Saturday, 26 April 2025
NEWS

รำลึกพระคุณครู เนื่องในวันครูแห่งชาติ 16 มกราคม

น้อมกราบครู
- ครูดวลและครูวรรโณ ดำดี พ่อแม่ผู้เป็นครูคนแรกของชีวิต และเป็นแบบอย่างความเป็นครูให้กับลูก ๆ และลูกศิษย์

- ครูหมาด ดำดี ปู่ผู้เป็นครูหนังตะลุง 
- ครูชั้นเด็กเล็ก รร.อิศรานุสรณ์ จ.กระบี่
- ครูชั้นประถม รร.โภคาพาณิชย์นุกูล มูลนิธิ จ.กระบี่
- ครูชั้นมัธยม รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร

- ครูปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ครูเรือเยาวชน โครงการเรือเยาวชนอาเซียน (The Ship for South-East Asian Youth Program)
- ครูด้านการพูด ศูนย์พัฒนาบุคลิกภาพ อาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ และครูนักพูดนักบรรยายในวงการวิทยากรทุกท่าน ฯลฯ

- ครูปริญญาโท การจัดการภาครัฐและภาคเอกชนมหาบัณฑิต คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)
- ครูประกาศนียบัตรชั้นสูงด้านการเมืองการปกครอง วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
- ครูปริญญาเอก การพัฒนาและการปฏิรูปองค์การดุษฎีบัณฑิต (DODT : Doctor of Organization Development and Transformation) มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ซีบู (Cebu Doctors' University) ประเทศฟิลิปปินส์

- ครูปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
- ครูกวี อาทิ ครูเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, ครูภิญโญ ศรีจำลอง, ครูประสิทธิ์ โรหิตเสถียร, ครูประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา (อุชเชนี), ครูประยอม ซองทอง, ครูสถาพร ศรีสัจจัง ฯลฯ

- ครูคีตา อาทิ ครูดนู ฮันตระกูล, ครูบรูซ แกสตัน ฯลฯ
- ครูเพลงพื้นบ้าน อาทิ ครูชินกร ไกรลาศ, ครูหวังเต๊ะ, ครูแม่ประยูร, ครูแม่ศรีนวล, ครูแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์, ครูบรรหาร ศิษย์หอมหวล, ครูทองเจือ โสภิตศิลป์ ฯลฯ
- ครูเพลงลูกทุ่ง อาทิ ครูเจนภพ จบกระบวนวรรณ, ครูประจวบ วงศ์วิชา, ครูมนต์ เมืองเหนือ, ครูลพ บุรีรัตน์, ครูประยงค์ ชื่นเย็น, ครูศักดา ฟ้าประทาน ฯลฯ

- ครูในทางธรรม อันมีพระบรมศาสดาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นองค์ปฐมบรมครู และพระอริยสงฆ์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกนามผู้สืบทอดหลักธรรมคำสอนในบวรพระพุทธศาสนาที่สอนให้เข้าใจในความจริงของชีวิต

- และทุก ๆ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ ที่มิอาจเอ่ยนามได้หมดในที่นี้ รวมทั้งสรรพวิทยาที่ได้อ่านได้ฟังได้เรียนรู้จากทุกๆ ท่านในโลกออนไลน์ที่เป็นครูให้ผมโดยท่านอาจไม่รู้ตัว ฯลฯ ตลอดจน ‘ครูพักลักจำ’ และ ‘สรรพตำรา’ ทุก ๆ เล่ม ด้วยความรำลึกและสำนึกอยู่เสมอว่าทุก ๆ ท่านคือครูของผมครับ...
กราบขอบพระคุณครับคุณครู

อภิชาติ ดำดี
๑๖ ม.ค. ๒๕๖๗

ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ 'ในหลวง – พระราชินี' ทรงเสียพระทัย ฝากความห่วงใยครอบครัว 2 ครู ตชด. พลีชีพจากเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์ ผู้ว่าฯ พัทลุง เชิญตะกร้าสิ่งของพระราชทาน มอบแก่ครอบครัว ด้าน ผบช.ตชด. ยกย่อง พ.ต.ท.สุวิทย์ 'ครู ตชด.ผู้ยิ่งใหญ่'

(16 ม.ค.68) เวลา 10.00 น. ที่ บ้านเลขที่ 84 หมู่ 7 ต.คลองทรายขาว อ.กงหรา จ.พัทลุง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เชิญตะกร้าสิ่งของพระราชทาน มอบครอบครัวของ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครูใหญ่ รร.ตชด.บ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์ 13 ตำบลศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จว.นราธิวาส และ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ครู รร.ตชด.บ้านตืองอฯ บุตรชาย ที่เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด ในพื้นที่ อ.ศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส

ในการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ได้เชิญกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี  ที่ทรงเสียพระทัยและห่วงใย แก่ครอบครัวของครู ตชด. ทั้ง 2 นาย มากล่าว เป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บและครอบครัว สร้างความปลาบปลื้ม และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ในโอกาสนี้ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ผบช.ตชด.) เข้าร่วมพิธี

พล.ต.อ. ไกรบุญ ทรวงทรง รอง ผบ.ตร. ได้แสดงความอาลัยต่อการจากไปของครู ตชด. ทั้ง 2 นาย ได้พูดคุยให้กำลังใจและมอบเงินบำรุงขวัญให้แก่ครอบครัว และได้นำความห่วงใยและความเสียใจของ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ต่อครอบครัวครู ตชด. ทั้ง 2 นาย

ด้าน พล.ต.ท.นิตินัย กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของตำรวจทั้ง 2 นาย ที่พลีชีพจากเหตุการณ์ครั้งนี้ สำหรับ พ.ต.ท.สุวิทย์ หรือ ตชด.จะเรียกกันว่า 'ครูสุวิทย์' ถือเป็นเพชรน้ำงามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะ พ.ต.ท.สุวิทย์ เป็นตำรวจที่อุทิศตนมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ครู ตชด. ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยความเสียสละ ทำหน้าที่ทั้งตำรวจ และครู ตชด.ในพื้นที่ชายแดนเสี่ยงภัยด้วยความตั้งใจ ทุ่มเท เพื่อดูแลให้การศึกษา สร้างชีวิตที่ดีแก่เด็กผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีความกล้าหาญ ไม่คิดย้ายออกจากพื้นที่เสี่ยง ควรค่าแก่การเชิดชูสดุดี ซึ่งยืนยันได้ด้วยรางวัลเกียรติยศเชิดชูเกียรติ และผลงานมากมาย อาทิ รางวัลครูดีเด่น, รางวัลครูใหญ่ดีเด่น, รางวัลพระราชทาน 'สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี', รางวัล 'ผู้ปิดทองหลังพระ' ในงานคนค้นฅน อวอร์ด ครั้งที่ 9

