Wednesday, 15 May 2024
NEWS

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (12 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 287 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 10,834 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 67 ราย รักษาหายเพิ่ม 166 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 6,566 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 4,035 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 287 ราย เป็น ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากสาธารณรัฐประชาชนจีน 1 ราย,ญี่ปุ่น 1 ราย,สหรัฐอเมริกา 2 ราย,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย,สหราชอาณาจักร 2 ราย,อินโดนีเซีย 1 ราย,อินเดีย 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 153 ราย

ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 125 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 173 ราย รักษาหายแล้ว 153 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 392 ราย รักษาหายแล้ว 374 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 8.37 แสน ราย รักษาหายแล้ว 6.89 แสน เสียชีวิต 24,343 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 40 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.38 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.09 แสน ราย เสียชีวิต 555 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.31 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.15 แสน ราย เสียชีวิต 2,858 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.9 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.58 แสน ราย เสียชีวิต 9,416 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,929 ราย รักษาหายแล้ว 58,668 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,515 ราย รักษาหายแล้ว 1,361 ราย เสียชีวิต 35 ราย

คณะรัฐมนตรี เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาฯ จูงใจเอกชนบริจาคเงินเข้ากองทุนวิจัย 4 หน่วยงาน สามารถใช้ลดหย่อนภาษี ได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร พ.ศ. ....

ซึ่งเป็นมาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนร่วมบริจาคเงินให้แก่กองทุนวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม โดยยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดา บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย

1.) กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

2.) กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

3.) กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา

และ 4.) กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข

ซึ่งมาตรการนี้เป็นการขยายเวลามาตรการทางภาษีเดิมที่สิ้นสุดไปแล้วเมื่อ 31 ธันวาคม 2562 โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 สาระสำคัญมีดังนี้

1.) บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับ 4 หน่วยงาน สามารถนำเงินที่บริจาคมาหักเป็นค่าใช้จ่ายหรือค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนที่บริจาค แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้ หลังหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนแล้ว

2.) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับ 4 หน่วยงาน สามารถนำเงินที่บริจาคมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาคแต่ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลฯ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือการกีฬา

น.ส.รัชดา กล่าวว่า "แม้มาตรการนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 5 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการจูงใจให้ภาคเอกชนร่วมบริจาคให้แก่กองทุนวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมเพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ

อีกทั้งยังเป็นแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการและสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวอีกด้วย ทั้งนี้ ในลำดับต่อไป จะส่งร่างพระราชกฤษฎีกาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้"

ครม.อนุมัติ ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก RoboCup 2022 คาด ส่งเสริม-เสริมสร้าง-เชื่อมโยง-การลงทุนระหว่างประเทศ โดยงานจะจัดขึ้นช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2565 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า อนุมัติหลักการให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก RoboCup 2022 ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ใช้กรอบงบประมาณวงเงิน 20 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า "การแข่งขันจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2565 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา แบ่งกิจกรรมออกเป็น 4 ส่วนได้แก่ การจัดการแข่งขัน RoboCup แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มอายุไม่เกิน 19 ปี หรือ RoboCup Junior League และกลุ่มอายุ 19 ปีขึ้นไป หรือ RoboCup Major League

ส่วน Exhibition เป็นพื้นที่สำหรับนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และส่วนแสดงวัฒนธรรมไทย, ส่วน Symposium เป็นการนำเสนอแลกเปลี่ยนองค์ความรู้โดยนักวิชาการด้านหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ และระบบอัตโนมัติที่มีชื่อเสียงระดับโลก และส่วน Startup Pitching เป็นเวทีกลางที่เปิดโอกาสให้ผู้ประดิษฐ์ ผู้ประกอบการ นักวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ได้เข้ามามีโอกาสในการนำเสนอนวัตกรรมการประดิษฐ์ของตนต่อกลุ่มผู้ลงทุน"

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า "ในการจัดงานแข่งขันครั้งนี้คาดว่าประโยชน์ที่จะได้รับประกอบด้วย

1.) การเสริมสร้างและพัฒนาบุคลากรและเพิ่มจำนวนบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถในด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ของประเทศให้มีความสามารถในการแข่งขันระดับสากล

2.) เสริมสร้างพัฒนาการวิจัย และการต่อยอดงานวิจัยในด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ รวมทั้งสาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่มีความเชื่อมโยงและร่วมมือระหว่างประเทศ

3.) เป็นการเชื่อมโยงและสนับสนุนกับภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะระบบอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของประเทศ รวมถึงแสดงศักยภาพของนักประดิษฐ์ ผู้ประกอบการ นักเรียน และนักศึกษาไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล

4.) เกิดการลงทุนระหว่างประเทศจากอุตสาหกรรมขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ"

FBI เตือนมีป่วนอีกรอบ (มีแนวโน้มสถานการณ์อาจรุนแรงกว่าเหตุการณ์ยึดรัฐสภา 6 ม.ค.) ในวอชิงตันดีซี และเมืองหลวงของทั้ง 50 รัฐ ทั่วประเทศจากกองเชียร์ของทรัมป์ ในวันที่ 20 ม.ค. ที่ 'โจ ไบเดน' ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง

ข้อความที่สื่อสารกันออนไลน์ โดยเฉพาะในเพจของกลุ่มขวาจัดใช้ข้อความปลุกระดมยั่วยุ ให้เตรียมพร้อมป่วนใช้ความรุนแรงอีกรอบ เพื่อขัดขวางการส่งมอบหน้าที่ ที่กองเชียร์ทรัมป์ยังมโนเชื่อว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้งจากบัตรเลือกตั้งผีหลายล้านใบ ในรัฐสวิงสเตท อย่าง Pensylvania-Wisconsin-Michagan-Georgia ส่งผลให้ทรัมป์พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นที่มาของถ้อยคำ "STOP THE STEAL" ยุติการทุจริตโกงการเลือกตั้ง ที่ตะโกนกันในช่วงชุมนุมประท้วง

ฝ่ายความมั่นคงได้เตรียมเจ้าหน้าที่ทหารไว้ 15,000 นาย สำรองอีก 10,000 นาย เพื่อรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดความรุนแรงขึ้นอีกรอบในพิธีสาบานตนที่เมืองหลวงวอชิงตันดีซี ที่ทรัมป์ ประกาศก่อนหน้านี้จะไม่เข้าร่วมในพิธีดังกล่าว

และคาดว่าในวันพุธนี้ ญัตติถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐ ที่เสนอโดยประธานสภาผู้แทนราษฎร Nancy Pelosi จะผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร (Democrat ครองเสียงข้างมาก) ก่อนถูกส่งต่อไปวุฒิสภา (Republican มีเสียงข้างมาก) และต้องใช้เสียง 2 ใน 3 หรือ 66 เสียงจากสว.ทั้งหมด 100 คน เพื่อให้มีผลในการถอดถอนจากตำแหน่งปธน.โอกาสถอดถอนทรัมป์จากตำแหน่งจากเสียงสนับสนุนในวุฒิสภานั้น ดูแล้วท่าจะเป็นเรื่องที่ 'เป็นไปไม่ได้'


ที่มา: เพจ Sermsuk Kasitipradit

คณะรัฐมนตรี ไฟเขียวจ่ายเงินเยียวยาประชาชน จำนวน 3,500 บาท ระยะเวลา 2 เดือน สำหรับอาชีพลูกจ้าง อาชีพอิสระ ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งอีก 1 ล้านสิทธิ ปลายเดือนม.ค.นี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) ถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้มีการอนุมัติหลายโครงการ โดยเฉพาะมาตรการเยียวยาและดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด-19

