Monday, 6 May 2024
POLITICS NEWS

‘บิ๊กป้อม’ พอใจแก้ปัญหาที่ดินให้ปชช. คืบหน้า ย้ำ!! ยึดหลักหนึ่งเดียวกัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตปชช.

‘พล.อ.ประวิตร’ พอใจแก้ปัญหาที่ดินคืบหน้า ย้ำยึดหลักหนึ่งเดียวกัน พร้อมลงจี้กวาดล้างใหญ่ยาเสพติดทุกพื้นที่เชื่อมโยงตัวการไม่มียกเว้น

โฆษกประจำ รอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อม รมว.ดีอีเอส รมช.คลัง และคณะ เดินทางลงตรวจราชการพื้นที่ จังหวัดกำแพงเพชร ติดตามการแก้ปัญหายาเสพติด ที่ดินทำกินและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง โดยรับฟังสถานการณ์ด้านการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติด และการจัดการที่ดินทำกินตามนโยบายของรัฐบาล ณ รร.ปางศิลาทองศึกษา มี ผวจ.กำแพงเพชร มทภ.3 ผบช.ภาค 6 ผอ.สคทช. เลขา สทนช.และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ให้การต้อนรับ

โดยพล.อ.ประวิตร ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาเขียว-ป่าเขาสว่าง และป่าคลองห้วยทราย เนื้อที่กว่า 12,951 ไร่ มีประชาชนเข้าอยู่อาศัย 1,077 ราย ให้กับ ผวจ.กำแพงเพชร พร้อมทั้งมอบหนังสืออนุญาตสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดที่ดินทำกินในพื้นที่ อ.ปางศิลาทอง และ อ.ขาณุวรลักษณ์บุรี เนื้อที่รวมกว่า 4,233 ไร่ ให้กับประชาชนจำนวน 334 ราย 

‘ธนาธร’ ร่วมวงปลุกพลังเลือก ‘ก้าวไกล’ ชูอุดมการณ์ ลดเหลื่อมล้ำ สู้ทุนใหญ่ผูกขาด

‘ก้าวไกล’ ล่องใต้เปิดเวทีพบสมาชิกที่กระบี่-ภูเก็ต เดินหน้าขยายฐานสมาชิกเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง ‘ธนาธร’ ร่วมเวทีด้วย เคลียร์ชัดอุดมการณ์อนาคตใหม่ ต่อเนื่องสู่ก้าวหน้า-ก้าวไกล คือการต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมที่เป็นธรรมเป็นประชาธิปไตย 

พรรคก้าวไกล จัดกิจกรรมเปิดรับสมัครและพบปะสมาชิกพรรคที่จังหวัดกระบี่และจังหวัดภูเก็ต โดยมี ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีเปิดการรณรงค์ขยายฐานสมาชิก และพูดคุยเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลในการเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งทั่วประเทศ พร้อมเชิญ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมการบรรยายเกี่ยวกับประเทศไทยที่พรรคก้าวไกล-คณะก้าวหน้า อยากเห็น

ธนาธร เริ่มต้นด้วยการอธิบายถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ในประเทศไทยที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยระบุว่าความเหลื่อมล้ำเช่นนี้เป็นผลโดยตรงจากการจัดสรรทรัพยากรของประเทศอย่างไม่เป็นธรรม อำนาจทางการเมืองถูกใช้เพื่อการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนขนาดใหญ่มากกว่าประชาชน นำไปสู่การผูกขาดทางเศรษฐกิจอยู่ในมือของกลุ่มทุนขนาดใหญ่และชนชั้นนำ 

นี่คือปัญหาที่พรรคอนาคตใหม่เดิม มาจนถึงพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าวันนี้ยืนยันมาตลอดว่าเป็นเป้าหมาย ก็คือการทลายทุนผูกขาด และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยทุกคน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชน และทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการเรียกร้องแสดงออก

