Tuesday, 6 May 2025
POLITICS NEWS

‘เปลว สีเงิน’ เผย!! ‘รมช.สุชาติ’ ลุยงาน เปิดตลาดการค้าต่างประเทศ ไม่เว้นแต่ละเดือน ชี้!! ข้าราชการในกระทรวง ออกปากชม ทำงานจริงจัง ให้เกียรติทุกคน น่ารักไม่ถือตัว

เมื่อวานนี้ (27 ธ.ค. 67) ‘เปลว สีเงิน’ นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้นำเสนอบทความ ในหัวข้อ ‘รัฐมนตรี’ ที่ ‘นักข่าวลืม’ โดยระบุว่า…

‘นายกฯ แพทองธาร’ นี่....

ต้องยอมรับกันจริงๆ จังๆ ว่า ‘ออร่า’ ในตัวเธอเจิดจ้ามาก!

ขนาดแฟชั่น ‘แบรนด์เนม’ ชุดละเป็นแสนๆ ที่เห็นรายวัน

พอนายกฯ ใส่เท่านั้นแหละ

ด้วยรัศมีออร่า ข่มชุดแฟชั่น ‘แบรนด์เนม’ ให้กลายเป็นชุด ‘แบกะดินส์’ ไปทันที!!

สิ่งที่ตามมาโดยไม่ตั้งใจ .........

คลาสการแต่งกายเจ้านายนั้น ช่วยสร้าง ‘มูลค่าเพิ่ม’ ให้แจ๋ว 3-4 นางที่เยื้องย่างเป็นวอลเปเปอร์ ‘พลอยดูแพง’ เสมอหน้า-เสมอตาไปด้วย

อย่าง ‘มนพร’ รมช.คมนาคม .....เห็นมั้ย

ยืนแยกยิ้มประกบข้างนายกฯ ตอนให้สัมภาษณ์ทีไร หน้า "แอนโทเนีย โพซิ้ว" ลอยเด่นขึ้นมาเลย!!

ของ ‘แพง’ แต่แต่งแล้วทำให้ดูเป็น ‘ของถูก’  แบบนี้ ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ทุกคน

นอกจากต้องเข้าใจเรือนร่างของตนแล้ว ต้องมีศิลปะในการเลือก ต้องมีรสนิยมในการแต่ง ผสมจิตวิทยาชั้นสูงจริงๆ อย่างนายกฯ หญิงของเรา

จึงจะสามารถทำให้ชาวบ้านร้านตลาด เห็นแล้วเกิดความรู้สึกว่า

"อุ๊ย!...นายกฯ หญิงคนนี้ "ติดดิ๊นน...ติดดิน" น่ารักจัง!!"

วันนี้ ศุกร์ 27 ธันวา ถือว่า ‘ส่งท้ายปี 2567’ เพราะดูปฏิทินแล้ว คงหยุดลากยาว ‘ข้ามปี’ ไปสัปดาห์ที่ 2 ของปี 68 นั่นแหละ ถึงจะเริ่มชีวิตใหม่กัน

มา ‘เช็กเค้า’ ประเทศกันหน่อยปะไร

วานซืน ‘นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์’ ผอ.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)กระทรวงพาณิชย์ แถลง ซึ่งผมจะสรุปคร่าวๆ

ส่งออกเดือน พ.ย.67 มูลค่า 25,608.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 8% บวก 5 เดือนติด

รวมยอด 11 เดือน มูลค่า 275,763.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 5% คิดเป็นเงินบาท 9,695,455 ล้านบาท

คาด ธ.ค. ยังส่งออกได้ดี มีลุ้นทำนิวไฮ 3 แสนล้านเหรียญฯ โตทะลุเป้า 5.2% 

นำเข้ามีมูลค่า 25,832.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น ๐.9% คิดเป็นเงินบาท 867,456 ล้านบาท

ขาดดุลการค้า 224.4 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท 18,387.1 ล้านบาท

ส่งออกที่เพิ่มขึ้น มาจากสินค้าเกษตร เพิ่ม 4.1% สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 7.7% และสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 9.5%

ตลาดส่งออก ‘ตลาดหลัก’ สหรัฐฯ เพิ่ม 9.5% จีน เพิ่ม 16.9% สหภาพยุโรป เพิ่ม 11.2% CLMV เพิ่ม 21.๐%

ญี่ปุ่น ลด 3.7% อาเซียน (5 ประเทศ) ลด 1.5% ตลาดรอง เพิ่ม 7.1% 

เอเชียใต้ เพิ่ม 18.3% ทวีปออสเตรเลีย เพิ่ม 1.๐% ตะวันออกกลาง เพิ่ม 1.7% แอฟริกา เพิ่ม 13.8%

ลาตินอเมริกา เพิ่ม 31.8% และสหราชอาณาจักร เพิ่ม 12.๐%

กลุ่ม CIS (รัสเซีย เบลารุส คาซัคสถาน อาร์เมเนีย มอลโดวา อาเซอร์ไบจาน คีร์กีซ อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และยูเครน)

ลด 5.3% และตลาดอื่นๆ เพิ่ม 29.๐%

นี่คร่าวๆ นะครับ เพื่อจะบอก 2 อย่าง....

1.ให้เครดิตนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นายสุชาติ ชมกลิ่น-นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์

และ ‘ข้าราชการพาณิชย์’ ทั้งกระทรวง

ท่องเที่ยวกับส่งออก เป็น ‘2 เครื่องยนต์’ ที่นำรายได้เข้ามาประคองเศรษฐกิจประเทศ ไม่ให้หัวปักทิ่มดิน เวลานี้!!

2.ปี 68 เศรษฐกิจ จะ ‘เผาจริง’ ทั้งโลก ....

ยิ่งทรัมป์แปลงการค้าเป็นอาวุธจี้หัวประเทศต่างๆ

บอก ‘ข้าจะเสนอในสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำตาม’ ด้วยแล้ว

การส่งออก ‘ทั้งโลก’ มีปัญหาแน่นอน!!

นำสู่ปัญหาที่ไทยต้องคิด ว่าการใช้เงินในปี ๖๘ รัฐบาลจะแค่เอาตัวเองรอดหรือเอาประเทศรอด?