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ในวันนี้ ครม.อนุมัติได้เงินเยียวยาประชาชน จำนวน 3,500 บาท ระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งมีรูปแบบเยียวยาในอาชีพ คือ แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม รวมไปถึงยังมีโครงการคนละครึ่ง เปิดให้ลงทะเบียนใหม่ 1 ล้านสิทธิ์ ปลายเดือน ม.ค. นี้ด้วย

ขณะเดียวกัน ยังได้มอบหมายให้ไปหารือเอกชนช่วยลดค่าอินเตอร์เน็ต 3 เดือน เพื่อรองรับการทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home รวมถึงได้เห็นชอบมาตรการลดค่าไฟ-ค่าน้ำ เป็นเวลา 2 เดือน ก.พ. - มี.ค. เพื่อบรรเทาผลกระทบโควิด-19 อีกด้วย"

รถไฟฟ้าบีทีเอส เพิ่มความถี่การเดินรถในช่วงเวลาเร่งด่วน หนุนมาตรการ Social Distancing แม้ขณะนี้จำนวนผู้โดยสารลดลง พร้อมทำความสะอาดภายในสถานี และคัดกรองผู้โดยสารก่อนเขาใช้บริการตามมาตรฐานด้านสารธารณสุขอย่างเข้มข้น

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดเผยว่า เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทวีความรุนแรงมาอีกระลอกนั้น เพื่อความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดให้แก่ผู้โดยสาร และสร้างความมั่นใจในการใช้บริการ

แม้ว่าในขณะนี้จำนวนผู้โดยสารจะลดลง บริษัทฯ ยังคงนำขบวนรถไฟฟ้าออกวิ่งให้บริการมากที่สุด เพื่อเพิ่มการให้บริการด้วยความถี่สูงสุดเป็น 2 นาที 25 วินาที จากเดิม 2 นาที 40 วินาที ในช่วงเวลาเร่งด่วน เพื่อส่งเสริมมาตรการ Social Distancing นอกเหนือจากมาตรการลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการมาแล้วอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้

คัดกรองอุณหภูมิของผู้โดยสารก่อนเข้าใช้บริการในระบบ อุณหภูมิต้องไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส พร้อมทั้งคัดกรองสุขภาพของเจ้าหน้าที่พนักงาน ทุกครั้งก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต้องสวมหน้ากากอนามัย และถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด

ให้ผู้โดยสารทุกท่านต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า และตลอดเวลาที่ใช้บริการ ไม่นำหน้ากากลงมาไว้ใต้คาง พร้อมทั้งงดการพูดคุยภายในขบวนรถไฟฟ้า หลีกเลี่ยงการหันหน้าเข้าหากัน เว้นระยะห่างในการยืน และนั่งภายในขบวนรถไฟฟ้า และชานชาลา

จัดจุดบริการแอลกอฮอล์ ทุกทางเข้า - ออกสถานี พร้อมเพิ่มความถี่ในการฉีดพ่น และเช็ดทำความสะอาดภายในขบวนรถไฟฟ้า และจุดสัมผัสร่วม ภายในสถานีทุกชั่วโมง และบริเวณรอบสถานีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จัดบริการแอลกอฮอล์เคลื่อนที่ บนชั้นชานชาลาสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสาร

ขอความร่วมมือผู้โดยสารทุกท่านลงทะเบียน “ไทยชนะ” เมื่อเข้า และออกจากขบวนรถไฟฟ้าขบวนนั้น ๆ ด้วยการพิมพ์หมายเลขรถไฟฟ้า 4 หลัก ลงใน Application ‘BTS SkyTrain’ หรือ Line official : @btsskytrain

ทั้งนี้ บริษัทขอความร่วมมือผู้โดยสารทุกท่านโปรดเผื่อเวลาในการเดินทาง เพื่อกระจายการเดินทาง ลดความหนาแน่น บริษัทฯ ต้องขออภัยในความไม่สะดวก และจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจแก่ผู้มาใช้บริการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บีทีเอส โทรศัพท์ 0 2617 6000 Line official : @btsskytrain หรือเช็กสถานะการเดินรถได้ที่ Application ‘BTS SkyTrain’ และแฟนเพจ Facebook :รถไฟฟ้าบีทีเอส

สวนสัตว์ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนียร์ สหรัฐ ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ในลิงกอริลลา 2 ตัว หลังพวกมันมีอาการไม่สบายและไอ เมื่อ 6 มกราคมที่ผ่านมา จึงส่งมันไปตรวจร่างกาย ก่อนผลตรวจยืนยันพบเชื้อโควิด-19 เมื่อวานนี้ (11 ม.ค.)

สวนสัตว์แห่งนี้มีกอริลลาในความดูแลทั้งหมด 8 ตัว และในจำนวนนี้มีอีก 3 ตัวที่อาการอยู่ในกลุ่มเสี่ยง แต่ยังไม่พบว่าติดโรค ซึ่งทางสวนสัตว์กำลังเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด รวมกับเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคของแคลิฟอร์เนีย

ส่วนอาการของกอริลลาที่ป่วย นั้นมีอาการไอ แต่โดยรวมยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก ยังสามารถกินอาหารและดื่มน้ำได้ดี

ทั้งนี้ สาเหตุหลักของการติดเชื้อคาดว่า เป็นการได้รับเชื้อมาจากเจ้าหน้าที่สวนสัตว์รายหนึ่ง ที่มีอาการป่วยและไม่แสดงอาการ ล่าสุด ทางสวนสัตว์ซานดิเอโก ประกาศปิดให้บริการชั่วคราว พร้อมยกระดับมาตรการควบคุมการระบาดในเขตสวนสัตว์

รมช.สธ.คาด คนไทยจะติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มวันละเกิน 100 คนไปอีก 2-3 เดือน เหตุมาตรการควบคุมไม่เข้มงวดเท่ารอบแรก เพราะต้องคำนึงถึงผลกระทบเศรษฐกิจ ยืนยันรัฐบาลเยียวยาผลกระทบแน่นอน ลุ้นได้เล่นน้ำช่วงสงกรานต์

นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผย ประเทศไทยจะยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มวันละเกิน 100 ราย ไปอีกอย่างน้อย 2-3 เดือน แต่ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ปล่อยปละละเลยและได้รับความร่วมมืออย่างจริงจังจากประชาชน ประชาชนก็น่าจะได้เล่นน้ำอย่างสนุกสนานในเทศกาลสงกรานต์

นายสาธิต กล่าวอีกว่า มาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกนี้ ไม่ได้เข้มข้นเท่ากับช่วงการระบาดรอบแรก เพราะได้ให้น้ำหนักกับการรักษาเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อหลักร้อยต่อวันเป็นเวลานาน แต่ยืนยันว่ารัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

นายสาธิต กล่าวถึงแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ประชาชนว่า เบื้องต้นจะให้ประชาชนราว 30 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของประเทศเข้าถึงวัคซีนคนละ 2 โดส ส่วนการจะฉีดให้ครบทุกคนอาจต้องใช้เวลาเพราะมีปัจจัยเกี่ยวกับการผลิตวัคซีนของบริษัทยาด้วย และการฉีดวัคซีนให้ครบทุกคนก็ไม่จำเป็นนัก ขณะที่วัคซีนก็เป็นเพียงการชะลอการแพร่ระบาด

