Saturday, 27 April 2024
TEA TIMES

‘เพื่อไทย’ เตรียมให้ ส.ส.ลงพื้นที่ช่วยเหลือคนแก่ หลังถูกหน่วยงานรัฐเรียกเบี้ยชราคืนย้อนหลัง ชี้ เหมือนบีบให้คนแก่ต้องรีบอำลาโลก จี้รัฐแก้ระเบียบ - นิรโทษกรรม ให้คนกลุ่มนี้ แขวะ ‘บิ๊กตู่’ และ ‘บิ๊กป้อม’ ยังเคยรับเงินหลายทาง

นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาการเรียกเงินคืนเบี้ยผู้สูงอายุกับคนชราพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งเป็นเรื่องน่าอนาถใจในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เหมือนไปบีบให้เขาต้องจากไปก่อนวันที่ต้องอำลาลาจาก ทั้งที่เป็นเรื่องความผิดพลาดของหน่วยงานราชการทั้งสิ้น เพราะผู้สูงอายุไม่รู้เรื่อง นอกจากนี้มีข้าราชการเพียงสองประเภทเท่านั้นที่จะได้รับบำเหน็จบำนาญจากการเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ คือทหาร และตำรวจ เรียกว่าบำนาญตกทอด

กรณีนี้คล้ายกับกรณีของพล.อ.ประยุทธ์ที่อยู่บ้านพักหลวง ถ้าเป็นอาชีพอื่น เช่น ข้าราชการครูคงไม่สามารถออกระเบียบเพื่อให้อยู่บ้านพักต่อได้ เรื่องนี้กรมบัญชีกลาง และข้าราชการที่เกี่ยวข้องต้องออกมายอมรับ และแก้ไขระเบียบ คนแก่เขาไม่รู้ให้เขาเซ็นอะไรเขาก็เซ็นแล้วก็รับไปเรื่อย ๆ กรณีนี้ทำร้ายจิตใจเขามาก ข้าราชการกรมบัญชีกลางไม่มีงานทำหรือทั้งที่เขาก็เป็นคนสูญเสีย แต่นายกฯไม่สูญเสียอะไรเลย ยังได้อยู่บ้านพักใช้น้ำใช้ไฟฟรี

“พวกนี้พิเศษเพราะเป็นข้าราชการที่อยู่ในฝ่ายความมั่นคง เมื่อถึงแก่ชีวิตในหน้าที่ราชการ ก็จะมีเงินต่างๆให้ และมีบำนาญตกทอด แม้แต่วันนี้ลูกคนไหนที่พ่อแม่เสียชีวิตในหน้าที่ราชการ สามารถเข้ารับราชการต่อได้โดยไม่ต้องสอบ ขณะที่ข้าราชการอื่นไม่มีระบบแบบนี้ เช่นเดียวกับที่พล.อ.ประยุทธ์ ยังอยู่บ้านพักของทางราชการได้

เพราะไปออกระเบียบว่า บุคคลที่เคยสร้างคุณูปการให้กองทัพ บ้านเมือง สามารถพักอาศัยในบ้านพักได้ วันนี้กรมบัญชีกลาง กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องออกมายอมรับ เพราะคนที่บกพร่องคือข้าราชการทั้งนั้น นายกฯทำร้ายจิตใจคนแก่มาก ถ้านึกถึงตัวเองว่าไม่มีงานทำ ถ้าคิดว่าประเทศไทยจะเสียค่าโง่เหมืองทองอัคราเยอะแยะ เรื่องนี้หยุมหยิมคนเหล่านี้สูญเสีย ผมจึงวิงวอนผ่านสื่อ” นายครูมานิตย์ กล่าว

นายครูมานิตย์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม วันที่ 2 ก.พ.นี้ ตนจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมพรรคให้ ส.ส.แต่ละพื้นที่ลงไปช่วยดูแล และเรียกร้องให้สภาทนายความช่วยดูแลเรื่องนี้ เพราะผู้สูงอายุเขาไม่มีจริงๆ ขอให้แก้ระเบียบหรือออกกฎหมายนิรโทษกรรม ให้นึกถึงตัวเองว่าอยู่บ้านหลวงก็ฟรี ค่าน้ำก็ฟรี เงินประจำตำแหน่ง เงินต่างๆอีกจำนวนมาก จึงอยากให้นายกฯลงมาใส่ใจเรื่องนี้ ขอให้นายกฯตั้งสติหาเวลาว่างๆ หาเวลาสงสารผู้สูงอายุบ้าง เพราะเขารู้เท่าไม่ถึงการณ์จริง ๆ

ด้าน นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ขณะผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ยังเคยรับเงินหลายทาง ไม่ว่าจะจากตำแหน่งนายกฯ หัวหน้าคสช. และผบ.ทบ. ขณะที่พล.อ.ประวิตร รับเงินจากการเป็นรมว.กลาโหม และรองหัวหน้าคสช. ตนเรียกร้องให้ท่านนำเงินที่รับไปหลายทางมาคืน และนำไปช่วยคนชราที่ถูกเรียกเบี้ยยังชีพคืนจะดีกว่า

‘ธนกร’ โต้ ‘เพื่อไทย’ ชี้เศรษฐกิจทรุดเพราะโควิด-19 ลั่น ‘บิ๊กตู่’ ทำดีที่สุดแล้ว แจงยิบทุกมาตรการฟื้นเศรษฐกิจได้แน่ แต่ต้องใช้เวลา แขวะอย่าจ้องแต่จะค้านไปทุกเรื่อง ย้อนเอาเวลาไปประสานรอยร้าวในพรรคก่อนดีกว่า

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่าทำเศรษฐกิจทรุดต่อไปอีก 10 ปีว่า พรรคเพื่อไทยเอาเวลาไปประสานรอยร้าวภายในพรรคก่อนจะดีกว่า เพราะหลังจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ลาออกไป ทำให้เกิดรอยร้ายในพรรคถึงขนาดนายพิชัย นริพทะพันธ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่เผาผีกับนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย

ตนบอกหลายครั้งแล้วว่าเศรษฐกิจแย่เพราะผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งกระทบทั่วโลก พล.อ.ประยุทธ์ทำดีที่สุดแล้ว มาตรการเยียวยาต่างๆ ก็สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ แต่ต้องใช้เวลา ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยหลายอย่างรัฐบาลก็ดูอยู่ ไม่ว่าจะเป็น

1.) เร่งปรับโครงสร้างภาษีให้เก็บเงินคนรวยมากขึ้นเพื่อมาช่วยคนจน ในภาวะที่คนจนกำลังลำบากนี้ รัฐบาลได้ศึกษาการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม หลักความเป็นธรรมทางภาษี พิจารณาข้อดีข้อเสีย ขีดความสามารถในแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง และความยั่งยืนทางการคลังประกอบกัน

2.) เร่งหารายได้เข้ารัฐเพิ่มจากทางอื่นนอกจากภาษีนั้น ปัจจุบันมีการดำเนินการหารายได้เข้ารัฐเพิ่มเติมนอกจากรายได้จากภาษีอย่างต่อเนื่อง เพราะคำนึงถึงการพัฒนาประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

3.) เร่งปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มราชการ หรือ Digitalization รวมถึงการใช้ระบบบล็อกเชน ซึ่งจะแก้ปัญหาได้หลายอย่าง รวมถึงปัญหาระบบศุลกากรที่นักลงทุนต่างประเทศร้องเรียน ปัญหาการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว รัฐบาลมีการปรับปรุงและพัฒนาระบบต่าง ๆ เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร ท่าเรือต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

4.) เร่งส่งเสริมให้เกิดแพลตฟอร์มเอกชน เร่งส่งเสริมการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่ เร่งสร้างยูนิคอร์น ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างประเทศ และ เร่งเก็บภาษีแพลตฟอร์มต่างประเทศ สำหรับการเก็บภาษี Platform ต่างประเทศนั้น รัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ จากต่างประเทศ (e-Service)) (ร่างพระราชบัญญัติฯ) โดยรัฐสภาได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ ในวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 ความคืบหน้าล่าสุดร่างพระราชบัญญัติฯ อยู่ระหว่างขั้นตอนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมาย

และ 5.) ลดภาษีที่จะช่วยเหลือประชาชนได้ เช่น ภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล รัฐบาลได้ช่วยเหลือโดยการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในอัตราต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว ทั้งที่มีการปล่อยความร้อนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน แต่มีอัตราภาษีที่ต่ำกว่า เพื่อสนับสนุนราคาน้ำมันดีเซล นอกจากนี้ การจำหน่ายน้ำมันดีเซลในท้องตลาดมีการนำไบโอดีเซลมาผสมในสัดส่วนต่าง ๆ ซึ่งน้ำมันไบโอดีเซลไม่มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลที่ผสมไบโอดีเซลในท้องตลาดถูกลงด้วย

นายธนกร กล่าวด้วยว่า ส่วนนโยบายด้านการเงิน การช่วยเหลือ SMEs ในภาพรวม รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือ SMEs มาโดยตลอด โดยการให้แหล่งเงินต้นทุนต่ำควบคู่ไปกับการกำหนดกลไก ลดความเสี่ยงด้านเครดิต เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนและมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งกลไกดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือ SMEs ในต่างประเทศ โดย SMEs ที่ได้รับความช่วยเหลือควรเป็น SMEs ที่มีศักยภาพทางธุรกิจ (Commercial Viability) แต่ประสบปัญหาจาก โควิด-19 เท่านั้น

ทั้งนี้ หากภาครัฐต้องให้ความช่วยเหลือ SMEs ทั้งระบบ ซึ่งรวมถึง SMEs ไม่มีศักยภาพหรือ อยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้าง ก็อาจส่งผลให้ภาครัฐมีภาระทางการคลังในอนาคตที่มากเกินความจำเป็น และ SMEs กลุ่มที่ไม่มีศักยภาพก็ยังคงจะเสียเวลาและต้นทุนไปกับการดำเนินธุรกิจที่ไม่สามารถอยู่รอดได้แทนการใช้เวลาและทรัพยากรไปกับการปรับเปลี่ยนและเริ่มธุรกิจใหม่ที่จะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

ดังนั้น การเพิ่มวงเงินค้ำประกันหนี้เสียที่พรรคเพื่อไทยเสนอโดยไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับกลไกการดำเนินการนั้น อาจไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดสำหรับ SMEs และประเทศโดยรวม เนื่องจากอาจเป็นเพียงการเพิ่มวงเงินของรัฐบาลเพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่สถาบันการเงิน เช่น หากเสนอให้รัฐบาลเพิ่มวงเงินค้ำประกันหนี้เสียอีกร้อยละ 10 ของวงเงินรวมของโครงการ 900,000 ล้านบาท จะต้องใช้เงินงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกถึง 90,000 ล้านบาท เป็นต้น แต่ข้อเสนอนั้นไม่มีกลไกที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพเพื่อยืนยันว่า SMEs กลุ่มเป้าหมายแต่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากโควิด-19 จะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจากเงินงบประมาณที่รัฐบาลใช้เพิ่ม ดังนั้น ในการเสนอให้มีการเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันอาจจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน เพื่อให้แนวทางที่เสนอมาก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศและ SMEs อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ภาครัฐอยู่ระหว่างการพิจารณากลไกเพิ่มเติมในการให้ความช่วยเหลือ SMEs เพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างตรงจุด (Targeted) คุ้มค่ากับเงินงบประมาณ (Cost Effective) และเห็นผลได้จริง (Effective) และเหมาะสมกับสถานะหรือบริบทของ SMEs นอกจากนี้ สำหรับประเด็นเงิน 900,000 ล้านบาท ภายใต้ พ.ร.ก. Soft Loan และ พ.ร.ก. BSF นั้น หากพรรคเพื่อไทยได้ศึกษา พ.ร.ก. ทั้ง 2 ฉบับแล้ว จะพบว่า เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช้สินทรัพย์ของ ธปท. แต่เป็นเพดานวงเงินที่ ธปท. สามารถใช้อำนาจในฐานะธนาคารกลางเพื่อจัดสรรสภาพคล่องที่มีอยู่ในระบบการเงิน และนำไปดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก. 2 ฉบับเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ข้อเสนออะไรที่เป็นประโยชน์รัฐบาลก็รับฟัง แต่ไม่ใช่ค้านไปทุกเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ทำอะไรก็ผิดไปหมด ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง และอยากบอกว่าพล.ประยุทธ์อยู่แล้วประเทศดีขึ้น ไม่ได้อยู่แบบถ่วงความเจริญปล่อยให้มีการทุจริตคอรัปชันเหมือนรัฐบาลในอดีต

ใครสอน ก็ไม่เคยจำ!! ‘ดร.นิว’ เปิดคอร์ส สอนวิทยาศาสตร์พื้นฐานของ ‘วัคซีน’ เน้นป้อนความรู้สู่ ‘ธนาธร’ หวังรู้แม่น ก่อนป้ายสีสถาบันฯ

คนทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจว่า ผมเป็นวิศวกรเคมี แต่ไปทำปริญญาเอกด้านการจำลองเชิงกลของโมเลกุลทางเคมีและไปทำวิจัยหลังปริญญาเอกด้านเมมเบรนกับชีวเคมีมาด้วย ผมจึงมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนอยู่พอสมควร ทั้งในเชิงของชีวเคมี และวิศวกรรมเคมี

ผมได้ฟังธนาธรออกมาพูดเรื่องวัคซีนอย่างใส่ร้ายป้ายสีเพื่อพยายามด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่เคยทำมาสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลง

แต่ที่ไม่น่าประหลาดใจเลยสำหรับผมก็คือการที่ธนาธรพูดเรื่องวัคซีนอย่างปราศจากความเข้าใจวิทยาศาสตร์พื้นฐานเอาเสียเลย ซึ่งก็คงเป็นอย่างที่ธนาธรกล่าวถึงวิชา Thermodynamics ว่าเรียนไม่รู้เรื่องเลย ทำข้อสอบไม่ได้เลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจบปริญญาตรีมาได้อย่างร่อแร่อย่างไรบ้าง

ผมเองก็กลัวคนไทยจะหลงเชื่อคนโง่ที่ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ก็จำเป็นที่จะต้องเขียนอธิบายเรื่องวิทยาศาสตร์พื้นฐานของวัคซีนให้คนที่ดีแต่พูดสร้างความเสียหาย ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองได้หายโง่กันเสียที และให้คนไทยได้รู้เท่าทันธนาธร เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหรือวัคซีนทางปัญญาให้กับประชาชนอีกทางหนึ่ง

การวิจารณ์แบบมั่ว ๆ ตาม ๆ กันของธนาธรและลิ่วล้อ แสดงถึงเจตนาต่ำตมในการบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยขาดความรู้และสติปัญญา แม้ว่าบริษัท Siam Bioscience จะไม่ได้ผลิตวัคซีนโดยตรง แต่บริษัท Siam Bioscience ผลิตยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Biosimilars) ซึ่งสามารถนำไปใช้ทางการแพทย์ได้อย่างกว้างขวาง รวมถึงนำมาใช้เป็นวัคซีนได้อีกด้วย

ยาสำคัญที่บริษัท Siam Bioscience ได้รับการรับรองแล้วผลิตอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ ยาฮอร์โมนอีริโทโพอิติน (Erythropoietin) สำหรับกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง รักษาภาวะโลหิตจางจากไตวายเรื้อรัง และ ยาฟิลกราสทิม (Filgrastim) สำหรับกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวควบคู่กับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Biosimilars) รวมถึงไวรัสเวกเตอร์ (Viral vectors) ที่ถูกนำมาใช้เป็นวัคซีนสำหรับไวรัสโควิดด้วยเช่นกัน

การขาดทุนของบริษัท Siam Bioscience มาจากการลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Biosimilars) ภายใต้เจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะให้ประชาชนชาวไทยสามารถได้รับยาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงในราคาที่ถูกลง สร้างความมั่นคงทางยา และดูแลรักษาสุขภาพของคนไทย ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่บริษัท Astrazeneca เลือกบริษัท Siam Bioscience เป็นฐานในการผลิตวัคซีนโควิดพร้อมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพิ่มเติมให้อีกด้วย

ดังนั้นการออกมาบิดเบือนให้ร้ายบริษัท Siam Bioscience เพื่อให้กระทบสถาบันพระมหากษัตริย์ในครั้งนี้ เป็นการแพร่เชื้อโรคแห่งความโง่ แทนที่จะช่วยกันสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตให้กับประชาชน แต่คนเหล่านี้กลับปิดกั้นไม่ให้คนไทยเข้าถึงข้อมูลความรู้ทางเทคโนโลยีชั้นสูงที่ทันสมัย ด้วยยัดเยียด การบิดเบือนเรื่องความมั่นคงทางสุขภาพและชีวิตของประชาชนชาวไทยให้กลายเป็นเรื่องล้มเจ้าตามที่พวกเขาต้องการ

