากที่สุด ได้ดั่งใจ สนใจทำมาค้าขายอย่างเดียว แต่งงานกับหญิงสาวลูกพ่อค้าตระกูลดังร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของประเทศ

ปีแรกเปิดบริษัทค้าที่ดิน ทำกำไรเข้ากงสีได้ 800 ล้านบาท ปีสอง ทำกำไรได้อีก 800 ล้านบาท ปีที่ 3 ต้องการทำให้ได้ 1,000 ล้านบาท ทำสารพัดวิธี ตั้งแต่ให้สินบนเพื่อให้ได้ที่ดินของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่แปลงนี้แปลงแรกหรอกที่ทำ เป็นแปลงที่สองที่พยายามจ่ายสินบน ยังมีปัญหาใช้คนยังกะขี้ข้ากดขี่แรงงาน ไม่ยอมจ่ายโบนัสพนักงานจนเดือนเมษายนก็ทำมาแล้ว

แม่รักลูกชายคนเล็กสุดนี้ดั่งแก้วตาดวงใจ ไม่สนใจการเมือง หาเงินเก่งสุด ๆ ว่านอนสอนง่าย หัวอ่อน

พอมีคดีขึ้นมา แม่ก็ทุกข์ใจหนักมาก ห่วงลูกชายคนเล็กคนนี้มากที่สุด รักสุดหัวใจ รักมากกว่าพี่น้องท้องเดียวกันที่ตัวเองคลอดออกมาทุกคน

"แม่" ไม่ได้คิดเลยว่า จริง ๆ แล้วคดีบุกรุกที่ป่าของชาติของตัวเองนั้น จะทำให้ตนเองได้เข้าคุกตอนแก่ได้โดยง่าย ๆ หลักฐานมัดแน่นมากที่สุด ทั้งภาษีดอกหญ้า ทั้ง น.ส.2 ก. แม่ยังคิดว่าตัวเองสบายๆ ส่วนหนึ่งอาจจะไม่มีสำนึกคิดว่าตัวเองคงวิ่งคดีในศาลได้ อย่างที่เคยทำมาเสมอ อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเกิดจากความรักและแสนห่วง กลัวลูกชายคนเล็กสุดที่รักจะต้องติดคุก ห่วงลูกรักลูกมากกว่ารักและห่วงตัวเอง

สำหรับลูกชายคนโต เป็นลูกชังที่แม่ไม่ชอบเลย แต่ในความเป็นแม่ลูก ก็ตัดไม่ได้ ขายไม่ขาดหรอก ลูกชายคนโตแม้จะเก่งในเชิงค้าขาย ไล่คนงานออกได้ทั้งโรงงานเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรและอยู่รอด มีความอำมหิตผิดไปจากเตี่ยที่รักลูกน้องและดูแลลูกน้องเป็นอย่างดี

ไอ้ลูกชายคนโตคนนี้เวลาทะเลาะกับคนในบ้าน คนในบ้านหนีปิดประตู มันก็วิ่งเอาขวานมาจามประตูจะเข้าไปทะเลาะต่อ

แล้วก็มีความทะเยอทะยาน อยากเป็นฮีโร่ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ได้

ลูกคนนี้ ไม่ได้ดั่งใจ แต่ด้วยหัวอกคนเป็นแม่ ก็ต้องปกป้องลูก ไม่รัก แต่ก็ห่วง และตัดไม่ขาด แม่เองก็ต้องยอมรับเหมือนกันกับคนสนิทว่ารักลูกไม่เท่ากัน

พอลูกก่อเรื่องแต่ละที แม่ก็ต้องวิ่งเต้นเส้นสาย หาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง ให้มาช่วยลูกให้หลุดพ้นคดี ในความเป็นแม่ ลูกจะเลวอย่างไรก็ยังรัก และตัดไม่ขาดหรอก

เมื่อสิบปีก่อน ลูกชายทำหนังสือขาย แต่เป็นหนังสือผิดกฎหมาย เขาจะดำเนินคดี แม่ก็ไปหาผู้ใหญ่ให้ช่วย ผู้ใหญ่ท่านยอมช่วย แต่ขอสัญญาว่าจะไปสั่งสอนลูกชายคนโต ไม่ให้ล้มเจ้า

พอแม่ไปพูด ลูกชายคนโตผู้ก้าวร้าว ก็ "ตัดขาด" ความเป็นแม่ลูกทันที แล้วไม่พูดกับแม่เป็นปี ๆ ไม่ยอมให้แม่เข้าบ้านตัวเอง ไม่ยอมให้แม่พบหลาน สุดท้ายแม่ทนไม่ได้ มาขอโทษลูกชายบังเกิดเกล้า ขอคืนดี และต้องสนับสนุนลูกทุกทาง เพราะกลัวลูกจะตัดแม่ตัดลูก