“เนื่องในโอกาสวันครู 16 มกราคม 2568 ปีนี้ ขอยกย่องครูสุวิทย์ เป็น 'ครู ตชด.ผู้ยิ่งใหญ่' มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่โดยแท้ เป็นแบบอย่างของครู ตชด.ผู้เสียสละอย่างแท้จริง เป็นที่รักของนักเรียน ชาวบ้าน และเพื่อนร่วมงาน ขณะเดียวกันเนื่องในวันครูปีนี้ขอชื่นชม ยกย่อง ครู ตชด.ทั้ง 2,354 นาย ในโรงเรียน ตชด. 222 แห่ง ทั่วประเทศ ที่ทุกท่านเสียสละ อุทิศตนทำหน้าที่ครู และตำรวจในเวลาเดียวกัน ด้วยความเสียสละ ตั้งใจ อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารเพื่อให้ความรู้ ให้โอกาส สร้างชีวิตที่ดีให้แก่เด็ก ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล จึงขอยกย่องครู ตชด.ทั่วประเทศ เป็น 'ครูผู้พิทักษ์และสร้างโอกาส' ขณะเดียวกันขอส่งกำลังใจให้ครู ตชด.ทั่วประเทศ มีขวัญกำลังใจที่ดีในการปฏิบัติงาน โดยพร้อมสนับสนุนในทุก ๆ ด้าน ให้ภารกิจของโรงเรียน ตชด.สำเร็จลุล่วง” ผบช.ตชด.กล่าว

จากนั้น พล.ต.อ.ไกรบุญ และ ผบช.ตชด. จะได้เดินทางไปยังศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) จว.ยะลา เพื่อติดตามความคืบหน้าคดี และให้กำลังใจตำรวจ ตชด. โดยเฉพาะครู ตชด.ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ฯ ต่อไป

ขอนแก่น - 'มข.' กระชับสัมพันธ์ เครือข่ายสื่อมวลชน 2568 ชื่นมื่น พร้อมเผยแพร่องค์ความรู้สู่ ปชช.

ขอบคุณสื่อมวลชน ที่ได้มีบทบาทในการสื่อสารผลงานวิชาการ และนวัตกรรม ที่มหาวิทยาลัยสร้างขึ้น นับเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์เนื้อหา ทางวิชาการ บนพื้นที่สื่อส่วนกลาง ให้รับรู้ในวงกว้าง ส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชน ตลอดจนการเผยแพร่วัฒนธรรมและค่านิยมต่างๆ  จากการได้รับการสนับสนุน จากเครือข่ายสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ทำให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น เติบโตก้าวหน้าในทุกด้าน ด้านภาพลักษณ์ ได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากสังคม

ค่ำวันที่ 14 มกราคม 2568 ที่ ห้องจัดเลี้ยง ชั้น 3 โรงแรมบายาสิตา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น รายงานว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้จัดโครงการ 'มข.ส่งมอบความสุขเครือข่ายสื่อมวลชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568' โดยมี รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงาน  พร้อมด้วย รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ รักษาราชการแทนรองอธิการบดีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์,อาจารย์ณัฐสมล ธนกุลรังสฤษดิ์ รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายกฎหมายและสื่อสารองค์กร,นายชุมพร พารา ผู้อำนวยการกองสื่อสารองค์กร ตลอดจนเจ้าหน้าที่และบุคลากร ,นายชาญสิทธิ์ ฝางชัยภูมิ นายกสมาคมช่างภาพ ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ จังหวัดขอนแก่น ,นายเจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดขอนแก่น ,นายเจริญ เพ็งมูล นายกสมาคมสื่อมวลชนเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น ,นายหมวดตรีชูไทย วงศ์บุญมี ประธานชมรม-นักข่าวนักหนังสือพิมพ์ และนักจัดรายการจังหวัดขอนแก่น ร่วมกิจกรรม ในการนี้ มีสื่อมวลชนด้านโทรทัศน์ สื่อมวลชนด้านวิทยุกระจายเสียง สื่อมวลชนด้านหนังสือพิมพ์ และ สื่อออนไลน์ ที่ลงทะเบียนเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก 

พิธีการเริ่มจาก รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล รักษาราชการอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวเปิดงาน ว่า ปีนี้เป็นวาระพิเศษเนื่องในโอกาสครบรอบ 61 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็น 61 ปี ที่เรามุ่งมั่นสร้างสรรค์งานในทุกพันธกิจ เพื่อพัฒนาสังคม และประเทศชาติในทุกมิติ การจัดงาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่งมอบความสุข เครือข่ายสื่อมวลชน ในวันนี้ จึงนับเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญ ที่เราจะได้ยกระดับความสัมพันธ์มากขึ้น และร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อสังคมและประเทศชาติ

“ขอบคุณสื่อมวลชน ที่ได้มีบทบาทในการสื่อสารผลงานวิชาการ และนวัตกรรม ที่มหาวิทยาลัยสร้างขึ้น นับเป็นโอกาสในการสร้างสรรค์เนื้อหา ทางวิชาการ บนพื้นที่สื่อส่วนกลาง ให้รับรู้ในวงกว้าง ส่งเสริมความรู้ให้กับประชาชน ตลอดจนการเผยแพร่วัฒนธรรมและค่านิยมต่างๆ  จากการได้รับการสนับสนุน จากเครือข่ายสื่อมวลชนเป็นอย่างดี ทำให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น เติบโตก้าวหน้าในทุกด้าน ด้านภาพลักษณ์ ได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากสังคม ด้านความร่วมมือ ก็ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อันเป็นที่ปรากฏผล แห่งความสำเร็จตลอดมา”

ภายหลังอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวขอบคุณสื่อมวลชนเป็นการมอบรางวัลแก่ผู้โชคดี ต่อจากนั้น ตัวแทนสื่อมวลชนได้กล่าวแสดงความรู้สึกระหว่างสื่อมวลชน ที่มีต่อมหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังเสร็จช่วงพิธีการ เป็นการแสดงวงดนตรี สลับด้วยการจับรางวัลให้กับสื่อมวลชนที่ร่วมงาน ที่โชคดี ตลอดจนจัดกิจกรรม ประกวดการแต่งกายชาย/หญิง ภายใต้ธีมสายมู ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความตื้นเต้น ดีใจ สนุกสนาน ชื่นมื่นตลอดงาน

'เผ่าภูมิ' เผย 'เงิน 10,000' เฟสสอง โอน 27 ม.ค. เช็คสิทธิ 22 ม.ค. ผ่านทางรัฐ แนะรีบผูกพร้อมเพย์ รัฐโอนซ้ำให้ 3 ครั้ง

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน แก่ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ ดังนี้

1. เป็นผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน 'ทางรัฐ' สำเร็จ (ลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สำเร็จ) ที่มีสัญชาติไทยและมีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ 15 กันยายน 2567 (เกิดก่อนหรือในวันที่ 16 กันยายน 2507) และมีคุณสมบัติเพิ่มเติม ดังนี้
1.1 ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566 
1.2 ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
1.3 ไม่เป็นผู้อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
1.4 ไม่เป็นผู้ต้องขัง 4 ประเภท ได้แก่ นักโทษเด็ดขาด ผู้ต้องขังระหว่าง ผู้ต้องกักขัง และผู้ต้องกักกัน ตามฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
1.5 ไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ

2. ตรวจสอบสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน 'ทางรัฐ' ได้ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. 68 เป็นต้นไป โดยกรอกบัญชีผู้ใช้หรือเลขประจำตัวประชาชน (Username) และรหัสผ่าน (Password) เพื่อ 'เข้าสู่ระบบ' และกด 'ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน' โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เพื่อเข้าสู่หน้าแสดงผลผู้มีสิทธิโครงการฯ

3. ผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเงินในโครงการฯ จะได้รับเงิน 10,000 บาท ผ่านบัญชีเงินฝากที่ผูกพร้อมเพย์
กับเลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น (ไม่สามารถรับเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับเบอร์โทรศัพท์ได้) ซึ่งสามารถผูกกับบัญชีเงินฝากของธนาคารใดก็ได้โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นธนาคารของรัฐ ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 22 ม.ค. 68 เพื่อรอรับการจ่ายเงินในวันที่ 27 ม.ค. 68

4. ควรตรวจสอบกับธนาคารด้วยว่าบัญชีพร้อมเพย์ดังกล่าวยังคงมีสถานะปกติที่สามารถรับเงินโอนได้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมรับเงินในวันที่ 27 ม.ค. 68

5. ในกรณีที่จ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจำนวน 3 ครั้ง ได้แก่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 28 มีนาคม และ 28 เมษายน 68

สตูล นาวาเอก ธนพล  กล่อมนาค รองผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง 1 ลงตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ ของกำลังพล

นาวาโท ธนภูมิ ประทีป ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยาน และรักษาฝั่งที่ ๔๕๒ให้การต้อนรับ นาวาเอก พงษ์ศักดิ์ รามนุช ผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง นาวาเอก ธนพล กล่อมนาค รองผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (๑) และ นาวาโท อนุวัฒน์ อายุยืน ผู้บังคับการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งประจำพื้นที่ ๑ เนื่องในโอกาสเดินทางมาตรวจเยี่ยม กำลังพลสนับสนุนหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ ๔๕๒ พื้นที่เกาะปูยู และเกาะยาว จังหวัดสตูล เพื่อตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ ของกำลังพล รับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อขัดข้อง ในการปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกล สร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลในหน่วยเฉพาะกิจที่ปฏิบัติงานตรวจตราในพื้นที่ชายแดน

สถานีเรดาร์ตรวจการณ์ทางทะเลเกาะปูยูและ เกาะยาวมึภารกิจตรวจการณ์ทางทะเลโดยเรดาร์เพื่อตรวจและติดตามเรือในทะเลที่มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยในภัยต่างๆในพื้นที่ทางทะเลและตะเข็บชายแดนเพื่อแจ้งชี้เป้าและสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยเรือในการพิสูจน์ทราบต่อไป ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาในการซีลชายแดนป้องกันการค้ามนุษย์และป้องกันอาชญากรรมตามแนวชายแดน

“พล.ต.อ.ธัชชัยฯ” เสริมมาตรการคัดกรองเข้มงวดป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ สั่งบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่างประเทศ เสริมสร้างความร่วมมือในระดับสากล

วันนี้ (14 ม.ค. 68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (จตช./ผอ.ศพดส.ตร.) เป็นประธานการประชุมกำหนดมาตรการป้องกันการถูกหลอกลวงให้ไปทำงานยังประเทศที่สามโดยอาศัยประเทศไทยเป็นทางผ่าน ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท พล.ต.ต.มณฑล บัวจีบ รอง ผบช.ส., พล.ต.ต. ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.กัญชล อินทราราม รอง ผบช.ตชด., พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม., พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท., และ พล.ต.ต.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผบก.อก.บช.น. ร่วมประชุม พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่เคยมีการบังคับขู่เข็ญ หรือหลอกลวงให้ไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน

โดยประเทศไทยไม่ได้เป็นแหล่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการหลอกลวงชาวต่างชาติมาทำงานผิดกฎหมายไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย แก๊งหลอกลวงมักจะใช้ประเทศไทยเป็นเพียงจุดผ่านเพื่อพาผู้เสียหายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกระบวนการหลอกลวงเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระบบความมั่นคง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ได้สั่งการให้ตำรวจทุกภาคส่วนดำเนินการคัดกรอง ป้องกัน ช่วยเหลือ และดำเนินคดีแก่ ผู้เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงดังกล่าว พร้อมทั้งให้จัดช่องทางประชาสัมพันธ์แก่ชาวต่างชาติที่มายังประเทศไทย และกำชับตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองผู้ที่เข้าประเทศ โดยการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งภาครัฐและเอกชน

