Sunday, 5 May 2024
POLITICS NEWS

“เอ้ สุชัชวีร์” ระดมสมองร่วมชาวบ้านบางขุนเทียน แก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ  เชื่อ! กรุงเทพฯ แก้ได้ ด้วยหลักวิศวกรรม 

“เอ้ สุชัชวีร์” สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วย พร้อมด้วย นายสารัช ม่วงศิริ ผู้สมัคร ส.ก. เขตบางขุนเทียน และนายสากล ม่วงศิริ อดีต ส.ส. 4 สมัย พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันลงพื้นที่บริเวณชายทะเลบางขุนเทียน เพื่อรับฟังปัญหาของเขตบางขุนเทียน ซึ่งกำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากน้ำทะเลหนุนสูง และในอนาคตเมื่อปัญหาโลกร้อนหนักขึ้น ก็จะยิ่งทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น ปัจจุบันเขตบางขุนเทียนสูญเสียที่ดินจากการถูกน้ำทะเลกัดเซาะลึกเข้ามากว่า 2 กม. สร้างความเสียหายให้บ้านเรือนและที่ดินทำกินของพี่น้องประชาชน 

“เอ้ สุชัชวีร์” พบว่าปัจจุบันเขื่อนป้องกันน้ำทะเลหนุนของ กทม. มีลักษณะเป็นไม้ไผ่ซึ่งไม่ใช่วัสดุทำเขื่อนป้องกันทะเลได้ เพราะไม่มีความแข็งแรง เมื่อติดตั้งเพียง 1-2 ปี เจอแดดและความชื้นไม่นานก็เสื่อมสภาพ กลายเป็นขยะไหลเข้าไปในวังเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงหอยของชาวบ้าน 

ส่วนการไฟฟ้านครหลวงบริจาคเสาไฟฟ้าที่ไม่ใช้แล้ว มาปักเป็นแนวเขื่อนป้องกันทะเล แม้มีคุณภาพดีกว่าต้นไผ่ แต่ก็ยังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาได้ เพราะเสาไฟฟ้าจะเอียงตามสภาพของแรงคลื่นที่กระทบตลอดเวลา ถือเป็นการช่วยเหลือเพียงชั่วคราว รวมทั้งการปลูกป่าโกงกางเพื่อป้องกันการกัดเซาะของน้ำทะเลก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากน้ำทะเลซัดจนต้นโกงกางไม่สามารถหยั่งรากได้

ในต่างประเทศที่ประสบปัญหาน้ำทะเลหนุน อย่างญี่ปุ่น มาเลเซีย หรือยุโรป จะนิยมใช้วิธีถมด้วยหินเทียม จากการหล่อคอนกรีต มีลักษณะสามขา โดยไม่ใช้หินจริงที่ต้องระเบิดจากภูเขา ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งการถมด้วยหินเทียมมีข้อดีคือมีน้ำหนักมาก นอกจากนั้นจะมีช่องให้สัตว์น้ำสามารถเข้าไปวางไข่ได้ ไม่กระทบกับการทำประมงชายฝั่ง อีกทั้งปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการหล่อคอนกรีตที่บริษัทของไทยสามารถทำได้

'ราเมศ' ย้ำ 'ปชป' ไม่คิดฮั้วกับใคร ตัดสินใจตามสถานการณ์ความเหมาะสม

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีการเลือกตั้งซ่อมหลายเขตที่เกิดขึ้นว่า

พรรคดำเนินกิจกรรมทางการเมืองภายใต้กรอบของกฎหมาย ทุกการตัดสินใจเป็นไปตามสถานการณ์และความเหมาะสม การส่งหรือไม่ส่งผู้สมัคร ไม่มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยคำว่าพรรคการเมืองอื่นหรือปัจจัยคำว่าพรรคร่วมรัฐบาล แต่คำนึงถึงสาระสำคัญของความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ คณะกรรมการบริหารพรรคมีดุลยพินิจในการพิจารณาทุกคนและเมื่อตัดสินใจส่งผู้สมัครในเขตเลือกตั้งใดแล้วก็สู้กันอย่างเต็มที่ตามครรลองของระบบประชาธิปไตย 

‘อานนท์ นำภา’ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง ‘ทูตเยอรมัน’ ชี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรม-ใช้คุกเป็นเครื่องมือปิดปาก!

