Monday, 6 May 2024
POLITICS NEWS

'รองโฆษกรัฐบาล' ซัด!! ผู้ไม่หวังดีให้ข้อมูลดิสเครดิตชาติ ชี้!! ตัวเลขศก.ไทยดีขึ้น JCR ปรับจาก A- เป็น A

(23 พ.ย. 65) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกรณีที่มีการบิดเบือนตัวเลขเศรษฐกิจไทย ว่า ขอตำหนิกลุ่มผู้ไม่หวังดี ที่บิดเบือนข้อมูลเพื่อทำลายความมั่นใจต่อเศรษฐกิจประเทศ โดยมีการส่งต่อข้อความมูลเท็จว่า รัฐบาลกู้เงินจนหนี้ท่วม คลังไม่สามารถจัดการหนี้ได้ ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง จากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปี 2565 รัฐบาลกู้จริง 6.52 แสนล้านบาท จากที่ประมาณการไว้ 7 แสนล้านบาท ขณะที่ภาพรวมของการกู้เงินในช่วงที่เกิดการระบาดของ COVID-19 นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นไปเพื่อแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือและเยียวยาทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทย (จีดีพี)ปี 2563 หดตัวลดลงเพียงร้อยละ 5.1 ดีกว่าที่ IMF คาดการณ์ว่าจะหดตัวที่ร้อยละ 8 นอกจากนี้ ระดับหนี้สาธารณะคงค้าง สิ้นเดือนก.ย. ที่ผ่านมา อยู่ที่ 10.37 ล้านบาท หรือร้อยละ 60.41 ต่อ จีดีพีต่ำกว่าที่กำหนดเพดานไว้ ร้อยละ70 ซึ่งกระทรวงการคลัง ให้ความมั่นใจว่าไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลัง เนื่องจากรัฐบาลมีความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) รวมทั้งยังมีการติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจำปีอย่างใกล้ชิด

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำระดับสากล ต่างมั่นใจในภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยออกรายงานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ Stable Outlook ซึ่งเป็นระดับที่น่าพอใจค่อนข้างมากภายใต้สถานการณ์วิกฤตโควิด -19 อาทิ...

1. Moody’s เชื่อว่า แม้หนี้รัฐบาลเพิ่มสูงขึ้นแต่ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะยังคงแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน และมีแนวโน้มที่จะรักษาระดับความแข็งแกร่งดังกล่าวได้ต่อไป  

2. Fitch Ratings รายงานว่า รัฐบาลได้บรรเทาความเสี่ยงของหนี้ภาครัฐบาลด้วยการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบ มีตลาดทุนในประเทศที่มั่นคง และหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาท 

‘เพื่อไทย’ ประณามความรุนแรงเหตุคาร์บอมบ์นราธิวาส ย้ำนโยบายสร้างสันติภาพ ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้

พรรคเพื่อไทย ขอประณามการใช้ความรุนแรงต่อเหตุการณ์คาร์บอมบ์นราธิวาส และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และต่อครอบครัวผู้สูญเสีย 

ขอยืนยันถึงจุดยืนในจัดการความขัดแย้ง สร้างสันติภาพตามแนวทางสันติวิธี ย้ำเจ้าหน้าที่รัฐต้องลดเงื่อนไขที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ เช่น การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ยุติธรรม จนอาจสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงอย่างไม่สิ้นสุด 

(23 พ.ย. 65) พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวประณามความรุนแรงเหตุคาร์บอมบ์ที่บริเวณแฟลตตำรวจ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ส่งผลให้ข้าราชการตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองนราธิวาสเสียชีวิต 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 10 ราย จำนวนนี้มีเด็กอายุ 1 ขวบได้รับบาดเจ็บ

พรรคเพื่อไทย ขอประณามการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะปฏิบัติการที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ และขอยึดมั่นเสนอนโยบายในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

‘เพื่อไทย’ ชี้!! ‘กม.กัญชง-กัญชา’ ช่องโหว่เพียบ ยัน!! ไม่ให้ผ่านแน่นอน แนะรัฐหยุดสร้างบาปให้ปชช.