ทั้งนี้ การผลิตวัคซีนตามปกติต้องใช้เวลาทดลอง 1 ปี แต่ขณะนี้เป็นการนำมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และรัฐบาลมีการเร่งรัดให้องค์การอาหารและยา(อย.) อนุมัติวัคซีนให้นำมาใช้ได้โดยเร็วที่สุด แต่ก็ต้องพิจารณาจากความปลอดภัยเป็นหลัก ส่วนการที่โรงพยาบาลจะนำเข้าวัคซีนมาเองนั้น รัฐบาลไม่ได้ห้าม ถ้าโรงพยาบาลจะนำมาให้ผู้ที่มีกำลังซื้อได้ฉีดก่อนก็ทำได้ แต่ต้องผ่านการอนุมัติจาก อย.ก่อน

มาเลเซียประกาศห้ามประชาชนเคลื่อนย้ายหรือเดินทางออกนอกบ้านเกิน 10 กิโลเมตร หลังโควิด-19 ระบาดหนักรอบที่ 3

คอลัมน์สายตรงจากเคแอล

เมื่อเวลา 18.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายมุฮ์ยิดดิน ฮัซซิน ได้ออกประกาศคำสั่งควบคุมการห้ามเคลื่อนย้ายของประชาชนหรือ MCO (Movement Control Order) ใน 5 รัฐ ได้แก่ รัฐปีนัง, มาละกา, ซาลังงอร์, ยะโฮร์, ซาบาร์ และ 3 ดินแดนสหพันธ์ (Wilayah Persekutuan) คือ กัวลาลัมเปอร์, ลาบวนและพุตราจายา เป็นเวลา 14 วัน เริ่มวันที่ 13-26 มกราคม 2021

มาเลเซียเผชิญการระบาดรอบนี้เป็นรอบที่ 3 เริ่มมาตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งรอบนี้ถึงขั้นเอาไม่อยู่เพราะมีผู้ป่วยรายใหม่ไม่ต่ำกว่า 2 พันกว่าคนเป็นเวลาหลายสัปดาห์ติดต่อกัน จนระบบสาธารณสุขของประเทศรับไม่ไหว ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลหลักของรัฐแล้ว

โดยผู้ป่วยสะสมของมาเลเซียทะลุหลักแสนรายคือ 138,224 เสียชีวิตรวม 555 ราย

ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ล่าสุดวันที่ 11 มกราคม 2021 มีจำนวน 2,232 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 4  ราย ผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวอยู่ทั้งสิ้น 28,554 ราย

กฎหลักๆที่จะต้องปฏิบัติตามมีดังนี้คือ

❌ ห้ามเดินทางข้ามเขต/ข้ามรัฐ

❌ ห้ามนั่งทานในร้านอาหาร ให้บริการใส่กล่องกลับไปทาน หรือใช้บริการ delivery เท่านั้น

❌ ห้ามมีกิจกรรมหรือการชุมนุมต่างๆ เช่น งานแต่งงาน, งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรส, ประชุม, กิจกรรมทางศาสนา, งานไทปูซัม (Thaipusam), การสัมมนา, การฝึกอบรมและกิจกรรมกีฬาประเภทหลายคน

❌ จำกัดการเดินทางไม่เกิน 10 กิโลเมตร จากบ้าน

❌ จำกัดผู้โดยสารในรถ 2 คน/คัน

✅ อนุญาตให้ออกจากบ้านได้เพียง 2 คน/บ้าน เพื่อไปซื้ออาหารและของใช้ที่จำเป็นใกล้บ้านเท่านั้น

ผู้ที่กระทำการฝ่าฝืนมีโทษปรับ RM1,000  และจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายมาตรา Act 1988 (Act 342)

✅ พนักงานออฟฟิศประมาณ 70% ของกิจการบริษัทต่างๆจำเป็นต้องทำงานที่บ้าน (Work from home)

✅ สำหรับนักเรียนที่จะต้องสอบ SPM ในปี 2020 และ 2021 อนุญาตให้ไปโรงเรียนเพื่อสอบได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎ SOP อย่างเคร่งครัด (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นผู้ออกกฎ SOP อีกครั้ง)

We hate lockdowns but no choice!

Stay safe, Stay home, Stay strong!

 

Credit info:

Jabatan Perdana Menteri

Kementerian Kesihatan Malaysia (KKM)


ผิงกั่ว

สาวเมืองชล โชคชะตานำพามาให้ลงหลักปักฐานอยู่ชานกรุงกัวลาลัมเปอร์  ชีวิตท่ามกลางคนหลายเชื้อชาติ หลากภาษาทั้งจีน มลายู และแขกอินเดีย พหุวัฒนธรรรม ส่องมุมมองจากเพื่อนบ้านด้านล่างแผ่นดินแม่ มาเล่าสู่กันฟัง

แม่ทัพภาคที่ 3 แจงปมทหารรู้เห็น เจ้าของบ่อน ”สกายคอมเพล็กซ์” ฝั่งเมียนมาร์ รับคนไทยกลับมารักษาแม่สอด เร่งเช็คกล้องวงจรปิดหาจุดลักลอบข้ามช่วงปีใหม่ ติดตามพฤติกรรมเชิงลึกเจ้าหน้าที่ ลั่น พบผิดจริง ไม่เอาไว้

พล.ท.อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3 เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อสังคมออนไลนให้ข้อมูลเรื่องเจ้าของบ่อนการพนันฝั่งจ.เมียววดี ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นคนไทยแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทหารไทยรับลูกจ้างในบ่อนที่ติดเชื้อโควิด-19 กลับไปรักษาฝั่งอ.แม่สอด จ.ตากของไทย ว่า อาจจะเป็นข้อมูลที่คาดเดากัน เพราะว่ามีรถยนต์ของส่วนราชการไปนำคนเหล่านั้นกลับมา ทั้งนี้ขอพูดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งใช้แนวทางนำคนไทยกลับโดยผ่านทางคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก หรือ ทีบีซี โดยมีทหารเป็นผู้ประสาน แต่ครั้งนั้นเกิดข้อครหา ทำให้เมื่อเกิดเหตุที่อ.แม่สอด ทหารจึงไม่ได้เข้าไปยุ่ง แต่ได้บอกกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ซึ่งท่านก็มีสายตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัดเมียววดี ดำเนินการไป เป็นการประสานงานของฝ่ายปกครอง ทหารเป็นส่วนสนับสนุนในการรับกลับเท่านั้น

เมื่อถามย้ำว่า ภาพชาวบ้านที่เห็นมีรถทหารไปรับคนกลับจากบ่อนสกายคอมเพล็กซ์เป็นการพูดคุยระหว่างผู้ว่าฯ สองฝ่ายและมาขอให้ทหารไปรับคนกลับเท่านั้นใช่หรือไม่ พล.ท.อภิเชษฐ์ กล่าวว่า ใช่ โดยทางนั้นร้องขอรถจาก ท่านผู้ว่าฯ ให้มาขนส่งคนกลุ่มนี้กลับเข้ามาใน Local Quarantine ส่วนกรณีที่มีการวิพากย์วิจารณ์ว่าการรับคนจำนวนมากมากองไว้แต่ไม่ประสานโรงพยาบาลก่อนทำให้บุคคลากรการแพทย์รับมือไม่ไหวนั้น ตนยอมรับว่า ตรงนี้อาจจะเกิดจากการประสานงานกันไม่ดีของทางทหาร ปกครอง และสาธารณสุข เราก็จะพยายามแก้ไข ตนคุยกับผู้ว่าฯ ว่ากังวลเรื่องความวิตกกังวลของประชาชนในพื้นที่ ที่เราอาจจะบอกได้ไม่ทั่วถึง ก็จะพยายามแก้ไขในเรื่องการประสานกันอยู่