(27 ธ.ค. 64) เฟซบุ๊ก ‘อานนท์ นำภา’ โพสต์ข้อความระบุเป็น ‘จดหมายเปิดผนึกถึงเอกอัครราชทูตประจำประเทศเยอรมนี ฉบับที่1’ กล่าวถึง ชีวิตในเรือนจำของนักโทษการเมือง ระบุขอบคุณสถานทูตเยอรมันที่เฝ้าติดตามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย พร้อมชี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรม คุกกลายเป็นเครื่องมือในการปิดปาก โดยระบุว่า..

“จดหมายเปิดผนึก ถึงท่านเอกอัครราชทูตประจำประเทศเยอรมนี ฉบับที่1

กลางดึกคืนหนึ่งปลายปี ลมหนาวพัดเอื่อยๆผ่านลูกกรงเข้ามาทางห้องขังแดน 4 เพื่อนผู้ต้องขังหลายคนหลับไปแล้ว จะมีก็แต่เพนกวินที่นอนอ่านหนังสือเรียนของเขาอยู่ ส่วนหนังสือเตรียมสอบทนายของไผ่ ถูกเอามาพันผ้าห่มใช้แทนหมอนหลังจากเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ศาลไม่ให้เขาประกันตัวออกไปสอบตั๋วทนาย ซึ่งได้สอบกันไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา 

ชีวิตในเรือนจำของพวกเรานักโทษทางการเมือง ยังคงดำเนินต่อไป หลังจากมันดำเนินมาสักระยะหนึ่งตั้งแต่การลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมเมื่อกลางปีที่แล้ว คุกจึงกลายเป็นเครื่องมือในการปิดปาก ไม่ให้เรียกร้องหรือใฝ่ฝันถึงสังคมที่ดีงามอย่างที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม กระผมต้องขอขอบคุณทางสถานทูตเยอรมันที่ยังเฝ้าติดตามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยตลอดมา สัปดาห์ที่แล้วที่ผมขึ้นศาล ผมได้พบกับเจ้าหน้าที่ทูตของท่านและได้รับกำลังใจ รวมถึงความห่วงใยอย่างดียิ่ง นอกจากนี้ยังทราบว่าหลายประเทศในยุโรปยังคงติดตามสถานการณ์ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างใกล้ชิด

ในประเทศที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพ การจองจำนักศึกษา ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยก็จะมีให้เห็นอยู่เช่นนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองของไทย แทบไม่เคยมีการเปิดพื้นที่ให้การพูดคุย ผู้มีอำนาจจากอดีตถึงปัจจุบัน ก็ยังคงใช้ความรุนแรง ทั้งที่เป็นอาวุธและในนามของกฎหมาย ทำร้ายและทำลายพวกเราอย่างไร้มนุษยธรรม 

กระผมทราบว่าในประเทศของท่านได้ผ่านช่วงเวลาในประวัติศาสตร์อันเป็นบทเรียน ทำให้ประเทศของท่านเข้มแข็ง เรียนรู้ ต่อสู้กับผู้ปกครองที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จนเปลี่ยนผ่านมาสู่การเป็นประเทศที่เป็นเสาหลักด้านสิทธิมนุษยชนอย่างสง่างาม ทั้งยังให้ความสำคัญต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่บัญญัติไว้ในมาตราแรกของรัฐธรรมนูญแห่งเยอรมนี ซึ่งแตกต่างกับประเทศของกระผมที่แม้มีรัฐธรรมนูญ ให้สิทธิ เสรีภาพแต่ก็หาใช้ได้จริงไม่ เสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองถูกทำลายลงด้วยอาวุธปืน น้ำผสมสารพิษและกระบวนการทางศาล

กล่าวโดยเฉพาะ ภายหลังการลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเรา รัฐได้ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม จับกุมคนที่แสดงความเห็นโดยสุจริตจำนวนมาก ยัดข้อหาที่ไม่เป็นธรรม จนกระทั่งในขณะที่เขียนจดหมายถึงท่านอยู่นี้ กระผมกับเพื่อนๆก็ยังถูกขัง เพียงเพราะออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตย บางคนถูกฟ้องเพียงเพราะใส่เสื้อคร็อปท็อป แม้กระทั่งนักศึกษาที่เดินทางไปยื่นหนังสือที่สถานทูตของท่านก็ยังถูกฟ้องและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำหญิงแห่งหนึ่ง