‘เพื่อไทย’ ยัน ไม่ให้ผ่าน กม.กัญชา กัญชง เหตุช่องโหว่สารพัด ไม่ให้ขายแต่ให้ปลูกเพื่อเสพเองมีที่ไหน ไล่รัฐบาลไปแก้มาใหม่ หยุดสร้างบาปใหญ่ให้ประชาชน

(23 พ.ย. 65) ที่งานเสวนา ‘กัญชาเสรี บาปใหญ่รัฐบาลประยุทธ์?’ พรรคเพื่อไทย นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้กัญชาออกจากบัญชียาเสพติด โดยที่ยังไม่มีกฎหมายการใช้มารองรับ เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้ใช้กัญชาในทางที่ผิด การสนับสนุนกัญชาเสรีของพรรคที่สนับสนุนแนวคิดนี้ ดูเหมือนจะเป็นไปเพื่อใช้ในทางการแพทย์ แต่มีช่องโหว่ให้ใช้เพื่อการสันทนาการด้วย ปัญหาที่ถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้คือ หากใช้ในทางการแพทย์อย่างเดียว ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ผ่านความเห็นชอบจากสภาแน่นอน แต่เรารู้ทันเพราะมีการเปิดช่องเพื่อสันทนาการ ซึ่งในการนำเอาร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง กลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาอีกครั้ง ต้องมาดูในรายละเอียด โดยตนมีข้อสังเกตและจุดยืนดังนี้

1.) รัฐบาลไม่ห้ามเสพกัญชา ตนยอมรับว่ากัญชามีประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่หากใช้เพื่อการสันทนาการ พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะไม่ยกมือสนับสนุนให้ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชงผ่านสภาแน่นอน หากจะนำกลับมาพิจารณาใหม่ จะต้องเข้าไปดูในรายมาตราอีกครั้ง 

2.) แม้จะห้ามจำหน่ายกัญชา โดยไม่ให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีซื้อ หมายความว่า ซื้อมาเสพมีความผิด แต่ปลูกเองเสพเองไม่ผิด เพราะอนุญาตให้ปลูกในครัวเรือนได้ไม่เกิน 15 ต้นตามมาตรา 18 ในร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ทั้งยังห้ามขาย ดังนั้นประชาชนไม่จำเป็นต้องซื้อปลูกเองได้ ยิ่งทำให้ประชาชนเสพกัญชาในบ้านได้ง่าย เมื่อไปถึง โรงเรียนก็เสพในห้องน้ำ สิ่งเหล่านี้ทำได้ไม่ผิดกฎหมายหรือไม่  

3.) ส่งเสริมให้ปลูกในครัวเรือน จากที่เคยหาเสียงไว้ว่าปลูกเพื่อจำหน่าย ชาวบ้านตาโต ให้ปลูกครอบครัวละ 6 ต้น รับซื้อกิโลกรัมละ 70,000 บาท ปีละ 400,000 กว่าบาท แต่ในชั้นกฎหมายห้ามขาย จึงต้องปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือน นำไปประกอบอาหาร หรือทำยา และอย่าลืมว่าในกัญชามีทั้งสารดีอย่าง CBD และสารร้าย THC พี่น้องประชาชนจำนวนมากยังไม่รู้ และไม่สามารถแยกสารเลือกเอาเฉพาะสารดีเข้าร่างกายได้ คือมีแค่พี้และเสพ 

“ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่เข้าสภา ไม่ได้จำกัดการใช้กัญชาในทางการแพทย์อย่างเดียว แต่มีช่องโหว่ให้เสพเพื่อสันทนาการด้วย เราเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ไม่ชอบ จึงให้ผ่านไม่ได้ จนกว่าจะไปแก้คำจำกัดความของกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดในมาตรา 3 และข้อห้ามยุกยิก ห้ามเรื่องเล็กน้อยรวม 90 มาตรา แม้บางอย่างเขียนไว้ห้าม แต่ในทางปฏิบัติทำไม่ได้ เช่น การขออนุญาตปลูกขาย ต้องแยกสาร แล้วชาวบ้านจะมีเครื่องมือแยกได้อย่างไร หากปลูกทุกครัวเรือน ประเทศไทยมีกี่ครัวเรือน ตำรวจกี่คนที่ต้องไปนั่งเฝ้า ตามจับกุม ลำพังยาบ้าอย่างเดียวคุณยังเอาไม่ไหว กัญชามีทุกครัวเรือนท่านจะทำอย่างไรไหว” นายสุทิน กล่าว 

นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็นต้องไปแก้กฎหมายหรือปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด เพราะแต่เดิมใน พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ.2562 สามารถนำกัญชามาใช้ศึกษาวิจัยทางการแพทย์ได้ อีกทั้งการออกกฎหมายไปปลดล็อกได้สร้างปัญหามากมาย เพราะไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ทางการแพทย์ ที่จะนำมาใช้เพื่อสุขภาพอนามัย นอกจากนี้ราชวิทยาลัย แพทยสมาคม และแพทยสภา ก็มีความเห็นตรงกันว่าการนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์นั้นไม่ขัดข้อง แต่ไม่เห็นด้วยที่จะนำกัญชามาเสพเพื่อสันทนาการ กลุ่มแพทย์ทั้งหลายจึงได้ตั้งเงื่อนไขว่า การใช้กัญชาทางการแพทย์ที่มีประโยชน์ ควรเข้าเงื่อนไข 5 ข้อ ประกอบด้วย

1.) การใช้กัญชาทางการแพทย์ จะต้องมีหลักฐาน งานวิจัย ข้อมูลเชิงประจักษ์ ลงตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองน่าเชื่อถือในระดับโลก ไม่ใช่เป็นการใช้ตามความเชื่อหรือฟังเขาเล่าต่อกันมา  

2.) ผลิตภัณฑ์กัญชา ต้องเป็นการผลิตกัญชาที่มีคุณภาพ ปลูกภายใต้การควบคุมมาตรฐาน ภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้สารสำคัญจำเป็นใช้ทางการแพทย์ แต่ที่ให้ปลูกกันตามบ้าน 15 ต้น ไม่ได้คุณภาพ ไม่ใช่เพื่อการแพทย์แต่เป็นสันทนาการ

3.) มีการควบคุมการรักษา ไม่ว่าจะรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่หรือการแพทย์แผนโบราณ จะต้องผ่านการอบรมเรียนรู้ก่อนนำไปรักษา

4.) ผู้ป่วยที่จะรับการรักษา ต้องมีการคัดกรองผู้ป่วย จำเป็นต้องใช้การรักษาด้วยกัญชาอย่างไร รวมถึงประเมินผลตั้งแต่ก่อนรักษาจนถึงหลังรักษา 

5.) รัฐต้องกำหนด ให้กัญชา เป็นยาเสพติด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้ามาดูแลควบคุมได้ง่าย

ในร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่กำลังพิจารณาอยู่นี้ กลุ่มแพทย์ได้ศึกษาในรายละเอียดเช่นกัน โดยเห็นว่าไม่สอดคล้องกับเงื่อนไข 5 ข้อดังกล่าว หากปล่อยกฎหมายนี้ให้ผ่านความเห็นชอบจากสภา จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีแน่นอน 

นางสาวสรัสนันท์ อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลที่ขึ้นเป็นเจ้ากระทรวงสาธารณสุขจะทำอะไร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่เคยติติง ซึ่งการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชีสารเสพติดก่อนที่จะมีกฎหมายคุ้มครอง ควบคุมการใช้ นายกรัฐมนตรีเองก็ไม่เคยติติงหรือท้วงติงแต่อย่างใด สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ประเทศไทยอยู่ภาวะสุญญากาศ หลายพื้นที่ทั้งในเมือง ตลาด ห้างสรรพสินค้า มีร้านขายกัญชาเกิดขึ้นจำนวนมาก น่าสังเกตที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายเล็ก ที่ลงทุน ลงแรงในการจำหน่ายกัญชา แต่ไม่มีผู้รับซื้อเพราะปลูกไม่ได้มาตรฐาน

