Tuesday, 6 May 2025
POLITICS NEWS

‘ทักษิณ’ หาเสียงวันที่ 2 เหน็บต่อ ปชน. จากพูดเก่งเป็นด่าเก่ง ฟุ้งรถไฟฟ้าใต้ดินแก้รถติดเชียงใหม่ - อ้อนขอคืน สส.ให้ พท. ทั้ง 10 เขต

(24 ธ.ค. 67) ‘ทักษิณ’ ยาหอมปีหน้าม่วนแน่ จบหมดทุกปัญหาทั้งยาเสพติด-หนี้สิน-คอลเซ็นเตอร์-เอา ศก.ใต้ดินขึ้นมาบนดิน ขู่ ผู้การ-ผู้กำกับ-ผู้ว่าฯ-นายอำเภอ แก้ยาเสพติด ก็ให้จูงมือกันเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ ชู เชียงใหม่เป็นมรดกโลก ยัน รัฐบาลอยู่ครบเทอม แซะ ‘ปชน.’ อู้เก่งแต่เดี๋ยวนี้ด่าเก่ง

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 24 ธ.ค. 2567 ที่ตลาดภูสุวรรณ ต.มะขามหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยช่วย นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ ส.ว.ก๊อง ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ เบอร์ 2 หาเสียงเป็นวันที่ 2 โดยมีประชาชนจาก อ.สันป่าตอง หางดง แม่วาง ดอยหล่อ และจอมทองมาร่วมฟังกันปราศรัยกว่า 5,000 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทักษิณมาถึงได้เดินลงจากรถบริเวณทางเข้าก่อนถึงเวทีปราศรัยเพื่อเดินทักทายประชาชนที่มารอฟังการปราศรัย โดยวันนี้นายทักษิณได้สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเขียว กางเกงยีนส์ และสวมแว่นตาดำ

ก่อนจะขึ้นปราศรัยด้วยการอู้กำเมืองว่า กลับมาบ้านแล้วรู้สึกม่วนอกม่วนใจขนาด หายไปนานแก่ไปหรือไม่ ปีนี้ 75 ย่าง 76 ปีแล้ว เวลาผ่านไปไว ตั้งใจอยากให้ จ.เชียงใหม่ เจริญรุ่งเรือง การทำมาหากินลำบาก แต่เป็นห่วงพี่น้องที่มาแต่เช้า ตอนนี้รัฐบาลกำลังสร้างกระบวนการแก้หนี้ลดหนี้ โดยให้สมาคมธนาคารมาช่วย ครั้งที่แล้วเขตสันป่าตอง สส.เป็นพรรคไหน พรรคก้าวไกล (ก.ก.) หรือไม่ ใครไม่เลือกพรรค พท.บ้าง และใครเลือก พท.คราวที่แล้ว

“พรรคประชาชนเป็นพรรคก้าวไกลเก่า เขาอู้เก่ง เดี๋ยวนี้เขาเริ่มด่าเก่ง ผมพยายามจะหัดด่า แต่ว่ายังบ่จ้างเตื่อ พี่น้องคราวที่แล้ว เลือกตั้งนายก อบจ. ผมเขียนจดหมายน้อยมา เพราะอยู่เมืองนอก พี่น้องเลือกนายกก๊องได้คะแนนสี่แสนปลาย วันนี้ผมมาด้วยตัวเอง มาขอถึงที่ หวังว่าพี่น้องจะให้สัก 6 แสนเน้อ ผมกลับมาเมืองไทยแล้ว นายกก๊องต้องทำงานหนัก เพราะต้องช่วยกันให้บ้านเราดีขึ้น ร่วมกับรัฐบาล โดยเฉพาะซอฟต์พาวเวอร์ที่จะทำให้คนไทยหมดหนี้หมดสิน ผมจะมาเชียงใหม่บ่อยหน่อย แต่ถ้านายกก๊องไม่ชนะ ส.ส.เหลือน้อย ผมมาเชียงใหม่ก็อายเหมือนกัน ฉะนั้น อย่าให้ผมอายนะ ครั้งนี้เอาให้ชนะขาดๆ ผมจะได้มาบ่อยๆ มาดูว่าที่ไหนเดือดร้อนบ้าง จะได้ช่วยกันเต็มที่ พี่น้องอย่าลืมกัน วันนี้มาแล้ว ผมอายุมากแล้ว เหลือเวลาแค่ 40 ปี ตั้งความหวังไว้ก่อน ทำตัวให้แข็งแรงจะได้มีเวลาดูแลพี่น้อง กลับมาแล้วก็อยากทำให้คนไทยมีเงินใช้ทุกคน” นายทักษิณกล่าว

นายทักษิณกล่าวต่อว่า ตอนนี้เชียงใหม่ไม่ค่อยงามเหมือนเมื่อก่อน เพราะมีควันมาแล้วออกยาก แต่รัฐบาลก็พยายามหามาตรการต่างๆ และตนก็พยายามคิดว่าจะทำอย่างไรให้ PM2.5 หายไป จัดการฝุ่นไวๆ เพราะอยากเห็นเชียงใหม่งามเหมือนเก่า วันก่อนมีคนมาเล่าให้ฟังว่ารถไฟฟ้าในเมืองก็จะทำใต้ดินส่วนหนึ่ง และนอกเมืองจะทำเป็นบนดินเพื่อทำให้เชียงใหม่รถติดน้อยลง รวมถึงจะผลักดันให้ จ.เชียงใหม่เป็นมรดกโลก โดยเอาวัด 6-7 แห่งรวมถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดพระธาตุจอมทอง เราจะเอาทั้งหมดเข้าเป็นมรดกโลก

นายทักษิณกล่าวอีกว่า ตอนตนอายุ 20 ปี พ่อสมัคร ส.ส. ตอนนั่งรถจี๊ปไปช่วยหาเสียง มาสันป่าตอง และเคยมาหาพระอาจารย์ทองที่มรณภาพไปแล้ว เคยมาออบหลวง แล้ววันนี้มาก็เห็นความเจริญมีบ้าน มีร้านค้ามากขึ้น แต่เศรษฐกิจโดยรวมก็ยังไม่ค่อยดี ปีนี้เศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งใครอายุเกิน 60 ปี ไม่กี่วันเงินหมื่นบาทจะมาแล้ว หลังจากนี้ก็รอระบบให้เสร็จ คนหนุ่มคนสาวก็จะได้ เมื่อระบบใช้ได้ ก็จะใช้ได้ทุกคน เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลเคยพูดไว้ พี่น้องอยากได้ยินอะไรก่อนระหว่างแก้หนี้กับยาเสพติด แสดงว่ายาเสพติดที่นี่หนัก แต่แสดงว่าคนสันป่าตองเป็นหนี้น้อย มีเงินหมดแล้ว ยาเสพติดเป็นปัญหาหนักสุดของประเทศ ตั้งแต่ปราบไปครั้งที่แล้ว หลังจากที่ตนถูกรัฐประหารทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม พ่อค้าทั้งหลายก็กลับไปสนับสนุนกระบวนการ แต่วันนี้อย่าแหลมมาก็แล้วกัน

นายทักษิณกล่าวต่อว่า ตนไปอีสาน บอกคนอีสานว่า หากใครไปเจอพ่อค้ายา ให้บอกพ่อค้ายาว่าทักษิณกลับมาแล้ว ทักษิณเกลียดพ่อค้ายา ดังนั้นให้เลิกค้ายา ถ้าไม่เลิกค้ายาก็ตัวใครตัวมัน หากพี่น้องไปเจอก็ให้บอกมันด้วยว่าทักษิณกลับมาเป็น ส.ท.ร.แล้ว ฉะนั้น อยากเสือกเรื่องแรกคือยาเสพติด จึงขอให้เลิกเสีย ไม่เช่นนั้นตัวใครตัวมัน เดี๋ยวต่อไปจะมีระบบแจ้งเตือนพ่อค้ายาไปที่ผู้การ ผู้กำกับ ผู้ว่าฯ และนายอำเภอ หากไม่ดำเนินการตามที่ได้รับแจ้งก็จูงมือกันย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ เรื่องนี้หากทำไม่ได้ก็ต้องมีใครสักคนที่ต้องไป ซึ่งเรื่องปราบยาเสพติดในปี 2568 จะเป็นไฮไลต์ใหญ่ของรัฐบาล ควบคู่ไปกับการแก้เรื่องหนี้สินของประชาชน

