Sunday, 5 May 2024
POLITICS NEWS

“ชวน”คาด ปี 65 กม.เข้าสภามากขึ้น แนะ รมต.เข้าสภาฟังอภิปราย – ตอบกระทู้ เชื่อเป็นประโยชน์ปชช. ชี้เรื่องที่กมธ.พิจารณาแล้วไม่ผ่าน เท่ากับไม่มีผลงาน ปัด ประเมินอายุรัฐบาลอยู่ครบเทอมหรือไม่ แต่สภาไม่เป็นอุปสรรคให้ฝ่ายบริหาร

ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติในปี65 ว่าช่วงที่ผ่านมากฎหมายของฝ่ายบริหารทุกฉบับผ่านไปได้ด้วยดี ในส่วนที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ส่วนใหญ่เป็นญัตติทั่วไปประมาณ 200 ญัตติ และคิดว่าปี 65 จะมีกฎหมายใหม่ๆเข้ามามากขึ้น ส่วนเรื่องที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาเสร็จแล้ว ถือเป็นผลงานของทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาล ซึ่งเรื่องเหล่านี้ควรจะผ่านการพิจารณา ถ้าไม่ผ่านเท่ากับผลงานไม่ออกมาเลย 

นายชวน กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่มีปัญหาบ้าง และแนะนำเป็นการภายใน เป็นเรื่องของการตั้งกระทู้ถาม ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสภาฯก็ไม่มีตัวอย่างในการตั้งกระทู้ ทำให้มีการตั้งกระทู้ลักษณะขัดต่อข้อบังคับ เพราะการตั้งกระทู้ไม่ใช่ลักษณะของการอภิปราย แต่เป็นการตั้งคำถามเพื่อต้องการคำตอบ ที่ผ่านมามีสมาชิกส่วนหนึ่งไม่เข้าใจ แต่การตั้งกระทู้ถามตรวจสอบฝ่ายบริหารในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิม เดิมเป็นกระทู้ถามทั่วไป แต่ตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ และข้อบังคับ ให้มีกระทู้ถามสดด้วยวาจา

ซึ่งรัฐมนตรีไม่มีโอกาสทราบคำถามล่วงหน้า เพราะเป็นเรื่องด่วน เรื่องที่ประชาชนสนใจ และกระทบผลประโยชน์ของประเทศ และยังมีกระทู้ถามแยกเฉพาะ ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะที่ เฉพาะเรื่อง รวมทั้งยังมีกระทู้ทั่วไป ที่เป็นเรื่องในอดีตที่เคยทำมา ซึ่งสมาชิกมีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบฝ่ายบริหารด้วยการใช้กระทู้เพิ่มขึ้นใน 2 ระบบ ทั้งนี้ เรื่องกระทู้ต่างๆ ถือเป็นวาระที่รัฐมนตรีจะต้องเตรียมตัว ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติจะทำหน้าที่ตรวจสอบ และสอบถามข้อมูล

ประธานรัฐสภา กล่าวด้วยว่า ในภาวะวิกฤตโควิด – 19 ที่ผ่านมา ส.ส.ถือว่าเป็นส่วนที่ช่วยได้มาก ตนขอชื่นชมทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน จากการลงพื้นที่ด้วยตนเอง จึงได้เห็นการช่วยเหลือจากทั้งส่วนรวม และส่วนตัว จากนั้น ได้นำปัญหาเข้ามาหารือในที่ประชุมสภาฯ ดังนั้นแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนช่วงวิกฤตโควิด – 19 ส.ส.ถือเป็นกลุ่มแรกที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนมากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่ชาวบ้านร้องเรียนมาที่ตน ประมาณ 1 พันกว่าเรื่องในรอบปีที่ผ่านมา