...ไวรัสโควิด-19 หน้าตาเป็นอย่างไร?
ไวรัสเป็นอนุภาคชีววัตถุขนาดเล็ก มีโครงสร้างพื้นฐานประกอบด้วยสารพันธุกรรมหรือกรดนิวคลีอิกและโปรตีนห่อหุ้ม ต้องอาศัยอยู่ในสิ่งมีชีวิตในการเพิ่มจำนวน โดยไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้เองในธรรมชาติ

ในกรณีของไวรัสโควิด SARS-CoV-2 มีสารพันธุกรรมชนิด RNA เป็นไวรัสแบบมีเปลือก ซึ่งมีเปลือกไขมันห่อหุ้มแกนกลางที่เป็น RNA กับโปรตีนอีกชั้นหนึ่ง จึงไม่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม สามารถถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน แสงแดด ตลอดจนสารละลายไขมัน เช่น แอลกอฮอล์ และน้ำสบู่

นอกจากนี้เปลือกไขมันนี้ยังมีปุ่มโปรตีนยื่นออกมาโดยรอบ เรียกว่า สไปค์ (Spike) ที่เป็นกลไกสำคัญในการเกาะและแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ชนิดที่มีโปรตีนตัวรับชื่อว่า ACE2 อยู่บนผนังเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบทางเดินหายใจ และรูปร่างของโปรตีนสไปค์นี่เองที่เป็นที่มาของชื่อโคโรนาไวรัสเพราะมีรูปร่างดูคล้ายมงกุฎ

...ภูมิคุ้มกันไวรัสคือวัคซีน
ไวรัสโควิดแพร่ระบาดผ่านทางระบบทางเดินหายใจ เมื่อร่างกายได้รับไวรัสโควิด ร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา หากสามารถผลิตภูมิคุ้มกันได้เพียงพอ ร่างกายก็จะสามารถต้านทานไวรัสโควิดได้ ตลอดจนไม่มีการแสดงอาการใด ๆ

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนติดไวรัสโควิดแล้วไม่แสดงอาการป่วย ในขณะที่บางคนแสดงอาการป่วย

การรับเชื้อไวรัสโควิดโดยตรงแล้วปล่อยให้มีการสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติจึงถือเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพและชีวิต ดังนั้นวัคซีนจึงมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องได้รับเชื้อไวรัสตามธรรมชาติ และเมื่อมีโอกาสได้รับเชื้อไวรัส ไวรัสก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่เพียงพอแล้ว

...เทคโนโลยีวัคซีนแบบดั้งเดิมในการผลิตวัคซีนโควิด-19
ในปัจจุบันวัคซีนโควิดมีหลายชนิด ตั้งแต่แบบที่เป็นเทคโนโลยีวัคซีนดั้งเดิม เช่น

ประเภทหนึ่ง วัคซีนแบบเชื้อเป็น (Live Attenuated Vaccine)mคือ การนำไวรัสที่อ่อนฤทธิ์จนไม่สามารถก่อโรคได้เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และ

ประเภทสอง วัคซีนแบบเชื้อตาย (Inactivated vaccine) คือ การนำไวรัสที่ตายแล้วมากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

สำหรับไวรัสโควิดขณะนี้มีแค่เพียงวัคซีนแบบเชื้อตายเท่านั้น เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่และการทำให้ไวรัสอ่อนฤทธิ์มีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่า

แม้วัคซีนแบบเชื้อตายจะผลิตขึ้นมาจากเชื้อตายที่ไม่ก่อโรคซึ่งมีความปลอดภัย แต่วัคซีนแบบเชื้อตายมีราคาแพง เพราะอาศัยเชื้อไวรัสที่ยังมีชีวิตจำนวนมากในการผลิต จึงมีความจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีการผลิตที่มีความปลอดภัยสูง ยกตัวอย่างเช่น วัคซีนโควิดของบริษัท Sinovac และ Sinopharm จากประเทศจีน

...พันธุวิศวกรรมกับเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตวัคซีนโควิด-19
แต่เทคโนโลยีชั้นสูงสมัยใหม่ โดยเฉพาะพันธุวิศวกรรม (Genetic engineering) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ ทั้งในด้านการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพของวัคซีน จึงไม่จำเป็นต้องใช้อนุภาคของเชื้อไวรัสทั้งอนุภาค หากแต่สามารถนำส่วนหนึ่งส่วนใดของอนุภาคไวรัสมาใช้ผลิตวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้

ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยพบว่าปุ่มโปรตีนที่ยื่นออกมาโดยรอบของไวรัสโควิด หรือ สไปค์ เป็นกลไกสำคัญในการเกาะและแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ชนิดที่มีโปรตีนตัวรับชื่อว่า ACE2 อยู่บนผนังเซลล์ จึงจัดได้ว่าเป็นแอนติเจน (Antigen) หรือ สิ่งแปลกปลอมที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี (Antibody) นั่นก็คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เอง โดยแอนติบอดีสามารถระงับและป้องกันการทำงานของสไปค์เหล่านี้ได้

เมื่อสไปค์ไม่สามารถใช้เกาะและแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ดังกล่าว ไวรัสโควิดก็จะไม่สามารถเพิ่มจำนวนและหมดฤทธิ์ไปในที่สุด เป็นไปตามหลักการทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ ดังนั้นส่วนหนึ่งส่วนใดของอนุภาคไวรัสจึงสามารถนำมาทำเป็นวัคซีนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีได้

...เทคโนโลยีขั้นสูงสมัยใหม่ในการผลิตวัคซีนนี้ แบ่งได้เป็นสามประเภท
ประเภทหนึ่ง วัคซีนแบบใช้โปรตีน (Protein-based Vaccine) คือ การนำโปรตีนของไวรัสโควิดโดยเฉพาะส่วนของสไปค์มาฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน โดยสามารถใช้ยีสต์ แบคทีเรีย หรือพืชบางชนิด เช่น ใบยาสูบ ในการผลิตโปรตีนของไวรัสโควิดได้ วัคซีนชนิดนี้สามารถผลิตได้ง่าย มีความรวดเร็ว ราคาไม่แพง แต่อาจต้องใช้สารเสริมฤทธิ์ (adjuvant) เพื่อช่วยกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น วัคซีนโควิดของบริษัท Novavax จากประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้บริษัท Baiya Phytopharm ของไทยเองก็กำลังวิจัยและพัฒนาวัคซีนแบบใช้โปรตีนด้วยความร่วมมือจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประเภทสอง วัคซีนแบบใช้สารพันธุกรรมกรดนิวคลีอิก (Nucleic-acid Vaccine) แบ่งออกเป็นสองประเภท คือวัคซีน RNA (RNA Vaccine) และ วัคซีน DNA (DNA Vaccine)