“เชียงใหม่จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ หากนายก อบจ.ชื่อก๊องได้รับการเลือกตั้งอีกครั้ง รวมถึงได้รับมอบหมายภารกิจจากรัฐบาล ที่พรรคเพื่อไทยต้องมาสนใจเรื่อง อบจ. เพราะต้องการมือไม้ที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลในการดูแลประชาชนถึงที่ เพราะ ส.ส.เราไม่ได้รับเลือก หาก อบจ.ยังแพ้อีก แสดงว่าพี่น้องเชียงใหม่บอกว่าทักษิณไม่ต้องมาแล้ว ไปไกลๆ ไป แต่หากได้รับเลือกก็จะมาบ่อยอย่ารำคาญขี้หน้ากันเน้อ นายกก๊องอยู่กับผมมานาน ผมอยู่เมืองนอกเขาก็แวะมาหาผมเป็นประจำ ไปปรึกษากันเป็นประจำ เป็นคนที่ผมไว้ใจใช้งาน จึงอยากขอให้พี่น้องชาวเชียงใหม่ให้ความไว้วางใจ ใช้งานก๊องต่ออีกสมัย ถ้าทำงานช้าผมจะหวด” นายทักษิณกล่าว

นายทักษิณกล่าวต่อว่า เดี๋ยวนี้มีข่าวสองประเภท ข่าวหนึ่งคือข่าวการเมือง ข่าวมีน้อยแต่ขยายจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต และขยันเอาพวกที่เป็นขาประจำตัวมาสัมภาษณ์ ให้มันออกมาด่าตนเพื่อที่จะได้เป็นข่าวและได้รับความสนใจ บังเอิญว่าตนอายุมากแล้วหูตึง เวลามันด่าตนไม่ค่อยได้ยิน แต่รู้ว่ามันด่าว่าอะไรจึงสวนไปบ้าง เมื่อแก่แล้วนิสัยก็เปลี่ยน ใจเย็นขึ้นแต่ว่าใครแรงมาก็แรงไป

“คิงเล่นฮา ฮาก็จะเล่นคิง และเดี๋ยวนี้ฮาไม่หมูนะ คิงอย่ามาเล่นกะฮานะ รำคาญโคตรพ่อโคตรแม่ อะไรนักหนา” นายทักษิณกล่าว

นายทักษิณกล่าวด้วยว่า ข่าวอีกประเภทหนึ่งคือข่าวอาชญากรรม ตอนตนไม่สบายนอนอยู่โรงพยาบาล เห็นข่าวเรื่องยาเสพติด กลุ้มใจที่สุดเพราะบางครั้งคนติดยาทุบตีพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย จึงถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องทุกข์ของคนไทย ตอนตนปราบยาหลายคนเข้ามาขอบคุณตน และบอกว่าดีใจที่ได้ลูกคืน วันนี้กลับมาเที่ยวนี้ตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะคืนลูกหลานให้พี่น้องเพื่อที่เขากลับไปจะได้เป็นคนดีของสังคม

นายทักษิณกล่าวอีกว่า ปีหน้าเป็นปีที่จะเอาลูกคืนพี่น้อง ทำหนี้สินให้เบาลงและพัฒนาคน เอาซอฟต์พาวเวอร์มาทำเงิน รวมถึงที่อยู่อาศัย เอาที่หลวงมาทำเป็นสัญญาเช่า 99 ปี สร้างบ้านให้ประชาชน ผ่อนเดือนละประมาณ 4,000 บาท ไม่ต้องมีเงินดาวน์ ส้วมเป็นไฟฟ้าไม่ต้องล้างก้นเอง เอามือไปเล่นคอมพิวเตอร์ ต่อไปงบประมาณจะไปลงที่มหาวิทยาลัยหนักเพื่อที่จะพัฒนาคน ตนจะต้องทำให้คนไทยอยู่อย่างมีความหวัง เพราะหากไม่มีความหวังก็จะไปเล่นยากันหมด

นายทักษิณกล่าวอีกว่า ถ้าไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ ตนเคยมีหนี้ เช็คเด้ง ต่อสู้มา จึงเอาเช็คใส่กรอบไว้ให้ลูก เขาจะได้รู้ถึงความลำบากเป็นบทเรียนที่ดีเอาไว้สอนลูกสอนหลาน ไม่มีใครไปประสบความสำเร็จโดยไม่ผ่านความยากลำบาก ในชาติเดียวกันนี้ตนเห็นทั้งนรกและสวรรค์ ทุกข์สุขคืออะไร จากนี้อยากให้คนไทยหมดปัญหา นี่คือสิ่งที่ตั้งใจไว้

“มีเวลาช่วยลูกสาวสองปีปลาย ไม่ต้องห่วง เรื่องยุบสภาลิ้นกับฟันเป็นเรื่องธรรมดา ยังไงก็อยู่ครบเทอม มีเสถียรภาพเช่นนี้จะยุบสภาทำไม ใครจะออกมาเห่าหอนก็ปล่อยเขา เราทำงานอย่างเดียว ได้ยินเสียงนกเสียงกาพี่น้องก็หูทวนลมอย่าไปสนใจ สนใจแค่รัฐบาลจะทำให้พี่น้องพ้นทุกข์อย่างไร เขากำลังทำการบ้านปรับโครงสร้างภาษี ให้คนไทยทุกคน ถึงแม้มีรายได้ไม่ถึงที่จะเสียภาษีก็ต้องกรอกการเสียภาษี หากรายได้ต่ำก็จะเก็บนำภาษีที่เก็บจากคนที่เสียภาษีมาช่วย เป็นเงินทุนหนุนจากรัฐบาลแทน” นายทักษิณกล่าว

นายทักษิณกล่าวต่อว่า ตนกำลังบอกกับทางพม่าและเขมรให้จัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบัญชีม้า หากจัดการไม่ได้ ตนขออนุญาตส่งคนไปจัดการ นอกจากนี้ ตนยังพูดกับกะเหรี่ยงเคเอ็นยู แล้วบอกไปทางพม่าแล้วว่าให้ช่วยจัดการหมู่ที่อยู่แถวเมียวดี หากไม่มีกำลัง เดี๋ยวตนจะเอากำลังไปจัดการ ภายในปีหน้าคอลเซ็นเตอร์จะต้องจัดการให้เกลี้ยง เศรษฐกิจใต้ดินจะเอาขึ้นมาบนดิน ต้องทำให้ถูกต้อง เพราะเศรษฐกิจใต้ดินมีขนาดใหญ่มาก เงินเยอะมาก แต่ไม่เสียภาษีสักบาท จึงทำให้เกิดช่องทางที่เป็นปัญหา จึงต้องนำเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมา

“ปีหน้าม่วนแน่นอน รับรองว่าอะไรที่ทุกข์มานานจะจัดการให้หมด แต่ผมเป็นคนมีจุดอ่อน เพราะเป็นคนที่ต้องการกำลังใจ หวังว่าพี่น้องชาวเชียงใหม่จะให้กำลังใจผม โดยเลือกนายกก๊องให้กลับมาอีกรอบ เพราะเป็นสัญญาณว่าครั้งหน้าพี่น้องชาวเชียงใหม่ ก็จะคืน ส.ส.ให้พรรคเพื่อไทยทั้ง 10 เขต ซึ่งก็จะมีกำลังใจกลับมา เราทุกข์ด้วยกัน เราก็ต้องสุขด้วยกัน เราทุกข์ด้วยกันมาแล้ว ต่อไปนี้เราก็จะสุขด้วยกัน พี่น้องให้ ส.ส. 2 คน ทำให้ผมน้อยอกน้อยใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้หายแล้ว เพราะตอนนี้พี่น้องกำลังจะคืนกำลังใจให้ โดยการเลือกนายกก๊อง และ ส.จ.ทุกคนเข้ามา เพื่อวางพื้นฐานที่จะคืน ส.ส.ให้ผม แล้ววันนั้นเราจะมีความสุขด้วยกัน ขอให้พี่น้องอย่าลืมผม ผมกลับมาแล้ว ผมมาขอเอง ได้หรือไม่ ขอให้เลือกเบอร์สองและ ส.จ.ทุกคนให้เต็มที่ รวมถึงขอให้กลับไปบอกเพื่อนๆ ว่าใช้ทักษิณดีกว่า เพราะมีลูกเป็นนายกฯ” นายทักษิณกล่าว

นายทักษิณกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ เพื่อนตนสมัยที่อยู่พรรคไทยรักไทย เขาบอกตนว่านายกรัฐมนตรีก็คือคนเดิมแค่ผมยาว เพราะนายกรัฐมนตรีที่เป็นลูกสาวเขาหน้าเหมือนตน รับรองได้เลยว่าสไตล์การทำงานก็จะเหมือนกัน เพราะเป็นดีเอ็นเอที่ก๊อบปี้กันมา และนายกรัฐมนตรีก็ช่วยตนมาตั้งแต่เขาอายุแปดปี ตั้งแต่พรรคพลังธรรมที่ไปช่วยตนหาเสียง ฉะนั้น นายกรัฐมนตรีก็รู้เรื่องการเมืองและเข้าใจดี ได้เรียนรู้เรื่องการบริหารมาทั้งหมด คิดว่าวันนี้นายกรัฐมนตรีเป็นวัยรุ่นที่รู้เรื่องการเมือง และอาจจะรู้ดีกว่าตนด้วย ย้ำว่าขอให้ช่วยกันเลือกเบอร์สอง เลือก ส.จ.ให้ตน แล้วตนจะกลับมาใหม่เพื่อจะกลับมาแก้ไขปัญหาให้ชาวเชียงใหม่มีกินมีใช้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายทักษิณลงจากเวทีแล้วได้เดินทักทายประชาชนและเซ็นชื่อลงบนธงคนเสื้อแดงขนาดใหญ่
 

‘กิตติรัตน์’ โพสต์ครั้งแรก หลังไม่ผ่านคุณสมบัติ ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ ยันได้อาสาแล้ว - ไร้เรื่องติดค้าง

เมื่อวันที่ (24 ธ.ค. 67) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแจ้งว่า ไม่ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า “ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมไม่มีอะไรค้างคาใจ ผมได้อาสาทำงานให้ประเทศแล้ว ไม่เคยขลาดกลัว หนีหายเอาตัวรอด

กราบขอบพระคุณท่านปลัดกระทรวงการคลังที่เชื่อว่า ผมจะทำหน้าที่ประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดี จนเสนอชื่อเข้าสู่การคัดเลือก และกราบขอบพระคุณกรรมการคัดเลือก เสียงข้างมากที่มีมติคัดเลือกผม เพื่อนำสู่การพิจารณาของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ส่วนการพิจารณาใดๆ จากขั้นตอนดังกล่าวย่อมเป็นสิทธิและหน้าที่ของผู้พิจารณา ผมเคารพการตัดสินใจครับ”

‘ดร.สุวินัย‘ ซัดนโยบายเศรษฐกิจ พท. ไร้ประสิทธิภาพ สวยหรูแค่ใช้หาเสียงสุดท้ายทำไม่ได้จริง ทั้งค่าแรงขั้นต่ำ - เงินดิจิทัล

วันที่ (24 ธ.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ นโยบายเศรษฐกิจของเพื่อไทยที่ล้มเหลว

นอกจากกรณี 30 บาทรักษาทุกโรคที่กำลังจะ“ฆ่า” ระบบสาธารณสุขไทยแล้ว

การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท/วัน หรือ การแจกเงินหมื่น ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของความล้มเหลวด้านนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองที่ชูนโยบายประชานิยม

เพราะได้แต่ “ชู” แต่ทำจริงแล้ว “เหี่ยว”!!

นโยบายแจกเงินหมื่นอย่างถ้วนหน้าสำหรับคน 52 ล้านคนก็เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปแล้วว่า “เหี่ยว” ไปต่อไม่ได้

การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท/วันก็เช่นกัน คณะกรรมการไตรภาคีที่รับผิดชอบขึ้นค่าจ้างก็ปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเพียง 400 บาทสำหรับบางจังหวัดเท่านั้น 

ไม่ได้ถ้วนหน้าและไม่ได้ทุกคน แม้แต่ตัวแทนฝั่งลูกจ้างก็ยังยอมรับมตินี้

ทำไมนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยที่ใช้หาเสียงจึงล้มเหลวเละเทะไม่เป็นท่าเช่นนี้?

คำตอบง่าย ๆ และตรงไปตรงมาที่สุดก็คือ มันเอาไว้ใช้ “ชู” เพื่อหาเสียงเท่านั้น โดยที่มันผิดธรรมชาติ ขัดกับความเป็นจริง และไม่เป็นไปตามหลักวิชาการที่สมควรในทางเศรษฐศาสตร์

นโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ กลายเป็นเรื่องนโยบาย(บีบบังคับคนอื่นให้) เพิ่มรายได้ โดยที่คนบังคับไม่ได้ช่วยออกเงินเลยแม้แต่บาทเดียว!!

พรรคเพื่อไทยมี “ดอกเตอร์” เต็มพรรคมิใช่หรือ แถมยังอวดฉลาดทั้งพรรคก็ว่าได้  แต่จะซื่อสัตย์กับสัมมาอาชีวะของตนเองหรือฉลาดจริงไม่นั้น คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ทฤษฎีมันว่าไว้ว่า การจ้างงานและค่าจ้างมันสัมพันธ์กับมูลค่าผลิตผลที่แรงงานทำ หากยังล้างชามได้เท่าเดิมแต่จะบังคับให้นายจ้างขึ้นค่าจ้าง ถ้าไม่มีทางเลือกแบบนี้นายจ้างก็จะลดคน แล้วแบบนี้มันจะสำเร็จไปได้อย่างไร? 

ที่ฝั่งนายจ้างและเสียงข้างมากในคณะกรรมการไตรภาคีเขาค้านก็ถูกต้องแล้ว

เพราะเขาไม่อยากลดคน มีแต่ฝั่งนักการเมืองนี้แหละที่เข้าไป “ชู” ในประเด็นที่ทำไม่ได้เอามาหาเสียง ทั้งที่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าทำไม่ได้

ส่วนนโยบายแจกเงินหมื่น คงไม่ต้องพูดให้มากความอีกแล้ว เพราะมันล้มเหลว และผิดกับที่หาเสียงตั้งแต่ต้น 

จะแจกเงินหมื่นเป็นเงินดิจิตอลก็ทำไม่ได้ 
จะแจกเป็นเงินกระดาษก็หาแหล่งเงินมาไม่ได้ 

ถ้าคิดว่านโยบายนี้มันดีทำไมไม่กล้าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 15% เพื่อมาใช้ทำนโยบายนี้เล่า ? 