ซึ่งสมัยก่อนไม่มีคนร้องทุกข์มากขนาดนี้ แสดงว่าประชาชนหวังให้สภาฯเป็นที่พึ่งในหลายเรื่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มการประชุมในปี 65 จะมีการนัดประชุมชดเชยวันหยุดช่วงปีใหม่ โดยนัดประชุมนัดพิเศษวันที่ 14 ม.ค.และ 28 ม.ค.65 และในวันพุธ พฤหัสบดี ของการประชุมสภาฯ จะเพิ่มเวลาการประชุมขึ้นอีกประมาณ 2 ชม. ซึ่งคาดว่าในปี 65 จะพิจารณาเรื่องที่ค้างอยู่ทั้งหมดให้แล้วเสร็จได้ ขณะที่ การประชุมรัฐสภา มีเรื่องที่ค้างอยู่ 3 เรื่อง โดยจะมีการหารือเพื่อกำหนดวันประชุมร่วมรัฐสภาต่อไป 

เมื่อถามว่า มองว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปี 65 จะเป็นอย่างไร เพราะยังมีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นพอสมควร นายชวน กล่าวว่า ในส่วนของสภาฯส่วนตัวคิดว่าความคิดเห็นทางการเมืองที่ขัดแย้งกันนั้นยังคงมีอยู่ แต่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูการทำงาน เชื่อว่าระบบนี้ยังสามารถเดินไปได้ปกติ ไม่น่าจะมีอะไรเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน การปฏิบัติภารกิจของนักการเมืองก็อยู่ในสายตาของประชาชนมากขึ้น ใครที่สร้างปัญหา ประชาชนจับตาดูอยู่ ซึ่งในสมัยนี้ก็ปฏิเสธยาก เพราะมีการสื่อสารในหลายรูปแบบ แต่ถึงจะมีความขัดแย้งไม่พอใจเรื่องใดก็ตาม ก็ควรต้องอยู่ในกรอบที่สามารถควบคุมได้ 

เมื่อถามว่า ประเมินแล้วรัฐบาลจะสามารถอยู่จนครบวาระหรือไม่ ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ส่วนตัวไม่สามารถประเมินฝ่ายบริหารได้ แต่ในส่วนของสภาฯคิดว่าไม่น่าจะเป็นอุปสรรคในการทำงานของฝ่ายบริหาร และฝ่ายอื่น ๆ และเชื่อว่าในระบบนี้ เราสามารถที่จะผ่านการปฏิบัติภารกิจของแต่ละฝ่ายไปได้ด้วยดี ตนได้ย้ำเตือนทุกครั้ง เมื่อพบฝ่ายบริหารก็ได้ย้ำว่าถึงอย่างไรก็ต้องมาตอบกระทู้ของสภาฯ และเมื่อมีการเสนอญัตติในสภาฯ ฝ่ายรัฐบาลต้องมาชี้แจงต่อสภาฯ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ และโอกาสที่จะได้ชี้แจงข้อมูลความจริงที่มีการตั้งประเด็น หากฝ่ายบริหารไม่ตอบสภาฯ ประชาชนก็ไม่รู้ข้อมูล “อย่างน้อยรัฐมนตรีควรเข้ามานั่งฟัง จะได้รู้ว่าเขากล่าวหาอย่างไร และใช้สิทธิชี้แจงว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่จริง” นายชวน กล่าว

“ชัชชาติ” วิ่งไหว้พระ9วัด รับปีใหม่ เพื่อสิริมงคล พร้อม ดูปัญหาเมืองกทม. ฟุตบาท กันสาด ทางข้าม คนไร้บ้าน

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หนึ่งในว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ทำกิจกรรมวิ่งไหว้พระ 9 วัดในกรุงเทพฯ เป็นระยะทางประมาณ 12.5 กิโลเมตร เพื่อเป็นสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่ 2565  โดยได้ถือโอกาสดูเมืองเส้นทางท่องเที่ยว ทางเดินเท้า ถนน บริเวณรอบเมืองชั้นใน โดยเริ่มจากวัดเทพศิรินทร์ฯ วัดสระเกศฯ วัดเทพธิดารามฯ วัดราชนัดดารามฯ วัดบวรนิเวศฯ วัดชนะสงครามฯ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) วัดราชบพิธฯและวัดสุทัศน์ฯ