เออ มันเนรคุณแม่มันได้ อย่าได้แปลกใจที่มันจะเนรคุณทุกแผ่นดิน ไม่ว่าจะแผ่นดินของบรรพบุรุษ หรือแผ่นดินเกิด

ไอ้คนเนรคุณสองแผ่นดินและเนรคุณมารดา ยังมีปมอะไรกับพ่อมันที่เป็นคนดีแต่อายุสั้น ไม่ทันได้เห็นความเลวระยำของลูกชาย รีบตายไปก่อนด้วยโรคมะเร็ง แต่พ่อตั้งโรงงานไว้ให้ ลูกก็แปลกเอาประวัติและคุณงามความดีของพ่อออกจากเว็บไซต์ของบริษัทที่พ่อตั้งมาเองออกจนหมด

เฮ้อ บ้านเมืองเรามีกรรม ได้คนเนรคุณบิดามารดา และคนเนรคุณสองแผ่นดิน มาปลุกปั่นยุยงให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง

กรรมหนักของประเทศจริง ๆ"


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10159249623242728&id=784302727

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000012149

"หมออ๋อง ก้าวไกล" ย้ำ ก้าวไกลไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบัน ฯ ยันเร่งเครื่องฟ้องกลับหมอวรงค์ฐานหมิ่นประมาท ซัดแรง "หมอวรงค์" เอาสถาบันมาอ้าง เพื่อเอื้อตัวเองสู่เส้นทางการเมือง

นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน เเละการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงจากกรณีที่นายเเพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี ล่ารายชื่อประชาชนคัดค้านแก้ม.112 ซึ่งเป็นญัตติที่พรรคก้าวไกลเสนอแก้ไขต่อสภาผู้แทนราษฎร ว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เเละล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า "พรรคก้าวไกลเเละตนในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรายึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราพูดเรื่องนี้ในหลายครั้ง ในการอภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในจุดยืนของพรรค เราไม่มีความคิดที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์เลยสักนิดเดียว

การที่นายแพทย์วรงค์ใส่ร้ายเเละแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 112 ต่อพี่น้องประชาชน และพาดพิงต่อพรรคก้าวไกลว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองเเละล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เรื่องที่เป็นการกล่าวข้อมูลเท็จ เป็นการหมิ่นประมาท ทำให้เสียชื่อเสียงทำให้พี่น้องประชาชนมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อพรรคก้าวไกล

โดยทางพรรคก้าวไกลเห็นด้วยที่จะฟ้องนายเเพทย์วรงค์ ในมาตรา 326 เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท"

"สิ่งที่เราตั้งข้อสงสัยต่อการกระทำของนายเเพทย์วรงค์ จากการที่นายเเพทย์วรงค์เอาสถาบันพระมหากษัตริย์มากล่าวอ้างเช่นนี้ เป็นการนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อให้ตัวเองกลับเข้าสู่เส้นทางการเมืองใช่หรือไม่ นายเเพทย์วรงค์เจตนาดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จริงหรือไม่ หรือเป็นการนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องกำบังเพื่อให้ตัวเองเข้าสู่เส้นทางการเมือง

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เลยแม้เเต่น้อย หากนายเเพทย์วรงค์ยังเดินหน้ากระทำการเช่นนี้ต่อไป ประชาชนจะเข้าใจผิดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่กับประชาธิปไตย ซึ่งไม่เป็นผลดีเลยแม้เเต่น้อย และในส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ที่รับแจ้งความจากนายเเพทย์วรงค์ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นข้อมูลเท็จโดยเราจะพิจารณาต่อว่าจะดำเนินคดีอย่างไร ในคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐประพฤติมิชอบต่อพรรคการเมืองเเละประชาชน ซึ่งเอาผิดตามมาตรา 200 หรือ 157 ในฐานะที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินคดีต่อพี่น้องประชาชนในเหตุที่เกินควรได้" ปดิพัทธ์ กล่าวทิ้งท้าย

คิกออฟ !! อาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพลเพิ่มรอยยิ้มเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันประเทศไทยในหลายพื้นที่ ต้องพบกับปัญหา ขาดแคลนน้ำ ภัยแล้ง และน้ำท่วม ในบางช่วงเวลา โดยมีหนึ่งในสายน้ำที่เป็น ‘คอขวด’ ของปัญหาหนักแทบทุกปี บนช่วงพิกัดของ ‘แม่น้ำปิง’

ปัจจุบัน แม่น้ำปิง มีสภาพตื้นเขิน มีปัญหาตะกอนทรายเกาะแก่งอยู่ในลำน้ำ ทำให้ร่องน้ำเปลี่ยนทิศทาง ส่งผลให้เกษตรกรสูบน้ำไปใช้เพื่อการเกษตรไม่ได้ตามระยะเวลาที่ต้องการ รวมถึงโรงสูบน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค การประปาของเทศบาลและท้องถิ่น ต้องเจอปัญหาการสูบน้ำเพื่อผลิตน้ำประปาสำหรับชุมชนเมือง