ในที่สุดพรรคเพื่อไทยก็ต้องมากลืนน้ำลายที่ถ่มรดฟ้าชโลมเลียนโยบายนี้ให้มันลื่นไหลต่อไปได้ด้วยน้ำลายตนเอง 

นโยบายแจกเงินหมื่นแบบดิจิตอลในความเป็นจริงจึงกลายเป็น เรื่องแจกเป็นเงินกระดาษ แจกได้เฉพาะกลุ่ม แจกแบบไม่มีเงื่อนไข 

ลมพายุที่อ้างคำโตจึงเป็นได้เพียง “ลมผาย” ใต้ก้นเท่านั้น

เหตุก็เพราะพรรคเพื่อไทยมองแต่เพียงสัดส่วนการบริโภคต่อ GDP ที่มีสูงถึงกว่าร้อยละ 60 

ถ้า “ฝันเฟื่อง” คิดแต่ว่าถ้าเพิ่มรายได้จากเดิมได้อีกร้อยละ 10-15 ...การบริโภค/GDP ก็จะเพิ่ม GDPได้อีกร้อยละ 6-10 

แต่หารู้ไม่ว่าการจะไปเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการบริโภคนี้ มันทำไม่ได้โดยง่ายด้วยการเพิ่มรายได้แต่เพียงลำพัง 

การบริโภคมิได้ขึ้นอยู่กับ GDP หรือรายได้ในปัจจุบันแต่เพียงลำพัง หากแต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นอีกมาก เช่น รายได้ในอนาคตหรือรายได้ที่แท้จริง (ที่คาดว่าจะได้รับตลอดช่วงอายุการทำงาน) ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจบริโภคมากว่ารายได้ปัจจุบันเสียอีก 

ดังนั้นพฤติกรรมการบริโภคจึงไม่เพิ่มจากการเพิ่มเงินหมื่นนี้ในปัจจุบันเพราะผู้บริโภค(ที่มีเหตุผล-rationale) ย่อมคาดการณ์ว่าในอนาคตรัฐจะต้องเก็บภาษีเพิ่มจากการเพิ่มเงินหมื่นนี้แน่ตอน 

ในขณะที่การเพิ่มรายได้แบบหลอกตัวเองด้วยการบังคับขึ้นค่าจ้างจึงไม่ส่งผลอะไรต่อรายได้ที่จะนำมาบริโภคด้วยเช่นกัน 

เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีดอก

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนเสียภาษีต้องออกมาเรียกร้อง “ไม่ยื่นแบบ ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง” เพื่อแก้ไขนโยบายประชานิยมแบบ "ล้างผลาญภาษี" ที่ต้นตอ 

เพื่อไม่ให้นักการเมืองใช้นโยบายประชานิยมมาหาเสียงเข้าสภา 

เอา “ยาพิษ” มาหลอกขายเป็น “ยาวิเศษ” กับประชาชนที่รู้ไม่เท่าทันเหมือนเช่นที่ พ่อ-ลูก คู่หนึ่งกำลังทำกับประเทศในขณะนี้ 

โฆษกรัฐบาลชี้ช่วยหนุนการค้า - ลงทุน คาดปี 68 โอกาสทองดันสินค้าไทยโกอินเตอร์

(24 ธ.ค. 67) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 ธันวาคม 2567 ได้รับทราบว่าประเทศไทยได้รับการตอบรับให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ รวมถึงสมาชิกใหม่อีก 5 ประเทศ ได้แก่ อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เอธิโอเปีย ซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน  

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เสนอให้ ครม. รับทราบถึงการที่ไทยได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมเป็น "ประเทศหุ้นส่วน" (BRICS Partner Country) ตามมติของการประชุมผู้นำ BRICS ครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2567 ณ เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย  

การเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนในกลุ่ม BRICS จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการเงินระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน รวมถึงเพิ่มบทบาทของไทยในเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศ  

กระทรวงการต่างประเทศระบุว่าการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ยังช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งของระบบพหุภาคี (multilateral system) และเปิดโอกาสให้ไทยสามารถเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบในอนาคต  

หลังการตอบรับเข้าร่วม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยต้องเตรียมความพร้อมในการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของ BRICS เช่น การเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีในสาขาต่างๆ และการสนับสนุนเอกสารผลลัพธ์จากการประชุมผู้นำ รวมถึงการตั้งงบประมาณเพื่อรองรับการมีส่วนร่วมในการประชุมเหล่านี้  

คาดว่าในปี 2568 สินค้าไทยภายใต้แบรนด์ "Made in Thailand" จะมีโอกาสขยายตลาดในระดับโลกมากขึ้น ด้วยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นจากกลุ่ม BRICS ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและสร้างความคึกคักให้กับการค้าระหว่างประเทศ

'สุริยะ' ยันมีหลักฐาน เขากระโดง 5 พันไร่เป็นที่รถไฟ ลั่น ปัญหาทุกอย่างจบได้ถ้าทุกฝ่ายยึดกฎหมาย

‘สุริยะ’ ลั่น เขากระโดงจบได้ถ้าทุกฝ่ายยึดกฎหมาย เข้าใจ ‘ทรงศักดิ์’ ห่วงคนในพื้นที่ บอกห่วงประชาชนเหมือนกัน ชี้ หากรฟท. ได้ที่กลับจะแก้ปัญหาถาวรให้เช่าถูก ยันมีหลักฐาน 5 พันไร่เป็นที่รถไฟ

(24 ธ.ค. 67) เมื่อเวลา 09.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีข้อพิพาทเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ หลังจากนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นำคณะลงพื้นที่ และมีการพูดถึงว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก้าวล่วงสิทธิ์ประชาชนในพื้นที่ ว่า เรื่องนี้อยากจะทำความชัดเจน ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 6 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลฎีกา ตัดสินว่าที่บริเวณเขากระโดงนั้นเป็นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ส่วนตัวเข้าใจนายทรงศักดิ์ที่ห่วงใยประชาชนซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่อย่างไรก็แล้วแต่เมื่อมีคำพิพากษาทางการรถไฟฯจะต้องทำตาม ถ้าไม่ทำตามเจ้าหน้าที่รถไฟอาจจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ 

ส่วนหลังจากนำที่กลับมาให้การรถไฟฯแล้ว จะดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้น นายสุริยะ กล่าวว่า เราสามารถเยียวยาประชาชนในพื้นที่ได้ โดยอาจจะคิดค่าเช่าในราคาที่ค่อนข้างถูก ซึ่งก็จะมีการแก้ปัญหาที่ถาวรต่อไป ส่วนข้อห่วงใยที่เป็นที่ตั้งของหน่วยราชการต่างๆ 12 แห่ง เช่น ศาลากลางจังหวัด อบจ.จังหวัดนั้น เรื่องเหล่านี้ เราสามารถตรวจสอบก่อน ถ้าเป็นที่ของการรถไฟฯก็สามารถตกลงให้เช่าได้ เช่น กรณีที่ดินรัชดาที่มีศาลอาญาและกรมอัยการก็มาขอเช่า ทางการรถไฟฯก็ให้เช่า ซึ่งเป็นเรื่องที่เราก็ห่วงใยประชาชนเหมือนนายทรงศักดิ์

เมื่อถามว่า 2 กระทรวงต้องมาคุยกันหรือไม่เพราะพูดกันคนละภาษา นายสุริยะกล่าวว่า ตนได้ชี้แจงไปแล้วว่าที่ทั้งหมดเป็นของการรถไฟฯ ส่วนที่นายทรงศักดิ์ห่วงใยประชาชนตนบอกว่าต้องทำตามกระบวนการ

เมื่อถามว่า ในพื้นที่บอกว่าการรถไฟฯไม่มีหลักฐานยืนยัน 5,000 ไร่ถ้ามีให้ไปฟ้องรายแปลง นายสุริยะ กล่าวว่า ทางศาลฎีกาสูงสุดตัดสินเรียบร้อยแล้ว ว่าที่ 5,000 กว่าไร่เป็นที่ของการรถไฟฯ โดยทางกรมที่ดินก็พยายามที่จะพูดถึงเรื่องของกฤษฎีกา การรถไฟฯชี้แจงชัดเจนว่าตั้งแต่กรมรถไฟ 2462 มีการชี้แจงในพื้นที่ตั้งแต่อุบลราชธานีจนถึงนครราชสีมาซึ่งมีส่วนของ เขากระโดงว่าเป็นที่ของการรถไฟฯ

เมื่อถามว่า สามารถ ยืนยันได้ว่าศาลฎีกาวินิจฉัย 5,000 ไร่ใช่หรือไม่เพราะ เพราะชาวบ้านยืนยันว่า ผูกพันเฉพาะกรณี 35 ราย นายสุริยะ กล่าวว่า ตนไม่ได้เชี่ยวชาญกฎหมายจึงได้ปรึกษากับที่ปรึกษากฎหมายและยืนยันชัดเจนว่า สามารถบังคับได้ ยืนยันว่ามีเอกสารสิทธิ์ตรงนี้ 