ธนาธร กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาชนชั้นนำมักอ้างความสามัคคีปรองดองมาเรียกร้องต่อทุกคนในชาติและใช้ในการโจมตีพวกเราตลอดเวลา แต่คำถามคือการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนผูกขาดร่ำรวยเป็นหลักแสนล้านภายในเวลาไม่กี่ปี ขณะที่ปล่อยให้คนเกิน 50% ของประเทศนี้มีรายได้ไม่ถึง 7,500 บาทต่อเดือน เข้าไม่ถึงน้ำประปาที่มีคุณภาพ บริการสาธารณะที่ดี ทั้งที่เป็นสิทธิพื้นฐาน สิ่งนี้คือความปรองดองของคนในชาติหรือไม่

ดังนั้น ประเทศไทยในแบบที่เราอยากเห็นเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก คือเป็นประเทศที่ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะเกิดที่จังหวัดไหน ต้องเข้าถึงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน น้ำประปา โรงเรียน โรงพยาบาลที่ดีเหมือนกัน เราต้องการสร้างประเทศที่เสมอภาคเป็นธรรม ดอกผลการพัฒนากระจายถึงทุกคน มีเศรษฐกิจที่ทันสมัย มีเทคโนโลยีของตัวเอง และเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องสามัญพื้นฐานที่คนไทยทุกคนควรได้รับ นี่คือสังคมไทยที่เราเปลี่ยนแปลงได้

“การเรียกร้องให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ มีความเป็นธรรม ดอกผลการพัฒนากระจายถึงทุกคน มีเศรษฐกิจที่ทันสมัย ไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง ไม่ใช่เรื่องที่ผิด นี่คือสังคมที่เราทุกคนอยากให้ลูกหลานของเราเติบโตขึ้นมา โอกาสในการเปลี่ยนแปลงอยู่ในมือทุกท่านแล้ว มาร่วมกันผลักดันวาระสำคัญของประเทศ ให้ดอกผลของการพัฒนาไม่ได้ตกอยู่กับเจ้าสัวไม่กี่คน แต่อยู่กับคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เราทำได้ด้วยการร่วมสร้างพรรคก้าวไกลด้วยกัน” ธนาธรกล่าว

ด้านชัยธวัช ได้บรรยายถึงยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง โดยระบุว่าพรรคก้าวไกลมีเป้าหมายที่ต้องการเป็นพรรคเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยเล็งเห็นว่าการเปลี่ยนรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีเพียงลำพังไม่สามารถทำให้ประเทศไทยดีขึ้นได้ ต้องเปลี่ยนไปถึงโครงสร้างทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของประเทศ

นั่นเป็นเพราะปัญหาของสังคมไทยที่เป็นข้อขัดแย้งไม่จบสิ้นมายาวนาน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 คืออำนาจการเมืองในประเทศนี้อยู่ที่ประชาชนหรืออยู่ที่อื่น ซึ่งที่ผ่านมาการรัฐประหารทั้งสองครั้งล่าสุดในปี 2549 และ 2557 เป็นการรัฐประหารที่ฝ่ายชนชั้นนำได้ลดทอนอำนาจจากการเลือกตั้ง และเพิ่มอำนาจให้กลุ่มที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทั้งกองทัพ องค์กรอิสระ และตุลาการมาโดยตลอด

'ส.ส.อมรัตน์-ก้าวไกล' ง้างปากเพื่อไทย เผยจุดยืน 112 ไม่ต้องขนาดเป็นนโยบาย ขอแค่กล้าพูดถึงบ้างก็ยังดี

(21 พ.ย. 65) จากกรณี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย แสดงจุดยืนในนามพรรคเพื่อไทย ไม่มีนโยบาย เกี่ยวกับการแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ล่าสุด นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า...

‘จุรินทร์’ ควง นิพนธ์-นริศ เปิดตัว 12 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชายแดนใต้ ลั่นสู้ทุกเขตประกาศยุทธศาสตร์สร้างความมั่นคงด้านอาหาร ก้าวข้ามความขัดแย้ง สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

20 พ.ย.2565-ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.จังหวัดพัทลุง และคณะ “จุรินทร์ ออนทัวร์ จังหวัดชายแดนใต้” เข้าร่วมงานประชุมสมาชิกพรรค “รวมพลังประชาธิปัตย์ ปลายด้ามขวาน” ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา พร้อมเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. 12 เขต ของจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนเดินทางมาร่วมทำกิจกรรมกับพี่น้องในจังหวัดชายแดนใต้อยู่บ่อยครั้งอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นสำหรับพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้กับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คนอื่นไกล เราเป็นพี่น้องกันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนไทย เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขพรรคการเมืองที่ชื่อว่า ประชาธิปัตย์ นับเนื่องมาอย่างยาวนาน