เมื่อถามว่า ยังมีการมองว่าที่มีคนข้ามไป ข้ามมาได้ ช่วงที่โควิดกำลังระบาดอยู่เพราะมีเจ้าหน้าที่รับส่วย รับเงินกันอยู่ ได้มีการตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่ พล.ท.อภิเชษฐ์ กล่าวว่า ในเรื่องการตรวจสอบนั้นก็ได้ดำเนินการกันหลายหน่วย ทั้งทหาร และ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงหน่วยราชการของฝ่ายปกครองได้มีการตรวจสอบ และติดตามพฤติกรรมเชิงลึกของแต่ละราย ขณะนี้ไม่ปรากฏการดำเนินการ แต่เมื่อก่อนอาจจะมี อย่างไรก็ตาม ยังได้เน้นย้ำและยังพูดอยู่ว่าถ้ามีข้อมูล ตนไม่เอาไว้ จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ถือว่าทำลายความมั่นคงของชาติอย่างหนึ่ง เพราะเกี่ยวกับโรคระบาดที่เราต้องร่วมมือกัน

ส่วนกรณีที่บ่อนพนันยังเปิดต่อเนื่องแม้จะมีการแพร่ระบาดโควิดระลอกใหม่แล้ว ถูกมองว่าคนไทยข้ามไปเล่นบ่อนเมียวดีได้อย่างไรเพราะปิดด่าน แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า ในกรณีนี้ยังไล่ตรวจสอบกันอยู่ ซึ่งมีกล้องวงจรปิด รวมถึงเครื่องมือที่เรามีอยู่ ขณะนี้ยังหาหลักฐานไม่พบ ก็ยังดำเนินกันไล่สอบสวนกันรวมถึงพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องห่วง

เมื่อถามย้ำว่าช่วงปีใหม่ได้พบข้อมูลการข้ามไปหรือไม่นั้น พล.ท.อภิเชษฐ์ กล่าวว่า ช่วงปีใหม่ เมื่อวันที่ 31 ธค. ตนได้ลงมาในพื้นที่เอง ประเมินว่ามีคนลักลอบอยู่แล้ว แต่ไม่ปรากฏ อย่างไรก็ตาม ตนก็จะรับข้อมูลตรงนี้และสืบสวน สอบสวนต่อ

ส่วนกรณีที่ทางการไทยต้องรับคนกลับมาอีกประมาฯ 300 กว่าคน ทางโรงพยาบาลในพื้นที่แม่สอดมีความพร้อมหรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า ขณะนี้ทั้ง แอลเค และ รพ.ใน 4 อำเภอชายแดน สามารถรับผู้ป่วยได้ 120 คน คิดว่าคนข้ามกลับมาและอยู่ในจำนวน 120 คน คิดว่าเรารับไหว และสามารถสร้าง รพ.สนามได้อีกส่วนหนึ่ง โดย รพ.ค่ายวชิรปราการ ก็เดินทางไปรับทราบข้อมูล เตรียมสนับสนุนถ้าต้องสร้าง รพ.สนาม ในพื้นที่อ.แม่สอด

อันที่จริงก็ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่ตอนนี้อุณหภูมิด้านอารมณ์ของคนไทย เริ่มร้อนแรงไม่แพ้อุณหภูมิของเชื้อร้ายจากโควิด-19 สักเท่าไรนัก

อันที่จริงก็ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่ตอนนี้อุณหภูมิด้านอารมณ์ของคนไทย เริ่มร้อนแรงไม่แพ้อุณหภูมิของเชื้อร้ายจากโควิด-19 สักเท่าไรนัก

เพราะตอนนี้จะมีการแบ่งซักสังคมออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือผู้เฝ้าระวัง คอยเตือน วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่และภาครัฐ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็คือผู้ลงมือทำงาน

น่าเห็นใจทุกฝ่าย แต่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกถึงการ ‘ล่วงล้ำบทบาท’ กันจนเกินขอบ ก็ทำให้เกิดเรื่องที่ไม่น่าให้เกิด เฉกเช่นกรณีของ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หมอผู้เชี่ยวชาญที่ออกมาให้ข่าวด้านโควิด-19 สายบู๊ที่มีวิวาทะหนักหน่วง ชวนกระซวกไส้ กลุ่มผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การดูแลปัญหาโควิด-19 โดยตรง

นั่นจึงเป็นเหตุให้เกิดประเด็นดราม่า แบบ ‘หมอ’ ไฝว้ ‘หมอ’ เกิดขึ้น โดยไม่นานมานี้ นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ รก ระดับ 11 หัวหน้าสำนักวิชาการสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “เราจะควบคุมโรคโควิด 19 ได้สำเร็จ เราจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยกัน เราต้องการกำลังใจ มิใช่ต้องการคำวิพากษ์วิจารณ์ที่บั่นทอนจิตใจ สร้างความกลัว ตื่นตระหนก และไม่มีประโยชน์ ครับ

วันนี้ หมออ่านข่าว อาจารย์ธีระ และตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่อาจารย์ธีระเขียนผ่านโซเชียลและเป็นข่าว ขอเรียนว่า ไม่สบายใจ และหมอเห็นใจคนทำงาน เห็นใจพี่น้องประชาชน มากๆ ครับ

คนที่ No action talk only สบายมากครับ ไม่ทำอะไร ไม่มีผิด คนทำงาน คนที่อยู่หน้างาน มดงาน นักรบชุดขาว ทั้งเหนื่อย เครียด ผู้บริหารที่บัญชาการเหตุการณ์ ต้องวางแผน คิดรอบด้าน เลือกมาตรการใดๆ ก็ต้องมีบวกและลบ ครับ แต่เราเลือกสิ่งที่เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับประเทศชาติและประชาชน ครับ

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat 10 มกราคม 2564...สิ่งที่รัฐจำเป็นต้องทำคือ "ทำในสิ่งที่ควรทำ และอย่าทะลึ่งไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ"

ผมขอตอบอาจารย์ธีระว่า กระทรวงสาธารณสุข ทำทุกสิ่งด้วยความถูกต้อง ถูกหลักวิชาการ ตามมาตรฐาน ด้วยการมีส่วนร่วมของนักวิชาการทั้งใน และนอกกระทรวงสาธารณสุข จนมากำหนดนโยบาย มาตรการ เราประชุม ทำงานตั้งแต่เช้าทุกวัน มดงาน หน่วยปฏิบัติการ

“นักรบชุดขาว” ปฎิบัติการ 24/7 ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ไม่มีวันหยุด ครับ

หมอสงสารชาวบ้านครับ เขียนหรือพูดให้เกิดความตื่นตระหนก เกิดความกลัว มีประโยชน์อะไร ครับ

อาจารย์เขียนแต่ละครั้ง หมอขอให้คิดพิจารณาให้ดี ขอให้ผู้บังคับบัญชาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโปรดช่วยแนะนำตักเตือนอาจารย์ธีระด้วยครับ

ทุกสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดมาตรการ อยากบอกอาจารย์ธีระ เราคิดถึงปากท้องชาวบ้าน คิดถึงพี่น้องประชาชนมาก่อนเสมอ เราต้องเน้น “ทุกมิติ” มิใช่ควบคุมอย่างเด็ดขาด แต่ชาวบ้านอดตาย ครับ แต่กระทรวงสาธารณสุขเน้น มาตรการที่ถูกหลักวิชาการ คิดในทุกมิติ เช่น ปากท้อง สังคม เศรษฐกิจ ครับ