ส่วนเรื่องนี้จะจบหรือไม่เพราะเป็นมหากาพย์ยาวนาน นายสุริยะ กล่าวว่า ถ้าทุกฝ่ายทำตามกฎหมายมันจบได้

'กิตติรัตน์' ไม่ผ่านคุณสมบัติปธ. บอร์ดแบงก์ชาติ หลังกฤษฎีกาตีตก! เหตุเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

เมื่อวันที่ (24 ธ.ค. 67)  นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะการเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

และนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ที่ขัดคุณสมบัติของการเป็นกรรมการแบงก์ชาติ โดยไม่ได้ลาออกจากกรรมการบริษัทแห่งหนึ่งที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการสรรหาได้เปลี่ยนเป็นนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดต้องให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยข้อมูล

“มีการยืนยันทางกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว คุณกิตติรัตน์ ไม่ผ่านคุณสมบัติ รายละเอียด ซึ่งคงต้องมีการสรรหากันใหม่ คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเดือนมกราคม 2568″ นายลวรณ กล่าว

'ทักษิณ' ปราศรัยเดือด ไม่ทนพวกเห่าหอน ซัดมาซัดกลับ รับสมัครทนายอาสาช่วยฟ้อง

‘ทักษิณ’ อู้กำเมือง เลือก ‘สว. ก๊อง’ ขอคืน สส.เพื่อไทยทั้ง 10 เขต ไม่ทนพวกเห่าหอน ลั่นซัดมาซัดกลับ ประกาศรับสมัครทนายอาสาช่วยฟ้องที เหน็บพรรคประชาชน ขี้โม้ขี้อิจฉา พูดเก่งแต่ทำไม่ได้ บอกไม่ต้องเอาแล้ว "พระเอกเกาหลี" เอา "พ่อนางเอกหนังจีน" ไว้ใช้งานดีกว่า พร้อมซัดนักร้องเจ้าประจำบางคนเคยให้เงินแต่กลับมาแว้งกัด

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ (23 ธ.ค. 67) ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยช่วย นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ สว.ก๊อง ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ เบอร์ 2 หาเสียง โดยทันทีที่นายทักษิณมาถึงได้เดินทักทายประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัย

นายทักษิณ เปิดเวทีด้วยการอู้กำเมืองทักทายประชาชนว่า ตนไปอยู่เมืองนอกมา 17 ปี ยังอู้เมืองคล่องอยู่ มาจ.เชียงใหม่ก็รู้สึกหัวใจพองโต วันนี้ตนมาหาเสียงช่วยนายพิชัย และจะมาเยี่ยมพี่น้องชาวเชียงใหม่ให้ทั่ว ตนจากบ้านไปหลายปีคิดถึงมาก คิดถึงเชียงใหม่ช่วงที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี พี่น้องทำมาหากินอย่างสบาย มีเงิน แต่วันนี้ จ.เชียงใหม่ไม่สวยเหมือนเดิม งบประมาณเข้าไม่ถึง ตนกลับมาแล้ว ขอให้เอาความงามกลับคืน จ.เชียงใหม่ เอาสตางค์กลับมาคืนใส่กระเป๋าพี่น้องชาวเชียงใหม่ ทำให้หนี้เบาบางลง เอายาเสพติดให้หายไป

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ตนรู้สึกเสียดายเวลา แต่ไม่ใช่เสียดายเวลาของตนแต่เสียดายเวลาของพี่น้องคนไทยทุกคน ครั้งที่ผ่านตอนนายพิชัยลงเลือกตั้ง ตนเขียนจดหมายน้อยมาฉบับหนึ่ง พี่น้องชาวเชียงใหม่ก็เทคะแนนให้ 4 แสน จึงชนะ แต่วันนี้ตนมาเอง มาตัวเป็นๆ บางคนจับตัวตน แล้วถามว่าอันนี้ตัวจริงหรือไม่ เมื่อมาเองก็ขอคะแนน

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า คู่แข่งของนายพิชัยคือพรรคประชาชน (ปชน.) ซึ่งเขาโม้ไว้ว่า เขามีสส. 7 คน ถือเป็นเรื่องที่ผิดพลาด ขอพี่น้องคืนสส.ให้ตน พรรคปชน.เป็นพรรคที่พูดเก่ง คนรุ่นใหม่เขาพูดเก่งทุกคน แต่ยะบ่จ่าง และยังบ่ได้ยะ วันนี้พรรค พท.ยังไงก็ได้ทำ เกิดมาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีทุกคนก็นึกถึงแต่พรรค พท. ที่ทำให้พี่น้องได้อยู่สุขสบาย หากใครได้อ่านจากสื่อมวลชนจะเห็นว่าเขาตั้งฉายาให้รัฐบาลว่าเป็นรัฐบาลพ่อเลี้ยง สงสัยสื่อมวลชนเห็นว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลคนเมือง เลยใช้คำว่าพ่อเลี้ยง เห็นว่าคนเชียงใหม่เป็นพ่อเลี้ยงหมด จริงๆ แล้วตนไม่ใช่พ่อเลี้ยง แต่ลูกอาจจะเลี้ยง เพราะตนมีเงินเดือนแค่ 700 บาท แต่ลูกเป็นนายกรัฐมนตรีมีเงินเดือนเป็น 100,000 บาท

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า มีใครเคยเห็นนายกรัฐมนตรีพูดเรื่องบ้านเพื่อคนไทยหรือไม่ คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะคนที่เรียนจบมาบางคนก็ไม่มีงานทำ หรือมีงานทำก็ไม่มีปัญญาซื้อบ้าน จึงอยากทำให้ความฝันของคนไทยเป็นจริง มีเงินแค่ 10,000-20,000 บาท ก็จะสามารถซื้อบ้านได้ ไม่ต้องไปเสียเงินดาวน์ ผ่อนแค่เดือนละประมาณ 4,000 บาท แต่มีบ้านอย่างดีอยู่ อยากให้คนไทยอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี อยู่อย่างไม่ลำบาก

“พรรคประชาชนเขาเน้นเรื่องความเท่าเทียม ความเท่าเทียมในสายตาของพรรคประชาชนเป็นความเท่าเทียมทางสถานะ แต่ความเท่าเทียมของพรรค เพื่อไทยเป็นความเท่าเทียมทางโอกาส วันนี้ยากดีมีจนเกิดที่ไหนก็ควรมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา เข้าถึงอาชีพ หรือการเงินเหมือนกัน ดังนั้น จึงพยายามแก้ปัญหาทุกอย่างเพื่อให้คนไทยเข้าถึงแหล่งเงินแหล่งทองได้” นายทักษิณ

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า นายพิชัยตอนเป็นนายก อบจ.ใหม่ๆ ก็เมาหมัด แต่ช่วงหลังก็ขยันหมั่นเพียรมากขึ้นดูได้จากผลงาน ตอนน้ำท่วมที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ และเคยไปขอที่ดินตรงข้ามสถานีรถไฟ ที่มองว่าจะนำมาสร้างสวนเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้พี่น้องประชาชน ตนจึงบอกว่าทำไมถึงไม่ทำบ้านเพื่อคนไทยด้วย จะได้เห็นวิวสวยงาม หาใครยังไม่มีบ้าน ก็จะได้มี รวมถึงเรื่องถนนเลียบทางรถไฟไป จ.ลำพูนที่ยังเหลืออีก 11 กิโลเมตร สมัยที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้เริ่มทำไปแล้ว แต่ก็ยังทำไม่เสร็จ นายพิชัยก็ไปขอน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะมาทำต่อ และจะได้ไปจ.ลำพูนโดยที่รถไม่ติด