คิกออฟ ‘ฟัง-คิด-ทำ’ รับฟังเสียงปชช.ทุกพื้นที่ พร้อมกลั่นกรองทำนโยบายสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

ประชาธิปัตย์ สะบัดธง! คิกออฟ กิจกรรม “ฟัง-คิด-ทำ” เปิดพื้นที่ทุกความเห็น  ชูแนวคิดทำนโยบายจากความต้องการประชาชน ย้ำ วันนี้พร้อมเปลี่ยน อย่างมีวุฒิภาวะและพร้อมนำพรรคสู่ความทันสมัย

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 65 ที่ลานกิจกรรมหน้าสามย่าน มิตรทาวน์ ทีมกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ เปิดตัวกิจกรรม “ฟัง-คิด-ทำ” เพื่อเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพมหานครและทั่วประเทศ เพื่อนำมาสังเคราะห์ต่อยอดจัดทำเป็นนโยบายของพรรคให้ตอบโจทย์ตรงกับความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง โดยมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคภาค กทม. นายสุชัชวีย์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรม กทม. รวมถึงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วม

นายองอาจ กล่าวว่า กิจกรรม ฟัง-คิด-ทำ นี้เป็นกิจกรรมที่พรรคประชาธิปัตย์ทำมาต่อเนื่อง เริ่มต้นด้วยการฟังประชาชน คิดร่วมกับประชาชน และทำเพื่อประชาชน ซึ่งจะเห็นว่านโยบายที่พรรคนำเสนอล้วนเกิดจากกระบวนการฟัง-คิด -ทำ มาต่อเนื่อง และนโยบายที่ออกมาเป็นผลผลิตของประชาชน เพราะพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าประชาชนเป็นศูนย์กลาง ดังนั้นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ 

ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เชื่อว่าทุกคนทราบดีว่าชาว กทม. ไม่ได้ให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์ในการทำงาน  เราถูกสั่งสอนและอบรม ถามว่ารู้สึกอย่างไร? ในฐานะคนทำงานเพื่อประชาชนย่อมรู้สึกเสียใจที่ไม่มีโอกาสในการทำงานให้กับประชาชน แต่ไม่ได้เสียกำลังใจ เพราะหลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการรับฟัง คิด และทำเพื่อประชาชนมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ทั้งใน กทม. และทั่วประเทศ พรรคได้จัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ และเยียวยาประชาชน จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าเราได้ทำจากเสียงของประชาชน ดังนั้นในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็เริ่มจากกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน และเชื่อว่าจะเป็นนโยบายที่ทุกคนมีส่วนร่วม และเป็นที่ยอมรับของทุกคน 

“ที่ผ่านมาแม้ว่าชาว กทม.จะไม่ให้โอกาสเราได้ทำงาน แต่เชื่อมั่นว่าจากการที่เราทำงานหนัก ทุ่มเท มุ่งมั่นตั้งใจในการรับใช้ประชาชน พยายามฟังประชาชน คิดจากประชาชน เชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนชาว กทม. จะให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่าจะสามารถปักธงชัยอยู่ในใจประชาชน และเป็น ส.ส.ของ กทม. ได้อย่างแน่นอน” นายองอาจ กล่าว 

ด้านนายสุชัชวีร์ กล่าว ตนยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และมั่นใจเสมอว่าจากนี้ไปจะเป็นโอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชาชน และแน่นอนจากนี้ไปจะเป็นงานที่ยากและท้าทาย เนื่องจากโลกเปลี่ยน การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงความคิดของประชาชนเปลี่ยน กระบวนการฟัง คิด ทำ พรรคทำมาโดยตลอด จากนี้เราจะไปรับฟังทุกคนในทุกพื้นที่ แต่กระบวนการที่สำคัญจะกลั่นกรองเป็นนโยบาย ทั้งนี้ความคิดและมันสมองต่อจากนี้ของพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่จากนี้จะเป็นความคิดของประชาชนทุกคน จึงขอเชิญชวนทุกคนมาช่วยกันคิด เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง และเชื่อมั่นว่าพรรคจะมุ่งหน้าฟัง คิดและทำเพื่อประชาชนชาว กทม. และคนไทยทั่วประเทศทุกคน  