นายชัชชาติ กล่าวว่า วันนี้ได้มาวิ่งกับกลุ่มนักวิ่งที่วิ่งด้วยกันอยู่ประจำ โดยส่วนใหญ่พวกเราก็จะวิ่งตอนเช้าและที่มาวิ่งในวันที่ 1 มกราคมหรือปีใหม่ก็เพื่อศิริมงคลและไหว้พระ 9 วัด ส่วนทำไมต้องวิ่ง 9 วัดนั้นเพราะเป็นความเชื่อ แต่จริงๆจะกี่วัดก็ได้ทั้งนี้การมาวิางวันนี้สนุกมากและมีประโยชน์แฝงอยู่หลายอย่าง ทั้งเรื่องสุขภาพและการได้เห็นเมือง อย่างที่วันนี้ได้วิ่งเข้ามาในกรุงเทพฯชั้นในได้เห็นปัญหาหลายอย่างทั้งเรื่องถนน ฟุตบาท คนไร้บ้าน ซึ่งในเขตพระนครมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก และตนคิดว่าปีนี้เป็นที่เศรษฐกิจจะลำบาก เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับมาตนเห็นว่าเรามีแหล่งวัฒนธรรมที่มีคุณค่าในกรุงเทพฯแล้วเราจะทำอย่างไรให้คนในประเทศท่องเที่ยวกันมากขึ้น แม้จะทดแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็จะทำให้เศรษฐกิจกระตุ้นขึ้น คนกรุงเทพฯออกไปเที่ยวต่างจังหวัดคนต่างจังหวัดมาเที่ยวในกรุงเทพฯ

อย่างวันนี้ที่ตนได้วิ่ง 9 วัดก็ได้รู้ว่าแต่ละวัดมีประวัติศาสตร์ซ่อนอยู่และเป็นเสน่ห์ คนที่อยู่ต่างจังหวัดตอนนี้โรงแรมกรุงเทพฯว่างมหาศาลสามารถหาโอกาสเข้ามาเที่ยวได้ โดยการท่องเที่ยวก็ไม่ได้มีราคาแพงมาก มาดูประวัติศาสตร์ในกรุงเทพฯ และคนกรุงเทพฯมีเวลาก็ออกไปเที่ยวต่างจังหวัด อย่างน้อยก็จะช่วยเรื่องเศรษฐกิจเพราะตนเชื่อว่าปีนี้เรื่องเศรษฐกิจจะหนักมาก เรื่องสุขภาพเป็นเทรนของคนกรุงเทพฯและคนทั้งประเทศที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น และเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเพราะไม่ควรรอให้เป็นโรคถึงมารักษาออกกำลังกายทุกวันให้แข็งแรง ส่วนเศรษฐกิจก็ช่วยกันประคับประคองไป อย่างวิ่งวันนี้ก็ได้ประโยชน์หลายอย่างทั้งสุขภาพและดูเมืองดูปัญหาเศรษฐกิจดูการกระตุ้นและการใช้จ่ายของประชาชน 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากที่ได้มาวิ่งพบปัญหาใดชัดเจนบ้าง นายชัชชาติ กล่าวว่า เรื่องฟุตบาทกับทางข้ามนั้นชัดเจน อย่างพวกตนที่เป็นนักวิ่งจะมีปัญหาเรื่องทางข้ามถนนเยอะเพราะทางข้ามบางทีไม่มีจุดว่าเมื่อไหร่จะให้คนข้ามก็ต้องวัดใจกันว่าตกลงไฟเขียวหรือไฟแดงฉะนั้นตนคิดว่าทางแยกทางข้ามทุกจุดควรจะมีจังหวะให้คนข้ามและมีสัญญาณบอกให้ชัดเจน ส่วนเรื่องฟุตบาท คือ ฟุตบาทไม่เรียบและยังมีกันสาดที่มาเกะกะทางเดินคนยิ่งถ้าเป็นคนแก่หรือผู้พิการก็จะใช้ทางได้ยาก โดยพวกเราก็ได้รวบรวมข้อมูลและดูว่าจุดไหนต้องเร่งดำเนินการก่อน 

“บิ๊กตู่”มอบการกีฬาแห่งประเทศไทยเร่งประสาน WADA ปลดล็อคบทลงโทษไทย หลัง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา มีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่ 30 ธ.ค. 64