“เป็นห่วงพี่น้องวันนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี เพราะเป็นการบริหารการเงินที่ผิดพลาดมา 10 กว่าปีแล้ว เพราะเป็นการเอาเงินออกจากระบบ ธนาคารมีความพยายามที่จะปล่อยกู้ คนตัวเล็กตัวน้อยตายหมด รัฐบาลจึงพยายามที่จะเอาเงินมาเข้าระบบเพื่อให้คนไทยได้ไปต่อ” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ตนกำลังปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีว่าเงินที่เราหาได้นั้น ไม่ได้อยู่ที่เชียงใหม่ พอหาได้ก็ไปซื้อของกิน เงินก็เข้ากรุงเทพฯ หมด ต่อไปตนจึงจะพยายามว่าทำให้เงินเหล่านี้มาอยู่เชียงใหมม่มากขึ้นเพื่อที่เศรษฐกิจจะได้เดิน ไม่เช่นนั้นเราจะเป็นเหมือนปลาที่ไหว้น้ำในบ่อ ที่เขาดูดน้ำออกทุกวัน ปลาจะไหว้ไม่ค่อยได้ ก็จะตาย ฉะนั้น ต้องเอาน้ำเข้ามาเติมใหม่โดยด่วนจึงจะช่วยพี่น้องได้

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนไปอุดรธานีมา ตนก็บอกว่าคนอุดรฯ เคยให้ สส.ตน 10 คนแล้วหายไปไหน 2 คน ขอคืนได้หรือไม่ เขาก็คืนให้ โดยเขาจะคืนนายกอบจ.ให้ เช่นเดียวกับที่อุบลราชธานี วันนี้ที่เชียงใหม่เป็นภารกิจพิเศษ พี่น้องอย่าลืมตน ตนกลับมาแล้ว อย่างไร ตนก็รักบ้านเมือง ตนนี้ตนกลับมาแล้ว อย่างน้อยต้องทำให้เชียงใหม่ดีเท่ากับตอนที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีหรือดีกว่า

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า ดังนั้นพี่น้องไม่ต้องไปใช้ใคร ให้ใช้ทักษิณ กับลูกทักษิณ เขตไหนที่เลือกพรรคก้าวไกลที่ตอนนี้เป็นพรรคปชน. ครั้งหน้าขอให้เลือกพรรค พท. คืนสส.ให้ตน เนื่องจากในสภาฯ หากพรรคไม่ใหญ่ ก็เกิดการต่อรองนั่นนี่ บ้านเมืองก็จะไปยาก ดังนั้น ถึงเวลาที่พี่น้องประชาชนต้องคิดว่าจะให้ใคร และเทไปเลย บ้านเมืองจึงจะไปได้เร็วเหมือนตอนที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี เลือกได้ 300 กว่าเสียง ก็สามารถทำนั่นนี่ได้ไว และจะสามารถทำให้ประเทศไทยมีความสุข อย่าไปขี้ขอย(ขี้อิจฉา)

“การเมืองต้องเป็นปึกแผ่น ต้องเข้มแข็ง ดังนั้นคะแนนพี่น้องอย่าไปขี้เหนียว แบ่งนั้นนิดแบ่งนี่หน่อย ขอให้เอามาให้พรรคเพื่อไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าทำไม่ได้ ให้มันรู้ไป ตนกลับมาแล้วยังไงก็เป็นรัฐบาล แต่อยากเป็นรัฐบาลที่เสียงมันเข้มแข็ง จะได้ทำงานหนักๆ ดังนั้น ต้องเริ่มจากท้องถิ่นคือ อบจ.เพราะเป็นการรับลูกจากรัฐบาลกลาง” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนกำลังคิดพัฒนาคนและสินค้าในแต่ละจังหวัด และต้องมีตัวแทนทำ บางจังหวัดผู้ว่าฯ ก็เต็มใจทำ แต่บางจังหวัดผู้ว่าฯ เหลืออีก 1 ปีจะเกษียณ ก็รู้สึกว่าตนเองขี้เกียจทำ ดังนั้นจึงต้องมาเอานายก อบจ.ของเรา

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า สินค้าที่เค้าขายใน TikTok ขายดิบขายดี แต่สินค้าบ้านเราไม่มีใครเป็นเจ้าภาพ การพัฒนาคนก็เหมือนกัน จะเอาคนมาฝึกเพื่อให้เงินเดือนดีขึ้น และเชื่อว่าหลายคนที่นั่งอยู่ตรงนี้อาจจะมีหัวศิลปะ หัวคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่มีโอกาส ต้องไปทำนาทำไร ซึ่งทำได้แต่ก็รู้สึกเสียดาย ซึ่งคนมีหัวต้องได้รับการพัฒนา ที่เราเรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์ ตนจะใช้อบจ.และจังหวัดเป็นแกนกลาง และต้องทำให้คนแข็งแรง และเอาของที่ผลิตในพื้นที่ขายได้ผ่านโซเชียลของเขา

“ดังนั้น ขอพี่น้องประชาชนเลือกนายกก๊องกลับมาอีกครั้ง แล้วผมจะใช้งานให้เต็มที่ ผมมีตำแหน่งอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ ส.ท.ร. หรืออดีตเคยเป็นนายกรัฐมนตรี ตำแหน่งที่สองเป็นผู้เฒ่า ตำแหน่งที่สามเป็นพ่อนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ได้ครอบงำ เพราะลูกสาวคนเล็กบอกว่าพ่อต้องฟัง อยากขอพี่น้องชาวเชียงใหม่ ว่าไม่ต้องใช้ใครไกล เห็นหน้ามากี่ครั้งก็จำกันได้ ขอให้ใช้ทักษิณและลูกทักษิณก็พอ บางคนบอกคนเชียงใหม่ชอบพระเอกหนังเกาหลี แต่ผมว่าสู้พ่อนางเอกหนังจีนไม่ได้ คนอุดร คนอุบล ผมไป เขาก็ให้คะแนนกลับมาเต็มที่ คนเชียงใหม่อย่าให้น้อยหน้าเขานะ เอาหนักๆ สัก 6 แสนเสียงก็พอ หากนายพิชัยชนะ ทุกพื้นที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่ เพื่อที่ครั้งหน้าเราจะเอาสส.คืนมาเป็น 10 เขต ดังนั้น พี่น้องชาวเชียงใหม่ขอคืนด้วย” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนเป็นคนแก่อายุ 75 ปีแล้ว อีกหกเดือนก็จะอายุ 76 ปี แก่มากแล้ว จะให้มาฟังคนแก่ปราศรัย ก็ไม่คึกคักเหมือนสมัยหนุ่มๆ จะไปท้าตีท้าต่อยเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้ เมื่อก่อนเขาแรงมา เราแรงกลับ ตอนนี้ตนใจเย็นมา ขอพี่น้องอย่าไปฟังเสียงเขา พวกขาประจำตน เจอทีไรก็หาเรื่องมาสร้างนิยายน้ำเน่าตลอด ต่อไปนี้ตนจึงบอกว่าใครที่เล่นงานตน ตนจะเล่นงานกลับ ไม่ละไว้ บางคนบอกว่าชั่งมันเถอะ อย่าไปให้ราคา อย่าไปเล่นงานมันคืน