สำหรับไวรัสโควิด วัคซีนที่มีความคืบหน้าจนเริ่มมีการฉีดแล้ว คือ การนำสารพันธุกรรม mRNA (Messenger RNA) ของสไปค์มาฉีดในการสร้างภูมิคุ้มกัน การใช้วัคซีนชนิดนี้เป็นการใช้ครั้งแรกในมนุษย์จึงถือได้ว่าอาจมีความเสี่ยงในระยะยาวเนื่องจากเป็นการฉีดสารพันธุกรรมโดยตรง อีกทั้งยังจำเป็นต้องอาศัยอุณหภูมิที่เย็นจัด -20 องศา ถึง -70 องศา ในขบวนการขนส่ง รวมไปถึงราคาที่ค่อนข้างแพงของวัคซีน แม้จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าจะมีผลเคียงข้างในอนาคตหรือไม่ จึงนับว่ามีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย และที่ประเทศนอร์เวย์พบผู้เสียชีวิตถึง 29 ราย ยกตัวอย่างเช่น วัคซีนโควิดของบริษัท Pfizer/BioNTech และ Moderna จากประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเภทสาม วัคซีนแบบใช้ไวรัสเวคเตอร์ (Viral Vector Vaccine) คือ การใส่สารพันธุกรรมของไวรัสจากสไปค์เฉพาะส่วนที่กระตุ้นภูมิต้านทาน เข้าไปในไวรัสอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ก่อโรคในมนุษย์ แล้วนำมาฉีดเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา โดยวัคซีนประเภทดังกล่าวมีการผลิต และศึกษาวิจัยในมนุษย์แล้ว เช่น วัคซีนอีโบล่า เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น วัคซีนโควิดของบริษัท AstraZeneca จากประเทศอังกฤษ
ประเทศไทยโชคดีที่มีฐานการผลิตวัคซีนโควิดเป็นของตัวเอง เนื่องจากบริษัท AstraZeneca ได้คัดเลือกให้บริษัท Siam Bioscience ของประเทศไทย ที่มีศักยภาพในด้านบุคลากรและกำลังการผลิตที่มากถึง 200 ล้านโดส ตลอดจนความพร้อมในการรองรับเทคโนโลยีในการผลิตชีววัตถุคล้ายคลึง (Biosimilars) ให้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด-19 และเป็นฐานการผลิตเพียงแค่บริษัทเดียวในภูมิภาคอาเซียน ทั้งหมดเป็นเพราะการลงทุนมหาศาลของบริษัท Siam Bioscience ในการวางรากฐานของเทคโนโลยีการผลิตชั้นสูงสำหรับการผลิตชีววัตถุคล้ายคลึง ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่าการผลิตยาสามัญทั่วไปเป็นอย่างมาก โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ให้คนไทยได้เข้าถึง ยาชีววัตถุ ในราคาถูกและปลอดภัย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระราชวิสัยทัศน์อันยาวใกลในพระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ที่ทรงเสี่ยงลงทุนในการผลิตยาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงมาก และทรงยึดถือหลักการขาดทุนคือกำไรเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม และการสืบสานต่อยอดพระราชดำริและงานของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โรงงานพระราชทานนี้ทำให้ไทยเราได้เปรียบหลายประเทศ ทำให้เรารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ ทำให้เราพึ่งพาตนเองได้
ภาษิตจีนได้กล่าวไว้ว่า กินน้ำ อย่าลืมคนขุดบ่อ และ ลูกหลานกตัญญู โชคดี เช่นเดียวกับที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้กล่าวไว้ว่า เกิดเป็นคุณ ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ขอขอบคุณทีมไทยแลนด์และสยามไบโอไซนส์ ที่ทำงานหนัก เสียสละที่ทำงานนี้เพื่อประเทศชาติ และขอกราบสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้



ที่มา:
https://mgronline.com/daily/detail/9640000008646
อ้างอิง:
Ewen Callaway. Nature. (April 28, 2020). The race for coronavirus vaccines: a graphical guide. https://www.nature.com/articles/d41586-020-01221-y
MANUEL CANALES et al. National Geographic. (October 14, 2020). INVASION AND RESPONSE.https://www.nationalgeographic.com/magazine/2020/11/explore-how-coronavirus-attacks-the-body-and-how-the-body-fights-back/
British Embassy Bangkok. GOV.UK. (October 12, 2020). Thailand joins forces with AstraZeneca on COVID-19 vaccine manufacturing.https://www.gov.uk/government/news/thailand-joins-forces-with-astrazeneca-on-covid-19-vaccine-manufacturing--2

‘แรมโบ้’ เตือน ผู้นำฝ่ายค้าน ไม่แก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้อาจตกหลุมพราง-ร่วมทฤษฎีสมคบคิด หวั่นประชาชนเกิดความไม่พอใจ จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลายได้อีก

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านไม่ยอมแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า แม้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ จะบอกว่าไม่ได้เป็นการบังคับ อยู่ที่การตัดสินใจของฝ่ายค้าน แต่นายสมพงษ์ก็ไม่ควรที่จะยื่นญัตตินี้มาอภิปรายฯ

และหากนายสมพงษ์และฝ่ายค้านไม่ยอมถอน และแก้ญัตติเรื่องนี้ เป็นการทำให้เห็นว่านายสมพงษ์ไม่มีความห่วงใยบ้านเมือง คาดการณ์ได้เลยอาจจะมีเหตุการณ์วุ่นวายในสภาฯและนอกสภาฯได้

นายสมพงษ์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เพราะตัดสินใจไม่เป็นว่าญัตตินี้ไม่ควรยื่นอย่างยิ่ง และสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่กล้าตัดสินใจ กลายเป็นเครื่องมือให้พรรคที่คิดล้มล้างสถาบัน ยืมพรรคเพื่อไทยมาเป็นเครื่องมือในการที่จะนำมาอภิปรายเสียดสีสถาบัน คิดได้ว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะใช้ "ทฤษฎีสมคบคิด" นั้นด้วย

ตนไม่เคยมั่นใจเลยว่าฝ่ายค้านจะระมัดระวังคำพูดของตนเองในการอภิปรายฯ ที่จะไม่ให้กระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่บังควร เพราะเห็นจากพฤติกรรมของ ส.ส. บางคนหรือบางพรรคการเมืองที่มีความคิดคอยแต่จาบจ้วงสถาบันและสนับสนุนคนออกมาบนท้องถนน มีพฤติกรรมที่ทำผิดมาตรา112 ตลอดมา ซึ่งผู้นำฝ่ายค้านและพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ทราบดี

ขณะเดียวกันขอฝ่ายค้านอย่าโยนให้ประธานฯ ในที่ประชุมเพียงฝ่ายเดียวที่เป็นผู้ดูแลการประชุมให้เกิดความเรียบร้อย แต่จะต้องแก้ที่ต้นตอด้วย คือฝ่ายค้านไม่ควรนำมาอภิปรายแต่แรกจะดีกว่า เพื่อให้การอภิปรายเป็นไปได้ด้วยดีและตรงประเด็น เชื่อว่า ส.ส. ฝ่ายค้านแท้จริงแล้วไม่ได้อยากใช้เวทีนี้เพื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯหรือรัฐมนตรี เพราะไม่มีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงนำมาอภิปรายฯ

ขอถามว่าหากมีใครอภิปรายฯ จาบจ้วงสถาบัน นายสมพงษ์ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านฯ จะรับผิดชอบไหวหรือไม่ อย่าบอก ว่าส.ส.ต้องควบคุมตนเอง เพราะมั่นใจว่าไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน เนื่องจาก ส.ส.บางคนรับงานมาพูดเรื่องสถาบันโดยเฉพาะ

ซึ่งจะไม่สนใจประธานในที่ประชุมอย่างแน่นอน หากมีการพูดพาดพิงสถาบัน แม้ประธานในที่ประชุมจะสั่งให้ถอนคำพูด ตนเองก็มองว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะได้พูดไปแล้วประชาชนได้ยินทั่วประเทศแล้ว และคนทั้งประเทศที่ได้รับชมรับฟังจากการถ่ายทอดสดจะทำให้เกิดความรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก และเกิดความไม่พอใจ จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลายได้อีก

นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค

นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค และชาวศรีราชา กระผมนาย ขวัญเลิศ พานิชมาท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี ต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ที่กระผมต้องทำการขออนุญาตใช้เอกสิทธิ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับมาจากการที่พี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ได้เลือกกระผมในฐานะตัวแทนผู้สมัครรับเลือกในนามพรรคอนาคตใหม่

กระผมขออนุญาตไม่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตามมติพรรค (หรือพูดง่ายๆ สวนมติพรรค) ซึ่งกระผมยอมรับผลการลงโทษและการคาดโทษจากทางพรรคที่จะตามมา และพร้อมน้อมรับคำวิจารณ์จากพี่น้องประชาชนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ทุกท่าน กระผมไม่สามารถลงชื่อญัตตินี้ ซึ่งเป็นมติพรรคได้เพราะขัดกับหลักการส่วนตัว

พรรคอนาคตใหม่ หรือ ก้าวไกลเป็นพรรคที่ดีและมีอุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ ส่วนตัวผมทำงานในพื้นที่ควบคู่กันไป ผมมีความต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ห่วงใยปากท้องชาวบ้าน จึงอาจไม่มีบทบาทมากนักในสภา สุดท้ายนี้กระผมไม่เคยลืมตัว และยังสำนึกในพระคุณของพรรครวมถึงพี่น้องประชาชน ที่ได้ให้โอกาสกระผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ครับ

นอกจากนี้ยังโพสต์อีกเรื่องคือการประชาสัมพันธ์ รถพระราชทานตรวจหาเชื้อชีวนิรภัย ให้บริการตรวจเชิงรุกฟรีแก่ประชาชน ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค.- 2 ก.พ. อีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สดผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ในช่วงเช้าวันที่ 28 ม.ค. ตอนหนึ่งจุดยืนส.ส.พรรคก้าวไกลต่อการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังมีชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยนายคารมประกาศไม่เซ็นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมระบุว่าความเห็นของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ไม่ใช่ความเห็นของตน ส่วนจุดยืนของพรรคก้าวไกลบางเรื่องก็ไม่ใช่จุดยืนของตน

"บอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ผมเป็นตัวของตัวเอง อายุเยอะแล้ว ผมรู้ว่าสถาบันบางสถาบัน ท่านก็ Disrupt อยู่ พัฒนาการทางการเมืองของน้อง ๆ เป็นสิทธิเสรีภาพ ใครทำอะไรก็ทำไป แต่ใครทำอะไรต้องรับผิดชอบ การเมืองก็เหมือนอาหาร ใครชอบกินอะไรก็กินไป จะมาบอกว่าอยู่บริษัทเดียวกันแล้วชอบเหมือนกันไม่ได้" คารม กล่าว

เมื่อถามว่าในขณะที่มี ส.ส. ก้าวไกล ลงชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่เวลาเดียวกันก็กำลังเสนอชื่อแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 คารมกล่าวว่า "ผมไม่เซ็นครับ บอกผ่านสื่อเลยครับผมไม่เซ็น ไม่ทราบคนอื่นเซ็นหรือไม่ แต่ผมไม่เซ็นแล้วมาบังคับผมไม่ได้ด้วย ผมเคยงดออกเสียงในเรื่องกฎหมายโอนอัตรากำลังพล แต่เมื่อพรรคมีมติผมก็มีมารยาท ผมรู้กติกา ผมรู้ระดับของความรุนแรง ผมจะตอบคำถามอย่างไร ผมมาสาบานตน ผมอ่านรัฐธรรมนูญผมก็เข้าใจ แล้วผมมาเซ็นแก้มาตรา 112 ความคิดในทางกฎหมายผมก็มีความรู้อยู่บ้างว่ามุมมองอะไรอย่างไร แต่สรุปว่าผมไม่เซ็น"


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/91293

‘หมอเอก' ก้าวไกล จี้ถาม ‘อนุทิน’ สรุปเรื่องวัคซีน COVAX จะเอายังไงแน่? ในแผนบอกจะซื้อ แต่เจ้าตัวพูดเหมือนจะไม่ซื้อแล้ว? ชี้ทำสังคมสับสน

นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เขต1เชียงราย พรรคก้าวไกล ระบุว่า เรื่องวัคซีนที่เป็นความหวังอาจจะเพียงหนึ่งเดียวที่จะพาเราให้หลุดออกจากความทุกข์ยากของมาตรการการจัดการโควิดของรัฐบาล ทำให้ประชาชนกลับมาทำมาหากินได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่มีความสับสนไม่ใช่เพราะมีผู้ตั้งคำถามต่อการจัดการวัคซีนของรัฐบาลหากแต่เป็นเพราะการชี้แจงของรัฐบาลไม่ชัดเจนและข้อมูลไม่ตรงกันกับข้อมูลที่เคยนำเสนอไว้ในที่ต่างๆ

นอกจากประเด็นเรื่อง AstraZeneca กับ Siam Bioscience และเรื่องวัคซีนจีนอย่าง Sinovac แล้วนายแพทย์เอกภพยังกล่าวว่าตนมีข้อสงสัยอีกมากมายที่รัฐบาลควรต้องเปิดเผยออกมาให้ชัด ไม่ต้องให้มีคนสงสัยอีก อะไรที่ผิดพลาดก็ยอมรับว่าผิดพลาดแล้วรับผิดชอบไปซะแล้วก็เริ่มเดินหน้าจัดการให้ถูกต้อง

หนึ่งช่องทางของการได้วัคซีนที่มีหลายประเทศใช้และมีการนำเสนอในที่ประชุมกรรมาธิการสาธารณสุขเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 คือช่องทางขององค์การอนามัยโลกที่ชื่อว่า COVAX เป็นช่องทางที่เปิดให้ประเทศผู้ซื้อมาลงทะเบียนเพื่อเสนอว่าต้องการซื้อปริมาณเท่าไหร่

จากการชี้แจงวันนั้นแจ้งว่ามีแผนจัดซื้อวัคซีนจาก COVAX รวม 26 ล้านโดสใน 3 ปี

แต่ในการแถลงช่วงหลังกลับบอกว่ายังไม่ได้มีการขอจัดซื้อวัคซีนจาก COVAX ด้วยข้ออ้างที่ว่าเขาจะให้กับประเทศรายได้น้อยก่อน

ซึ่งเมื่อเปิดดูในเอกสารของ COVAX และดูในเว็บไซต์ https://www.gavi.org/vaccineswork/covax-explained ก็ได้ข้อมูลว่า

All participating countries, regardless of income levels, will have equal access to these vaccines once they are developed.

หมายความว่า COVAX ไม่ได้มีการจำกัดว่าจะให้เฉพาะประเทศที่มีรายได้น้อย แต่เปิดโอกาสให้กับทุกประเทศที่จะเข้าถึงวัคซีนได้ โดยในเว็บไซต์ยังให้ข้อมูลว่ามี 78 ประเทศรายได้สูงเข้าร่วมในโครงการนี้ด้วย

มีอีกประเด็นที่สำคัญซึ่งนำเสนอไว้ในเว็บไซต์เป็นวันที่สำคัญ 18 กันยายน 2563 เป็นวันที่ต้องทำสัญญาเข้าร่วมโครงการ เมื่อวันที่9 ตุลาคม 2563 เป็นกำหนดการจ่ายเงินมัดจำ ซึ่งดูเหมือนว่าจนถึงปัจจุบันทางการไทยก็ยังไม่สามารถปิดดีลนี้ได้(อ้างอิงข้อมูลจาก COVAX ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2563)

นอกจากนี้นายแพทย์เอกภพกล่าวว่าตนได้ติดตามเนื้อหาที่สุดคุณอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 เนื้อหาตอนหนึ่งว่า “กรณีที่ประเทศไทยไม่รวมโครงการวัคซีนของ COVAX นั้น เราได้เจรจากับ COVAX มาตลอด แต่เราไม่อยู่เกณฑ์ที่เขาจะให้ฟรี COVAX ให้สิทธิแก่ประเทศยากจนที่ WHO และ GAVI ให้การสนับสนุนจำนวน 92ประเทศ แต่ไทย ถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีฐานะปานกลาง หากเราจะร่วมกับ COVAX เราต้องซื้อราคาแพงกว่า และไม่สามารถเลือกวัคซีนจากผู้ผลิตรายใดได้ มีความไม่แน่นอนทั้ง ชนิด จำนวน และราคา รวมทั้งต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้วัคซีน เมื่อไร การที่เราจัดหาเอง และได้วัคซีนที่เหมาะสมกับการใช้ มีเงื่อนไขด้านราคาและเวลาที่ชัดเจนกว่า จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า”

การสื่อสารเช่นนี้ คุณอนุทินกำลังจะบอกว่า เราเปลี่ยนแผน และจะไม่รับวัคซีนจาก COVAX แล้วใช่หรือไม่? จะเปลี่ยนแผนเป็นอย่างไรบ้าง? หรือจะยังมุ่งหน้าเจรจาอยู่? แล้ววัคซีนที่น่าสนใจตัวหนึ่งของ Johnson&Johnson ที่ฉีดเข็มเดียวก็อยู่ใน COVAX นั้นทางเราได้มีการเจรจาตรงกับบริษัทนี้หรือไม่? ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่เคยได้รับความโปร่งใสชัดเจนในข้อมูลและแผนการจากทางรัฐบาล จึงไม่แปลกใจที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่นรัฐบาลและเห็นว่ารัฐบาลกลับไปกลับมา ไม่มั่นคงแน่วแน่ในแนวทางการบริหารจัดการ

ผมติดตามและดูการทำงานแล้วเห็นความพยายามและความตั้งใจของนักวิจัย ความพยายามของสถาบันวัคซีน บุคลากรสาธารณสุข แต่ในความพยายามนั้นกลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากระบบระเบียบราชการและจากผู้นำที่ไม่มีวิสัยทัศน์อย่างคุณประยุทธ์เลย นายแพทย์เอกภพกล่าว

สุทธวรรณ ก้าวไกล ถามกลับ ทิพานัน ใครกันแน่อำมหิต จ้องดึงฟ้าต่ำใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองทุกครั้งที่มีโอกาส