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 64  ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ. 2555 พ.ศ. 2564 แล้ว หลังจากที่ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมา แสดงถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาข้อกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ขององค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (World Anti-Doping Agency) หรือ WADA ทั้งนี้ พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬาฯ มีผลใช้บังคับนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. 64 เป็นต้นไป 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทยเร่งประสานไปยัง WADA เพื่อชี้แจ้งว่าประเทศไทยได้แก้ไขปัญหาข้อกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อให้ WADA ได้ปลดล็อคมาตรการต่างๆที่ดำเนินลงโทษกับประเทศไทย ทั้งในส่วนการไม่ให้ตัดสิทธิประเทศไทยในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬา รวมถึง การปลดล็อคเรื่องการชักธงชาติไทยในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ และในเรื่องอื่นๆ ต่อไป

ห้าวันดับรวม 263 ราย เจ็บ 2 พันกว่าราย ศปถ.เข้มถนนสายหลักหลัง ปชช.แห่เข้ากรุง

ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี (ศปถ.) กล่าวว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 2 ม.ค.ซึ่งเป็นวันที่ห้าของการรณรงค์ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เกิดอุบัติเหตุ 307 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 34 ราย ผู้บาดเจ็บ 311 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ  34.85 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 29.32 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่

รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 81.02 รองลงมา คือ รถปิกอัพ/กระบะ ร้อยละ 8.14 อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 83.40 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 41.69 ถนนใน อบต./หมู่บ้านร้อยละ 32.57 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 18.01 – 21.00 น. ร้อยละ 21.82 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด อยู่ในช่วงอายุ 40 – 49 ปี ร้อยละ 15.97 ทั้งนี้ ได้จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,903 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 66,014 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 436,162 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 91,720 ราย มีความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 26,860 ราย ไม่มีใบขับขี่ 23,639 ราย 

นายบุญธรรม กล่าวต่อว่า โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ตรัง (12 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และอุดรธานี (จังหวัดละ 3 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี (15 คน)  จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 53 จังหวัด ในส่วนของสรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 5 วันของการรณรงค์ (29 ธ.ค.64 – 2 ม.ค.65) เกิดอุบัติเหตุรวม 2,221 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 263 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 2,198 คน จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดได้แก่ เชียงใหม่ (82 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (17 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (78 คน) 

นายบุญธรรม กล่าวอีกว่า วันนี้เป็นวันหยุดสุดท้ายของเทศกาลปีใหม่ คาดว่าจะมีปริมาณรถหนาแน่นตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะเส้นทางหลักจากภูมิภาคต่าง ๆ ที่มุ่งเข้าสู่กรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ ศปถ.ได้ประสานจังหวัดเพิ่มความเข้มข้นการดูแลความปลอดภัยบนเส้นทางสายหลัก สายรองเชื่อมต่อระหว่างอำเภอ/จังหวัด รวมถึงทางลัดทางเลี่ยง เพิ่มความถี่ในการการเรียกตรวจ โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะทั้งประจำทางและไม่ประจำทาง รถกระบะที่บรรทุกผู้โดยสารท้ายกระบะ เน้นการกวดขันพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนของผู้ขับขี่ ทั้งขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ และไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง ในส่วนของการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ให้ประสานการเปิดช่องทางพิเศษและจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง ทั้งนี้ ได้กำชับให้ทุกจังหวัดประสานการปฏิบัติและเชื่อมโยงการทำงานระหว่างพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับของประชาชน 

“กรณ์ - อรรถวิชช์” ลงพื้นที่ตลาดบางเขน-ตลาดอมรพันธ์ รับฟังปัญหาปากท้อง แนะก.พาณิชย์ ควบคุมราคาสินค้าพุ่ง กังวลอำนาจเงิน แทรกแซงเลือกตั้ง ขอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรณรงค์อย่าซื้อสิทธิ์ขายเสียง อ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า , นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เลือกตั้งซ่อม หลักสี่-จตุจักร พร้อมทีมงานพรรคกล้า ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนและรับฟังปัญหาที่ตลาดบางเขน ตลาดอมรพันธ์ โดยพ่อค้าแม่ค้าให้ความสนใจทักทายให้กำลังใจอย่างเป็นกันเอง พร้อมสะท้อนปัญหาสินค้าราคาแพง โดยเฉพาเนื้อหมูที่ราคาพุ่งสูงมากในช่วงนี้