วันนี้ เราทำงานเป็นทีม สามารถแสดงความคิดเห็น ให้ข้อเสนอเชิงนโยบาย และผู้บริหารรับฟัง ครับ (ไม่จริง แบบที่อาจารย์โจมตี ผมอยากเชิญอาจารย์มารับฟัง มาดูพวกเราทำงาน มิใช่ คิดเอง และเขียนเอง โจมตีการทำงาน ว่า เราขาดความเป็นเอกภาพ สับสน หรือทำงานแบบ "ทราบแล้วเปลี่ยน" การทำงานหรือมาตรการมีความชัดเจน และพร้อมปรับตามสถานการณ์ ครับ

เราไม่เคย “กลับลำ” ตามที่อาจารย์วิจารณ์ แต่มีการปรับเปลี่ยนมาตรการ อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ครับ

หมอขอกำลังใจและความเชื่อมั่นจากพี่น้องประชาชน ในกรณีการดูแลผู้ป่วย เราเป็นหมอ ไม่ว่าคนทำผิด หรือประชาชน เราดูแลทุกคนครับ แต่เรื่อง “ค่ารักษา” เป็นอีกเรื่อง นะครับ

เราดูแลรักษาอย่างดีที่สุด ได้มาตรฐานอยู่แล้วครับ ไม่เคยนำ “เงิน” มาเป็นตัวตั้ง

อาจารย์ธีระ โปรดเข้าใจด้วยครับ สำหรับผู้กระทำผิด เรื่องการคิดค่าใช้จ่ายภายหลัง เป็นไปตามหลักกฏหมายและความถูกต้อง ครับ

กระทรวงสาธารณสุขทราบปัญหา และดูแลคนในมุมมืด ค้นหาเชิงรุก ทำงานด้วยเมตตา จรรยาบรรณแพทย์ตามหลักมนุษยธรรม ครับ

หมอขอยืนยัน การควบคุมโรคโควิด 19 ของกระทรวงสาธารณสุข มีการวางแผน วิเคราะห์สถานการณ์ กำหนดยุทธศาสตร์ และมาตรการ มีการมีส่วนร่วมและขอบคุณอาจารย์จากมหาวิทยาลัย

เรามีการติดตามประเมินผล อย่างเป็นระบบ เราผ่านเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี เราจะร่วมกับทุกภาคส่วน และพี่น้องประชาชน ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ให้ได้ ครับ

ผมขอบคุณความปรารถนาดี อาจารย์ธีระ ครับ หากอาจารย์มีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ โปรดเสนอในที่ประชุม หรือส่วนตัวที่ผมก็ได้

เราทุกคนพร้อมรับฟัง ในการทำงานมีผู้แทนทุกภาคส่วนครับ โปรดอย่าวิจารณ์พวกเราในลักษณะนี้เลยครับ

หมอสงสาร เห็นใจ คนทำงาน มดงาน นักรบชุดขาว และผู้บริหารที่อุทิศตน ทุ่มเททำงานครับ...."

@@@ ทั้งนี้เมื่อถูกตอบโต้จาก ‘หมอรุ่งเรือง’ ทางรศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้โพสต์เฟซบุ๊กตอบกลับว่า...

“มีคนเอ่ยถึงผมผ่านทางสื่อสาธารณะว่า สื่อให้สังคมกลัวเพราะอะไร ได้อะไรขึ้นมา และการวิพากษ์วิจารณ์ชี้ให้เห็นจุดอ่อนต่างๆ ที่ผ่านมานั้นล้วนเป็นการบั่นทอนจิตใจบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง

หากใครที่ติดตามอย่างละเอียดลออ จะทราบได้ว่า สิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดนั้นยืนบนพื้นฐานของเจตนาดีที่จะปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนทุกคนในสังคมไทย รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขหน้างานทุกคน

ผมเป็นคนทำงานด้านสาธารณสุขมาก่อน ดังนั้นการจะมองว่าอยู่บนหอคอยงาช้างนั้นคงไม่ใช่แน่นอน หากกล่าวเช่นนั้น ต้องบอกว่าท่านไม่รู้จักผมจริง

หนึ่ง ผมนำข้อมูลวิชาการจริงมานำเสนอให้สาธารณะได้ทราบว่าสถานการณ์จริงคืออะไร วิเคราะห์ให้ดูว่าการระบาดของเราเมื่อเทียบกับประเทศอื่นเป็นเช่นไร อนาคตของเราหากเดินตามรอยเท้าของประเทศอื่นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

ทำเช่นนี้เพราะต้องการให้คนของเรามีความรอบรู้ รู้เท่าทัน ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น โรคนี้รุนแรงสุดในรอบ 102 ปี ติดไปแล้วกว่า 90 ล้าน ตายไปแล้วเกือบ 2 ล้านคนทั่วโลก หากรู้เท่าทัน จะมีสติ รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร และจะเตรียมตัวรับมือได้

การจะมาบอกว่าขู่ให้คนกลัว ถามตรงๆ ว่ามันน่ากลัวไหม?

ผมคงไม่สามารถหลอกตัวเองให้ทำการเล่าให้มองว่า โรคนี้มันคือหวัดธรรมดา กระจอก เอาอยู่ เป็นแล้วมียารักษาและไม่มีทางตายครับ เพราะผมเชื่อว่าการพูดสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องจริงนั้นเป็นบาปมหันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจทำให้คนประมาท การ์ดไม่เข้มแข็ง ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาปล่อยตัวปล่อยกายปล่อยใจ จนติดเชื้อแล้วตายกันเป็นใบไม้ร่วงได้

โรงเรียนผม Johns Hopkins มีสุภาษิตที่เป็นแรงบันดาลใจของศิษย์เก่าทั้งหลายว่า "Protecting health, Saving lives, Millions at a Time"

แต่ไม่ได้สอนให้ผมตัดสินใจทำแบบยอมรับความเสี่ยงที่คุกคามสุขภาพและชีวิตคนแลกกับเศรษฐกิจ ภายใต้สถานการณ์ระบาดที่รุนแรง

การอ้างถึงปากท้องของคนนั้นเป็นเหตุผลสำคัญยิ่ง พอๆ กับสุขภาพคนครับ แต่ยามที่โรคระบาดรุนแรง มุมมองของผมคือจะไม่ยอมเอาชีวิตคนอื่นมาเดิมพันแลกกับความเสี่ยงเพื่อให้ทำมาหากิน แต่ผมจะหาทางช่วยประคับประคองกันไปในช่วงเวลาสั้นๆ โดยใช้เวลาสั้นๆ นี้หาทางจัดการควบคุมโรคระบาดอย่างเคร่งครัดเด็ดขาด

เพราะผมทราบดีจากการติดตามสถานการณ์ทั่วโลกที่แสดงบทเรียนให้เห็นว่า การสู้แบบแย่บๆ ไม่มีทางน็อคตัวร้ายได้ แต่จะถูกมันน็อคในที่สุด

ผมนั้นยกย่องให้เกียรติคนทำงานหน้าด่านเสมอ ไม่ว่าเค้าจะเป็นอาชีพใดก็ตาม ตั้งแต่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข คุณตำรวจ คุณทหาร หรือแม้แต่ประชาชนชาวบ้านที่มาร่วมด้วยช่วยกันสู้กับโรคระบาด หากไม่ได้พวกเราทุกคน ไทยเราคงไม่สามารถผ่านระลอกแรกมาได้อย่างหวุดหวิด และคงไม่สามารถต้านระลอกสองมาถึงบัดนี้

สิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นคือ การตัดสินใจเชิงนโยบาย และมาตรการต่างๆ เพราะหากผิดทิศผิดทาง ย่อมจะนำพาให้ทุกคนในสังคมตกอยู่ในภาวะลำบากทั้งระยะสั้นและระยะยาว