นายจุรินทร์กล่าวว่า ทุกวันนี้ปัญหาเรื่องความมั่นคงยังมีอยู่ แต่ยังมีปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นซึ่งก็คือปัญหาเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ปากท้องของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประชาธิปัตย์มีนโยบายพัฒนานำปืน เพราะการพัฒนาคือหัวใจ และการพัฒนาต้องทำในหลายมิติทั้งเรื่องการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และเรื่องอาชีพความเป็นอยู่ ที่จะขับเคลื่อนจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องการเห็นพี่น้องประชาชนมีอาชีพ มีอนาคต ที่ตรงกับความต้องการของตลาดและจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ไม่ได้มีศักยภาพเฉพาะการประกอบอาชีพแล้วนำสินค้าออกมาขายในประเทศไทยเท่านั้น แต่พวกเราทุกคนมีศักยภาพที่จะผลิตสินค้า บริการ ส่งไปขายตลาดโลกได้ โดยเฉพาะทุเรียน ลองกอง มังคุด จะเป็นอนาคตของจังหวัดชายแดนภาคใต้เพราะเรามีตลาดใหญ่ที่สุดที่รองรับทุเรียนจากประเทศไทย คือตลาดจีน

โรม จี้ ส.ว. ไฟเขียวประชามติ แก้ รธน. ใหม่ทั้งฉบับ ลั่น เรียกร้องให้ดำเนินคดี จนท. คฝ. ทำร้ายสื่อ-ประชาชน อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล

รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าว ต่อสื่อมวลชนประเด็นขอให้มีการทำประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ เพื่อแทนที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งได้ผ่านการลงมติเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ไปแล้วของสภาผู้แทนราษฎร ปัจจุบันได้ถูกบรรจุเข้าในระเบียบวาระของวุฒิสภา ซึ่งกำลังจะพิจารณาในวันพรุ่งนี้นั้น

ตนในฐานะโฆษกของพรรคก้าวไกล ที่ได้เสนอญัตตินี้นั้น เรามีความตั้งใจให้การทำประชามติครั้งนี้ทำขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งที่จะมาถึง เพื่อให้การเข้าคูหาของพี่น้องประชาชนเกิดความสะดวก ทำพร้อมกันในคราวเดียว และการจัดการลงประชามติที่หากเกิดขึ้นพร้อมกันกับการเลือกตั้งก็จะประหยัดเงินภาษีของพี่น้องประชาชน

อย่างไรก็ดี ทราบว่าการดำเนินการเช่นนี้ เป็นการดำเนินการที่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ของประเทศของเรา อาจจะมีวุฒิสมาชิกบางท่านที่คิดว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจจะติดขัดในเรื่องของระเบียบกฎหมาย จึงมีบางท่านต้องการเสนอว่าควรจะมีการตั้งกรรมาธิการเพื่อศึกษาเรื่องนี้ก่อน ซึ่งอาจจะยาวนานถึง  60 วัน

ซึ่งหากเหตุการณ์ที่ผมกล่าวถึงเกิดขึ้นจริง จะทำให้โอกาสที่จะจัดประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งเป็นไปได้ยาก และจะส่งผลให้มีค่าใช้จ่าย ทั้งที่เราสามารถประหยัดได้

รวมถึงการดำเนินการประชามติเช่นนี้ก็เป็นกระบวนการที่สอดคล้องตามนัยยะของศาลรัฐธรรมนูญที่หากต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องมีการถามประชาชนก่อน ทั้งนี้ ในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น สามารถที่จะดำเนินการแก้ไข เปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนได้ หากญัตตินี้ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา ดังนั้น เราจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะอ้างกฎระเบียบใดๆมาขวางกั้น ความต้องการที่จะสร้างรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชนตนและพรรคก้าวไกลหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การพิจารณาญัตติดังกล่าวของวุฒิสภา จะดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่ประชาชนหวัง