นายกรณ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจปากท้องเป็นเรื่องท้าทาย สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมีภาระหน้าที่สำคัญในการแก้ปัญหาปากท้อง และต้องดูว่าเป็นเรื่องกลไกการตลาด หรือการบริหารจัดการ มีอะไรที่สามารถทำให้ราคาสินค้าลดลงได้ พร้อมเสนอไปยังกระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแล ซึ่งต้องดูว่าไม่มีใครเอารัดเอาเปรียบ อ้างกลไกตลาดในการปรับขึ้นราคาสินค้า 

ขณะที่นายอรรถวิชช์ ยืนยันถึงการลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ ว่าตั้งใจกลับมาทำงานสานต่อพัฒนาสาธารณูปโภคย่อยๆ ในซอย ทางลัด ระบบระบายน้ำสายย่อย ไฟฟ้าส่องสว่าง ซึ่งมีความทรุดโทรมไปมาก ก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง ก็พยายามไปพบปะพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด และในบรรดาผู้สมัครทุกคน เชื่อว่าตนมีความผูกพันกับเขตนี้มากที่สุด ทั้งหลักสี่-จตุจักร เดินพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2548 ช่วงโควิดก็มีการตั้งศูนย์กล้าอาสา ช่วยคนหาเตียง 7,000 คน ตั้งศูนย์พักคอย 36 ศูนย์ จุดที่เป็นเซ็นเตอร์ อยู่เขตเลือกตั้งนี้ 

“ผมทำงานทุกวัน เจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาก็ทักทาย มั่นใจว่าเราจะนำชัยชนะมาได้ แม้ว่าพรรคกล้าจะเป็นพรรคใหม่ แต่เกณฑ์ชี้วัดครั้งนี้ ต้องถามพี่น้องประชาชนว่า การเมืองคุณภาพ การเมืองสร้างสรรค์  เกิดได้ไหมในกรุงเทพมหานคร มั่นใจว่าวิธีการคิดโครงสร้างหลักของชาติ ศาสตร์ กษัตริย์เป็นเรื่องสำคัญ แต่เป้าหมายของชาติในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจ การเป็นมืออาชีพในด้านนี้ อยากเห็นประเทศดีขึ้น” 

ส่วนข้อเสนอการแก้ไขกฎหมายลูก ที่มีข้อเสนอใน 2 แนวทาง คือการใช้เบอร์เดียวกันทั่วประเทศกับหนึ่งเขตหนึ่งเบอร์ นายกรณ์ กล่าวว่าขอให้ยึดหลักประชาชนเป็นที่ตั้ง หากแต่ละพรรคมีเบอร์เดียวกันหมดจะง่ายที่สุด ประชาชนไม่สับสน และในอดีตเมื่อปี 48 ก็ใช้บัตร 2 ใบ  เบอร์เดียวทั่วประเทศ พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า พรรคกล้าส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมทั้ง 3 เขต คือ กทม. ชุมพร และสงขลา ยอมรับว่าต่างจังหวัดมีอิทธิพลเรื่องเงินอย่างมหาศาล ทำให้อดกังวลไม่ได้ว่าการใช้เงินจำนวนมาก โดยไม่มีใครสามารถเอาผิดกับใครได้ เป็นการบิดเบือนเจตนารมย์ ความตั้งใจ และความต้องการตามระบอบประชาธิปไตยของพี่น้องประชาชน คนดีเข้ามาทำงานการเมืองยากขึ้น ฝากถึงผู้มีอำนาจ ขอให้ใส่ใจในเรื่องนี้ ลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน พบว่าซื้อสิทธิ์ขายเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ สมัยก่อน 50-100 บาท เดี๋ยวนี้ 2,000-3,000 บาท ที่ผ่านมาพบเยอะมาก ขอให้สื่อลงไปพูดคุยกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จะทราบข้อเท็จจริง ว่ามีการใช้เงินมากขึ้น และโจ่งแจ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่ ยังไม่มีใครมีมาตรการลงไปปราบปรามแก้ไข 