ผมอ่านที่ ‘The Publisher’ เขาโพสต์ เมื่อวาน มันเป็นเรื่องจริง ที่ต้อง ‘คิดหนัก’ ทุกฝ่าย

The Publisher
ย้อนดูการจัดงบประมาณของรัฐบาลเศรษฐา มาจนถึงรัฐบาลแพทองโพย
พบว่า มีการจัดงบประมาณ ‘ขาดดุลต่อเนื่อง’ อย่างมีนัยสำคัญ เริ่มจากปีงบประมาณ 2567  ขาดดุล 6.93 แสนล้านบาท
ปีงบประมาณ 2568 ขาดดุล 8.7 แสนล้านบาท
และปีงบประมาณ 2569 วางแผนขาดดุลอีก 8.6 แสนล้านบาท 
บวกดูแล้วพบว่าการจัดงบประมาณ 3 ปีของรัฐบาลเพื่อไทย รวมขาดดุลแล้วกว่า 2.4 ล้านล้านบาท

ทั้งๆ ที่มีเสียงเตือนจากหลายหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ อาทิ สภาพัฒน์ เตือนมาตั้งแต่การทำงบประมาณปี 67 ว่า "ต้องลดการขาดดุลลง ให้ต่ำกว่า 3% ของจีดีพี"

แต่การจัดงบประมาณของรัฐบาลเพื่อไทย สวนทางมาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ ขาดดุลเกิน 4%  ของจีดีพี ไปแล้ว

แน่นอนว่า ‘หนี้สาธารณะ’ จะพุ่งเป็นเงาตามตัว

หาก ‘ภาวะขาดดุล’ ยังดำรงอยู่เช่นนี้ ไม่มีการแก้ไข คาดการณ์ว่า ภายในปี 2572 ยอดหนี้สาธารณะจะแตะที่เพดาน 7๐%
ขณะที่การหารายได้เพิ่มยังไม่มีหนทางที่ชัดเจน!!

จึงไม่น่าแปลกใจที่เห็นความพยายามสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ทั้ง ‘พันธบัตรดิจิทัล’

ซึ่งเปรียบเสมือนการ ‘สร้างเงินสกุลใหม่’ มาแข่งกับ ‘สกุลเงินบาท’ ไปจนถึงการ ‘ล็อกเป้า’

เล็งล้วง ‘ทุนสำรองระหว่างประเทศ’ มากระตุ้นเศรษฐกิจ
นี่คือทัศนคติที่น่าห่วง......

เป็นกับดักและความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย ถ้ายังเดินตามรอยนี้ ไม่เพียงไม่ได้ตามเป้าเศรษฐกิจโต 4-5% 

อาจตามมาด้วยการ ‘ถูกลดเครดิต’ จากภาระหนี้ที่เกิดขึ้นด้วย

‘หนุมาน’ หาวเป็นดาว-เป็นเดือน แต่ ‘ไอ้ตัวมาร’ มันจะฮุบประเทศ สอยทั้งดาว-ทั้งเดือน ไปเป็นสร้อยสวมคอตระกูลมัน!! หนี้ประเทศล้นคอหอย ก็พลิกแพลงจะไปพิมพ์ ‘พันธบัตรดิจิทัล’ ทำให้ประเทศไทยมีเงิน 2 สกุล (ฉิบหายละทีนี้) จะเอาอะไรไปค้ำ ‘พันธบัตรดิจิทัล’ ล่ะ? ก็ทองคำ ‘หลวงตาพระมหาบัว’ ที่เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศนั่นไงล่ะ!!

ฝากให้คิดกัน ประเทศตอนนี้ ‘เหลือน้ำมันก้นถัง’ แล้ว รัฐบาลก็ยังขอด-ยังขุดเอาไปผลาญ แจกโน่น-ประชานิยมนี่ หว่านโปรยทุกครั้งที่ลงไปตะแล็ดแต๊ดแต๋ต่างจังหวัด

วานซืน รัฐมนตรีช่วยคลัง บอก

จะออก ‘สลากการกุศล’ งวดละ 11 ล้านฉบับ เป็นเวลา 2 ปี เอาเงิน 10,000 ล้านบาทไปทำ ‘โครงการ 1 อำเภอ 1 ทุนการศึกษา’

พูดให้ชัดลงไปก็สิ้นเรื่อง ว่าเอาไปทำ ประชานิยม!!

ย้อนกลับไปที่พาณิชย์ซักหน่อย ที่ผมยกตัวเลขการส่งออกมาให้ดูนั้น ท่านทราบมั้ย เป็นการทำงานของหน่วยงานไหน?

สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ที่ ‘นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์’ เป็นผู้อำนวยการฯ นั่นแหละ

แล้วใครกำกับ-รับผิดชอบหน่วยงานนี้?

รมช. ‘สุชาติ ชมกลิ่น’

ที่นักข่าวตั้งฉายา ‘รัฐมนตรีโลกลืม’ คู่กับ ‘รมช.นภินทร’ นั่นเอง!!

นอกจาก สนค.แล้ว รมช.สุชาติ ยังได้รับการแบ่งงานให้คุม ‘กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ’ และ ‘สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน)’ ด้วย

ถ้า ‘โลกลืม’ หมายถึง รมช.ไม่ทำงาน ก็คงไม่มีเนื้องานเช่นนี้มาแถลง

ฉะนั้น ที่นักข่าวทำเนียบฯ ตั้งฉายา ‘รัฐมนตรีโลกลืม’ น่าจะเป็นอย่างที่ ‘รมช.นภินทร’ ท่านย้อนนักข่าว ว่า

“ผมอยากฝากสื่อประจำทำเนียบรัฐบาลว่า  ลองพูดคุยกับสื่อประจำกระทรวงพาณิชย์บ้าง ว่าผมทำงานอะไรบ้าง เนื่องจากผมไม่จำเป็นต้องมาแถลงที่ทำเนียบฯ เพราะไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำเนื่องจากเป็นงานกระทรวง สำหรับ รมช.สุชาตินั้น...
ท่านดูแลงาน กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ด้วย เผอิญโลกที่สองของผม คือพวกเว็บข่าวสารต่างๆ

จึงเห็นภาพ-ข่าว ‘รมช.สุชาติ’ เดินทางไปเจรจาการค้า ไปเปิดตลาดการค้าตามประเทศโน้น-นี้ ไม่เว้นแต่ละเดือน
นั่นก็ช่างเถอะ

รัฐมนตรีก็ ‘ทำงาน-เอางาน’ นักข่าวเขาก็ ‘ทำข่าวเป็นงาน’ ขำๆ รายปีกันไป อย่าไปซีเครียด ตรงนี้ตะหาก....