นิด้าโพล สำรวจความคิดเห็น “คนที่ใช่ พรรคที่ชอบ ของคนภาคตะวันออก” ชี้ คนส่วนใหญ่ หนุน ‘อุ๊งอิ๊ง’ นั่งนายกฯ ตามมาด้วย ‘พิธา – บิ๊กตู่’ พร้อมเทใจ ให้พรรคเพื่อไทย อันดับ 1

20 พ.ย. 2565 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “คนที่ใช่ พรรคที่ชอบ ของคนภาคตะวันออก” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-10 พฤศจิกายน 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในภาคตะวันออก (จังหวัดในภาคตะวันออก ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว) กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,001 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคนที่ใช่ พรรคที่ชอบ ของคนภาคตะวันออก การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่คนภาคตะวันออกจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 25.09 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะ ต้องการให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ชื่นชอบนโยบายของพรรคเพื่อไทย ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบผลงานของตระกูลชินวัตร

อันดับ 2 ร้อยละ 16.64 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะ เป็นคนรุ่นใหม่ มีวิสัยทัศน์ ชื่นชอบนโยบายของพรรคก้าวไกล ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบอุดมการณ์ของพรรคก้าวไกล

อันดับ 3 ร้อยละ 13.64 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะ เป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต ต้องการให้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง และมีประสบการณ์ด้านการบริหาร อันดับ 4 ร้อยละ 13.09 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 5 ร้อยละ 8.50 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย)เพราะ เป็นคนตรงไปตรงมา มีความซื่อสัตย์สุจริต และชื่นชอบวิธีการทำงาน 

อันดับ 6 ร้อยละ 7.25 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะ เป็นคนมีประสบการณ์ด้านการบริหาร ชื่นชอบผลงานในอดีตที่ผ่านมา และต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ อันดับ 7 ร้อยละ 2.80 ระบุว่าเป็น นายกรณ์ จาติกวณิช (พรรคชาติพัฒนากล้า) เพราะ เป็นคนมีความรู้ด้านเศรษฐกิจ และมีประสบการณ์ด้านการบริหาร

อันดับ 8 ร้อยละ 2.35 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะ เป็นคนพูดจริงทำจริง และชื่นชอบนโยบายของพรรคภูมิใจไทย อันดับ 9 ร้อยละ 1.60 ระบุว่าเป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์) เพราะ มีประสบการณ์ด้านการบริหาร และชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์ และนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว (พรรคเพื่อไทย) เพราะ เป็นคนที่พูดจริงทำจริง มีประสบการณ์ด้านการบริหาร และชื่นชอบพรรคเพื่อไทย ในสัดส่วนที่เท่ากัน อันดับ 10 ร้อยละ 1.55 ระบุว่าเป็น ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เพราะ เป็นคนมีความรู้ความสามารถ ชื่นชอบแนวคิดและวิธีการทำงาน และไม่ตอบ/ไม่สนใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน 

อันดับ 11 ร้อยละ 1.40 ระบุว่าเป็น ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (พรรคสร้างอนาคตไทย) เพราะ เป็นคนมีความรู้ด้านเศรษฐกิจ มีวิสัยทัศน์ และมีประสบการณ์ด้านการบริหาร และร้อยละ 2.94 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ (พรรคไทยศรีวิไลย์) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม (พรรคไทยภักดี) นายเศรษฐาทวีสิน นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนากล้า) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) และนายวิกรมกรมดิษฐ์

เมื่อพิจารณาบุคคลที่คนภาคตะวันออกจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี 5 อันดับแรก เมื่อจำแนกตามกลุ่มจังหวัดของภาคตะวันออก พบว่า

1.กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 อันดับ 1 ร้อยละ 26.27 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 2 ร้อยละ 19.92 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) อันดับ 3 ร้อยละ 13.22 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อันดับ 4 ร้อยละ 11.78 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ และอันดับ 5 ร้อยละ 7.97 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย)

2.กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 อันดับ 1 ร้อยละ 23.39 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 2 ร้อยละ 14.98 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 3 ร้อยละ 14.25 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อันดับ 4 ร้อยละ 11.94 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) และอันดับ 5 ร้อยละ 9.38 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย)