“ฮาบ่ละมันไว้เป๋นป้อ แม้ฮาจะแก่แล้ว คิงซัดฮามา ฮาซัดคิงไป คิดเล่นๆ สื่อไม่ต้องเอาไปเขียน ผมจะขออาสาสมัครทนายความ หากใครเก่งก็ขอให้มาช่วยฟ้อง แต่ก็รู้สึกว่ามันน่ารำคาญ บางคนเราก็รู้พื้นเพกันอยู่ มันมาเห่าอยู่นั่น เพราะบางคนไม่ได้ทำอะไรเลย บางคนผมเคยให้เงิน และพ่อเคยสอนผมว่าวันนี้เราเลี้ยงข้าวมันมื้อเดียว มันอิ่ม มันก็ขอบคุณเรา แต่มื้อหน้า มันหิว มันหาคนเลี้ยงข้าวใหม่ ถ้าเราไม่เลี้ยงมัน มันก็ขบเรา แล้วเราต้องเลี้ยงมันทุกวันเลยหรือ ลูกเราโตแล้วยังหากินเองได้ แต่บางคนแก่จนจะลงโลงแล้วยังไม่รู้จักหากินเอง เห็นแล้วรำคาญมาก” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า บางคนคิดว่าหาเรื่องวุ่นวายมา เขาบอกว่าทหารก็จะออก แต่ตอนนี้หมดยุคแล้ว ทหารรู้ดีว่าบ้านเมืองเสียหาย ต้องว่าไปตามกลไกรัฐบาล ไปตามกลไกอำนาจ ใครทำผิดกฎหมายก็ว่าไปตามนั้น เราไม่ได้หาเรื่องใคร หากใครหาเรื่องเรา ก็ไม่รู้ว่าจะปล่อยไว้ทำไม ต่างประเทศเขาไม่เข้าใจ เขาไปมองว่าเมื่อมีคนร้องแล้วรัฐบาลจะไม่มีเสถียรภาพ แล้วเขาก็ไม่กล้ามาลงทุน ทำให้ประเทศเราหยุดชะงัก แต่วันนี้องค์กรอิสระเขายึดหลักบ้านเมืองแล้ว เขาไม่ยึดหลักแบบเก่า

“ดังนั้น พี่น้องต้องเลือกหลักบ้านเมือง คือเลือกไปใช้งาน ไม่ใช่เอามาแต่พูด วันนี้ผมมาขอเอง ไม่ได้เขียนจดหมายมา ขอให้เลือกนายกก๊อง และส.อบจ.ไปทำงานกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเพื่อให้งบประมาณถึงมือพี่น้องประชาชนโดยตรง ผมมาขอเอง อ้อนวอนขอหลายครั้งแล้ว ให้ได้หรือไม่ หากหมดฤดูกาล อบจ.แล้ว ผมจะมาเชียงใหม่บ่อยๆ แล้วตอนนี้เขาจะเอาแพนด้ากลับคืนมาให้เรา เอาหรือไม่ และขอให้เร่งทำอยู่ ซึ่งประเทศจีนลดเงื่อนไขทุกอย่างเพื่อที่จะให้หมีแพนด้ากลับมาอยู่เชียงใหม่โดยเร็ว” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า วันที่ 26 ธันวาคมนี้ ตนจะได้ไปเจอกับเพื่อนตน ที่ตั้งให้ตนเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน เพื่อจะได้นั่งคุยกันว่าจะวางยุทธศาสตร์รวมของอาเซียนอย่างไร เพราะอาเซียนประกอบไปด้วย 10 ประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศต่างคนต่างอยู่ แต่จริงๆ รวมพลังกันอยู่แล้ว และต้องมีแผนยุทธศาสตร์ จึงขอให้ตนช่วย และตนคิดว่าเป็นประโยชน์กับประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจใหญ่ลำดับสองของอาเซียน ดังนั้น คิดว่าจะอาสาไปช่วยกันคิดเพื่ออาเซียน เพื่อประโยชน์ของประเทศไทย

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า วันนี้ตนกลับมาแล้ว แต่ก็ยังเห็นพี่น้องประชาชนลำบากอยู่ ดังนั้น ต้องใช้ตนหนักๆ และต้องเลือกตัวแทนของตน ตอนนี้ยังไม่ได้เลือก สส. ขอนายกอบจ.ก่อน และให้ไปขอเพื่อนด้วยบอกว่าทักษิณมาขอเอง เพราะขี้เกียจเอาปี๊บคุมหัว ฉะนั้นคนเชียงใหม่ต้องสู้ให้เต็มที่ นายทักษิณ มาขอเอง

การรถไฟฯ เดินหน้าทวงคืนที่ดิน ‘เขากระโดง’ ยันทวงคืนตามสิทธิ์ไม่ใช่การก้าวล่วงประชาชน

(23 ธ.ค.67) การรถไฟฯ ยืนยันถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน 'เขากระโดง' ย้ำมีเอกสาร – ข้อมูล และคำตัดสินของศาลเป็นที่สิ้นสุด ระบุพร้อมเดินหน้าดำเนินการทุกอย่าง เพื่อให้ที่ดินกลับมาเป็นของ รฟท. นำมาสู่การรักษาสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่เป็นการก้าวล่วงสิทธิของประชาชน

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แถลงการณ์เกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง จากกรณีที่มีผู้มาพาดพิง ตามที่มีการรายงานข่าวของสื่อมวลชนว่า นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) ซึ่งกำกับดูแลกรมที่ดิน ได้นำอธิบดีกรมที่ดิน รองอธิบดีกรมที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สส.จังหวัดบุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และข้าราชการส่วนท้องถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ พบกับราษฎรที่ครอบครองที่ดินบริเวณเขากระโดง เพื่อยืนยันสิทธิ์การครอบครองที่ดินของราษฎร และกล่าวพาดพิงถึง รฟท. ในทำนองว่า รฟท. จะไปก้าวล่วงสิทธิของประชาชนนั้น

ทั้งนี้ รฟท. เห็นว่า การดำเนินการข้างต้น อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดของประชาชนต่อการดำเนินการของ รฟท. เกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ดังนั้นจึงขอชี้แจงว่า รฟท. เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ดินของ รฟท. จึงเป็นที่ดินของรัฐและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่ง รฟท. มีวัตถุประสงค์เพื่อรับโอนกิจการของกรมรถไฟ ดังนั้นบรรดาที่ดินและทรัพย์สินที่เคยเป็นของกรมรถไฟจึงโอนมาเป็นของ รฟท.

อย่างไรก็ดี รฟท. มีหน้าที่ต้องดูแลที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ และติดตามเอาที่ดินของ รฟท. ที่มีการยึดถือครอบครองและออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบให้กลับคืนมาเป็นของ รฟท. อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การดำเนินการของ รฟท. เพื่อทวงคืนที่ดินบริเวณเขากระโดง จึงเป็นการดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการก้าวล่วงสิทธิของประชาชนแต่อย่างใด

ทั้งนี้ที่ดินบริเวณเขากระโดงได้รับการพิสูจน์และยืนยันผ่านกระบวนการทางศาล และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนเป็นที่ยุติแล้วว่าที่ดินประมาณ 5,000 ไร่เศษ บริเวณ ตำบลอิสาณ และ ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิของ รฟท.

พร้อมกันนี้ศาลปกครองได้วินิจฉัยโดยอ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองเรื่องข้างต้นแล้วสรุปว่าที่ดินบริเวณพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. นอกจากนี้ คำพิพากษาของศาลปกครองกลางยังระบุด้วยว่า กรมที่ดินมีหน้าที่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการรถไฟฯ ไม่จำต้องไปฟ้องต่อศาลเพื่อให้มีคำพิพากษาทุกแปลง

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของกรมที่ดินที่จะต้องดำเนินการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินของ รฟท. ซึ่งเป็นการออกโดยคลาดเคลื่อนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้ง ไม่ได้เป็นการก้าวล่วงสิทธิของประชาชนตามที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่มีคำถามว่า เหตุใด รฟท. จึงไม่ยื่นเอกสารแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินชุดเดียวกับที่ยื่นต่อศาลฎีกา ซึ่งแสดงถึงเขตที่ดินของการรถไฟฯ ที่ครบถ้วน และที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ เพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนของกรมที่ดินพิจารณานั้น ขอชี้แจงว่า รฟท. ยื่นเอกสารซึ่งแสดงถึงการได้มาของที่ดินรถไฟ รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้อง ให้กับคณะกรรมการสอบสวนทั้งหมด และเป็นเอกสารชุดเดียวกันกับที่ยื่นต่อศาลยุติธรรมด้วย

ทั้งนี้ปัญหาการออกเอกสารทับซ้อนที่ดินของ รฟท. นั้น หน่วยงานที่เป็นผู้ออกเอกสารสิทธิในที่ดิน คือ กรมที่ดินและสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดินที่จะต้องแก้ไขหรือดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วยการดำเนินการตามขั้นตอนในการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินทั้งหมด