ครม.อนุมัติกรอบวงเงิน 6.78 พันล้าน จัดงานมหกรรมพืชสวนโลกอุดรธานี พ.ศ.2569 และนครราชสีมา พ.ศ.2572 พร้อมยื่นประมูลเป็นเจ้าภาพ 7 ม.ค.นี้

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติกรอบวงเงินจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดอุดรธานี พ.ศ.2569 วงเงิน 2,500 ล้านบาท และจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ.2572 วงเงินงบ 4,281 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 6,781 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาด้านพืชสวนของไทย 2)กระตุ้นเศรษฐกิจด้านธุรกิจการนำเข้า – ส่งออกผลผลิตการเกษตรและธุรกิจท่องเที่ยว 3)ส่งเสริมการต่อยอดการวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการเกษตร ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีกำหนดยื่นประมูลสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดอุดรธานี พ.ศ.2569 ในวันที่ 7 มกราคม 2565 และจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ.2572 ในช่วงเดือนมีนาคม 2565 สำหรับรายละเอียดการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกในพื้นที่ทั้ง 2 จังหวัด มีดังนี้

1.งานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดอุดรธานี พ.ศ.2569 (ระดับ B) วงเงิน 2,500 ล้านบาท กำหนดสถานที่จัดงานเป็นบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ตำบลกุดสระ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี รวม 1,030 ไร่ ตั้งเป้าหมายมีผู้เข้าชมงาน 3.6 ล้านคน เป็นชาวต่างชาติร้อยละ 30 ตลอดระยะเวลาจัดงาน 134 วัน (ระหว่างวันที่ 1 พ.ย. 2569 - 14 มี.ค. 2570) และมีประเทศเข้าร่วมงาน 20 ประเทศ สำหรับประเภทงานระดับ B หรือ International Horticultural Exhibition จะต้องใช้พื้นที่จัดแสดง 250,000 ตารางเมตร มีระยะเวลาจัดงาน 3-6 เดือน มีผู้เข้าร่วมงานจากต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 10 ประเทศ 

2.งานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ.2572 (ระดับ A1) วงเงินงบ 4,281 ล้านบาท กำหนดสถานที่จัดงานเป็นบริเวณพื้นที่ป่าสาธารณประโยชน์โคกหนองรังกา ตำบลเทพาลัย อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา รวม 678 ไร่ ตั้งเป้าหมายมีผู้เข้าชมงาน 2.6 ล้านคน เป็นชาวต่างชาติร้อยละ 15 ตลอดระยะเวลาจัดงาน 110 วัน (ระหว่างวันที่ 10 พ.ย. 2572 - 28 ก.พ. 2573) และมีประเทศเข้าร่วมงาน 30 ประเทศ สำหรับประเภทงานระดับ A1 หรือ World Horticultural Exposition จะต้องใช้พื้นที่จัดแสดง 500,000 ตารางเมตร มีระยะเวลาจัดงาน 3 - 6 เดือน มีผู้เข้าร่วมงานจากต่างประเทศ ไม่ต่ำกว่า 10 ประเทศ

เฮ แรงงานประกันสังคมได้รับบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้น 

น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเป็นการเฉพาะในช่วงที่มีการลดอัตราเงินสมทบ เพื่อกำหนดอัตราการจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนในช่วงที่มีการลดอัตราเงินสมทบ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 31 มี.ค. 2564 

ทั้งนี้กำหนดให้การจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่ผู้ประกันตน ซึ่งออกเงินสมทบเข้ากองทุนในช่วงเวลาที่มีการลดอัตราเงินสมทบตั้งแต่วันที่ 1-31 ม.ค. 2564 ให้คำนวณจากอัตราเงินสมทบเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.45ของค่าจ้าง และกำหนดให้การจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่ผู้ประกันตน ซึ่งออกเงินสมทบเข้ากองทุนในช่วงเวลาที่มีการลดอัตราเงินสมทบตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. -31 มี.ค. 2564 ให้คำนวณจากอัตราเงินสมทบเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 1.3 ของค่าจ้าง