การถกแถลงให้เห็นเหตุและผลเชิงวิชาการ และข้อมูลประกอบนั้นคือสิ่งที่ยืนยันชัดเจนในเจตนารมย์ที่จะนำไปสู่การพัฒนา

นโยบายและมาตรการต่างๆ สำหรับสาธารณะนั้น หากมองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีหลายต่อหลายอย่างที่หากรื้อฟื้นขึ้นมาถาม คงมีคนสงสัยมากมายว่ามีเหตุผลอะไรกันแน่ เพราะไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ระบาด ยกตัวอย่างเช่น การสนับสนุนแข่งรถ เงื่อนเวลาในการตัดสินใจแบนนักท่องเที่ยว และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า แม้จะมีการอ้างว่านโยบายหรือมาตรการต่างๆ ผ่านกระบวนการกลุ่มที่มีตัวแทนจากที่ต่างๆ มาช่วยกันคิดหรือกลั่นกรองแล้ว ก็มิใช่ว่าจะเป็นนโยบายที่สมควรเสมอไป ดังนั้นหากเราปรารถนาดีต่อทุกชีวิตในสังคม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใด ก็ย่อมที่จะต้องเปิดใจนำคำวิพากษ์วิจารณ์และคำแนะนำต่างๆ นั้นไปขบคิด และนำไปประยุกต์ใช้ ยิ่งหากเป็นชุดข้อมูลที่แตกต่างจากที่ตนเองมีครับ

จากที่ผ่านมา อยากบอกพวกเราว่า หลายต่อหลายคนที่ไม่ได้อยู่ในหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบชีวิตของคนในสังคม ได้พยายามช่วย และสู้กันอย่างเต็มที่ตลอดปีกว่าที่ผ่านมา เพื่อหวังประคับประคองประเทศให้พ้นภัยโรคระบาด หลายอย่างได้รับการนำไปใช้เป็นมาตรการ แม้จะไม่ผ่านกลไกปกติก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผ่านพ้นหลายวิกฤติมาได้

ด้วยสภาพปัจจุบัน ที่ใช้มาตรการที่ไม่ได้เข้มแบบล็อคดาวน์ แต้มต่อในการจัดการโรคอย่างสมบูรณ์คงแทบไม่มีครับหากดูจากบทเรียนของต่างประเทศ

สิ่งที่ผมคาดการณ์ว่าอาจเป็นสถานการณ์ในอนาคตที่เราจะเจอ มีดังนี้

1. จะมีการติดเชื้อแฝงในชุมชนทั่วไปได้โดยไม่รู้ตัว และมีจำนวนติดเชื้อต่อวันไปเรื่อยๆ จะเป็นหลักหน่วย หลักสิบ หรือหลักร้อยต่อวันก็แล้วแต่

2. จะมีโอกาสเกิดการระบาดซ้ำระลอกสาม และ/หรือสี่ได้ในระยะ 1-1.5 ปีถัดจากนี้ ขึ้นกับจำนวนติดเชื้อรายวันว่ามากน้อยเพียงใด และการ์ดของพวกเราทุกคนว่าเข้มแข็งหรือไม่

3. ประชาชนจำเป็นต้องป้องกันตัวเสมอ ระหว่างการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะทำงาน ท่องเที่ยว หรืออื่นๆ ใครที่ไม่ป้องกันตัวก็จะติดเชื้อ ป่วย หรือเสียชีวิตได้

4. วัคซีนจะยังไม่สามารถส่งผลให้คุมการระบาดได้ ตราบใดที่ยังไม่สามารถฉีดให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้ราว 70% ของประชากรทั้งหมด (ประมาณคร่าวๆ จากสรรพคุณในการป้องกันเฉลี่ยของวัคซีนหลายชนิดรวมกัน ทั้งของจีน ของอังกฤษ และอื่นๆ เช่นจากอเมริกา หลังขึ้นทะเบียนมาจำหน่ายในอนาคต)

5. สำหรับการระบาดระลอกสอง ระบาดซ้ำ ระบาดใหม่ครั้งนี้นั้น ถ้าดูจากบทเรียนต่างประเทศ มีโอกาสที่จะทวีความรุนแรงขึ้นกว่านี้ และอาจไปพีคประมาณต้นถึงกลางเดือนหน้า จึงต้องระมัดระวังกันให้ดี หากใช้มาตรการเข้มข้นเต็มที่ตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า มิฉะนั้นอาจมีโอกาสสู้ยาวถึงปลายมีนาคม แต่หากไม่เป็นอย่างที่คาด ก็คงจะดีครับ

6. สถานพยาบาลต่างๆ จะรับภาระหนักขึ้นเรื่อยๆ ในการสู้ระยะยาว สำหรับศึกระลอกสองครั้งนี้นั้นจะวัดกันใน 6-8 สัปดาห์ข้างหน้า ถ้าเสร็จศึกก่อนก็จะดี ถ้ายืดเยื้อ คงจะเหนื่อยมาก

ในขณะที่อนาคต สถานพยาบาลคงต้องเตรียมรับมือกับวิถีใหม่ ที่จำเป็นจะต้องตรวจคัดกรองโรคโควิดในผู้ป่วยในและผู้ป่วยที่จะผ่าตัดทุกราย รวมถึงการตรวจคัดกรองในบุคลากรทุกระดับในสถานพยาบาลเป็นระยะ เพื่อป้องกันการระบาดในสถานพยาบาล เฉกเช่นเดียวกับโรงเรียนแพทย์ ที่จำเป็นต้องตรวจในเหล่านิสิตนักศึกษาแพทย์ พยาบาลและสาขาอื่นๆ ที่มาปฏิบัติงาน นอกจากนี้ผลกระทบต่อระบบบริการโรคอื่นๆ จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก คุณภาพและปริมาณที่จะให้บริการจะได้รับผลกระทบ แม้จะพยายามหาทางเลือกอื่นมาช่วย เช่น เทเลเมดิซีน การส่งยาถึงบ้าน การบริการถึงบ้าน ฯลฯ

ที่แลกเปลี่ยนมาทั้งหมดนั้น อยากจูงใจให้เราช่วยกันสู้เต็มที่ในเวลานี้ ป้องกันตัวอย่าให้ติดเชื้อ ฉุดกราฟการระบาดลงมาให้ได้

ภาพที่อยากเห็นคือ ต่อให้ไม่ประกาศล็อคดาวน์ แต่ทุกคนที่พอไหว ช่วยกันอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ใส่หน้ากาก 100% ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น และรีบไปตรวจหากสงสัยหรือมีอาการผิดปกติ ในขณะที่ผู้ประกอบกิจการต่างๆ หากช่วยกันลดความเสี่ยงลงให้เหลือน้อยที่สุดยิ่งดี หากทำได้ในระยะ 2-4 สัปดาห์ถัดจากนี้ เราก็อาจเปลี่ยนภาพอนาคตให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้

อยากให้ประเทศไทยทำได้ครับ

ด้วยรักต่อทุกคน”

อันที่จริงแล้ว ในห้วงเวลานี้ เชื่อว่าทุกคนมองเป้าหมายปัญหาเดียว คือ พิชิตโควิด-19 ให้ได้ เพื่อชีวิตพี่น้องคนไทยทั้งนั้น ส่วนความคิดอาจจะ ‘แตกต่าง’ แต่ยังไงเสียก็ขออย่า ‘แตกแยก’ กันเลยนะคุณหมอ ให้กำลังใจทุกฝ่ายจ้า...