สำหรับพรรคการเมืองที่คนภาคตะวันออกมีแนวโน้มจะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต ในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 33.68 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 19.29 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 3 ร้อยละ 15.79 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ อันดับ 4 ร้อยละ 10.14 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ อันดับ 5 ร้อยละ 6.95 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 6 ร้อยละ 3.80 ระบุว่าเป็น พรรคเสรีรวมไทย อันดับ 7 ร้อยละ 3.05 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 8 ร้อยละ 2.75 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย อันดับ 9 ร้อยละ 1.10 ระบุว่าเป็น พรรคชาติพัฒนากล้า และร้อยละ 3.45 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคสร้างอนาคตไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคกล้า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคไทยภักดี พรรคไทยศรีวิไลย์ พรรคเพื่อชาติ และพรรคประชาชาติ

'อนุทิน' ยัน!! ควรมี 'กม.กัญชงกัญชา' ชี้!! ไม่คิดถอนตัวจากรบ.หาก กม.ไม่ผ่าน

(19 พ.ย. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีพระราชบัญญัติกัญชงกัญชาว่า “ไม่มีความกังวลอะไร หลังประชุมเอเปคทุกอย่างก็ดีขึ้น ครั้งนี้เราพร้อมที่จะรับฟัง ครั้งที่แล้วเขาไม่ให้เข้าไปพิจารณา แต่คราวนี้คงไม่ได้แล้ว เพราะถูกบรรจุอยู่ในวาระแล้ว เมื่อพ.ร.บ.กัญชงกัญชาเข้าไปแล้วก็จะต้องมีการพิจารณาเป็นรายมาตรา”

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า “เชื่อมั่นว่าคณะกรรมาธิการที่ร่างกฎหมายนี้จะต้องรับฟัง อย่างไรก็ตามถ้าจะผ่านหรือไม่ผ่านนั้นเราขอยึดเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ซึ่งประชาชนไม่ได้รับผลกระทบต่อให้พ.ร.บ.นี้เลย เพียงแต่ว่าทุกวันนี้เราใช้ประกาศของกระทรวงสาธารณสุขควบคุม แต่ปัญหามันคือความยุ่งยากของเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นเอง ส่วนประชาชนสามารถใช้ได้ทุกอย่าง ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดควรจะต้องมีกฎหมายกัญชงกัญชา”

‘นายกฯ’ มอบชะลอมให้ ‘กมลา แฮร์ริส’ ส่งไม้ต่อให้สหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพเอเปค 2023

เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 65 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ชะลอมสัญลักษณ์ไทย ส่งไม้ต่อให้กับสหรัฐอเมริกาเพื่อรับหน้าที่ตำแหน่งประธานเอเปคในปีหน้า เพื่อทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมเอเปค 2023 ต่อจากไทย 

ซึ่งการส่งมอบตำแหน่ง เป็นช่วงท้ายการประชุมเอเปค โดยพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะมอบชะลอมซึ่งภายในบรรจุผลไม้จำลอง และการบูรสำหรับไล่แมลง โดยชะลอมจะห่อหุ้มด้วยใยบัว ซึ่งการออกแบบเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์การประชุมเอเปคปีนี้ของไทย โดยจัดทำสองชิ้น ตามแนวคิดของนายกรัฐมนตรี และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อใช้สำหรับส่งมอบให้กับสหรัฐอเมริกา และอีกหนึ่งชิ้นเก็บไว้เป็นที่ระลึกในประเทศไทย

'ไทย-ซาอุฯ' ย้ำสัมพันธ์!! ร่วมมือทวิภาคีใน 'ทุกด้าน-ทุกระดับ' ด้าน ซาอุฯ ยาหอม พร้อมอยู่เคียงข้างไทยในทุกโอกาส

นายกฯ เข้าเฝ้าฯ หารือกับมกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย พร้อมต่อยอดความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในทุกด้าน ในโอกาสนี้ ซาอุดีฯ ย้ำพร้อมอยู่เคียงข้างไทยในทุกโอกาส

เมื่อเวลา 22.40 น. ของคืนวันที่ 18 พ.ย.65 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าเฝ้าฯ หารือทวิภาคีกับเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammed bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และ ในฐานะแขกพิเศษของการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ปี 2565 

นอกจากนี้ ทางซาอุดีอาระเบีย ยังประกอบไปด้วย รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าชาย (พี่น้อง) ที่มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ทรงวางพระทัยให้ดูแลงานในเป็นแต่ละกระทรวง ได้แก่...

เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะชีช อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammed bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (แขกพิเศษที่รัฐบาลไทยเชิญเข้าร่วม)

เจ้าชายอับดุลอะชีช บิน ซัลมาน บิน อับตุลอะชีข อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Abdulaziz bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

เจ้าชายตุรกิ บิน มุฮัมมัด บิน ฬะฮัด บิน อับดุลอะชีซ อาล ซะอุด (His Royal Highness Prince Turki bin Muhammed bin Fahd bin Abdulaziz Al Saud) รัฐมนตรีแห่งรัฐและสมาชิกคณะรัฐมนตรี

เจ้าชายอับตุลอะซีช บิน ซะอุด บิน นายิฟ บิน อับตุลอะซีซ อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Abdulaziz bin Saud bin Naif bin Abdulaziz Al Saud) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

เจ้าชายอับดุลเลาะฮ์ น บันดัร บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Abdullah bin Bandar bin Abdulaziz Al Saud) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการรักษาดินแดน

เจ้าขายซะอูด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด (His Royal Highness Prince Saud bin Salman bin Abdulaziz Al Saud)

เจ้าขายฟัยอล บิน ฟัรฮาน บิน อับดุลเลาะฮ์ อาล ซะอุด (His Highness Prince Faisal bin Farhan bin
Abdullah Al Saud) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

โดยขณะเดียวกัน ในการหารือประกอบด้วยบุคคลสำคัญของไทย ได้แก่...

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม 

นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 

ม.ล. ชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย 

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 

และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

นายกรัฐมนตรี กล่าวซาบซึ้งสำหรับการตอบรับการเสด็จพระราชดำเนินเยือนไทยอย่างเป็นทางการ และการตอบรับเข้าร่วมการประชุมเอเปค ในฐานะแขกพิเศษของไทย พร้อมกล่าวถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และแสดงความยินดีที่มกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความพร้อมของไทยที่จะทำงาน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศ โดยยินดีที่ความร่วมมือทวิภาคีในทุกด้านมีความคืบหน้า และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันในทุกระดับ

ขณะที่มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งซาอุดีอาระเบีย มีพระราชดำรัสตอบว่า ระหว่างที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนซาอุดีฯ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้หารือในประเด็นต่างๆ และมีการทำข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญ ซึ่งผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกันจะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันอีกมาก โดยซาอุดีฯ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านต่างๆ กับไทย อาทิ การลงทุน สาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น

‘พิธา’ จวก รบ.จัดประชุมเอเปคสร้างภาพให้ ‘บิ๊กตู่’ ชี้ ควรเป็นเวทีรับฟังความเห็นต่าง แต่กลับทำร้ายปชช.

พิธา ฉะ รัฐบาล จัดฉากประชุมนานาชาติ เพียงหวังสร้างภาพให้ ‘บิ๊กตู่’ เพื่อยกระดับตัวเอง แทนที่จะรับฟังความเห็นต่าง แต่กลับส่งเจ้าหน้าที่สกัดกั้นทำร้ายประชาชน

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมของประชาชนที่รวมตัวกันการสลายชุมนุมของตำรวจต่อกลุ่ม ‘ราษฎรหยุดเอเปค 2022’ ที่ต้องการเพียงแค่เดินขบวนจากลานคนเมือง มุ่งหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แต่ถูกเจ้าหน้าที่สกัดกั้นบุกจับกุม มีคนถูกกระสุนยาง แก๊สน้ำตาเป็นจำนวนมาก โดยพิธา ระบุว่าถือเป็นความอับอายที่รัฐบาลไทยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการเช่นนี้ทั้งที่การประชุม APEC ควรเป็นเวทีที่เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ใช่แค่เพื่อพูดคุยตกลงกันในระดับผู้นำประเทศเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชน ภาคประชาสังคมต่าง ๆ ด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top