ด้าน น.ส.วทันยา กล่าวย้ำถึงเหตุผลของการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นเพราะความเป็นสถาบันทางการเมือง การเป็นพรรคของประชาชนที่ไม่มีใครเจ้าของ และยังมีระบบโครงสร้างที่เป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ภายในพรรค และเหตุผลของการรีบตัดสินใจลาออกแล้วมาสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นั้น เพราะต้องการใช้เวลาลงไปรับฟัง พูดคุยกับประชาชนอย่างจริงจังว่าเขาต้องการอะไร ก่อนที่จะนำมาผลักดันเป็นนโยบาย เนื่องจากที่ผ่านมาจะเห็นแต่นักการเมืองบอกว่า “อยากทำอะไร” แต่แทบไม่มีใครถามว่า “ประชาชนอยากได้อะไร” ด้วยการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความเห็น สะท้อนปัญหา หรือบอกความต้องการ

น.ส.วทันยา กล่าวต่อว่า วันนี้ไทยแลนด์ แลนด์ ออฟ สไมล์ ยิ้มไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจแย่ นโยบายคลังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด แต่ก็ยังทำต่อไปเหมือนไม่ได้ยินเสียงคนระดับฐานรากที่กำลังล้มตายเพราะพิษเศรษฐกิจ ซึ่งจากข้อมูล Social Listen พบว่าประชาชนกำลังเผชิญกับปัญหาปากท้องและต้องการให้มีการแก้ไขเป็นอันดับแรก และยังมีปัญหาน้ำท่วม การจราจร การพนัน และยาเสพติด ที่อยู่คู่คนกรุงเทพฯมาช้านาน จนต้องหาทางปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง เพราะปัญหามันไม่เคยถูกรับฟังจากคนในพื้นที่และมีการแก้ไขอย่างตรงจุด และยิ่งไปกว่านี้ เมื่อสัปดาห์ก่อนมีข่าวคุณหมอที่ยังหนุ่มใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะ แต่กำลังจะเสียชีวิตจากมะเร็งปอด เพราะมลพิษที่เราทุกคนกำลังพูดกันอยู่ หลายประเทศเขาประกาศเลยว่า อากาศสะอาดคือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน แต่วันนี้นอกจากเราจะไม่มีสิทธินี้แล้ว เรายังได้โรคร้าย จากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษมาแทนอีกด้วย

'ศาลรธน.' ชี้!! ร่างกม.พรรคการเมือง ไม่ขัดแย้ง ต่อ 'รัฐธรรมนูญ' และ 'การปฏิรูปด้านการเมือง

ศาลรธน. มีมติเอกฉันท์ ชี้ร่างกฎหมายพรรคการเมือง ไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปด้านการเมือง  

(23 พ.ย. 65) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคำร้องที่ประธานรัฐสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 77 คน ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 9 และมาตรา 10 มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 มาตรา 83 มาตรา 86 มาตรา 90 มาตรา 91 และมาตรา 258 ก.ด้านการเมือง (2) หรือไม่ และตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ โดยมติที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ร่างกฎหมายพรรคการเมืองไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปด้านการเมือง  

สำหรับประเด็นที่ผู้ร้องเห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญคือการลดค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรค เดิมปีละไม่เกิน 100 บาท เหลือไม่เกิน 20 บาท ตลอดชีพลดเหลือไม่เกิน 200 บาท จากเดิมไม่น้อยกว่า 2,000 บาท เหตุผลคือกลัวจะเปิดให้เกิดนายทุนครอบงำและไม่เป็นพรรคของประชาชน และตัดคุณสมบัติผู้ต้องคดีอาญา การฉ้อโกง ยาเสพติด การพนัน การค้ามนุษย์และการฟอกเงิน หากคดีไม่ถึงขั้นติดคุกก็สามารถสมัครเป็นสมาชิกพรรคได้

‘เศรษฐา ทวีสิน’ ผู้มีกลิ่นอายคล้าย ‘ทักษิณ’ หมากใหม่ ‘ตระกูลชิน’ ที่กำลังเร่งแสงเรียกศรัทธา