ชะตากรรมของพวกเรา มิได้เกินความคาดหมาย เมื่อคำนึงถึงความโหดร้ายของชนชั้นปกครองในอดีต เพียงแต่อาจจะเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้างก็ตรงที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เห็นถึงความจริงใจที่พวกเราออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมาเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้น การพูดอย่างตรงไปตรงมาของพวกเรา ยังถูกมองเป็นความรุนแรง ขณะที่การใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมโดยรัฐถูกมองเป็นเรื่องปกติ 

ขณะเดียวกัน ศาลที่เคยให้ความยุติธรรมในอรรถคดีทุกเรื่อง พอมาถึงการบังคับใช้มาตรา 112 กลับเป็นข้อยกเว้นแห่งความยุติธรรม เป็นเสมือนหลุมดำที่บรรดาตุลาการมิอาจมีเรี่ยวแรงฝ่าข้ามไปได้

ลมหนาวอีกระลอกของคืนนี้พัดมาแล้ว เสียงกรนของเพื่อนๆยังคงขับกล่อมห้องขังอยู่ กระผมต้องจบจดหมายฉบับแรกเพียงเท่านี้และหากไม่เป็นการรบกวนท่านจนเกินไป กระผมหวังว่าท่านจะได้โปรดตอบจดหมายหรือเขียนมาบอกเล่าเรื่องราวของโลกภายนอกให้กระผมและเพื่อนๆฟังในเรือนจำ

ในโอกาสปีใหม่ที่ใกล้จะถึง กระผมขอส่งความสุข ความปรารถนาดีมายังท่านและฝากไปถึงพี่น้องชาวเยอรมันทุกคน หวังว่าท่านจะได้รับจดหมาย ตลอดจนพรปีใหม่นี้ 
พบกันใหม่ในฉบับหน้า

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
อานนท์ นำภา
แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ 
27 ธ.ค. 2021

“อนุชา” เผย ทุกวัดจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีได้ แต่ต้องยึดมาตรการสาธารณสุข เผยปีนี้ประชาชนร่วมสวดมนต์ออนไลน์ได้ 

ก่อนประชุม ครม.นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)กล่าวถึงการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ว่า อยากจะให้ทุกวัดได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เมื่อถามว่า ในส่วนของวัดในพื้นที่ กทม. ยังสามารถจัดได้หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า ในพื้นที่ กทม. สามารถจัดได้ตามปกติเป็นบางวัด ซึ่งมีทั้งมาทำกิจกรรมที่วัดและผ่านระบบออนไลน์ 

"สาธิต" ชี้ หลังปีใหม่ เลี่ยงเชื้อโอมิครอนยาก เชื่อ "เวิร์คฟรอมโฮม" ลดแพร่กระจายได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเตรียมแผนรับมือเทศกาลปีใหม่ ว่า คิดว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหว คงจะนำข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขมาหารือในที่ประชุมครม.วันนี้ โดยทางสธ.ได้จำลองฉากทัศน์และปัจจัยต่างๆที่จะเกิดขึ้น พร้อมขอความร่วมมือประชาชนที่จะปฏิบัติตามมาตรการเพื่อให้สถานการณ์เป็นไปตามฉากทัศน์ที่จำลองไว้ แม้เชื้อโอมิครอนจะมีอาการไม่รุนแรง เราก็พยายามไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่น เพราะหากติดเชื้อจะเข้าสู่กระบวนการกักตัว จึงอาจกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนในภาพรวมอยู่ดี หากช่วยกันทำให้ยอดติดเชื้อและผู้เสียชีวิตน้อยที่สุด ก็จะสามารถเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นเพื่อเปิดประเทศต่อได้

เมื่อถามว่าทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมมาตรการเวิร์คฟรอมโฮมไว้หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า ทาง สธ.ได้เสนอมาตรการเวิร์คฟอร์มโฮม โดยหลังวันที่ 4 มกราคม 2565 จะนำมาตรการมาประเมินอีกครั้ง ทั้งนี้ ช่วงเทศกาลปีใหม่คงหลีกเลี่ยงเชื้อโอมิครอนยากขึ้น และหากมีการรวมตัวและระบาดครั้งใหม่ การเวิร์คฟอรมโฮมจะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อได้ จึงต้องเฝ้าระวังไว้ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้เลย โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ อยากให้ทำงานที่บ้านให้มากที่สุด และหากเอกชนทำตามจะเป็นประโยชน์มาก 