นางสาว สุทธวรรณ สุบรรณ ณ. อยุธยา ส.ส.นครปฐม เขต3 พรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีที่นางสาว ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี และอดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่าการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลดำเนินการมาอย่างถูกต้อง โปร่งใส รอบคอบ และมีการกล่าวถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้หยุดพฤติกรรมอำมหิต นำกรณีวัคซีนและชีวิตความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง

จากรณีดังกล่าว ตนเห็นว่า สาระของนางสาวทิพานันคือการจับประเด็นมาขยายความเพื่อหาพื้นที่ให้ตัวเองเท่านั้น มิได้มีประโยชน์ต่อสังคมแต่อย่างใด ทุกครั้งที่มีการสื่อสารออกมาผ่านสื่อ มีแต่ความคิดเห็นที่กล่าวโทษผู้อื่นทั้งสิ้น ความอำมหิตที่คุณ ทิพานันกล่าวนั้นดิฉันว่า คนที่อำมหิตคือผู้ที่พยายามดึงฟ้ามาต่ำต่างหาก อย่าพยามเสี้ยมสอนผู้อื่นให้รู้จักที่ต่ำที่สูง หากตัวคุณทิพานันยังดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองทุกครั้งที่มีโอกาส ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นคุณทิพานันต่างหาก ที่มีความอำมหิต

อย่างไรก็ตาม อยากให้ทำความเข้าใจในสาระสำคัญที่พรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า รวมถึงผู้อื่นที่ออกมาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนว่า การจัดซื้อวัคซีนใช้งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชน หากจะมีการตั้งคำถามเป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้ อีกทั้งยิ่งมีการตั้งคำถาม รัฐบาลเองยิ่งต้องเปิดเผย ชี้แจงต่อสาธารณะให้ได้ ยิ่งเปิดยิ่งโปร่งใส วัคซีนที่รัฐบาลจัดซื้อเข้ามาเป็นความหวังของพี่น้องประชาชน เป็นทางออกวิกฤติในครั้งนี้ ดังนั้นหน้าที่ของพวกคุณคือ ทำให้ชัดเจน โปร่งใส ตรวจสอบ มิใช่ไล่ชี้หน้าว่าเขาไม่จงรักภักดี หากมีความสงสัยเรื่องนี้

‘เสี่ยหนู’ อนุทิน ชาญวีรกูล ตอบคำถาม ‘ธนาธร’ ไขปมเลือกซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า แบบเคลียร์ ๆ ย้ำเลือกวัคซีนที่เหมาะที่สุดแก่ประเทศไทย ทุกขั้นตอนทำตามกรอบกฎหมายชัดเจน

หลังจากเมื่อวันก่อน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานก้าวหน้า ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับกรณีปมวัคซีนโควิด-19 ในไทย

ล่าสุด นายอนุทิน ได้โพสต์กลับในเฟซบุ๊ก 'อนุทิน ชาญวีรกูล' ว่า...

เรียน คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ผมขอบคุณคุณธนาธร ติดตามการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข และไม่ละเลยที่จะกล่าวคำขอบคุณ ให้กำลังใจกระทรวงสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ทุ่มเททำงานหนักเพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2562 จนถึงขณะนี้ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ เพื่อความปลอดภัย และลดการสูญเสียของคนไทยให้ได้มากที่สุด

ผมดีใจที่คุณธนาธร ไม่กล่าวถึง “วัคซีนพระราชทาน” และ ไม่พาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ อีก ซึ่งผมเข้าใจว่าคุณธนาธร ได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นความจริงแล้ว

การจัดหาวัคซีน ที่คุณธนาธร ตั้งข้อสังเกต และข้อสงสัยหลายประเด็น ผมขอตอบในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ว่า เราไม่ได้ทำงานล่าช้าตามที่คุณธนาธร กล่าวหา เราประชุมเตรียมการจัดหาวัคซีน มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 แต่ในช่วงเวลานั้น การให้ความสนใจติดตามข่าวสารเรื่องวัคซีน อาจจะน้อยกว่าการติดตามสถานการณ์การระบาดและการเยียวยา ประกอบกับการเปิดเผยข้อมูลการเจรจา ในขณะที่ยังไม่บรรลุผล ไม่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน และจะทำให้ประชาชนสับสน ซึ่งคุณธนาธร เป็นนักธุรกิจ มีประสบการณ์การเจรจาทางธุรกิจกับบริษัทต่างชาติมาแล้ว น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี

กว่าที่เราจะเจรจาบรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย และคนไทย ต้องใช้เวลามากพอสมควร เมื่อมีความชัดเจนเกิดขึ้น เราได้แถลงให้ประชาชนทราบอย่างเปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และ ภาคเอกชน ที่มีส่วนร่วมในการทำงานนี้เพื่อการจัดหาวัคซีน มาให้คนไทยทุกคน ด้วยความปลอดภัย และยังสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนให้แก่ประเทศไทย ในฐานะผู้รับการถ่ายทอดเทคโนยีการผลิตวัคซีนไวรัสโคโรนา 2019 เพียงประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียน

เราเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนทุกราย ที่ผลิตวัคซีนออกมาจำหน่ายในขณะนี้ การเจรจาจัดหาวัคซีน มีข้อจำกัดมากมายทั้งจากเงื่อนไขของผู้ผลิต และ จากระบบกฎหมายไทย และ งบประมาณของประเทศไทย เอง

1.) ผู้ผลิตทุกราย ต้องการให้เราจ่ายเงินจองซื้อวัคซีน ในขณะที่เขาเพิ่งเริ่มต้นการทดลอง ยังไม่มีการผลิตวัคซีนจริง หากเขาผลิตไม่สำเร็จ เงินที่เราจองซื้อ จะไม่ได้รับคืน ถือว่าเป็นการลงทุนร่วมกัน รับความเสี่ยงร่วมกัน

กฎหมายไทย ไม่อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐจ่ายเงินจองซื้อสินค้าที่ยังไม่มีการผลิต และ การมีเงื่อนไขว่า หากไม่สำเร็จ จะไม่ได้รับเงินคืน ก็ไม่สามารถทำได้

แม้จะมีเงื่อนไขว่า ถ้าเราจ่ายเงินจองซื้อล่วงหน้า หากเขาผลิตวัคซีนได้สำเร็จ เราจะมีโอกาสซื้อได้ในราคาต่ำกว่าราคาที่เราซื้อเมื่อเขาผลิตได้แล้วก็ตาม หน่วยงานของรัฐ ไม่สามารถทำสัญญาเช่นนั้นได้

2.) เมื่อพิจารณาข้อมูลด้านเทคนิคการผลิตและการจัดการวัคซีนจากแหล่งผลิตไปจนถึงประชาชน แล้ว เราต้องเลือกวัคซีนที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทย และคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน สูงสุด รวมถึง การใช้เงินงบประมาณ ซึ่งเป็นภาษีของประชาชนอย่างคุ้มค่าที่สุด จึงเป็นที่มาของการเลือกซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีราคาที่ต่ำกว่าวัคซีนของผู้ผลิตรายอื่น และเหมาะสมกับการจัดการฉีดในประเทศไทย มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนอื่นๆ

3.) การได้รับข้อเสนอจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ ใช้โรงงานในประเทศไทย ซึ่งบริษัทเลือกเอง เป็นฐานการผลิตวัคซีน ของบริษัท เพื่อจำหน่ายให้แก่ภูมิภาคอาเซียน อีกด้านหนึ่งต้องนับเป็นความมั่นคงทางด้านวัคซีนของประเทศไทย เป็นสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่าหลายๆ ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน เพื่อศักยภาพของประเทศไทย เช่นเดียวกับที่รัฐบาลให้การสนับสนุนผู้ผลิตวัคซีนในประเทศไทยหลายราย ทั้งสถาบันการศึกษา และ ผู้ประกอบการภาคเอกชน เพื่อพัฒนาวัคซีนของคนไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ

4.) การจัดหาวัคซีน ในระยะแรก จำนวน 26 ล้านโดส จากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ และ จำนวน 2 ล้านโดส จากบริษัทไซโนแวคฯ เพื่อฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยง เป็นจำนวนที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้วิเคราะห์แล้วว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้มีการระบาดรุนแรง และไม่มีผู้ป่วย หรือ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เช่นในบางประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนโดยด่วน แม้ว่าจะเกิดผลข้างเคียงที่ยังไม่รู้แน่ชัด