ที่ผมจะบอกให้ท่าน ‘รัฐมนตรีสุชาติ’ ได้ปลื้มปริ่ม

คือผมมีมิตรสหายอดีต ‘ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่’ กระทรวงพาณิชย์หลายคน ว่างๆ ก็นั่งซดกาแฟแกล้มนินทาโน่น-นี่กันตามประสา

เขาบอกว่า ‘ข้าราชการในกระทรวง เขาชมรัฐมนตรีสุชาติกันมาก’

"ชมเรื่องอะไร?" ผมถาม
ผู้ใหญ่ท่านนั้นบอกว่า "ข้าราชการเขาชมรัฐมนตรีสุชาติน่ารัก ไม่ถือตัว และให้เกียรติข้าราชการมาก ชี้แจงอะไรท่านก็รับฟัง ทำงานจริงจัง"

นี่คือ แผ่นทอง ที่ยากนัก-ยากหนา อันข้าราชการจะปิดให้ นักการเมืองคนไหน ผมจึงมาเอาหน้ากับท่านรัฐมนตรีว่า ‘นักข่าวลืม’ นั่นโลกมายา

‘ข้าราชการพาณิชย์’ เขาไม่ลืมและชื่นชมท่าน นั่นตะหาก คือโลกจริง!!

เปลว สีเงิน

'อันวาร์' พบ 'ทักษิณ' แล้ว ขึ้นเรือยอร์ชคุยกลางทะเล ชมเปราะเป็น 'บิ๊กคอนเนคชั่นแห่งอาเซียน'

( 27 ธ.ค.67) นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม โพสต์ภาพพร้อมข้อความในการพบปะกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ในฐานะที่แต่งตั้งให้รับหน้าที่ที่ปรึกษาประธานอาเซียนซึ่งมาเลเซียจะรับบทบาทประธานอาเซียนในปีหน้า

ข้อความจากเฟซบุ๊กของนายกอันวาร์ระบุว่า "ยินดีที่ได้พบกับอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และเพื่อนที่รัก ดร.ทักษิณ ชินวัตร เราทั้งสองสนทนาอย่างกว้างขวางในหลายประเด็น รวมถึงในฐานะที่ท่านเป็นที่ปรึกษานอกรอบของประธานอาเซียนของมาเลเซีย บทสนทนาของเรามุ่งเน้นไปที่เรื่องสำคัญในระดับภูมิภาค ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ การส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทย และการแก้ไขวิกฤตการณ์ในเมียนมา

เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ของทักษิณในภูมิภาค และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของท่าน จะเปิดโอกาสอันมีค่าให้กับมาเลเซียและอาเซียนในการเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ด้วยความมั่นใจและประสิทธิผลที่มากขึ้น

เราได้หารือกันถึงวิธีการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างมาเลเซียและไทยที่มีอยู่แล้วให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยการปรับให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ในการพัฒนาที่ยั่งยืนและการสร้างความสมานฉันท์ในภูมิภาค ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์เดียวกับที่ผมแบ่งปันกับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทักษิณและผมเชื่อมั่นว่า มาเลเซียและไทยสามารถทำได้มากกว่าที่เคย โดยไม่เพียงแต่เพื่อประโยชน์ของชาติของเรา แต่เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคโดยรวม เรามุ่งมั่นที่จะทำให้วิสัยทัศน์นั้นกลายเป็นความจริง" ข้อความที่นายกอันวาร์ระบุ 

ระหว่างกาช่อง ‘โหวตโน’ กับเลือกที่ ‘ไม่เข้าขั้นแย่’ แบบใดจะนำพาประเทศชาติหลุดพ้นจากวังวนเดิม ๆ

อยู่ประเทศไทยหากจะหานักการเมืองที่ซื่อตรงต่อประชาชนอย่างจริงแท้ คนส่วนใหญ่จึงเลือกพรรคการเมืองที่แย่น้อยหน่อยตามความนึกคิดของตัวเองให้เข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง เพราะถ้าจะหาในแบบที่ดีบริสุทธิ์ 100% ตายแล้วเกิดใหม่อีกหลายครั้งก็ใช่ว่าจะพบเจอ เป็นการลดความคาดหวังออกจากอุดมคติของตนเอง มาก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เห็นจริงตรงหน้า เพื่อให้สังคมไทยได้เดินต่อ แม้จะเป็นการก้าวเหยียบดินไม่เต็มฝ่าเท้าก็ตาม 

เพราะการมองและเลือกมุมนี้เท่ากับว่า คนไทยส่วนนี้สิ้นหวังแล้วว่าจะไม่พบเจอนักการเมืองที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ทุจริต และทำงานรับใช้ชาติเพื่อส่วนรวม จึงจำใจกาเลือกไปตามสติปัญญาของตัวเอง 

คนจำนวนนี้คิดว่าการ 'โหวตโน' เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นการเสียสิทธิ์ สู้เลือกพรรคการเมืองที่ยัง 'ไม่เข้าขั้นแย่' ก็น่าจะดีกว่า จะได้เอาไว้คานอำนาจ ไว้ต่อสู้กับพรรคการเมืองที่ 'เลวทั้งโคตร' หรือ 'เป็นอันตรายต่อสถาบันไทย' ย่อมจะมีประโยชน์กว่าการออกไป 'โหวตโน' ให้บัตรทิ้งเสียไปเฉย ๆ 

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลของคนที่ไม่กาช่อง 'โหวตโน' แม้สิ่งที่เลือกจะไม่ใช่ในแบบที่ใฝ่ฝันไว้ก็ตาม

แต่ประโยชน์ของช่อง 'โหวตโน' ที่ซ่อนอยู่ คือจะช่วยสะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองที่เห็นและเป็นอยู่ไม่ได้มีคุณค่า หรือมีความหมายต่อคนไทยอีกต่อไปแล้ว คนไทยจึงพร้อมใจกันกาเลือก 'ช่องที่ไม่ต้องเลือกใคร' เพราะมองไม่เห็นว่าคนหรือพรรคการเมืองใดควรคู่กับ 'ความไว้วางใจ' ของประชาชนได้อีกต่อไปแล้ว 