พร้อมขอยืนยันว่า สิทธิในความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินของ รฟท. บริเวณแยกเขากระโดง อันเป็นที่ดินของรัฐ โดยจะดำเนินการทุกอย่างภายในกรอบของกฎหมาย เพื่อให้ที่ดินดังกล่าวกลับคืนมาเป็นที่ดินของ รฟท. เพื่อสงวนไว้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอันเป็นไปเพื่อประโยชน์โดยรวมของประชาชนทุกคนต่อไป

โดยการแก้ปัญหาที่ดินเขากระโดงไม่ใช่เรื่องยาก หากกรมที่ดินซึ่งเป็นผู้ออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินได้ร่วมมือกับ รฟท. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลปกครองกลาง และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมีฝ่ายใดนำเอาปัญหาที่ดินเขากระโดงไปเชื่อมโยงเพื่อเป็นประเด็นการเมือง เพียงหวังเรื่องคะแนนนิยมทางการเมือง เพราะจะทำให้การแก้ปัญหามีความยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก

‘จิรัฏฐ์’ แจงแทน ‘ธิษะณา’ ยันสูบบุหรี่อยู่ในโซนอนุญาต แต่ข้องใจ สส.ที่แอบถ่ายทำเพื่ออะไร ท้าสู้กันแฟร์ ๆ ในสภา

‘จิรัฏฐ์’ เห็นใจ ‘แก้วตา - ธิษะณา’ เพื่อนร่วมพรรค ร่ายยาวเป็นชุด ยังไม่เห็นผิดยังไง ปมสูบบุหรี่ไฟฟ้าในโซนอนุญาต เชื่อคนถ่ายเป็น สส.แน่ แต่ทำไปทำไม ท้าสู้แฟร์ ๆ ในสภา อย่ามาชกใต้เข็มขัด 

(23 ธ.ค.67) นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน โพสต์ข้อความบน X ถึงกรณีข่าววิจารณ์ นางสาวธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม. พรรคประชาชน ที่ปรากฏภาพสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอาคารรัฐสภา ว่า ภาพคุณแก้วตาผมก็ไม่กล้าบอกว่าไม่ผิด แต่ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าผิดยังไง พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่สูบบุหรี่ครับ เข้ามาตรงนี้ได้เฉพาะ สส. เค้าก็มีที่เขี่ยบุหรี่ให้พร้อมทุกโต๊ะ สส.ทุกพรรคก็มาสูบกันบริเวณนี้ (มีทั้งบุหรี่จริง-ไฟฟ้า)

แน่นอนว่าคนแอบถ่ายเป็น สส.ซึ่งก็กำลังสูบบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ด้วยตอนที่แอบถ่าย ผมก็โดน สส.ชายกลุ่มนี้ถ่ายไปลงเพจโกหกอะไรเป็นประจำ ไม่รู้ทำไปทำไม น่าจะสู้กันแฟร์ๆ ในสภา ไม่ใช่มา 'ชกใต้เข็มขัด' กันแบบนี้ บุหรี่ไฟฟ้าห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย ถามว่าคนสูบผิดมั้ยกฎหมายก็ไม่ชัด อย่างมากตอนนี้คือเจ้าหน้าที่ยึดได้แล้วไปเอาผิดคนขาย ซึ่งช่องโหว่ของกฎหมายตรงนี้ กมธ.กำลังแก้กฎหมายกันอยู่ ต่อไปก็จะชัดเจนขึ้น

การสูบบุหรี่ไม่ได้ผิดอะไร (ถ้าไม่ได้ไปสูบในที่สาธารณะ) แต่ก็ไม่ควร ตามค่านิยมแบบบ้านเรา ซึ่ง ควร ไม่ควร นั้นนานาจิตตัง บางคนบอก “ไม่ควร” บางคนบอก “ก็เรื่องของเค้า”

งานนี้ผมว่าคุณแก้วตาก็รู้สึกผิด และพร้อมขอโทษอยู่แล้วแหละ แต่ประเด็นคือ จะขอโทษยังไง ขอโทษเรื่องอะไร

ถ้าจะบอกว่า ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว คือจะไม่ทำอะไร จะไม่สูบบุหรี่อีกแล้ว จะไม่สูบให้คนเห็นอีกแล้ว หรือยังไงดี สำหรับผมเป็นเรื่องที่ยากและน่าเห็นใจเหมือนกัน แต่ก็ปฏิเสธความเป็นผู้แทนที่ต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับประชาชนไม่ได้ ยังไงก็ต้องมีแอ๊กชั่นอะไรซักอย่าง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเป็นผู้แทน ไม่ไช่เพียงหน้าที่อย่างเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบต่อความรู้สึกของประชาชนที่เลือกเรามาด้วย จะทำงานหนักอย่างเดียวไม่สนการครองตนไม่ได้ แต่ก็แอบเห็นใจและเข้าใจคุณแก้วตาเหมือนกัน

แต่ไอพวกชอบชกใต้เข็มขัดนี่ก็นะ คิดจะเพิ่มคะแนนตัวเองด้วยการทำลายคู่แข่งด้วยวิธีแบบนี้ ไม่น่ารักเล้ยจริง ๆ

‘ทักษิณ‘ ลั่น ไม่มีอะไรต้องเคลียร์ ‘อนุทิน’ ชี้ ลิ้นกับฟัน กัดโดนกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา

‘ทักษิณ‘ บอก ไม่มีอะไรต้องเคลียร์ ’อนุทิน‘ หลังปรากฏภาพตีกอล์ฟสยบรอยร้าว ชี้ เรื่องธรรมดาลิ้นกับฟันจะกัดโดนกันบ้าง ลั่น หลังจากนี้ไม่มีปัญหาแล้ว ‘อิ๊งค์-เสี่ยหนู’ ทำงานร่วมกันได้

(23 ธ.ค.67) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปรากฎภาพตีกอล์ฟร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานกรรมการบริหารของกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า สนุกดี แต่ตนตีไม่ค่อยดี ก็จะตีโดนบ้าง ไม่โดนบ้าง 

เมื่อถามว่า เป็นการสยบคำว่าอีแอบหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า จริง ๆ นายสารัชถ์เป็นคนเชิญไป ไม่มีนักการเมือง แต่นายอนุทินเป็นเพื่อนนายสารัชถ์ มา 20 ปี จึงชวนนายอนุทินไปในฐานะเพื่อน นายอนุทินจึงได้ไป ปรากฏว่าไม่มีนักการเมือง แต่มีประเด็นการเมืองเยอะ เพราะเมื่อมีการส่งรูปออกไปก็มีสื่อนำไปตีเป็นประเด็นการเมือง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีอะไร 

เมื่อถามว่า นายสารัชถ์ เป็นคนกลางสมชื่อเลยหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “ไม่รู้ เขาซ้ายขวาหรือไม่” 

เมื่อถามว่า เคลียร์ใจกับนายอนุทินอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีอะไรต้องเคลียร์ กติกาง่ายนิดเดียว คนเราเมื่ออยู่ร่วมกัน ก็ต้องเคารพซึ่งกันและกัน จบ 

ถามย้ำว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการตีความว่า ระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับพรรคเพื่อไทย อาจจะมีเรื่องที่ไม่ลงรอยกันหลายเรื่อง นายทักษิณ กล่าวว่า เท่าที่ดูไม่น่ามีอะไรมาก เป็นเรื่องธรรมดา ลิ้นกับฟันบางครั้งก็กัดโดนกันบ้างเป็นธรรมดา ส่วนที่ร้องเพลงคนไม่สำคัญนั้น เป็นเพลงเก่งของตน ร้องมานานแล้ว นึกเพลงใหม่ๆ ไม่ออก มีแต่เพลงเก่าๆ คนโบราณ

เมื่อถามว่า เคลียร์กันแล้ว หลังจากนี้รัฐบาลไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกันแล้วใช่หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่น่าจะมีอะไร เพราะนายอนุทินกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ทำงานด้วยกันได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top