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ ยังได้สั่งการให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ โดยการ ตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อป้องกันการหลอกลวงข้ามประเทศและเสริมสร้างความร่วมมือในระดับสากล รวมถึงการตรวจสอบและดำเนินการกับรถรับจ้างที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ จะมีการตั้งจุดสกัดตามแนวชายแดน เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการลักลอบการค้ามนุษย์ ในส่วนของการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการถูกหลอกลวง หากพบเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องจะต้องแจ้งเตือนและรายงานข้อมูลให้ ศพดส.ตร. ภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน เพื่อติดตามและดำเนินการต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ

โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จ.สกลนคร แถลงเปิดรับบริจาคสมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์

โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ขอเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวการเปิดรับบริจาคสมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ แก่โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จ.สกลนคร พร้อมร่วมงานพิธีเททองหล่อพระพุทธรูป ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2568 เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่ โดยร่วมงานพิธีเททองหล่อพระพุทธรูป ณ.วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร จำนวน 3 องค์ ในวันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2568 ณ วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เวลา 9.00 – 15.00 น.

สำหรับ กำหนดการ ประกอบไปด้วย...
- 09:00 – 09:30 น. >> สื่อมวลชนลงทะเบียน รับแผ่นทองเพื่อเขียน ชื่อ-นามสกุล เพื่อร่วมหล่อพระพุทธรูป
- 09:30 – 09:40 น. >> พิธีกรกล่าวต้อนรับ
- 09.40 – 09.50 น. >> ชม VDO โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่ อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร
- 09.50 – 10:30 น. >> วงสนทนา การเปิดรับบริจาคสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และซื้อเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น โดย...
1. พระเดชพระคุณพระพรหมวชิรเวธี (อมร ญาโณทโย) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร
2. พระธรรมวัชรญาณวิศิษฏ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม
ประธานดำเนินงานโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
3. นพ.พันธวี คำสาว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
- 10.30 – 10.45 น. >> ร่วมชมตัวอย่างสารคดีหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ชุด 'ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว' พร้อมแนวคิดการสร้างสารคดี โดยคุณพสุ ตีรวัชร 
-10:45 – 11:00 น. >> ถ่ายภาพหมู่
- 11:00 – 11:15 น. >> สื่อมวลชนสัมภาษณ์เพิ่มเติม
- 11:15 – 11:45 น. >> นำคณะสื่อมวลชน ชมพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
- 12:00 – 13:00 น. >> รับประทานอาหารกลางวัน (Lunch Set) พร้อมรับเหรียญหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร
- 13:09 – 15:00 น. >> ขอเชิญเข้าร่วมพิธีเททองหล่อพระพุทธรูป จำนวน 3 องค์ ณ อุโบสถ เพื่อนำไปประดิษฐานที่โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จ.สกลนคร โดยประธานในพิธี พระเดชพระคุณพรหมวชิรเวธี (อมร ญาโณทโย) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร
- 15:00 น. >> จบกิจกรรม

สำหรับสื่อมวลชนและผู้สนใจสามารถติดต่อเข้าร่วมงานได้ โทร.098-695-0325 กลุ่มการพยาบาลโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หรือ LINE: @pmhdonation เพื่อจัดเหรียญหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มอบเป็นที่ระลึกให้ต่อไป

ส่วนผู้ประสงค์บริจาคผ่านการโอนเงินได้ที่บัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสพกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ชื่อบัญชี 'กองทุนเครื่องมือแพทย์ รพ.พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต' เลขที่บัญชี 020229922839 (สามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า)

สืบ ตม.1 แท็กทีม สน.คลองตัน บุกตรวจร้านทำผมชื่อดังถนนสุขุมวิท รวบผีน้อยเกาหลี 4 ราย ถือวีซ่าท่องเที่ยวแอบตัดผมฉ่ำ

(15 ม.ค. 68) พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิดที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบหลักของ สตม. โดยสั่งการและกำชับให้เพิ่มความเข้มในการตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย  โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่รับผิดชอบงานสืบสวนเน้นลงพื้นที่ X-RAY ตรวจสอบป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง บก.ตม.1 โดย พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รอง ผบก.ตม.1 รับผิดชอบงานตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้รับการประสานงานจาก สน.คลองตัน โดย พ.ต.อ.วชิรากรณ์ วงศ์บุญ ผกก.สน.คลองตัน เกี่ยวกับเบาะแสของร้านทำผมชื่อดังแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทตอนกลางจึงสั่งการให้ พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน พร้อมชุดปฏิบัตินำโดย พ.ต.ท.ทวีทรัพย์ ชัยภูมิ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1, พ.ต.ท.ธงไทย ไพเราะ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 ร่วมกับ พ.ต.ท.ธนากร งามเย็น รอง ผกก.ป.สน.คลองตันพร้อมกำลังนับสิบนายลงพื้นที่ตรวจสอบ ในวันที่ 14 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา 