เมื่อถามย้ำว่าหลังปีใหม่ให้หน่วยงานราชการเวิร์คฟรอมโฮมใช่หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า เป็นมาตรการที่ประกาศไปแล้วว่าขอความร่วมมือให้เวิร์คฟรอมโฮมมากที่สุดทั้งราชการและเอกชน และตัวอย่างที่ผ่านมาการรวมตัว เช่น การทานข้าวด้วยกันก็ทำให้เกิดแพร่ระบาดได้ ดังนั้น เราต้องป้องกันให้ดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้กำหนดระยะเวลา เวิร์คฟรอมโฮม หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า หลังปีใหม่ไม่เกิน 2 อาทิตย์เราก็จะทราบตัวเลขการติดเชื้อและพบฉากทัศน์ที่เกิดขึ้น แต่หากร่วมช่วยปฏิบัติตามมาตรการดี และตัวเลขไม่ก้าวกระโดดจะทำให้มาตรการต่างๆเบาลง

“สุวัจน์” บอกฉายานักการเมืองเป็นสีสัน  “คนสำคัญ” เท่านั้นถึงจะได้

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงการตั้งฉายานักการเมืองของสื่อมวลชน ว่า เป็นสีสันทางการเมืองของทุกปี และเป็นสีสันของระบอบประชาธิปไตยก่อนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ไม่ต้องไปซีเรียส โดยบุคคลที่ได้รับการตั้งฉายาถือว่าเป็นคนสำคัญ จึงได้รับการนึกถึงจากสื่อมวลชน

“สมัยผมก็เคยได้รับฉายาหอกข้างแคร่ กับสุวัจน์ 24 ชม. เพราะ ผมประชุมตลอดแล้วก็ แถลงการทำงานทันที ทำให้สื่อสะท้อนตรงนี้ออกมา” นายสุวัจน์ กล่าว

“อนุทิน” มองบวก “ฉายา ว้ากซีน” ดี ทำติดหูคนจะได้ฉีดวัคซีนเยอะ เผย หลังปีใหม่ แนะหน่วยงานเวิร์กฟรอมโฮม 7วัน -สลับคนมาทำงาน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)กรณีที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายา “ว้ากซีน”ว่า “ก็ดี จะได้เป็นคำติดหู คนจะได้มาฉีดวัคซีนกันเยอะๆ”

 “นายกฯ” พอใจ ส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่อง ก.พณ. เร่งส่งออกทุกรูปแบบ รองรับการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องทั่วโลก 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชื่นชมการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ขยายตัวได้ดีมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนพฤศจิกายน มีมูลค่า 23,647.9 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น  783,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.7% และดุลการค้าเดือนพฤศจิกายน เกินดุล 23,745 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของตัวเลขการส่งออก 11 เดือน มูลค่ารวม 246,243.2 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 7,731,391 ล้านบาท หรือประมาณ 7.73 ล้านล้านบาท เป็นบวก 11 เดือน 16.4 เปอร์เซ็นต์ โดยหมวดส่งออกสำคัญ 3 หมวด ประกอบด้วย หมวดสินค้าเกษตร หมวดสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม และหมวดอุตสาหกรรม ดังนี้

1.หมวดสินค้าเกษตร เพิ่มขึ้น 14.2 เปอร์เซ็นต์  เป็นบวก 13 เดือนต่อเนื่องติดต่อกัน มูลค่าเดือนพฤศจิกายน 68,462 ล้านบาททุเรียนสด เพิ่มขึ้น 138.9 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวดีมากในตลาดจีนและเกาหลีใต้ มะม่วงสด เพิ่มขึ้น 48.6 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวดีมากในตลาดมาเลเซีย เกาหลีใต้ เมียนมา ญี่ปุ่นและลาว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง บวก 13 เดือนต่อเนื่อง เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 48.6 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวดีมาก ในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้และมาเลเซีย ลำไยสด เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 24.7 เปอร์เซ็นต์ เป็นบวก 6 เดือนต่อเนื่อง ขยายตัวดีในตลาดจีน ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ยางพารา เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 23.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นบวก 14 เดือนต่อเนื่อง 