อย่างไรก็ตาม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ โดยคำแนะนำของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้จองซื้อวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ เพิ่มขึ้นอีก จำนวน 35 ล้านโดส รวมเป็น 63 ล้านโดส สำหรับประชากร 31.5 ล้านคน คิดเป็น 63 % ของประชากรที่ควรรับวัคซีนได้ ซึ่งมีประมาณ 50 ล้านคน (ตัดกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี และหญิงตั้งครรภ์ ออก) ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนไทย

ประกอบกับจำนวนวัคซีนที่จะทยอยส่งมอบต้องดำเนินการให้เกิดคุณภาพการจัดการ และการเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัย การวางแผนจัดหาและฉีดวัคซีน จึงต้องคำนึงปริมาณที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสูญเสียและสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น อีกทั้ง UNICEF คาดการณ์ปริมาณวัคซีนที่จะเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี2564 จนเพียงพอต่อความต้องการ และมีแนวโน้มที่วัคซีนจะราคาถูกลงกว่าในขณะนี้ เราจะประหยัดงบประมาณไปได้อีกมาก

โดยสรุป การจัดหาวัคซีน เป็นไปตามหลักการคำนวณของคณะแพย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงสถานการณ์การระบาดในประเทศ และความปลอดภัยของประชาชน เป็นสำคัญ และไม่ได้วางแผนดำเนินการล่าช้าตามที่กล่าวหากัน ตามที่ นพ.ยง ภู่วรวรรณ หนึ่งในคณะอนุกรรมการอำนวยการบริการจัดการให้วัคซีนไวรัสโคโรนา 2019 ได้ตอบคำถามของประชาชน ที่ตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกับคุณธนาธร แล้ว

5.) ทุกท่านที่วิจารณ์และตำหนิการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข ต่อการบริหารสถานการณ์โรคระบาดโควิด19 ต้องให้ความเป็นธรรมต่อคนทำงาน ด้วย เนื่องจาก โควิด19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ที่ไม่มีใครรู้จัก และไม่มีประสบการณ์ ทุกประเทศในโลก รวมทั้งประเทศไทย ต่างใช้ประสบการณ์ในอดีตที่ใกล้เคียงที่สุด มาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการทำงาน คนทำงานอาจจะมีถูกบ้างผิดบ้าง และต้องติดตาม ปรับปรุงแผนการทำงานกันทุกวัน ตลอด 1 ปีเศษที่ผ่านมา การนำข้อมูล และตัวเลขต่างๆ มากล่าวอ้าง จึงขอให้พิจารณาตรวจสอบข้อมูล และแหล่งที่มา ณ วันที่นำมาอ้างอิง ด้วย

กระทรวงสาธารณสุข พยายามทำงานเพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดในประเทศไทย ให้ดีที่สุด ทั้งในช่วงเวลาที่ไม่มีวัคซีน และ มีวัคซีนแล้ว ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักการทางการแพทย์ทุกประการ และการฉีดวัคซีนให้กับคนไทยทุกคนด้วยความสมัครใจ จะแล้วเสร็จภายในต้นปี 2565 เป็นอย่างช้า

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า การฉีดวัคซีน ไม่ใช่การปลดล็อกทุกอย่าง และจะทำให้เรากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด19 ได้โดยเร็ว ในระยะแรกของการฉีด วัคซีนเป็นเพียงเครื่องมือควบคุมโรค และ ป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยหนัก และเสียชีวิต หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว ทุกคนยังต้องใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และไม่ไปที่แออัด เพื่อลดการติดและการแพร่เชื้อ อีกสักระยะ เราต้องติดตามผลการศึกษาวัคซีน ว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันได้นานแค่ไหน กันต่อไป

6.) กรณีที่ประเทศไทยไม่รวมโครงการวัคซีนของ COVAX นั้น เราได้เจรจากับ COVAX มาตลอด แต่เราไม่อยู่เกณฑ์ที่เขาจะให้ฟรี COVAX ให้สิทธิแก่ประเทศยากจนที่ WHO และ GAVI ให้การสนับสนุนจำนวน 92 ประเทศ แต่ไทย ถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีฐานะปานกลาง หากเราจะร่วมกับ COVAX เราต้องซื้อราคาแพงกว่า และไม่สามารถเลือกวัคซีนจากผู้ผลิตรายใดได้ มีความไม่แน่นอนทั้ง ชนิด จำนวน และราคา รวมทั้งต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้วัคซีน เมื่อไร การที่เราจัดหาเอง และได้วัคซีนที่เหมาะสมกับการใช้ มีเงื่อนไขด้านราคาและเวลาที่ชัดเจนกว่า จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า

7.) รัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะผูกขาดการจัดหาวัคซีนจากผู้ผลิตรายหนึ่งรายใด แต่เราต้องเลือกวัคซีนที่มีความเหมาะสมกับการใช้ในประเทศไทยมากที่สุด ขอยืนยันว่าการจัดหาวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าฯ จำนวน 61 ล้านโดส และจากบริษัทไซโนแวคฯ จำนวน 2 ล้านโดส เป็นการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่คนไทย และประเทศไทย ซึ่งมีการตอบรับข้อเสนอของประเทศไทย และ เสนอเงื่อนไขการขายวัคซีนให้แก่ประเทศไทย ดีกว่าผู้ผลิตรายอื่น

หากในอนาคตมีผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ มาขึ้นทะเบียนในประเทศไทย และจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าที่จัดซื้ออยู่ในขณะนี้ ก็เป็นไปได้ที่รัฐบาลจะพิจารณาจัดซื้อ และ สนับสนุนให้เอกชนจัดซื้อไปให้บริการประชาชน

ส่วนกรณีสัญญาต่างๆ นั้น ในส่วนของสัญญาภาคเอกชน หรือ สัญญาระหว่างรัฐกับเอกชน ก็ตาม คุณธนาธร เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางธุรกิจภาคเอกชน น่าจะทราบดีว่า การจะเปิดเผยข้อความในสัญญา ทำได้หรือไม่ อย่างไร จะต้องได้รับการยอมรับจากคู่สัญญาด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ ผมได้ให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับไปพิจารณาดำเนินการตามกรอบกฎหมายแล้ว

ผมตอบคำถามคุณธนาธร ตามนี้ และขอเรียนว่ารัฐบาลพร้อมที่จะปรับแผนการบริหารสถานการณ์โควิด19 รวมถึงการจัดหาวัคซีน หากมีผลการศึกษา และการผลิตวัคซีนที่ดีกว่า เหมาะสมกว่า เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ลดการสูญเสีย และใช้เงินงบประมาณคุ้มค่ามากที่สุด ขอให้คุณธนาธร เชื่อมั่นว่ารัฐบาล มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกคน และปรารถนาที่จะนำประเทศไทยกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติ ทางเศรษฐกิจ และ ทางสังคม โดยเร็วที่สุด

ขอให้เชื่อมั่นว่า กระทรวงสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งผม ที่ทำงานกันเป็นทีมอยู่ในขณะนี้ ไม่มีเป้าหมายทางการเมือง และไม่ประสงค์จะนำความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพของประชาชน มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือ แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เป้าหมายเดียวที่เรามี คือ ประชาชนคนไทยต้องปลอดภัย

ขอแสดงความนับถือ

อนุทิน ชาญวีรกูล

รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4074068475961336&id=2091153520919518

26 มกราคม 2564

ยกเลิกโปรดเกล้าฯ ตำแหน่ง ‘ศาสตราจารย์’ เปิดเอกสารด่วน!! ดันรัฐมนตรีแต่งตั้งแทน เชื่อคนไทยรับไม่ได้ ลดพระเกียรติสถาบัน - ทำลายเกียรติ ‘ศาสตราจารย์’

หลังจากมีเอกสารด่วนเกี่ยวกับการ ‘การรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ตามรูปแนบ) เรียนถึงอธิการบดี (ผ่านรองอธิการบดี และรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและวิชาการ) มหาวิทยาลัยมหิดล และทางอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ลงนามรับทราบ/ดำเนินการได้

เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 64 เป็นที่เรียบร้อน แต่เมื่อเอกสารฉบับดังกล่าวว่อนสู่โลกอินเตอร์เน็ต ก็ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึง 1 ในร่างเสนอ ที่ต้องการให้ ‘ยกเลิกการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาให้ดำรงตำแหน่ง ศาสตราจารย์ และให้รัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งแทน’

เมื่อเอกสารดังกล่าวได้หลุดออกไปสู่โลกออนไลน์ ก็มีคำถามจากบุคคลในแวดวงสังคมที่เหมือนจะตั้งคำถามยิงตรงไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวโดยทันที

เริ่มตั้งแต่ ศาสตราจารย์ ดร.สายันต์ ไพรชาญจิตร์ อดีตคณบดีคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร และอดีตอาจารย์ประจำภาควิชา การพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Sayan Praicharnjit...