เข็ด เบื่อ เหลืออด ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง คนใหม่ก่นด่าว่าคนเก่าแต่พอเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ทำในสิ่งที่แย่กว่า และปัญหาการคอร์รัปชันก็ไม่เคยหมดหายไปจริง ๆ แล้วจะให้ประชาชนกาเลือกในสิ่งที่มีอยู่อีกทำไม? นี่คือเหตุผลหลักของคนที่เลือกช่อง 'โหวตโน' 

หากมองในมุมโลกสวยขึ้นมาอีกนิด คนไทยที่เลือกช่อง 'โหวตโน' หรือเลือกพรรคที่ 'ไม่เข้าขั้นแย่' คนไทยสองกลุ่มนี้ก็ยังเป็นกลุ่มคนที่พอจะหวังพึ่งพิงได้ของประเทศชาติ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่บ้องตื้นกาเลือกพรรคการเมืองที่วัน ๆ คิดแต่จะล้มล้างการปกครอง หรือพรรคการเมืองที่นอกจากเคยโกงจำนำข้าว, มีนักโทษลวงโลกบนชั้น 14 ก็ยังมีนายกนอมินีที่ติดอันดับโง่จนทำให้ประเทศชาติอับอายแทบจะทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์สื่อ

ถึงมีคำกล่าวที่ว่า นายกเป็นแบบใด คนเลือกเข้ามามันก็เป็น..แบบนั้น

'เฉลิมชัย' ย้ำ ปชป. ขึ้นปีที่ 79 อุดมการณ์ยังมั่นคง เทใจให้สื่อร่วมกันทำงาน 'เดชอิศม์' ยันพรรคเติบโตปีเดียวสมาชิกตลอดชีพเพิ่ม 2 หมื่นคน

เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (24 ธ.ค. 67) พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดงานเลี้ยงปีใหม่ให้กับสื่อมวลชน ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าอาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช สำนักงานใหญ่ของพรรค ถือว่าเป็นงานประเพณีของพรรคที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี สำหรับในปีนี้บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น โดยมี กรรมการบริหาร สส. ไปจนถึงอดีต สส. เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง 

ในช่วงหนึ่ง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม (รมว. ทส.) กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความผูกพันกับสื่อมวลชนมาเป็นเวลานานมาก บางท่านเรารู้จักกันมานานถึง 10-20 ปีแล้ว วันนี้จึงอยากให้สื่อมวลชนได้มาเห็นว่าประชาธิปัตย์ของเราเปิดพื้นที่จริงๆ ไม่ได้เปิดแต่ปาก พร้อมกับปรับเปลี่ยนการทำงานทั้งหมด 

“ประชาธิปัตย์คนเดิมมีอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง คนใหม่ที่เข้ามาคือปรับการทำงาน จุดยืน อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และผมจะไม่ยอมเป็นหัวหน้าพรรคที่เปลี่ยนแปลงจุดยืนและอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์เด็ดขาด แต่ถ้าประชาธิปัตย์ไม่เปลี่ยน หรือผมไม่กล้าเปลี่ยน ประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ 100% ผมอยากให้ประชาธิปัตย์เดินต่อ มาเดินข้างผม มาเดินไปพร้อมๆ กับผม เชื่อเถอะครับว่า อนุรักษ์นิยมทันสมัย ยังอยู่ได้ในประเทศไทย” ดร.เฉลิมชัย กล่าว 

พร้อมกับได้อวยพรสื่อมวลชน ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2568 ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านให้ความเคารพนับถือ พระแม่ธรณีบีบมวยผมที่เป็นสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ พระบารมีในหลวงรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้โปรดประทานพรให้พี่น้องและเพื่อนสื่อมวลชน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ  สส. สมาชิกพรรคทุกท่านให้โชคดี คิดสิ่งใดขอให้สำเร็จ สุขภาพร่างกายแข็งแรง เดินทางไปไหนให้แคล้วคลาดปลอดภัย 

จากนั้น นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) ได้ขึ้นเวทีพร้อมกับกล่าวว่า หลายคนบ่นกับตนว่าเมื่อก่อน นายกชายเข้าง่าย สัมผัสง่าย โดยเฉพาะช่วงก่อนร่วมรัฐบาล พวกเราขยี้นายกชาย ได้อย่างเต็มที่ แต่พอไปเป็นรัฐมนตรี 3 เดือน แทบจะหาตัวไม่ได้เลย เรื่องนี้ขอชี้แจงว่า 

1. ตนยังเป็น สส. เขตอยู่ เมื่อเสร็จงานที่กรุงเทพฯ ก็กลับไปอยู่ในเขตของตัวเอง และเพิ่งไปเห็นว่า จนท. พรรค ไปแค่ 3 วัน ก็มีประชาชน มีแกนนำมาสมัครสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 4,000 กว่าคนแล้ว แบบนี้จะบอกว่ากระแสประชาธิปัตย์ตกต่ำได้อย่างไร 

2. ตนยังทำหน้าที่เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ร่วมกับหัวหน้า และเพื่อนชาวประชาธิปัตย์ ฟื้นฟูพรรคให้ได้ เมื่อไปดูตัวเลขสมาชิกพรรค ตั้งแต่ ดร.เฉลิมชัย มาเป็นหัวหน้าพรรค จนถึงวันนี้ มียอดผู้สมัครเป็นสมาชิกแบบตลอดชีพ เกิน 20,000 คน แล้วประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ได้อย่างไร

“หลายคนดูถูกว่าเฉลิมชัย ศรีอ่อนมาเป็นหัวหน้าพรรค ทำให้พรรคตกต่ำอยู่แล้วยิ่งตกต่ำเข้าไปอีก พูดถึงขนาดว่าประชาธิปัตย์ต้องสูญพันธุ์ แล้วไปดูสิครับ วันนี้ จนท. พรรค คีย์รับสมัครไม่ทันเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าประชาธิปัตย์ไม่สูญพันธุ์แน่นอน ประชาธิปัตย์เริ่มเชิดหัวขึ้นแล้ว” 

3. ตนได้รับฉันทามติจากพี่น้องประชาธิปัตย์ ให้ไปทำหน้าที่เป็น รมช. สธ. ผมดูแล 2 กรมเล็กๆ คือกรมแพทย์ทางเลือกฯ และกรมอนามัย กับอีก 5 สถาบัน แม้จะเป็นกรมเล็กๆ แต่มีผลต่อสุขภาพของคนไทย 