ที่มา: เพจ นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ / เพจ Thira Woratanarat

สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลละฮ์ ชะฮ์ ของมาเลเซีย ทรงใช้พระราชอำนาจประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด -19

โดยสถานการณ์ฉุกเฉินจะดำเนินไปจนถึงวันที่ 1 สิงหาคม หรือเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสถานะของการติดเชื้อโคโรนาไวรัส สำนักพระราชวังกล่าวในแถลงการณ์

“อัล-สุลต่านอับดุลละฮ์ทรงมีความเห็นว่าการแพร่ระบาดของโควิด -19 อยู่ในขั้นวิกฤตและมีความจำเป็นต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน” สำนักพระราชวังกล่าว

นายกรัฐมนตรีมุฮ์ยิดดิน ยัซซิน ขอให้สมเด็จพระราชาธิบดีทรงประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อเป็นมาตรการเชิงรุกเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อ

ทั้งนี้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มุฮ์ยิดดิน ยัซซินได้ประกาศห้ามการเดินทางทั่วประเทศและการล็อคดาวน์ 14 วันในเมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์และใน 5 รัฐโดยกล่าวว่า ระบบการรักษาพยาบาลของประเทศอยู่ในจุดที่แบกรับไม่ไหวแล้ว หลังจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในมาเลเซียพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์ที่แล้วซึ่งทะลุ 3,000 รายเป็นครั้งแรก ผู้ติดเชื้อทั้งหมดทะลุ 138,000 รายในวันจันทร์โดยมีผู้เสียชีวิต 555 ราย

อดเที่ยวเมืองไทยเพราะโควิด-19 แต่ครอบครัวชาวมาเลย์ฯ โชว์ไอเดียสุดล้ำ จำลองเมืองไทยมาไว้ในบ้านแก้คิดถึงกันไปเลย

เพราะสถานการณ์โควิด – 19 ทำให้ผู้คนทั่วโลกไม่สามารถเดินทางไปไหนได้สะดวกนัก โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวยังต่างประเทศ แต่ล่าสุด มีเรื่องชวนยิ้มจากประเทศมาเลซีย เหตุเกิดจากมีครอบครัวชาวมาเลย์ฯ ครอบครัวหนึ่ง ชื่นชอบเมืองไทยเอามาก ๆ แต่ในเมื่อเดินทางมาไม่ได้ เขาก็เลยใช้วิธีอันสุดบรรเจิดแบบนี้

โดยคุณพ่อคุณแม่จัดการจำลองเอา ‘ประเทศไทย’ มาไว้ในบ้านเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ สิ่งของ อาหาร ที่เป็นไฮไลท์ของเมืองไทย อาทิ รถตุ๊กตุ๊ก ต้มยำ ข้าวผัด ข้าวเหนียวมะม่วง แม้แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เมืองไทยก็ยังมี พวกเขาประดิษฐ์สิ่งของเหล่านี้ขึ้นมาด้วยกระดาษ เพื่อให้ลูก ๆ ได้เอาไว้เล่นจำลองสถานการณ์ประหนึ่งว่ากำลังมาเที่ยวเมืองไทย

แถมงานนี้พี่ไมได้มาเล่น ๆ เพราะขนาดตั๋วเครื่องบินยังอุตส่าห์ทำจำลองขึ้นมา มีเครื่องแลกธนบัตร มีการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน มีร้านขายของข้างทาง ร้านขายของเล่น ตุ๊กตา เครื่องประดับ (สงสัยจะเคยมาย่านพาหุรัด-สำเพ็ง) เรียกว่าจัดเต็มเวรี่ไทยเอามาก ๆ !

การละเล่นด้วยความคิดถึงเมืองไทยครั้งนี้ ทางครอบครัวได้เผยแพร่ลงไปในโลกโซเชี่ยล ซึ่งหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้รับความสนใจและกลายเป็นไวรัลไปในทันที มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาคอมเม้น มีทั้งชื่นชม และวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา แต่ถึงที่สุดแล้ว ต้องให้คะแนนความตั้งใจกับครอบครัวนี้เป็นอย่างมาก

เอาเป็นว่า รอพี่โควิด-19 ให้หมดไปซะก่อน คงได้เดินทางมาเที่ยวกันจริง ๆ รักเมืองไทยขนาดนี้ เดี๋ยวพี่ไทยมาเที่ยวเอ๊งงง!


ที่มา:

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4835157123223436&id=100001875894665

Youtube ยำไอเดีย

“อนุทิน ชาญวีรกูล” ฟิต ร่วมประชุมครม.นัดแรกหลังกักตัว 14 วัน ยืนยันไม่มีขัดแย้งในกระทรวงสาธารณสุข ไม่ขัด หากองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น-โรงพยาบาลเอกชน ซื้อวัคซีนฉีดเอง แต่ต้องขึ้นทะเบียนจากอย.ก่อน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลประชาชน ในการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ว่าสธ.ยืนยันความพร้อม ทั้งเรื่องการแพทย์ เวชภัณฑ์ การพยาบาล และการดูแลสถานการณ์เรามีความพร้อม และขอให้ทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแล อย่าให้มีการลักลอบเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึง กรณีที่จะให้มีคนกลับจากบ่อนการพนันต่างประเทศ และนำเชื้อโควิด-19 เข้ามาด้วยนั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง รวมไปถึงโทษนั้น มีความชัดเจนอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องไปดูในพ.ร.บ.โรคติดต่อ โดยเฉพาะมาตรา 40,41,42 รวมทั้งดูรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 ประกอบด้วย ซึ่งเราต้องทำทุกอย่างตามกฎหมาย แต่เรื่องการที่บอกว่าจะไม่รักษานั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องให้การรักษา แต่ต้องดูข้อกฎหมายว่ากำหนดไว้อย่างไร

เมื่อถามถึงความคืบหน้าเรื่องวัคซีน ว่า ในกรณีที่ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) ยินดีซื้อมาเพื่อฉีดให้กับประชาชนในจังหวัดของตัวเอง แล้วทางสธ.มีความเห็นอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลมีมาตรการที่จะนำวัคซีนมาบริการกับประชาชนโดยทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าท้องถิ่นมีงบประมาณและต้องการดูแลประชาชน สิ่งที่ใช้ก็ต้องเป็นวัคซีนที่ขึ้นทะเบียน โดยผ่านการอนุมัติจากสธ. ถือว่าเป็นเรื่องดีหากท้องถิ่นมีความจำนง ที่ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล โดยงบประมาณรัฐบาล ต้องนำรายชื่อมาตรวจคัดกรองกัน เพราะฉีดซ้ำไม่ได้อยู่แล้วเป็นการช่วยกันคนละไม้ละมือ อย่างไรก็ตามเป็นการพูดถึงหลักการทั่วไปก่อนยังไม่ได้ลงรายละเอียด ถือว่าเป็นเรื่องร่วมกันทำงาน เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการใช้งบประมาณแผ่นดิน อยู่ที่ว่าจะเอามาจากกระเป๋าใบไหนเท่านั้น ทั้งนี้สธ.พิจารณาแล้วเห็นว่า วัคซีนต่างประเทศทุกยี่ห้อไม่มีปัญหา และสามารถมาขอขึ้นทะเบียนจากทาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สธ.ของไทยได้ และโดยหลักการเราเปิดกว้างเพียงขอให้ปลอดภัย หากบริษัทจะมาขึ้นทะเบียนกับอย.ไว้ก่อน เพื่อให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถนำมาฉีดให้กับคนที่มีฐานะหรือฉีดได้

เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) แล้วหรือยังในกรณี แถลงข่าวออกมาโดยเหมือนยังไม่ได้หารือกันภายในก่อน แทนที่จะมาคุยผ่านโซเชียล ทำให้ดูเหมือนมีปัญหาภายในศบค. นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีปัญหาและนายแพทย์ทวีศิลป์ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนโดยตรง เวลาเขาทำหน้าที่ เขาก็แถลงตามตัวอักษรของกฎหมาย แต่เมื่อมีกระแสออกมาอีกทางหนึ่งก็ต้องรีบบอกกันว่า ไม่ควรใช้กฎเกณฑ์แบบนั้น เราต้องเอาความสบายใจของประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ได้มีปัญหาใดๆ เมื่อวันที่ 11 มกราคม ก็ยังนั่งพูดคุยกัน ต่างคนต่างให้กำลังใจกัน

นายอนุทินกล่าวถึงการกักตัว 14 วันที่ผ่านมาของตนเองด้วยว่า รู้สึกฟิตน้ำหนักลงไป 3 กิโลกรัม อยู่บ้านก็ทำงานได้และทำงานหนักกว่าเสียอีกเพราะไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรับแขกใช้วิธีการประชุมทางไกล ซึ่งก็ประชุมทั้งวัน และยังกินน้อยลงไปด้วย

เป็นรัฐบาลทำได้ทันที!! ‘พิธา ’เปิดข้อเสนอพร้อมใช้สู้โควิด กระทุ้งอีกรอบ เร่งเยียวยาประชาชน-SME ได้แล้ว

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เปิดข้อเสนอมาตรการสู้โควิดกระทุ้งรัฐอีกรอบ ย้ำเร่งเยียวยาผลกระทบให้กับประชาชน และธุรกิจ SME ได้แล้ว ระบุเป็นมาตรการบนพื้นฐานทางการคลัง ที่เป็นไปได้ รัฐบาลทำได้ทันที

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า สัปดาห์ก่อน ตนได้อภิปรายออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก โดยสรุปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในภาพรวมและข้อเสนอที่รัฐบาลควรจะทำทันที แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีมาตรการเยียวยาใดๆ ที่เป็นรูปธรรมออกมา ในขณะที่หลายครอบครัวกำลังยากลำบากมาก และทุกๆ วันกำลังรอคอยนโยบายที่จะส่งผลต่อความเป็นอยู่พวกเขา แต่เมื่อรัฐบาลไม่ยอมดำเนินการ ตนจึงขอนำข้อเสนอมาตรการเยียวยาที่พรรคก้าวไกลได้ศึกษาและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมจากสัปดาห์ที่แล้วมาให้ โดยหวังว่ารัฐบาลจะเข้าใจและเห็นใจความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชน ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมาตรการพร้อมใช้ที่รัฐบาลสามารถนำไปใช้ได้ทันที ดังนี้

1.ทบทวนมาตรการการควบคุมโรคของแต่ละจังหวัด โดยเร่งด่วน ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ระดับการติดเชื้อ ศักยภาพในการรองรับผู้ป่วย รวมถึงต้องคำนึงถึงประเภทสถานประกอบการ ที่ถูกสั่งปิดในแต่ละจังหวัด ให้มีมาตรการเยียวยาที่สอดคล้อง และสมเหตุสมผลกับแต่ละสถานที่

2.เร่งช่วยเหลือถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน (สำหรับอายุ 18 ปี ขึ้นไป ยกเว้นข้าราชการ) เพื่อเป็นโครงข่ายรองรับทางสังคม ให้ประชาชนที่กำลังประสบปัญหา อย่างถ้วนหน้า และพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวไปมากกว่านี้

3. เยียวยาเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนมากเป็นพิเศษจากโควิดและมาตรการของภาครัฐ

3.1 ต้องมีมาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟ-ค่าเช่าให้ประชาชน ในจังหวัดที่ถูกควบคุมในระดับเข้มงวดสูงสุด

3.2 ชดเชยสถานประกอบการที่ถูกขอความร่วมมือให้หยุดกิจการราว 6,098 แห่ง ใน 28 จังหวัดที่ถูกสั่งปิด เพิ่มจาก 50% เป็น 75% ใช้งบเพิ่ม จาก 2,321 ล้านบาทเพิ่มเป็น 3481.5 ล้านบาท โดยสามารถตั้งต้นงบประมาณไว้ราว 4,000-5,000 ล้านบาท เพราะอาจมีสถานประกอบการที่มาลงทะเบียนเพิ่ม

3.3 ควรมีมาตรการพยุงการจ้างงานสำหรับธุรกิจ ที่รายได้ลดลงในช่วงโควิด โดยมุ่งเน้นจังหวัดที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก เช่น 5 จังหวัดแดงเข้มและกรุงเทพฯ เสนอให้ใช้เกณฑ์การพิจารณาให้โดยดูจากรายได้/การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลง ชดเชยที่ 50-75% โดยมีเพดานไม่เกิน 7,500 บาท/ราย

3.4 ต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้เช่าไม่ให้ถูกให้ออก โดยอาจมีกฎหมายพิเศษห้ามบังคับไล่ผู้เช่าออกในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมาก และให้รัฐบาลไปเยียวยาผู้ให้เช่า เช่น พิจารณาลดภาษีที่ดิน

4. สำหรับภาคธุรกิจ รัฐบาลควรต่อสายป่านของธุรกิจที่อาจขาดสภาพคล่องจากสถานการณ์ที่คลี่คลายช้าลง โดยต้องมีโครงการ Soft-loan และพักชำระหนี้ไปสูงสุด 2 ปี ซึ่งอาจใช้โมเดลแบบการฟื้นฟูช่วงที่เกิดสึนามิ ด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารและธนาคารของรัฐ

นายพิธา กล่าวต่อว่า มาตราการเยียวยาทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นได้จริงและทำได้อย่างเร่งด่วน โดยจะหางบประมาณได้จากการ

1. โยกงบฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยังเหลืออยู่ ใช้สำหรับเยียวยา รวมแล้วจะมีงบยังไม่ได้ใช้จากเงินกู้ 1 ล้านล้านเหลืออยู่ราว 467,000 ล้านบาท งบกลางเหลืออยู่ราว 139,000 ล้านบาท

2. เกลี่ยก่อนที่จะกู้ เมื่อมีสถานการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกรอบ ก็ควรรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดที่มี รวมถึงการโยกงบปี 64 ในส่วนที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพื่อนำไปเป็นกระสุนสำหรับการฟื้นฟูในระยะถัดไป ก่อนที่จะคิดกู้เงินเพิ่ม ประสบการณ์จากการโยกงบปี 63 พบว่าหน่วยงานรัฐสามารถหั่นงบตัวเองได้เมื่อยามจำเป็นโดยไม่กระทบเป้าหมายเดิม สำหรับปี 64 ที่งบประมาณเพิ่งเริ่มใช้มาไม่ถึง 3 เดือน จะโยกงบได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท

“มาตรการเหล่านี้คิดมาโดยละเอียดรอบคอบ บนพื้นฐานที่เป็นไปได้ทางการคลังทั้งสิ้น หากท่านเป็นรัฐบาลของประชาชนก็ไม่ควรรั้งรอ ที่จะดำเนินการใดๆ เพราะเวลานี้หลายครอบครัวและหลายกิจการเหมือนมือกำลังเกาะขอบเหว ไม่รู้ว่าจะอดทนได้อีกแค่ไหน ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลของประเทศนี้จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเขาบ้าง” นายพิธา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top