เรียน ศาสตราจารจารย์พิเศษ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาฯ

ขอให้ถอนร่าง พรบ. ฉบับนี้ออกจากการพิจารณาในทุกขั้นตอน และยกเลิกร่าง พรบ. ฉบับนี้ไปเลย ไม่ต้องแก้ไขหรือนำกลับเข้ามาพิจารณาอะไรอีก เพราะสาระสำคัญ เป็นการลดพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทำลายเกียรติของ ‘ศาสตราจารย์’

ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย ศุภดิษฐ์ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและยุทธศาสตร์การพัฒนา และรองประธานบริหารศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และอดีตรองอธิการบดี ฝ่ายวางแผนและยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ก็ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Tawadchai Suppadit ด้วยเช่นกันว่า...

มีคำสั่งด่วนเพื่อสอบถามความคิดเห็น เกี่ยวกับการยกเลิกการโปรดเกล้าตำแหน่งศาสตราจารย์ มาให้รัฐมนตรี แต่งตั้งแทน

ขอแสดงความเห็นส่วนตัวในนามผู้ที่ได้รับตำแหน่ง ศาสตราจารย์ จากการโปรดเกล้าฯ ซึ่งไม่ได้มีผลได้ผลเสียจาก พรบ ฉบับนี้ แต่ต้องการบอกกับประชาคมว่า

1.) ตำแหน่งศาสตราจารย์ เป็นตำแหน่งที่เทียบเท่าราชการระดับ ซี 10 - 11 ซึ่งเป็นตำแหน่งของข้าราชการระดับสูง ในหน่วยงานราชการอื่น การขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูง ล้วนได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในระบบราชการโดยทั่วไป ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

2.) ถือเป็นความภาคภูมิใจของตนเองและวงศ์ตระกูล เพราะคำว่า ศาสตราจารย์......ที่ใช้ในประเทศไทยมีมากมายหลายรูปแบบ มอบให้โดยเป็นเกียรติก็มี แต่ตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” เท่านั้น ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ และเป็นตำแหน่งที่เกิดจากการสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการและการวิจัยของตนเองขึ้นมา

3.) ขั้นตอนการโปรดเกล้าฯ อาจจะมีการตรวจรายละเอียดมากขึ้นบ้าง แต่ก็ถือเป็นการตรวจสอบซ้ำว่าท่านเป็นผู้ทรงภูมิจริง ไม่มีการคัดลอกหรือทำผิดจริยธรรมทางวิชาการ ซึ่งเห็นว่าเป็นข้อดี

4.) พระเกียรติของพระเจ้าแผ่นดินในประเทศไทยมีค่าสูงยิ่ง ไม่เข้าใจคนที่เสนอว่ามีความคิดอย่างไร แต่ควรมาถามผู้ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ด้วยว่าเขารู้สึกอย่างไร

ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีใครออกมาตอบคำถาม หรือจะมีใครออกมาบอกว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของปลอมหรือไม่อย่างไร ก็คงต้องติดตามดูต่อกัน


ที่มา:

https://www.facebook.com/100001143013119/posts/3516528241728575/

https://www.facebook.com/100001143013119/posts/3516528241728575/

รองหัวหน้าพรรคกล้า ‘พงศ์พรหม ยามะรัต’ สุดทน พฤติกรรม ‘เพนกวิน’ หลังพาพรรคพวกบุกสำนักงาน ‘สยามไบโอไซแอนซ์’ ระบุ เป็นพวก ขี้แพ้ - ขี้ขลาด ถ่วงความเจริญของชาติ ไร้ความคิด ชี้แค่หาเรื่องโจมตีสถาบันไปวัน ๆ

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ‘Pongprom Yamarat’ ถึงกรณีที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ พร้อมพรรคพวกกลุ่มราษฎร บุกอาคารศรีจุลทรัพย์ เกี่ยวกับ ‘สยามไบโอไซแอนซ์’ ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนผลิตวัคซีนโควิด-19 ว่า

ขออภัยหาโพสต์นี้รบกวนเวลาทำงานตอนเช้าที่แสนมีค่าของทุกคนนะครับ

ผมเห็นภาพคุณเพนกวินไปยืนด่า บ.สยามไบโอไซเอนซ์ แล้วรู้สึกว่านับวันคุณภาพตัวคุณเพนกวินตกต่ำมากกว่าที่ผมเข้าใจ

อยากจะฝากคุณเพนกวินว่าถ้าคุณรักประชาธิปไตยจริง อย่าเอาเวลาหายใจของคุณไปเสียกับการกุเรื่องด่าเจ้า

ในประเทศไทยมีแล็บ 3 แห่งที่ถูกส่งให้อังกฤษพิจารณา

แถมไทยก็ไม่ใช่ประเทศเดียว ประเทศอื่นในอาเซียนก็ส่ง แต่อังกฤษเลือกสยามไบโอไซเอนซ์เอง

ผมว่าเรื่องมันจบตั้งแต่ตรงนั้น แต่ไม่ใช่พยายามปั้นเรื่องเท็จ นี่ไปขนาดสาวกชังชาติเริ่มไปด่าอังกฤษเป็นสลิ่ม สมคบคิดกับเจ้าอะไรไปกันใหญ่ นี่จะลามไปเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว

พวกคุณใช้หัวอะไรคิดกันอยู่ ที่ผมมอง มันไม่ใช่หัวศีรษะแน่ ๆ

แทนที่คุณจะเอาเวลาไปเสียกับอะไรแบบนี้นะคุณเพนกวิน คุณควรจะเอาเวลาไปเห็นหัวประชาชนคนไทยให้มากกว่านี้หน่อยก็ดี

คุณเอาเวลาไปต่อว่า สส.พรรคก้าวไกลก็ได้ ไหน ๆ พวกคุณก็สนิทกัน ให้ สส.พรรคก้าวไกลเมื่อมาเป็น สส.เขตแล้ว ก็ไม่ใช่ให้ประชาชนในเขตคุณต้องหนีมาพึ่งสมาชิกพรรคกล้าแบบนี้

ทางเข้าชุมชนใหญ่แค่ให้หมาลอด

ฝนมา น้ำก็ท่วม

PM2.5 มา ก็ไม่มีหน้าไหนมาเยี่ยม มาช่วยให้ความรู้ มาดูแลคนแก่ และเด็กที่ป่วย

สส.พรรคก้าวไกลไปอยู่ไหนหมด เห็นหัวประชาชนบ้างมั้ย ไหนว่ามาทำเพื่อประชาชน?

พวกคุณเชื่อผม

อย่าเอาแต่เรื่องการเมืองมาเป็นประเด็นห้ำหั่นกัน

อย่ามัวแต่เสียเวลาไปกุเรื่องล้มเจ้า

ถ้าจะไปโจมตีการปฏิรูปการศึกษาที่ล้มเหลว โจมตีการปฏิรูปการเกษตรที่ล้มเหลว โจมตีโครงข่ายส่วยพนัน โครงข่ายค้าแรงงานเถื่อน คุณไปเลยครับ

ไอ้เ…หี้ยนี่แหละคือมะเร็งชาติ คุณเพนกวิน ผมสนับสนุนด้วย

แต่ไอ้เ…หี้ย นี่พวกคุณกำลังเผาอนาคตชาติอยู่

ประชาชนกำลังลำบาก คุณก็จะกลั่นแกล้งให้กระบวนการวัคซีนมีอุปสรรค

แทนที่จะมาร่วมติเพื่อก่อในประเด็นอีกมากมายที่ผมพูดไป

ผมถึงบอกว่าคุณตกต่ำกว่าที่ผมคิด ผมไม่เห็นคุณทำอะไรเพื่อประชาชน คุณก็แค่หาเรื่องด่าเจ้า ด่าคนที่คิดไม่ตรงกับคุณ และพวกคุณไปวันๆ

แปลว่ารักชาติก็ไม่ใช่ รักประชาชนก็ไม่ใช่ รักประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ กล้าขุดคุ้ยเครือข่ายพนัน ก็ไม่กล้าอีก

ตอนนี้คุณตกต่ำเหมือนพวกขี้ขลาด ขี้แพ้เลยครับ


ที่มา : เพจ Pongprom Yamarat ( https://www.facebook.com/pongprom.yamarat )


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top