“ขอถือโอกาสนี้อำนวยอวยพรให้พี่น้องสื่อมวลชน ข้อ 1 ต้องมีสุขภาพกาย และสุขภาพใจที่แข็งแรง ข้อ 2 ให้มีความก้าวหน้าในการงานของท่าน ข้อ 3 ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัยทุกคน ข้อ 4 ขอให้ลูกหลานของทุกท่านประสบความสำเร็จด้วย” เลขาธิการพรรค กล่าว 
 

พีระ...พัง...ปัญหาราคาน้ำมันและไฟฟ้า สะท้อนตัวตนคนทำงานจริง...กับปัญหาที่ไม่มีใครเคยแก้

(26 ธ.ค. 67) เชื่อหรือไม่ว่า ‘การตั้งฉายารัฐบาล และรัฐมนตรีประจำปี’ ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลนั้น ปราศจากอคติส่วนตัว โดยอ้างว่า เป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมานานของ ‘ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล’ และเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาลและรัฐมนตรี

การตั้งฉายา ‘รองพีร์’ ว่า ‘พีระพัง’ นั้น เป็นการตั้งฉายาที่ราวกับ ‘จงใจ’ หรือ ‘รับใบสั่งมา’ โดยทำเป็นหลับหู หลับตา ไม่สนใจผลงานจากการทำงานด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของ ‘รองพีร์’ ในการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันและไฟฟ้าที่หมักหมมมาหลายสิบปี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแทบทุกคนที่ผ่านมา ไม่มีใครเลยที่เคยจะพยายามหาหนทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เลย

ทั้งนี้ ปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยเกิดขึ้นจากวิกฤตน้ำมันครั้งที่ 1 ในปี 1973 (พ.ศ. 2516) ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกขณะนั้นสูงขึ้นเกือบ 300% ทำให้รัฐบาลไทยในยุคนั้นต้องหากลไกเครื่องมือในการจัดการจึงเกิดเป็น ‘กองทุนน้ำมัน’ ขึ้นและกลายเป็นกลไกเครื่องมือเพียงอย่างเดียวของทุกรัฐบาลที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาราคาเชื้อเพลิงพลังงานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะไม่ว่าจะเป็น บทบาท อำนาจหน้าที่ และกฎหมาย ที่รัฐมีอยู่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาเชื้อเพลิงพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อ ‘รองพีร์’ รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจึงได้ให้ทีมงานทำการศึกษาถึงต้นตอของปัญหาเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขอย่างจริงจัง อาทิ (1) ต้นทุนของน้ำมันเชื้อเพลิงที่แท้จริง ก่อนประกาศกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2567 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุนให้กับหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลทุกวันที่ 15 ของเดือน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องไม่เคยรู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่แท้จริงของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเลย 

(2) ‘รองพีร์’ สั่งการให้หาวิธีที่จะทำให้ ‘ราคาน้ำมัน’ ต้องไม่ขึ้นลงรายวัน ด้วยการ ‘รื้อระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง’ โดยผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงต้องแจ้งให้กระทรวงฯ ทราบก่อน และให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้เพียงเดือนละหนึ่งครั้ง ซึ่งจะทำให้ยุคที่บรรดา ‘ผู้ค้าเชื้อเพลิงพลังงาน’ สามารถกำหนดราคาและขึ้นลงตามอำเภอใจ อาทิ การขึ้นราคาน้ำมันทันทีตามราคาตลาดโลกทั้ง ๆ ที่น้ำมันที่ซื้อขายในประเทศขณะปัจจุบันได้ซื้อมาเมื่อ 3 เดือนก่อนแล้ว 

(3) เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันอย่างยั่งยืน ‘รองพีร์’ จึงมีแนวคิดที่จะเปลี่ยน ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ที่ใช้ต้องเงินมากมายและสร้างหนี้สาธารณะ เป็น ‘การสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve)’ ซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซที่เก็บสำรองเอาไว้จะเป็นทรัพย์สินของประเทศ และไม่ใช่ภาระหนี้สินอีกต่อไป 

เมื่อเกิดวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในอนาคต รัฐบาลสามารถนำปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองที่มีอยู่ใช้ในการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้ เพราะที่ผ่านมาปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากวิกฤตเชื้อเพลิง มีการใช้ ‘เงิน’ จาก ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ ในการแก้ไขปัญหา แต่ความเป็นจริงแล้วในยามเกิดวิกฤตน้ำมัน ‘เงิน’ ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหา เพราะต้องใช้ ‘เงิน’ มากขึ้นในการซื้อน้ำมัน หรือบางสถานการณ์แม้จะมี ‘เงิน’ แต่อาจไม่สามารถหาซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่สามารถขนส่งมาประเทศไทยได้

นอกจากนี้ ‘SPR’ จะทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการต่อรองและเพิ่มการถ่วงดุลในระบบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศอีกด้วย เพราะรัฐบาลจะสามารถรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาในประเทศได้ตลอดเวลา จึงทำให้ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ณ เวลาที่ซื้อมาหรือจำหน่ายออกไป นอกจากนี้ ‘SPR’ จะทำให้ประเทศมีความมั่นคงทางพลังงานมากขึ้นเมื่อปริมาณการเก็บสำรองจะเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศถึง 90 วัน (จากเดิมที่เก็บไว้สำหรับ 25 วันโดยผู้ค้า) ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุด อย่างมากมายและยั่งยืน แก่ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย

ในส่วนของพลังงานไฟฟ้า ‘รองพีร์’ ได้ผลักดันการลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนและสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องมากว่า 1 ปีแล้ว ทั้งยังสั่งการให้มีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) เพื่อให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในภาพรวมลดลงและเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ ตลอดจนติดตามเร่งรัดการขุดเจาะและผลิตก๊าซจากอ่าวไทยเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากการที่ต้องนำเข้าก๊าซจากแหล่งผลิตนอกประเทศ