สำหรับพฤติการณ์ในการจับกุม เจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงบริเวณสถานประกอบการตามที่ได้รับเบาะแส ในเวลาประมาณ 15.30 น. เมื่อขึ้นไปชั้น 2 จะมีห้องสำหรับทำผม และเปิดประตูเข้าไป  เจ้าหน้าที่ตำรวจพบทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติกำลังรับบริการตัดแต่งและจัดทรงผมเป็นจำนวนมาก ลูกค้าบางส่วนยังเข้าคิวรอรับบริการอยู่ โดยมีช่างตัดแต่งทรงผมทั้งที่เป็นชาวไทยและที่มีลักษณะรูปพรรณคล้ายชาวต่างชาติเอเชียตะวันออกอีกหลายราย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ และเจ้าพนักงานตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ฯ ขอตรวจสอบเอกสารประจำตัวและใบอนุญาตทำงานของช่างทำผมที่กำลังทำหน้าที่อยู่ทั้งหมด ผลการตรวจสอบจึงพบว่า ช่างทำผมมีสัญชาติเกาหลี 4 คน เป็นชาย 2 และหญิง 2 ดังนามสมมติต่อไปนี้ MR.LEE สัญชาติเกาหลีใต้ อายุ 25 ปี, MR.KIM สัญชาติเกาหลีใต้ อายุ 30 ปี, MS.JIYOEN สัญชาติเกาหลีใต้ อายุ 25 ปี, MS.JI HYE สัญชาติเกาหลีใต้ อายุ 24 ปี และยังพบหญิงสัญชาติเมียนมา 1 คน คือ MS.THIN THIN สัญชาติเมียนมา อายุ 33 ปี โดยชาวเกาหลีใต้ทั้ง 4 รายเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยด้วยการผ่อนผันการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว 90 วันซึ่งจะไม่สามารถทำงานได้ ส่วนชาวเมียนมาอีก 1 รายนั้นมีใบอนุญาตทำงานแต่ขณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบกำลังทำผมให้กับลูกค้าซึ่งอาชีพการทำผม ตัดผม เสริมสวย เป็นหนึ่งในงานต้องห้ามทำโดยเด็ดขาด ตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ เช่นเดียวกับ งานเร่ขายสินค้า และงานนวดไทย เป็นต้น เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาผู้ต้องหาชาวเกาหลีใต้ทั้งหมดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน”  และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาชาวเมียนมาในข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ทำงาน ทำงานนอกเหนือสิทธิ์ที่จะกระทำได้ ควบคุมตัวส่ง พงส.สน.คลองตัน ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ผู้สื่อข่าวกล่าวสอบถาม พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า การประกอบอาชีพสงวนที่ต้องห้ามเด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว หากถูกจับกุม นอกจากจะมีโทษปรับตามกฎหมายคือตั้งแต่ 5,000-50,000 บาทแล้ว จะมีผลไปถึงการถูกบันทึกรายชื่อเป็นบุคคลต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และผลักดันออกไปนอกราชอาณาจักรนอกจากนี้ยังขอฝากประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชนผ่านผู้สื่อข่าวว่า สตม. เป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมายที่มาตรฐานสากลในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามคนต่างด้าวที่เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และทำความผิดอื่นๆ ทั้งนี้หากท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารพระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่   อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ จักขอบพระคุณยิ่ง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแสดงความเสียใจเหตุครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 2 นาย เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายวางระเบิดในพื้นที่ จ.นราธิวาส พร้อมดูแลสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอย่างเต็มที่

(15 ม.ค.68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกรณีวันที่ 14 มกราคม 2568 เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดแล้วจ่อยิงซ้ำเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน บนถนนสายศรีสาคร- ลูโบ๊ะยือริง ช่วงบริเวณบ้านไอร์กือแด หมู่ 4 ต.ศรีบรรพต อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนเสียชีวิต 2 นาย ได้แก่ พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครู (สบ 3) กก.ตชด.44 ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอ อ.ศรีสาคร จว.นราธิวาส และบุตรชายคือ ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ผบ.หมู่ กก.ตชด.44 ครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอ 

ทั้งนี้ ทางผู้บังคับบัญชาได้เคลื่อนย้ายศพ พ.ต.ท.สุวิทย์ฯ และ ด.ต.โดมฯ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 หมู่ 1 ต.ซากอ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เพื่อนำร่างไปประกอบพิธีศาสนา ซึ่งทางญาติฝังศพที่กุโบร์บ้านหน้าวัง หมู่ 8 ต.คลองทรายขาว อ.กงหรา จ.พัทลุง 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอแสดงความเสียใจมา ณ โอกาสนี้ นับเป็นการสูญเสียกำลังพลตำรวจผู้ทรงคุณค่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้มีใจที่ยิ่งใหญ่ เสียสละ ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ด้วยความมุ่งมั่น มิเกรงกลัวภัย เพื่อเด็ก เยาวชน และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนได้มีการศึกษา มีชีวิตที่ดี โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการให้ดูแลสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอย่างเต็มที่ให้สมเกียรติตำรวจกล้า และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวมา ณ โอกาสนี้

สำหรับสิทธิประโยชน์กรณีข้าราชการตำรวจทั้ง 2 นาย เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ดังนี้
พ.ต.ท.สุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์ ครู (สบ 3) กก.ตชด.44 ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอ
- ได้รับเงินสวัสดิการและเงินช่วยเหลือ โดยประมาณ 3,519,970 บาท
- เลื่อนเงินเดือนกรณีพิเศษไม่เกิน 7 ขั้น และเลื่อนยศสูงขึ้นเป็น พล.ต.อ.

ด.ต.โดม ด.ต.โดม ช่วยเทวฤทธิ์ ผบ.หมู่ กก.ตชด.44 ครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
- ได้รับเงินสวัสดิการและเงินช่วยเหลือ (โดยประมาณ) 2,722,970 บาท
- เลื่อนเงินเดือนกรณีพิเศษไม่เกิน 7 ขั้น และเลื่อนยศสูงขึ้นเป็น พล.ต.ต.

'ERDI-CMU จับมือ บจก. เจริญชัย' ต้อนรับอธิบดี พพ. ชมเทคโนโลยี Platform AI บริหารจัดการ Solar กับ Energy Storage ด้วยหม้อแปลง IoT พร้อมทำ Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response

เมื่อวันที่ (9 ม.ค.68) รองศาสตราจารย์ ดร.อิทธิชัย ปรีชาวุฒิพงศ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พฤกษ์ อักกะรังสี ผู้เชี่ยวชาญ ด้านพลังงานและผู้แทนพิเศษ สถาบันฯ และคณาจารย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยนายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ กรรมการบริหาร ( นวัตกรรม )บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ให้การต้อนรับ นางสาวนันธิกา  ทังสุพานิช อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน พร้อมคณะผู้บริหารกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมเทคโนโลยี Platform AI บริหารจัดการ Solar กับ Energy Storage ด้วยหม้อแปลง IoT (Low Carbon) ประโยชน์สูงสุดและเสถียรภาพ พร้อมทำ Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response และประหยัดค่าไฟฟ้า ณ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อรับฟังบรรยายเกี่ยวกับ เทคโนโลยีหม้อแปลงพลังงาน Low Carbon (IoT) และระบบจัดการพลังงานที่พัฒนาเพื่อรองรับแนวคิด Energy Management System (EMS) 