สำหรับคอการเมืองแล้ว ทุกคนคุ้นหูนักธุรกิจชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แสนสิริ จำกัด ดี แต่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าซีอีโอแสนสิริที่เพิ่งเปิดตัวว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในพรรคเพื่อไทยจะหิวแสงแสวงทัวร์ลงเป็นพิเศษ ซึ่งไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะนี่เป็นเพียงยุทธศาสตร์สร้างความสนใจ เพื่อให้เป็นที่กล่าวขวัญถึงในโลกโซเชียลแบบไม่ต้องควักกระเป๋าโปรโมทตัวเองโดยไม่ต้องจ้างทีมพีอาร์แต่อย่างใด  

คนอย่างเศรษฐา รู้จักการใช้สื่อโซเชียลเป็นอย่างดี ไม่ใช่ไก่กามาจากไหน เพราะนิยมใช้สื่อโซเชียล โดยเฉพาะทวิตเตอร์ สื่อสารกับคนรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลา

ล่าสุด โพสต์ข้อความว่า “ถ่ายทอดสดบอลโลก 300 ล้านได้ถ่าย 32 คู่และได้เลือกคู่เด็ดๆ ก่อน 600 ล้านได้ที่เหลือ 32 คู่ ที่นี่ประเทศไทยที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงครับ”0

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นดราม่า รถทัวร์จอดเพียบเต็มพื้นที่ เพราะชาวเน็ตถามว่าทางแสนสิริช่วยออกเงินค่าลิขสิทธิ์บอลโลกกี่บาท ซึ่งเศรษฐาตอบว่า “ไม่ได้ออกครับ” แล้วอ้างว่าบริษัทตนนั้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เล่นเอาเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่ม ส่วนหนึ่งบอกว่าหากอยากเป็นแคนดิเดตนายกให้เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนที่จะสร้างกระแสความขัดแย้งให้สังคม เพราะกลุ่มบริษัทที่ช่วยออกเงินก็ไม่ใช่องค์กรสื่อ ธุรกิจอะไรถ้าอยากช่วยเหลือคนไทย ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น 

ก่อนหน้าที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพเอเปกเพียงแค่วันเดียว เศรษฐา ทวีสินก็ตีปลาหน้าไซ ด้วยการโพสต์ข้อความว่า...“6-8 ปีที่ผ่านมา ผู้นำของเราไม่ได้นำประเทศไทยไปมีจุดยืนในเวทีโลกเลย ผู้นำคนต่อไปผมว่าต้องกล้าที่จะเดินออกไปสู่เวทีโลก” 

มองมาจากดาวอังคารยังเห็นว่า ต้องการดิสเครดิตนายกรัฐมนตรีของไทยที่เป็นเจ้าภาพในการจัดงานใหญ่ระดับโลก เป็นเหมือนการ 'ตีกัน' และ 'ตีกิน' ทางการเมืองของ 'ว่าที่' แคนดิเดตเพื่อไทย แบบมุขห้าบาทสิบบาทก็เอา ขอให้ได้แซะตีกระทบชิ่งบางคน

นี่เป็นหนังตัวอย่างที่ฉายให้เห็น 'ตัวตน' ของว่าที่แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย ประเด็นที่น่าคิดคือทำไมต้องพรรคเพื่อไทย รู้ทั้งรู้ว่าหัวคะแนนทางอีสานเชิดชูสเปิร์มพันธ์แท้ของทักษิณ ชินวัตร อย่างอุ๊งอิ๊งสุดหัวใจ ที่น่าจับตามองคือ คนในตระกูลชินวัตรเปิดไฟเขียวพร้อมโบกธงให้เศรษฐาเข้ามาเป็นแคนดิเดตในพรรคอย่างชัดเจน 

ทั้งนี้หากให้ประเมินสถานการณ์ก็น่าจะเป็นความรักลูกสาวคนเล็กที่ตอนนี้กำลังท้องกำลังไส้ ไม่อยากให้เสี่ยงเกินตัว ดังเห็นได้จากการให้เล่นบท ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ เท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ ขนาดบทบาทนี้ ระดับหัวหน้าพรรคอย่างหมอชนน่านยังโค้งคำนับจนหลังแทบหักมาแล้ว 