นับตั้งแต่ ‘รองพีร์’ รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย ซึ่งหวังว่าจะสามารถ ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ปัญหา ‘เชื้อเพลิงพลังงาน’ ที่เหลือทั้งหมดให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 1 ปี โดยไม่กลัวอิทธิพลอะไรและไม่อยู่ใต้อิทธิพลใดใดทั้งสิ้นโดย ดังนั้นแทนที่ ‘ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล’ จะให้ความสำคัญกับเรื่องราวเหล่านี้ที่สำคัญและเป็นประโยชน์สูงสุดอย่างมากมายและยั่งยืนแก่ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย และเมื่อพิจารณาเยี่ยงวิญญูชนแล้ว ฉายาดังกล่าวกลายเป็นการบั่นทอน ด้อยค่า การทำงานของ ‘รองพีร์’ คล้ายกับไม่ต้องการให้สิ่งที่ ‘รองพีร์’ ทำประสบความสำเร็จ แต่ ‘รองพีร์’ เอง ได้ขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยมั่นใจว่า จะพยายามปรับปรุงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในเรื่องของพลังงานให้ดีที่สุด ทั้งนี้ ‘รองพีร์’ ได้ฝากขอบคุณและขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้ช่วยกันร่วมเป็นผนังกําแพงให้ ‘รองพีร์’ และทีมงานได้พึ่งพิงเพื่อทำงานสำคัญนี้ให้สำเร็จแล้วเสร็จ

‘พีระพันธุ์’ พังอุปสรรคพลังงานเพื่อประชาชน ผนึก ก.อุตฯ เสนอร่าง กม. ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปช่วยลดภาระค่าไฟ

‘พีระพันธุ์’ พังอุปสรรคพลังงานเพื่อประชาชน  ‘รวมไทยสร้างชาติ’ เสนอร่างกฎหมายปลดล็อค ‘โซลาร์รูฟท็อป’ อย่างครบวงจรครั้งแรกของประเทศ  เลิกระบบขออนุญาต  มุ่งลดภาระค่าไฟให้ประชาชน  พร้อมสร้างอาชีพใหม่  ธุรกิจใหม่ 

(25 ธ.ค. 67) ที่รัฐสภา  นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงข่าวร่วมกับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ  โดยเปิดเผยว่า  พรรครวมไทยสร้างชาติกำลังเตรียมนำเสนอร่างกฎหมายสนับสนุนและส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานจากแสงอาทิตย์  ที่เรียกว่า ระบบโซลาร์รูฟท็อป เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในวันนี้  ซึ่งจะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการช่วยให้ประชาชนหลุดพ้นจากภาระค่าไฟฟ้าแพง  และเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติที่มุ่งลดภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน  และเป็นการร่วมทำงานระหว่างกระทรวงเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ปัจจุบันการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย ยุ่งยาก ซับซ้อน และมีราคาแพง อีกทั้งยังมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องถึง 5 แห่ง  พรรครวมไทยสร้างชาติในฐานะที่ดูแลกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งกำกับดูแลหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้  จึงได้ดำเนินการประสานกันระหว่างทั้งสองกระทรวงอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลดล็อคให้ประชาชนสามารถติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น  โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  กระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีให้ยกเว้นการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปทุกกำลังการผลิตที่ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงาน ไม่ต้องขอใบอนุญาตอีกต่อไป  ในขณะที่ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ก็กำลังเร่งรัดการออกกฎหมายเพื่อปลดล็อคเรื่องการขออนุญาตติดตั้งเช่นกัน

“เรามีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึง 5 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งต่างก็มีกฎหมายของตนเองที่ตีความว่าการจะติดตั้งระบบโซลาร์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของหน่วยงานตน  เรามีกฎหมายเยอะมาก แต่ที่ไม่เคยมีก็คือ กฎหมายที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานจากแสงแดด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย  วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ยกร่างกฎหมายซึ่งไม่เคยมีในประเทศไทยให้กับพี่น้องประชาชน คือ กฎหมายเกี่ยวกับการสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เข้าสภาผู้แทนราษฎร และกฎหมายฉบับนี้จะปลดล็อคอย่างถาวรจากฎหมายอื่นๆ ที่เคยนำมาอ้างอิง ” นายพีระพันธุ์กล่าว 

นายพีระพันธุ์ยังได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้สนับสนุนในการดำเนินการดังกล่าว พร้อมระบุว่ากฎหมายฉบับนี้จะทำให้พี่น้องประชาชนมีค่าใช้จ่ายเรื่องพลังงานไฟฟ้าถูกลง และเป็นการทำตามนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และส่งเสริมให้ภาครัฐเป็นผู้ให้บริการ โดยเปลี่ยนจากการขออนุญาตติดตั้งอุปกรณ์โซลาร์เป็นการแจ้งให้ทราบ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการติดตั้งได้เร็วขึ้น โดยหน่วยงานเกี่ยวข้องจะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบการติดตั้งในภายหลังเท่านั้น ซึ่งจะลดความล่าช้าในการติดตั้ง รวมถึงการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐได้ 

นายพีระพันธุ์กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ผลของกฎหมายฉบับนี้ยังช่วยสร้างอาชีพใหม่ โดยเฉพาะอาชีพการติดตั้งโซลาร์เซลล์-โซล่าร์รูฟท็อป  ซึ่งตนได้เตรียมความพร้อมในการเสริมสร้างทักษะอาชีพด้านนี้ผ่านการอบรมโดยกระทรวงพลังงาน  รวมถึงเตรียมที่จะปรับปรุงเงื่อนไขของกองทุนที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนด้านเงินทุนให้กับพี่น้องประชาชนที่มีความต้องการติดตั้งพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ 

สำหรับปัญหาราคาในการติดตั้งอุปกรณ์โซลาร์ที่มีราคาแพงนั้น  กระทรวงพลังงานได้มีการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์ในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ซึ่งผ่านการทดสอบคุณภาพจาก สวทช. ในขั้นตอนแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ทางกระทรวงพลังงานยังมีการวิจัยการประดิษฐ์แบตเตอรีสำหรับกักเก็บพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกด้วย 

“ทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่ทุกอย่างที่หมักหมมมาหลายสิบปีจะได้รับการพังทลายโดยพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างแน่นอน พลังงานจะต้องดีกว่าที่เคยเป็นแน่นอน ในระหว่างที่ผมดำรงตำแหน่ง ประชาชนและประเทศชาติจะต้องได้รับประโยชน์มากที่สุด” นายพีระพันธุ์กล่าว

‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ ยันการลาออกจากอธิบดีทำตามขั้นตอน พร้อมประกาศเดินหน้าหาเสียงชิงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา

เมื่อวันที่ (24 ธ.ค. 67) จากกรณีมีกระแสข่าวเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของการลาออกจากราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมฝนหลวงของนายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ซึ่งขณะนี้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา อาจมีความไม่สมบูรณ์ตามขั้นตอนทางกฎหมาย จนอาจส่งผลกระทบต่อการลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น ล่าสุด นายสุพิศได้ออกมาชี้แจงเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง

นายสุพิศ เปิดเผย กับผู้สื่อข่าวว่า การลาออกจากราชการของตนได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยได้ปฏิบัติตามระเบียบของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ว่าด้วยการลาออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญทุกประการ โดยในครั้งที่ลาออก ตนได้ทำหนังสือแจ้งไปยังปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง และได้รับการเห็นชอบจากปลัดกระทรวงแล้ว ขณะนี้เอกสารดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำลังพิจารณาตามกระบวนการของทางราชการ ซึ่งจากระเบียบที่ได้อ้างถึงข้างต้นนั้นหากลาออกจากราชการเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง ให้การลาออกมีผลนับแต่วันที่ขอลาออก นายสุพิศ กล่าว 

นอกจากนี้ นายสุพิศ ยังเปิดเผยว่า ตนได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดสงขลาเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งได้รับการยืนยันว่าไม่มีปัญหาหรือข้อขัดข้องแต่อย่างใด

ในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ นายสุพิศ ได้ย้ำถึงความมั่นใจในความถูกต้องของการลาออกจากราชการ พร้อมเดินหน้าทำงานหาเสียง พบปะพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทั้ง 16 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่อนำเสนอนโยบายและวิสัยทัศน์ในการพัฒนาจังหวัด โดยกล่าวว่า 

“ผมขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนทุกท่านว่า การลาออกของผมชอบด้วยกฎหมายเรียบร้อยแล้ว และต่อจากนี้ผมจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อแนะนำตัว เพื่อขอโอกาสจากพี่น้องประชาชนชาวสงขลาพร้อมนำเสนอนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ“

การยืนยันครั้งนี้เป็นการแสดงถึงความโปร่งใสและความตั้งใจของนายสุพิศที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาอย่างมั่นคง พร้อมมุ่งหวังสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับชาวสงขลาในอนาคต

‘พีระพันธุ์’ ยัน ไม่โกรธ-ไม่สนใจ ฉายา “พีระพัง” ที่สื่อทำเนียบตั้งให้ พร้อมย้อนถามใครแก้ปัญหาได้เร็วกว่าตน

(25 ธ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ตั้งฉายาให้เป็น “พีระพัง” ว่า ตนเองไม่ได้อ่าน แต่ประชาชนได้ชี้แจงแทนตนเองหมดแล้ว ดังนั้น จึงไม่โกรธ และไม่ได้สนใจ เพราะแทบจะไม่มีเวลาทำงานอยู่แล้ว 

ส่วนการที่ได้รับฉายา “พีระพัง” อาจเป็นเพราะแก้ไขปัญหาด้านพลังงานล่าช้าหรือไม่นั้น นายพีระพันธุ์ ได้ย้อนถามสื่อมวลชนกลับว่า มีใครแก้ปัญหาได้เร็วกว่าตนเองหรือไม่? และ 1 ปีที่ผ่านมา ตนก็มีผลงาน ก่อนที่สื่อมวลชนจะถามเช่นนี้ ต้องถามก่อนว่า มีใครทำได้เร็วกว่าตน? และกระบวนการต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนเอง ซึ่งถ้าทุกอย่างอยู่ภายใต้การดูแลของตนเองพรุ่งนี้ก็สามารถประกาศได้ ดังนั้น อยากให้เร็ว จะต้องแก้กฎหมาย แก้ระบบ และมีกฎหมายเข้าสภา

นายพีระพันธุ์ ยังยืนยันว่า ภายใต้การดูแลของตนเองทุกอย่างจะถูกลง ประชาชน และประเทศชาติ จะได้ประโยชน์มากขึ้น รวมถึงจะสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ลดต้นทุนการผลิตสินค้าให้ประชาชน 

นายพีระพันธุ์ ยังระบุอีกว่า วันก่อนมีสื่อมวลชนกล่าวถึงตนเองว่า ไม่เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งตนเองไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ และสื่อมวลชนน่าจะฉลาดกว่านี้ 

ส่วนกังวลจะมีม็อบมากดดันเรื่องการแก้ไขปัญหาพลังงานหรือไม่นั้น นายพีระพันธุ์ ยืนยันว่า ไม่กังวล เพราะพรรคฯ ทำเพื่อประชาชนได้ประโยชน์

ขณะเดียวกัน ในวันนี้ (25 ธ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ พร้อมด้วย สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังได้แถลงข่าวร่วมกันในการปลดล็อก “โซลาร์รูฟท็อป” เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนในการลดค่าไฟฟ้า เนื่องจากที่ผ่านมา ทุก 4 เดือน จะต้องมีการปรับราคาค่าไฟฟ้าทุก ๆ 4 เดือน เพราะไฟฟ้าไทยยังต้องใช้เชื้อเพลิงมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต ราคาจึงต้องขึ้นกับตลาดโลก และพบว่า การให้ประชาชนหลุดพ้นจากค่าไฟที่แพง จึงต้องสนับสนุนให้ประชาชนใช้พลังงานจากแสงแดด แต่การติดตั้งของประชาชนในประเทศยังยุ่งยากด้านกฎหมาย มีราคาแพง มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาเกี่ยวพัน ใช้เวลานานในการดำเนินการขออนุญาต ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมกระทรวงพลังงานดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งจะมีร่างกฎหมายสนับสนุนให้ประชาชนใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงแดด ที่ประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อน และพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ยกร่างกฎหมายฉบับนี้เสร็จสิ้นแล้ว โดยประชาชนจะสามารถติดตั้ง “โซลาร์รูฟท็อป” ได้อย่างสะดวก เพื่อแค่ยื่นแจ้งเพื่อทราบ ไม่ต้องมีการขออนุญาตใด ๆ และให้ประชาชน ดำเนินการตามขั้นตอนที่กระทรวงฯ จะกำหนด และจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบความถูกต้องภายหลัง จึงมั่นใจว่า ประชาชนจะสามารถใช้ราคาไฟฟ้าที่ถูกขึ้น และจะส่งผลให้สินค้าอื่น ๆ ถูกขึ้นด้วย เนื่องจาก ราคาไฟฟ้าซึ่งเป็นต้นทุน มีราคาถูกลง