2.หมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ภาพรวมเพิ่มขึ้น 21.2% เดือนพฤศจิกายนขยายตัวเดือนที่ 9 ต่อเนื่อง สินค้าสำคัญเช่น น้ำตาลทราย เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 74 เปอร์เซ็นต์ ผลไม้แช่เย็นแช่แข็ง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เพิ่มขึ้น 34.5 เปอร์เซ็นต์ บวกเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และอาหารสัตว์เลี้ยง บวกเป็นเดือนที่ 27 โดยเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 25.9 เปอร์เซ็นต์

3.หมวดสินค้าอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 23.1 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือนติดต่อกัน ตัวอย่างเช่น สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ปิโตรเลียมเหลว เป็นต้น เพิ่มขึ้น 72.9 เปอร์เซ็นต์ เป็นบวก 10 เดือนต่อเนื่อง เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นบวก  12 เดือนต่อเนื่อง เดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 51.9 เปอร์เซ็นต์ อัญมณีและเครื่องประดับ เพิ่มขึ้น 24.9 เปอร์เซ็นต์เป็นบวกเดือนที่ 9 ติดต่อกัน แผงวงจรไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 26.7 เปอร์เซ็นต์ บวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ บวก 12 เดือนต่อเนื่อง  เพิ่มขึ้น 19.9 เปอร์เซ็นต์ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่มขึ้น 13 เดือนต่อเนื่อง เป็น เพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์

“แรมโบ้” ลั่น “นายกฯ” ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน และประเทศชาติ แม้เจอวิกฤติ รอบด้าน ก็ไม่เคยท้อ ซัด “เพื่อไทย” อย่าใช้โอกาสนำฉายารัฐบาล ที่สื่อตั้งให้มาเป็นประเด็นการเมืองโจมตีนายกฯ และรัฐบาล มั่นใจสื่อไม่อยากให้นำไปเป็นเครื่องมือใครทั้งสิ้น

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีน.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรคเพื่อไทย วิพากษ์วิจารณ์ฉายารัฐบาลสะท้อนภาพการทำงานที่ผ่านมาจริง ว่าการตั้งฉายารัฐบาล ถือเป็นธรรมเนียบปฏิบัติของสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลทุกปีอยู่แล้ว ซึ่งในสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาลยังถูกตัองฉายาเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้การตั้งฉายารัฐบาล ยื้อยุทธ์ ยังมีนัยยะที่ต้องยื้อ เพราะนายกฯเป็นคนที่ทำงานแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองและพัฒนาประเทศมาโดยตลอด แก้ไขปัญหาจนสถานการณ์คลี่คลายลงโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขณะเดียวกันได้แก้ไขปัญหาที่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยได้ก่อหนี้สร้างปัญหาเอาไว้จากโครงการทุจริตมากมายอีกด้วย 

“สื่อให้ฉายานายกฯ ชำรุดยุทธ์โทรม ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมองว่าบ้านเมืองชำรุดมามากมายนายกฯต้องทำงานอย่างหนักมาโดยตลอดในการแก้ไขปัญหา ไม่เคยคิดถึงเรื่องของตัวเอง คิดถึงแต่ชาติบ้านเมืองและประชาชน  ตนเองขอบคุณสื่อและประชาชนที่เข้าใจการทำงานของนายกฯว่าทุ่มเทตลอด ตั้งแต่เข้ามารับหน้าที่นี้ ไม่เคยท้อแท้แม้งานหนัก ส่วนเรื่องสุขภาพก็เป็นไปตามวัย แต่ยังแข็งแรงทุกอย่างทั้งร่างกายและจิตใจยังมีความพร้อมที่จะทำงานเพื่อประชาชนต่อไป”

การบริหารราชการแผ่นดินตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ถือได้ว่า เป็นผู้ที่รับบทหนักที่สุดแห่ง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาโควิด-19 การกระตุ้นเศรษฐกิจ การบริหารราชการ หรือแม้แต่เรื่องทางการเมือง ถูกโจมตีรอบด้าน นายกฯก็นิ่งอดทน มีสติไม่เคยคิดตอบโต้ เพื่อให้เกิดการเสียบรรยากาศ มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างอดทนไม่เคยย่อท้อ