การที่หวยมาออกที่เศรษฐา ทวีสิน เพราะภาพลักษณ์ของเศรษฐาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศ ขณะที่อุ๊งอิ๊งยังเด็กเกินไป การดันเศรษฐาไม่ใช่เรื่องใหม่ คอการเมืองต่างรู้ว่านายใหญ่ดันให้เป็นหนึ่งในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย มาตั้งแต่ปี 2563 หรือเมื่อ 2 ปีก่อน การดันเถ้าแก่แสนสิริเป็นแคนดิเดตเพราะมีความ ‘เหมือน’ ทักษิณหลายด้าน โดยเฉพาะการบริหารประเทศแบบเดียวกับบริหารบริษัท

สื่อเสรี TPBS กุเล่าเรื่องปลากุเลาเค็มตากใบ ไร้การปกป้องแหล่งข่าว-กล่าวคำขอโทษร่ำไป

การกุเล่าเรื่องปลากุเลาเค็มตากใบ โดยการไปสัมภาษณ์พ่อค้าแม่ค้าปลากุเลาเค็มตากใบแล้วไม่มีใครได้ขายให้เชฟที่ประกอบอาหารสำหรับเอเปคนั้น เป็นการทำข่าวเพื่อยืนยันอคติของนักข่าว TPBS เอง อย่างที่เรียกว่า Self-confirmation bias คือ นักข่าวมีอคติกับการจัดประชุมเอเปคและอาจจะรัฐบาลด้วย 

เมื่อไปสัมภาษณ์ก็เป็นการยืนยันความเชื่อตัวเองว่าการที่โฆษณาว่าใช้ปลากุเลาเค็มตากใบประกอบอาหารรับรองการประชุมเอเปคนั้นไม่จริง แล้วทำข่าวออกไปทันที โดยไม่ทันได้ตรวจสอบว่าได้ซื้อปลากุเลาเค็มตากใบไปทำอาหารจริงหรือไม่ ทำให้เกิดการค้นหาจนพบว่าร้านป้าอ้วนที่ตากใบได้ขายปลากุเลาเค็มให้ เชฟชุมพล แจ้งไพร ไปประกอบอาหารจริง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าทำให้ออร์เดอร์สั่งปลากุเลาเค็มไปแออัดล้นหลามที่ร้านป้าอ้วนอยู่ร้านเดียวไม่ได้กระจายไปร้านอื่นๆ 

ต่อมาทางช่อง TPBS ได้ออกแถลงการณ์ https://www.thaipbs.or.th/news/content/321541 ว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความเข้าใจผิด แต่เป็นการสะท้อนความรู้สึกและความเห็นของชาวบ้านในพื้นที่ ขาดความรอบด้าน มิได้ตรวจสอบตามหลักการพื้นฐานของสื่อมวลชน ขออภัยในความบกพร่อง จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง 

ผมได้อ่านแถลงการณ์แล้วมีความเห็นว่า TPBS ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบเพียงพอต่อเหตุการณ์ดังกล่าวที่นำเสนอข่าวผิดพลาด กลับพาดพิงว่าแหล่งข่าวให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและต้องการสะท้อนความคิดเห็นของแหล่งข่าวที่ขาดความแม่นยำ ไม่ตรงกันกับความเป็นจริง แม้ว่า TPBS จะกล่าวว่าตนไม่ได้ตรวจสอบเบื้องต้นตามหลักการพื้นฐานของสื่อมวลชน แต่ไม่ควรจะแถว่าให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของประชาชนทุกกลุ่มรวมถึงแหล่งข่าวคือพ่อค้าแม่ค้าปลากุเลาเค็มในพื้นที่ตากใบที่เข้าใจผิดและมีข้อมูลที่ผิด เพราะตนเองไม่ได้ขาย แต่ร้านอื่นได้ขาย 