‘สส. รทสช.’ ร่วมให้กำลังใจ ‘พีระพันธุ์-เอกนัฏ’ ตอกย้ำหนักแน่น พร้อมขอเดินเคียงข้างพรรคเสมอ

กลมเกลียวเป็นหนึ่ง ‘อัครเดช’ เผย สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมให้กำลังใจ ‘พีระพันธุ์-เอกนัฏ’ เดินหน้าทำสิ่งที่ถูกต้อง ย้ำหนักแน่นเคียงข้างพรรคเสมอ

เมื่อวันที่ (24 ธ.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะโฆษกพรรค แถลงผลการประชุมประจำสัปดาห์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยระบุว่า ในวันนี้ทั้งผู้บริหารพรรค สส.พรรคได้เดินทางมาประชุมร่วมกันอย่างพร้อมเพรียงและพร้อมใจกันให้กำลังใจนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ยึดมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป เนื่องจากเข้าใจดีว่า การทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผลประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน แต่ไปขัดขวางผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ย่อมทำให้เกิดกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์และผู้ไม่หวังดีที่พยายามปล่อยข่าวดิสเครดิต เพื่อหวังให้พรรคเสียหาย ซึ่งในที่ประชุมทั้งผู้บริหารพรรค สส. และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนก็ยืนยันตรงกันอีกครั้งว่า จะขออยู่เคียงข้างหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และพร้อมเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นความหวังของพ่อแม่พี่น้องประชาชนและประเทศไทยต่อไป

ด้านนายพีระพันธุ์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมด้วยว่า ขณะนี้พรรคได้คะแนนนิยมและเสียงตอบรับที่ดีขึ้นจากประชาชน เห็นได้จากยอดเงินบริจาคที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงขอให้สส. พรรคทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนพ่อแม่พี่น้องประชาชน และขอให้ทุกคนเดินเคียงข้างไปพร้อม ๆ กันกับตนเองและเลขาธิการพรรค เพื่อพัฒนาพรรคให้เติบโต แข็งแกร่ง เป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไปให้เหมาะสมกับคำขวัญของพรรคที่ว่า “สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง”

ขณะเดียวกันในวันที่ 25 ธ.ค. 67 เวลา 11.00 น. จะมีการแถลงข่าวมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย นำโดยนายพีระพันธุ์และนายเอกนัฏ และสส. พรรค เกี่ยวกับการปลดล็อก “โซลาร์รูฟท็อป” ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดได้ในราคาที่ถูกและเป็นธรรมด้วย

‘สุชาติ’ ลั่นไม่ได้หายไปไหน ยังทำงานเพื่อประชาชนทุกวัน เดินหน้าผลักดันส่งออก หวังทำให้ FTA มีประโยชน์สูงสุด

รมช.พาณิชย์ ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ ยืนยันไม่ได้หายไปไหน ลุยทำงานพร้อมรอยยิ้ม เดินหน้าผลักดันส่งออก ชี้ต้องการทำให้ FTA มีประโยชน์สูงสุด

(24 ธ.ค.67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ตนทำงานในฐานะ รมช.พาณิชย์ อย่างเต็มที่ โดยที่ผ่านมาได้เดินหน้าทำงานต่อเนื่อง สร้างผลงานดันเจรจา FTA ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ FTA มีประโยชน์ต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชนสูงสุด โดยขอยืนยันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ยังคงเดินหน้าทำงานต่อเนื่อง ทั้งช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเติบโตขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ผลักดันการส่งออก ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มช่องทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ แต่ยังสามารถสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

อีกทั้งยังสานต่อนโยบายของ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เดินหน้าเจรจา FTA และติดตามผลการประชุมอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการเจรจาความตกลงการค้าเสรี FTA และติดตามผลการประชุมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (EPA) ไทย-เกาหลีใต้ ครั้งที่ 2 ในการหารือและสรุปข้อบังคับทางศุลกากรและการอำนวยความสะดวกในด้านการค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการนำเข้าและส่งออก การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า ไทย-เซเนกัล เปิดประตูการค้าสำคัญในการเข้าสู่ตลาดแอฟริกาตะวันตก ผลักดันเจรจา FTA ต่อเพื่อสานสัมพันธ์การค้าการลงทุน ไทย-ตุรกี โดยการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ตุรกี กลับเข้าสู่การเจรจาหลังจากหยุดชะงักลงตั้งแต่ปี 2565 และ เร่งผลักดัน ”BIMSTEC FTA“ ในเวทีระดับภูมิภาคร่วม 7 ประเทศ

นายสุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ ไทยมีความตกลง FTA ทวิภาคี กับประเทศสมาชิก ได้แก่ FTA ไทย-อินเดีย, อาเซียน-อินเดีย, FTA ไทย-ศรีลังกา (คาดว่าจะบังคับใช้ 1 ม.ค. 68) FTA ไทย-ภูฏาน (คาดว่าจะสรุปผลได้ภายในปี 68) ไทย-บังกลาเทศ (ลงนามแสดงเจตจำนงเริ่มเจรจา FTA ภายในปี 68) ทั้งนี้พร้อมที่จะสนับสนุนการเจรจาทบทวนการค้าสินค้าภายใต้อาเซียนอินเดีย FTA ให้มีการสรุปผลสำเร็จได้ภายในปี 2568 โดยตนได้เดินสายประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ เตรียมรับมือ เร่งใช้ประโยชน์จาก FTA สร้างความรู้ความเข้าใจ การอำนวยความสะดวกในด้านการค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนำเข้าส่งออก พร้อมเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ

“ทำงานไปพร้อมกับรอยยิ้มทุกวัน ไม่ได้หายไปไหนครับ พี่น้องสื่อมวลชนอย่าเพิ่งลืมกันไปเสียก่อน มีอะไรก็ยกหูโทรฯ หามาได้ 24 ชม. ที่เงียบ ๆ ไปก็เพราะทำงานครับ ผมจะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานต่อไป เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชน โดยไม่ให้กระแสข่าวที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการทำงานและการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์แต่อย่างใด” นายสุชาติ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top