ซึ่งสามารถช่วยจัดการพลังงานทดแทน เช่น Solar และ Energy Storage ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับ เทคโนโลยีหม้อแปลงพลังงาน Low Carbon (IoT) เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ERDI-CMU) ร่วมกับบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ได้พัฒนานวัตกรรมหม้อแปลงไฟฟ้า Low Carbon ที่สามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการทดสอบพบว่าหม้อแปลงไฟฟ้าดังกล่าวสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ถึง 5-20% 

นอกจากนี้ หม้อแปลงไฟฟ้า Low Carbon ยังมีระบบบริหารจัดการพลังงานที่สามารถทำงานร่วมกับพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นวัตกรรมนี้ได้รับการยอมรับในระดับอาเซียน โดยได้รับรางวัล ASEAN Energy Awards 2023 ในประเภท Cutting Edge Technology ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จของประเทศไทยในการพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนการลดโลกร้อนการพัฒนาหม้อแปลงไฟฟ้า Low Carbon นี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำและการพัฒนาที่ยั่งยืน

‘อาจารย์ สจล.’ สะท้อนปัญหาการศึกษาไทยยุคเรียนเอาเกรด หลังพบเด็กส่งผลงานสุดหรู แต่ไม่รู้แม้เรื่องพื้นฐาน – ตอบคำถามไม่ได้

(15 ม.ค. 68) รศ. ธีรวัฒน์ ประกอบผล อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า 
"สัมภาษณ์ TCAS68...น่าห่วงกับการศึกษาไทย"

หลาย ๆ อย่างผมอาจคิดไปเองก็ได้ นักเรียนที่มาสัมภาษณ์ส่วนใหญ่ความรู้ดี และเด็กไทยยุคนี้เกรด 4.00 แยะมาก เด็กส่วนใหญ่คะแนนสูง ๆ ทั้งนั้น แต่ผมก็อยากแนะนำไปถึงเด็ก ๆ และครูแนะแนวในการแนะแนวเด็กนักเรียนครับ

มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจะมีการรับหลายรูปแบบ แม้ว่า TCAS รอบยื่นผลงาน แต่บางมหาวิทยาลัยอาจมีโครงการย่อยลงไปอีกที่แตกต่างกันไป ซึ่งนักเรียนควรศึกษาเรื่องแบบนี้ด้วย เพื่อเป็นช่องทางของตัวเอง

วันนี้ผมได้สัมภาษณ์ในส่วนของโครงการ "เด็กดีมีที่เรียน" และ "เด็กที่มีความสามารถพิเศษ" เมื่อเราจะยื่นโครงการลักษณะนี้ คำว่าเป็นเด็กดี เราก็ต้องแสดงออกมาว่าเราดีจริง ๆ และดีจนมหาวิทยาลัยอยากจะรับเรา การที่เราไปเป็นอาสาสมัคร หรือช่วยงานเป็นจ๊อบเล็ก ๆ เราก็ต้องดูว่าคู่แข่งของเรานั้นน่าจะมีผลงาน หรือทำดีมากกว่าเราอีกหรือไม่ การนำเสนอผลงานที่เราเป็นจราจรหน้าโรงเรียนนั้นเพียงพอหรือไม่ที่จะแสดงว่าเราเป็นเด็กดี ดังนั้นหลาย ๆ อย่างควรพิจารณา 

การนำผลงานมาใส่ในแฟ้มผลงานก็ควรจะเลือก ให้ความสำคัญในแต่ละงาน เรื่องใดสำคัญมากกว่า มีงานเรื่องเป็นการประกวดภายในโรงเรียน มีบางเรื่องเป็นการแข่งขันนานาชาติ แต่เขามาจัดที่โรงเรียนเราโรงเรียนเดียว แล้วแข่งกับต่างประเทศนั้น ก็ลองคิดดูว่าการแข่งขันแบบนี้น่าจะถือว่าเป็นนานาชาติหรือไม่

เมื่อผมสัมภาษณ์ผมมักจะให้เด็กเขียนและแสดงความรู้ออกมา ว่าเรารู้เรื่องนั้นจริง การนำเสนอของนักเรียนบางคนมักจะเตรียมมาพูดมากกว่าจะให้กรรมการถาม แต่แม้ว่าเรามีผลงานออกมาดีเมื่อกรรมการถามสิ่งที่เกี่ยวข้องกันก็ควรจะตอบได้ เช่น มีผลงานการพัฒนาแอพ พัฒนาโปรแกรม แต่เมื่อกรรมการถามให้ลองเขียนโปรแกรมง่าย ๆ เช่น อัลกอริทึม หรือโปรแกรมคำนวณดัชนีมวลกาย หรือตรวจสอบว่าจำนวนนี้เป็นจำนวนเฉพาะหรือไม่ ก็ควรจะตอบได้ 

นักเรียนบางคนเรียนได้เกรดวิทย์ 4 หมด แต่ถามเรื่องโมเมนตัม เรื่องไฟฟ้ากระแสตรง ไฟฟ้ากระแสสลับพื้น ๆ กลับตอบไม่ได้ แต่กลับบอกสูตรได้ นำสูตรมาแทนค่าได้

ผมมักจะมองใบ ป.พ.1 ของนักเรียน ดูว่าเรียนอะไรกันมาบ้าง น่าเสียดายนักเรียนบางคนบอกว่าเรียนไม่ค่อยตรงกันที่ควรเรียน บางโรงเรียนวิทยาการคำนวณสอนแต่หุ่นยนต์ แต่ก็ต้องดูว่าเด็กทุกคนไม่ได้ชอบหุ่นยนต์ บางคนอยากไปแบบอื่น อยากเขียนโปรแกรมพื้นฐานให้ได้ ก็เขียนไม่ได้เลย เพราะครูสอนแต่หุ่นยนต์นั่นเอง