การทำเช่นนี้ของ TPBS ไม่ได้ปกป้องแหล่งข่าว ซ้ำยังเป็นการทำให้แหล่งข่าวเป็นแพะรับบาปโดยบิดเบือนหลักการทำข่าวว่าต้องการเสนอความคิดเห็นของแหล่งข่าวที่เข้าใจผิดในสาระสำคัญและไม่ตรงกับความจริง หรืออีกนัยหนึ่งการกระทำเช่นนี้ของ TPBS เท่ากับโยนความผิดให้กับแหล่งข่าวด้วย อันเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนที่ดีและมีจรรยาบรรณควรทำ

'บิ๊กป้อม' ร่วมประชุม 'รมว.กห.อาเซียน' เสนอรับมือร่วม 'ภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่'

'พล.อ.ประวิตร’ ร่วมประชุม รมว.กห.อาเซียน เสนอพัฒนากลไกและย้ำความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน พร้อมสนับสนุนบทบาทที่สร้างสรรค์ของประเทศคู่เจรจา

โฆษกกลาโหม เปิดเผยว่า เมื่อ 22 พ.ย. 65 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทน รมว.กห. ได้เดินทางไปยังราชอาณาจักรกัมพูชา พร้อม รมช.กห.และปล.กห. เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ADMM Retreat) ณ เมืองเสียมราฐ โดยมีสมเด็จพิชัยเสนา เตีย บันห์ รอง นรม. และรมว.กห.กัมพูชาเป็นประธานการประชุม

ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนมุมมองด้านความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกัน โดยให้ความสำคัญกับความเป็นแกนกลางของอาเซียนในการดำรงความร่วมมือด้านความมั่นคง และเห็นความจำเป็นที่ต้องร่วมมือกันรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ ทั้งด้านการก่อการร้าย อาชญกรรมข้ามแดนในรูปแบบต่างๆ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ความขัดแย้งทางการเมืองและข้อพิพาททางเขตแดนที่เสี่ยงต่อการใช้กำลังทางทหาร นอกจากนั้นยังมีการแข่งขันในเชิงภูมิรัฐศาสตร์และการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตร เข้ามามีอิทธิพลต่อกรอบความร่วมมือของอนุภูมิภาค โดยความร่วมมือของอาเซียน

พล.อ.ประวิตร ได้เสนอมุมมองของไทยต่อประเด็นด้านความมั่นคงของภูมิภาค โดยการพัฒนากลไก ADMM 3 ประการ คือ 1) การจัดระเบียบความร่วมมือที่มีอยู่ออกเป็นกลุ่มงาน เพื่อความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรทางทหาร  2) การขยายบทบาทของฝ่ายทหารอาเซียน ตอบสนองความท้าทายข้ามพรมแดน และ 3) การปฏิสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศมหาอำนาจ รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรในภูมิภาค ควรเป็นไปอย่างสมดุล สร้างสรรค์และเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย พร้อมย้ำ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน จะทำให้สามารถก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง สร้างปัจจุบันให้เข้มแข็งและเกิดประโยชน์กับอาเซียนอย่างแท้จริง

'สุชาติ' ลั่นไม่ทิ้ง 'บิ๊กตู่' ดูแลมาตลอด 3 ปี ถึงเวลาต้องแสดงความจริงใจแล้ว

(22 พ.ย.65) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ภาพคู่ยกมือไหว้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

‘ดร.สุวินัย’ ตีฆ้อง!! ลุงตู่ไปอยู่กับรวมไทยสร้างชาติ เบรก ‘สลิ่ม’ อย่าเอาอนาคตบ้านเมืองไปเดิมพัน

(22 พ.ย. 65) ดร.สุวินัย ภรณวลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ระบุความเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุว่า...

ข่าวลุงตู่ไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นเรื่องจริง!

ผมจึงขอประกาศตัวดัง ๆ ว่าจะสนับสนุนทุกวิถีทางเพื่อให้ลุงตู่กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งให้จงได้ เพื่อสานต่อและผลักดันกระบวนการ ‘ปฏิรูป 3 แกนหลักเพื่ออนาคตไทย’ ให้สำเร็จสมบูรณ์ 

ไม่ว่าเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เรื่องผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ และเรื่องปฏิรูปดิจิทัลทางการเงิน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top