นายเสกสกล ระบุว่า ต้องขอขอบคุณบรรดาพี่น้องสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ได้ตั้งฉายาให้กับ นายกรัฐมนตรี  ซึ่งบรรดาสื่อคงทราบดีว่า ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาล และ นายกฯ นั้นเจอกับสถานการณ์ที่ไม่ปกตินัก ตั้งแต่เรื่องของปัญหาการเมืองในประเทศไทย ที่มีกลุ่มการเมืองต้องการเอาชนะกันทางการเมือง จนลืมประชาชน ลืมประเทศ เล่นการเมือง จนทำให้ประเทศชาติเสียหาย จนกระทั่งมาเจอกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่ง ทุกประเทศทั่วโลกก็เจอกันหมดและรุนแรงเหมือนกันทั้งโลก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องนำพารัฐบาล ภายใต้สถานการณ์ ที่ยากลำบากยิ่ง แต่ตัวนายก ก็ไม่เคยหยุดที่จะคิด ทำ เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชน และประเทศชาติ จนตอนนี้วิกฤติดังกล่าวนั้นค่อย ๆ คลี่คลาย ทำให้ประเทศได้รับการยกย่องให้ เป็นอันดับ 5 ของโลก ที่มีความมั่นคงด้านสุขภาพ  

ในขณะที่วิกฤติที่ถูกซ้ำเติม ตามมาก็คือวิกฤติเศรษฐกิจ ตั้งแต่ภาคครัวเรือนไปจนถึงภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเรื่องนี้นายกฯ ก็ตระหนักดี จึงได้มีโครงการต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบต่างก็ได้ รับการช่วยเหลือ เยียวยา ดูแลอย่างทั่วถึง จนทำให้ ต่างประเทศจัดให้ประเทศไทย ติดอันดับ 1 ตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุนที่สุด (1st in Bloomberg’s Emerging) ในปี 2564 โดย Bloomberg Study  สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้ชัดว่ารัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ นั้นคิดทำ เพื่อประชาชน และประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง 

นายเสกสกล กล่าวต่อว่า นอกจากปัญหาโควิด-19 และ เศรษฐกิจแล้ว สิ่งที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาเช่นกันคือสถานการณ์ การเมืองในประเทศไทย ที่มีกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กระทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศเกิดปัญหา  สอดรับ สอดคล้องกับการเมืองในสภา ของฝ่ายค้าน ที่ไม่เคยเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาให้กับประชาชน แต่มุ่ง โจมตี ทำลายรัฐบาล อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจากสถานต่าง ๆ ตลอดปี 2564

เจ็บๆ คันๆ ฟังแล้วจี๊ด!! ‘ยื้อยุทธ์’ คือ ฉายารัฐบาล ปี 64 

สื่อมวลชน ประจำทำเนียบรัฐบาล ตั้ง ‘ฉายารัฐบาล’ ปี 64 ‘ยื้อยุทธ์’ ด้าน นายกฯ ‘ชำรุดยุทธ์โทรม’ ประวิตร ‘รองช้ำ’ อนุทิน ‘ว้ากซีน’ จุรินทร์ ‘นายกฯ บางโพล’ วาทะแห่งปี ‘นะจ๊ะ’

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 64 ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งฉายารัฐบาล และ รัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา ในการสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติ ได้มีมติตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2564 ร่วมกันดังนี้ 

ฉายารัฐบาล : ‘ยื้อยุทธ์’ 
ภาพของรัฐบาล ที่ยื้อแย่งกันเองทั้งในส่วนของอำนาจ และ ตำแหน่ง โดยไม่สนใจประชาชน และการเดินหน้าประเทศ ถูกมองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม และมองการดำรงอยู่ของพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล จะเป็นประโยชน์มากกว่า จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อยื้อให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อไป ไม่ว่าจะมีการชุมนุมขับไล่ไสส่งอย่างไร ใครไม่อยู่ แต่พล.อ.ประยุทธ์อยู่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา : ‘ชำรุดยุทธ์โทรม’
การบริหารราชการแผ่นดินตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ถือได้ว่า เป็นผู้ที่รับบทหนักที่สุดแห่งปี ถูกมองว่าล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาโควิด-19 การกระตุ้นเศรษฐกิจ การบริหารราชการ หรือแม้แต่เรื่องทางการเมือง ถูกโจมตีรอบด้าน แม้พล.อ.ประยุทธ์ จะยังอยู่ในตำแหน่งได้ แต่ก็ทรุดโทรม เสื่อมสภาพไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ  