ครม. เห็นชอบ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566  จำนวน 3,185,000 ล้านบาท มอบหมาย หน่วยงานดำเนินการตามข้อสั่งการนายกฯ สร้างกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เร่งติดตามการขับเคลื่อนมาตรการของรัฐบาล

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 3,185,000 ล้านบาท และ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1)เห็นชอบกรอบวงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,185,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 85,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.74 ประกอบด้วยประมาณการรายจ่าย ดังต่อไปนี้ (1)รายจ่ายประจำ จำนวน 2,390,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 16,990.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.72 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.04 ของวงเงินงบประมาณ (2)รายจ่ายลงทุน จำนวน 695,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 83,066.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.57 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.82 ของวงเงินงบประมาณ (3)รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้จำนวน 100,000 ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.14ของวงเงินงบประมาณ

2) รายได้สุทธิจำนวน 2,490,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 90,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.75 

3) งบประมาณขาดดุล จำนวน 695,000 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จำนวน 5,000 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.71 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.89 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ทั้งนี้วงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,185,000 ล้านบาท ดังกล่าว เท่ากับกรอบวงเงิน ตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2566 – 2569) ที่ครม. ได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2564 สำหรับงบประมาณรายจ่ายลงทุนและงบประมาณรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้มีสัดส่วนอยู่ภายในกรอบที่กำหนด ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

ครม.อนุมัติกรอบวงเงิน 4,180 ล้านบาทให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo ณ จังหวัดภูเก็ต ภายใต้ชื่องาน EXPO 2028 – Phuket, Thailand

น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณจำนวน 4,180 ล้านบาท ให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงาน Specialised Expo ณ จังหวัดภูเก็ต ภายใต้ชื่องาน EXPO 2028 – Phuket, Thailand โดยครม.เคยมีมติเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 อนุมัติในหลักการให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน EXPO 2028 – Phuket, Thailand และนายอนุทิน  ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในหนังสือเสนอตัวเป็นเจ้าภาพเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564

“ราเมศ” เผย เลือกตั้งซ่อมชุมพร-สงขลา ปชช.ตอบรับดีมาก มั่นใจประชาชนเข้าคูหาเลือกผู้สมัครปชป.อย่างแน่นอน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งประสานงานส่วนกลาง กล่าวถึงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.ชุมพร และเขตเลือกตั้งที่ 6 จ.สงขลา ว่าจากการรณรงค์หาเสียงของผู้สมัครและพรรค ที่ได้นำเสนอทั้งแนวนโยบายพรรคและคุณสมบัติของผู้สมัครที่มีความพร้อมทั้งความรู้ความสามารถและที่สำคัญพร้อมทำงานให้กับ ประชาชนได้ทันที  โดยในเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.ชุมพร นายอิสระพงษ์ มากอำไพ ผู้สมัครของพรรคฯ เป็นคนรุ่นใหม่ที่ได้คลุกคลีทำงานในพื้นที่กับชาวบ้านมาโดยตลอด มีความรู้ความสามารถหากได้รับการเลือกตั้งสามารถเข้ามาทำหน้าที่ในสภา ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนตามนโยบายพรรคได้ทันที

เชื่อว่าปัญหาของประชาชนในพื้นที่จะนำไปแก้ปัญหาผ่านสภาฯอย่างมีประสิทธิภาพ และจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะมาสานต่อการทำหน้าที่ของนายชุมพล จุลใส อดีต ส.ส.ชุมพร ได้เป็นอย่างดี ซึ่งในพื้นที่ประชาชนเป็นจำนวนมากต้องการคืนความเป็นธรรมให้กับนายชุมพล ที่ถูกเพิกถอนสิทธิจากการไปต่อสู้เพื่อความถูกต้องให้กับประเทศ โดยการเลือกผู้สมัครของพรรค


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top