และเมื่อดูในใบ ป.พ.1 ซึ่งจะติดตัวนักเรียนไป ยังมีการเขียนที่แตกต่างกัน ซึ่งผมไม่รู้ว่าสะกดผิด หรือผมเข้าใจผิดเอง บางโรงเรียนมีสอนวิชาการเขียนโปแกรมไพทอน บางโรงเรียนก็ไพทรอน สะกดไม่เหมือนกัน บางโรงเรียนสอนวิชา STAM บางโรงเรียนสอนวิชาท่อน้ำ 1 ท่อน้ำ 2 ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผมคิดผิดไปเอง หรือเขียนแบบนี้ถูก แต่ที่แน่ ๆ สิ่งนี้จะติดตัวนักเรียนไปตลอด

ทั้งนี้ทั้งนั้นผมอาจคิดไปเองก็ได้ เด็กส่วนใหญ่ตอบคำถามผมได้ดี แต่ก็มีบางคนที่ตอบไม่ได้อย่างที่ผมกล่าวมา 

แต่ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของการศึกษาไทยในยุคนี้ละครับ ที่เด็กได้คะแนนเกือบ 4 กันเกือบทั้งหมดเลยครับ น่าชื่นชมจริง ๆ เด็กไทยเกรดสูง ไม่ค่อยมีตกซ้ำชั้น

ไบเดนยกหนี้กยศ. 1.5 แสนคน มูลค่ากว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ ยอดรวมผู้กู้ที่ได้รับการยกหนี้พุ่งเกิน 5 ล้านคน

(14 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ 13 มกราคมว่า คณะบริหารของเขาจะยกหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาของผู้กู้อีกกว่า 150,000 คน โดยมีเป้าหมายหลักไปที่ผู้ที่เข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่มีพฤติกรรมหลอกลวง, ผู้พิการถาวร และพนักงานในภาครัฐ

ไบเดนกล่าวว่า ขณะนี้มีชาวอเมริกันมากกว่า 5 ล้านคนที่ได้รับการยกหนี้จากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาภายใต้การบริหารของเขา

ในแถลงการณ์ของประธานาธิบดีไบเดนระบุว่า ผู้กู้ 150,000 คนที่ได้รับการยกหนี้ในครั้งนี้ประกอบด้วย ผู้กู้เกือบ 85,000 คนที่เข้าเรียนในสถาบันการศึกษาที่ฉ้อโกง, ผู้กู้ 61,000 คนที่มีอาการพิการถาวร และพนักงานบริการสาธารณะอีกกว่า 6,100 คน

กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ยังได้เผยแพร่แถลงการณ์เพิ่มเติมในวันเดียวกันว่า การยกหนี้ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการยกหนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา 28 ครั้ง โดยตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน คณะบริหารของไบเดนได้ประกาศยกหนี้ไปแล้วกว่า 1.836 แสนล้านดอลลาร์ และการยกหนี้ในครั้งนี้มีมูลค่ามากกว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์

ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ รัฐบาลของไบเดนต้องเผชิญกับอุปสรรคทางกฎหมายจากพรรครีพับลิกันและศาลที่คัดค้านแผนการแบ่งเบาภาระหนี้สินของนักเรียน ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาที่ไบเดนให้ไว้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2563

กระทรวงความมั่นคงเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ฯ หารือ 'พล.ต.อ.ธัชชัยฯ' ร่วมมือปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยให้หมดไป

(14 ม.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศพดส.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ต. วรวัฒน์ อมรวิวัฒน์ รอง ผบช.ส , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต. ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สทส.ชรก.สตม. , พล.ต.ต. ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ รอง ผบช.ก., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม. และคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ร่วมประชุมกับ นายไมเคิล ชัวค (Mr. Michael Cheuk) รองปลัดกระทรวงความมั่นคงเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยหารือในเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน และปัญหาการค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดน 

การประชุมดังกล่าวมีประเด็นสำคัญคือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทางการไทยเกี่ยวกับแผนประทุษกรรมรูปแบบใหม่ของทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาทิ การปลอมเป็นพนักงานบริการลูกค้าของบริษัทโทรคมนาคม การหลอกไปทำงานรายได้ดีในต่างประเทศ และปัญหาการกำจัดบัญชีม้า ซึ่งทางเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้พบเจอกับปัญหาดังกล่าวมากขึ้นเช่นเดียวกับประเทศไทย จึงเห็นถึงความสำคัญในการร่วมมือกับทางการไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานเพื่อกำจัดปัญหาเหล่านี้

นายไมเคิล ชัวค รองปลัดกระทรวงความมั่นคงเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบว่ามีกรณีชาวฮ่องกง ชาวจีน ถูกหลอกลวงไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ยืนยันว่าเป็นการตกลงกันมาจากฮ่องกง มีการจองรถผ่านแอปพลิเคชันล่วงหน้า เหยื่อเข้าใจผิดเดินทางไปด้วยความสมัครใจ ไม่ได้มีการหลอกลวงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเมื่อตนเดินทางกลับจะทำการแถลงข่าว เพื่อให้ชาวฮ่องกงทราบถึงความปลอดภัยในการท่องเที่ยวในประเทศไทย และความร่วมมือที่ดีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยต่อไป

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวย้ำว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าขับเคลื่อนแลกเปลี่ยนความร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อต่อสู้และปราบปรามกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยให้หมดไปจากสังคม

สืบ ตม. รวบหนุ่มแดนโสมหลังมั่วสุมปาร์ตี้ยาฯ ไฮโซ บนโรงแรมหรูย่านทองหล่อ 

กก.ปอพ.บก.สส.สตม. จับกุมนายโจวอน (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.1379/2567 ลงวันที่ 31 ธ.ค.2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่ง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน, เมทิลลีนไอออกซีเมทแอมเฟตามีนหรือยาอี, พาราเมทอกซีเมทแอมเตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (คีตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต และสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมคอนโดมีเนียมในพื้นที่แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการปิดล้อมตรวจค้นงานปาร์ตี้มั่วสุมยาเสพติด ภายในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ ซึ่งเบื้องต้นพบเป็น "กลุ่มนักท่องเที่ยวเพศชาย หนุ่มหล่อกล้ามโต" ทั้งชาวไทยและต่างชาติ เข้าร่วมงานจำนวนทั้งสิ้น 124 คน พร้อมกับของกลางเป็นสารเสพติดในบริเวณงานปาร์ตี้ ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับนายโจวอน (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี ในข้อหา ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 และวัตถุ ออกฤทธิ์ประเภท 2 (คีตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต  