เหตุผลหลักๆ มาจากระดับน้ำในแม่น้ำปิง ณ ปัจจุบันต่ำมาก เนื่องจากการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล อยู่ในเกณฑ์น้อยในแต่ละวัน ซึ่งปัจจัยหลักๆ ก็มาจากปริมาณน้ำในอ่างฯ ที่อยู่ในเกณฑ์น้อยลงนั่นเอง ปัญหาดังกล่าว ทางกรมชลประทาน ได้นำมาพิจารณาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดแนวคิดแก้ไขผ่านโครงการหนึ่ง ภายใต้ชื่อ ‘อาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดกำแพงเพชร’

โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับเสียงตอบรับดีหลังร่างแผนโครงการขึ้นมา ทั้งจากภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคการเกษตร ภาคประชาสังคม ภาคอุตสาหกรรม หอการค้า คณะกรรมการภาครัฐและเอกชน โดยแต่ละภาคส่วนต่างต้องการให้มีการศึกษาและก่อสร้างอาคารบังคับน้ำในลำน้ำปิง ในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อยกระดับน้ำให้สูงขึ้นเล็กน้อย สามารถชะลอน้ำไว้ เพื่อยืดระยะเวลาการสูบน้ำส่งให้กับพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง ช่วยเรื่องของการอุปโภคบริโภค การเกษตร การประมง และส่งเสริมการท่องเที่ยว หากโครงการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำดังกล่าวดำเนินการได้จนแล้วเสร็จ . สำหรับแผนการดำเนินการคัดเลือกโครงการฯ เบื้องต้นมีการเลือกพิกัดจำนวน 3 แห่ง เพื่อนำไปดำเนินการศึกษาความเหมาะสม และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม

• โครงการอาคารบังคับน้ำบ้านแม่ยะ อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก พื้นที่รับประโยชน์ 32,500 ไร่

• โครงการอาคารบังคับน้ำวังยางหนองขวัญ อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร พื้นที่รับประโยชน์ 601,585 ไร่

• และโครงการอาคารบังคับน้ำคลองกระถินอำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่รับประโยชน์ 112,500 ไร่

โดยทั้ง 3 โครงมีลักษณะเป็นฝายคอนกรีตพร้อมบานระบาย

ทั้งนี้ โครงการอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดกำแพงเพชร คาดว่า จะต้องดูรายละเอียดทั้งหมด พอทุกอย่างผ่านจะออกแบบให้แล้วเสร็จในปี 2565 จากนั้นก็จะเสนอไปกระทรวงการเกษตร เพื่อส่งเรื่องให้ ครม.พิจารณาต่ออีกที โดยคาดว่าหากโครงการดังกล่าวผ่านการพิจารณาของ ครม. ก็จะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2566 คาดสร้างเสร็จก็จะปี 2568

นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ปัจจุบันทางกรมฯ มีการลงพื้นที่ติดตามโครงการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม อาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดกำแพงเพชร โดยเดินทางไปยังบริเวณพื้นที่ศึกษาโครงการอาคารบังคับน้ำคลองกระถิน อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ และบริเวณพื้นที่ศึกษาโครงการอาคารบังคับน้ำหนองขวัญ อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร พร้อมพบปะพูดคุยรับฟังข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากผู้แทนประชาชนในพื้นที่

ซึ่งโครงการดังกล่าวหากสามารถเดินหน้าก่อสร้างได้จนแล้วเสร็จ จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตร การอุปโภคบริโภค และควบคุมการส่งน้ำไปยังพื้นที่ชลประทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“สำหรับ ‘โครงการอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำปิงท้ายเขื่อนภูมิพล’ จังหวัดตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์ นั้น ทางกรมชลประทาน ได้เดินหน้าโครงการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำประชา กลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้เลี้ยงปลากระชัง และประชาชน บริเวณพื้นที่ศึกษาโครงการอาคารบังคับในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงผลกระทบจากฝุ่นต่างๆ หากเริ่มก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนบ้านเรือนใดที่มีส่วนติดกับพิกัดที่จะไปก่อสร้างอาคาร ก็จะมีการดูแล จ่ายค่าทดแทน ค่าผลอาสิน อย่างเป็นธรรม รวมถึงงบประมาณที่ดิน ค่าชดเชย ตอบแทน จะมาควบคู่ก่อนการก่อสร้างแก่ผู้ที่ต้องได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมเช่นกัน โดยชาวบ้านในพื้นที่รอบเขตก่อสร้างที่ีทางกรมชลประทานได้เข้าไปประชาสัมพันธ์ ต่างเข้าใจ เพราะมองว่านี่คือแผนระยะยาว เพื่อแก้แล้ง-อุทกภัย ช่วยเกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืน”

.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top