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ : ‘รองช้ำ’ 
ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา พี่ใหญ่ในตระกูล 3 ป. อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีประสบกับเรื่องช้ำๆ เจ็บซ้ำๆ มาโดยตลอด หลายสถานการณ์ต้องตกเป็นรอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องการเมือง โดยเฉพาะปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่เกิดความแตกแยกอย่างหนัก สะเทือนถึงพี่น้องอีก 2 ป. สั่นคลอน ‘3 ป. Forever’ ซ้ายก็น้องรัก ขวาก็ลูกน้องที่รัก หักใจเลือกใครไม่ได้ สุดท้ายต้องยอมแบกความเจ็บช้ำไว้คนเดียว 

อนุทิน ชาญวีรกูล : ‘ว้ากซีน’
ล้อมาจากคำว่า ‘วัคซีน’ ภาพที่ผู้คนชกต่อยยื้อแย่งวัคซีน บุคลากรทางการแพทย์ ดาหน้าออกมาเรียกร้องวัคซีนชนิด mRNA ผู้คนว้าก โวย เหวี่ยง ตำหนิการจัดหาและให้บริการวัคซีน ที่ถูกเลื่อนไม่มีกำหนด เพราะวัคซีนไม่มาตามนัด ไม่ว่านายอนุทิน จะชี้แจงอย่างไร กระแสตอบรับโดยเฉพาะใน Social Media ไม่มีคำว่ารักษาน้ำใจ หรือ เห็นถึงความพยายามในการแก้ปัญหาภาวะวิกฤต จนนายอนุทิน ต้องออกโต้ตอบอย่างดุเดือด ผ่านสื่อและโซเชียลทุกครั้งที่มีโอกาส

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ : ‘นายกฯ บางโพล’
แม้ปีนี้ยังไม่เข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง แต่หัวหน้าพรรคการเมืองหลายพรรค แสดงความพร้อมประกาศตัวเป็นนายกรัฐมนตรี หนึ่งในนั้น คือนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีผลสำรวจความคิดเห็น หรือ โพล บางสำนักเท่านั้น ที่ต้องการให้นายจุรินทร์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป เปรียบได้กับการเป็นนายกรัฐมนตรีแค่บางโพล ไม่ใช่ทุกโพล

สุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ : ‘มหาเฉื่อย 4D’ (อ่านว่าโฟร์ดี)
ตลอดการดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ยังแสดงฝีมือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ไม่เด่นชัด เช่น ปัญหาราคาน้ำมันแพง จนสมาคมรถบรรทุกออกมาประท้วงและหยุดวิ่งประชาชนกลายเป็นประชาชน เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แม้จะผุดโปรเจกต์ต่างๆ ก็ถูกมองเป็นนโยบายขายฝัน ด้วยเอกลักษณ์ เดินถือแก้วกาแฟชิลๆ มอบนโยบายเหมือนบรรยายธรรม โดยเฉพาะนโยบาย 4D ท่องจนเป็นคาถาติดปาก จึงได้รับฉายานี้ไป

สุชาติ ชมกลิ่น : ‘สุชาติ ชมเก่ง’
เกือบทุกครั้งในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เมื่อพูดถึงนโยบายของรัฐบาล หรือ งานในความรับผิดชอบ นายสุชาติมักจะขึ้นต้นประโยค ด้วยการชื่นชมพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคของตนเองจะถูกยกยอปอปั้นอยู่เสมอ แถมยังติดสอยห้อยตามการลงพื้นที่ต่างๆ อีกทั้งยังเป็นรัฐมนตรีหนึ่งเดียว ที่ขันอาสาออกหน้ารับคำท้า ขึ้นชกมวยคาดเชือกกับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ แทนนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาท้าว่า ใครแพ้ลาออก และ หากไม่รับคำท้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top