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ม.ค.2568 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.ปอพ.บก.สส.สตม. สืบทราบว่า นายโจวอน ได้หลบหนีมาพักอาศัยกับเพื่อนที่คอนโดย่านแขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ จึงได้นำกำลังไปเฝ้าสังเกตการณ์ จนกระทั่งเวลาประมาณ 08.50 น. ของวันที่ 13 ม.ค.2568 ได้พบคนต่างด้าวซึ่งมีตำหนิรูปพรรณคล้ายกับ นายโจวอน จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางปรากฎว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับ โดยนายโจวอนให้การยอมรับว่าเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2567 ได้เข้าร่วมงานปาร์ตี้มั่วสุมยาเสพติดภายในโรงแรมหรูจริง จึงได้จับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สืบ ตม. รวบหนุ่มแดนกังหันลมหลอกขายทองหวังฉกดอลลาร์ 

กก.1 บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนกรณีได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ว่ามีกลุ่มชายชาวต่างชาติผิวสี มีพฤติกรรมหลอกลวงขายเม็ดทองคำในราคาถูก ซึ่งเชื่อว่าเป็นเม็ดทองปลอม โดยจะอ้างว่ามีทองคำนำเข้ามาจากแอฟริกาจะขายให้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด เพราะสามารถนำเข้าประเทศไทยแบบไม่เสียภาษี พร้อมทั้งโชว์เม็ดทองคำจำนวนมาก 

จากการตรวจสอบทราบว่า หากมีผู้ใดสนใจซื้อ จะนัดพูดคุยและมอบเม็ดทองคำตัวอย่างซึ่งเป็นทองคำแท้  ให้เหยื่อนำไปตรวจสอบก่อน จากนั้นหากเหยื่อหลงเชื่อตกลงซื้อเม็ดทองดังกล่าว จะนัดพบกันเพื่อซื้อขายเม็ดทองดังกล่าว โดยขายในราคา 55,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2 ล้านบาท) และมักจะอ้างให้เหยื่อเตรียมเงินสดเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐตามจำนวนที่ตกลงซื้อขายกัน ซึ่งหากเหยื่อหลงเชื่อจะรับเงินสดและส่งเม็ดทองปลอมให้แล้วหลบหนีไป หรือหากเหยื่อเริ่มสงสัยว่าเม็ดทองทั้งหมดเป็นของจริงหรือไม่ จะพยายามหาวิธีการเบี่ยงเบนความสนใจ และสับเปลี่ยนเงินของเหยื่อด้วยเงินปลอมที่เตรียมมาด้วย แล้วหลบหนีไป

จากการสืบสวนทราบว่ามีชายผิวดำซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้หลอกลวง พักอาศัยอยู่ที่โรงแรมภายในซอยสุขุมวิท 5 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ จึงได้วางกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ จนพบชายผิวดำเป้าหมาย มาปรากฎตัว จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองขอตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่าคนต่างด้าวดังกล่าวชื่อ MR.NDILLE (สงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี สัญชาติดัตช์ และจากการตรวจสอบห้องพักพบกระเป๋าเสื้อผ้าภายในมีถุงบรรจุสิ่งของลักษณะคล้ายเม็ดทองคำน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม จำนวน 1 ถุง และพบถุงพลาสติกใสบรรจุสิ่งของลักษณะคล้ายเม็ดทองคำน้ำหนักประมาณ 100 กรัมอีก 2 ถุง โดย MR.NDILLE ให้การว่าได้ซื้อเม็ดทองมาจากประเทศจีน โดยเม็ดทองถุงน้ำหนัก 5 กิโลกรัม เป็นเม็ดทองปลอม และเม็ดทองที่บรรจุในถุงพลาสติกถุงละประมาณ 100 กรัม จำนวน 2 ถุง เป็นเม็ดทองจริง 1 ถุง และเป็นเม็ดปลอม 1 ถุง จึงทำการยึดไว้พร้อมด้วยเงินสด สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินเยน เงินปอนด์ รวมเป็นเงินประมาณ 117,600 บาท

จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ พบมีการแชทพูดคุย ผ่าน WhatsApp กำลังหลอกเหยื่อเพื่อขายเม็ดทองคำ โดยพบมีภาพได้โชว์เม็ดทองคำจำนวนมากให้ดูและเสนอขายในราคาถูก และมีการให้ตัวอย่างเม็ดทองคำให้ไปตรวจดูก่อนแล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบเป็นเม็ดทองคำแท้ จึงตกลงซื้อ จำนวน 1 กิโลกรัม ในราคากิโลกรัมละ 55,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2 ล้านบาท) ทั้งนี้ในการซื้อขาย MR.NDILLE จะขอรับเป็นเงินดอลลาร์เท่านั้น และนัดส่งมอบ เม็ดทองคำ ที่ห้างสรรพสินค้าในแขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ จึงได้ติดต่อผู้ที่พูดคุยกับ MR.NDILLE ดังกล่าวทราบว่า ได้ตกลงซื้อเม็ดทองจาก MR.NDILLE แล้ว และได้นัดพบกันเพื่อซื้อขาย 

โดย MR.NDILLE ได้มากับเพื่อนอีก 3 คน และพยายามเบี่ยงเบนความสนใจและหาโอกาสในการสับเปลี่ยนเงินดอลลาร์ของปลอมที่กลุ่ม MR.NDILLE เตรียมมา ซึ่งโชคดีที่เหยื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงได้โวยวายและยกเลิกการซื้อขาย และนอกจากนี้ยังพบข้อมูลการแชทพูดคุยกับเหยื่ออีกหลายคน เพื่อหลอกขายเม็ดทองปลอมดังกล่าว เบื้องต้น ได้ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ MR.NDILLE เนื่องจากมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้อื่น เป็นภัยต่อสังคม ทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสียชื่อเสียง และขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร ควบคุมตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวเตรียมผลักดันกลับประเทศต่อไป โดยระหว่างนี้ ได้ประสานเหยื่อที่เคยถูกหลอก หรือกำลังจะถูกหลอก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และทำการสืบสวนหาผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top