Saturday, 26 April 2025
NEWS

อโกด้า เผย!! ‘กรุงเทพฯ’ คว้าจุดหมายปลายทาง ยอดนิยมอันดับ 1 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติ

(18 ม.ค. 68) อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า ‘กรุงเทพฯ’ ขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้งในฐานะจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงเทศกาลตรุษจีน สำหรับนักเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่อยากสัมผัสบรรยากาศแห่งความสุขในวันตรุษจีนที่ประเทศไทย

นอกจากนี้ ข้อมูลการค้นหาที่พักบนแพลตฟอร์มอโกด้าในช่วงเดือนธันวาคมของปีที่แล้วยังระบุว่า ‘โตเกียว’ คือจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งในหมู่นักเดินทางชาวไทยที่ตั้งใจจะใช้เวลาช่วงวันตรุษจีนในต่างประเทศ

สำหรับนักเดินทางชาวไทยที่วางแผนจะใช้เวลาช่วงเทศกาลตรุษจีนในประเทศ กรุงเทพฯ ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำการเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาล โดยมีพัทยาและเชียงใหม่ขึ้นแท่นเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในอันดับถัดมา ด้วยการค้นหาที่เพิ่มขึ้นมากถึง 38% และ 55%

อย่างไรก็ตามในปีนี้ ‘ขอนแก่น’ ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีอัตราการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 2,964% เทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจในจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ อีกด้วย

ขณะที่นักเดินทางจากต่างประเทศที่ต้องการจะเฉลิมฉลองปีงูเล็กในประเทศไทย มีจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสามอันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และหาดใหญ่ โดยมีอัตราการค้นหาที่พักพุ่งสูงขึ้นถึง 70%, 80% และ 30% ตามลำดับ โดยนักเดินทางชาวมาเลเซียค้นหาที่พักในประเทศไทยเยอะที่สุดติดกันสองปีซ้อน ส่วนนักเดินทางชาวเกาหลีใต้ค้นหาที่พักในประเทศไทยสำหรับช่วงเทศกาลวันตรุษจีนลดลง และตกลงมาเป็นอันดับที่สาม

ด้านนักเดินทางชาวไทยที่ตั้งใจจะเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนในต่างประเทศ ‘โตเกียว’ ยังคงครองตำแหน่งจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกัน ด้วยการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึง 66% ในขณะเดียวกัน โซลได้พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับที่สอง ด้วยอัตราการค้นหาที่พักที่เพิ่มมากขึ้นถึง 519% หลังจากที่ไม่ได้ติดอันดับในปีที่ผ่านมา ส่วนโอซาก้าตกจากอันดับสองลงมาเป็นอันดับสาม แต่ก็ยังมีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึง 42% ที่น่าแปลกใจคือ ฮ่องกง ซึ่งเคยอยู่ในอันดับที่สามเมื่อปีที่แล้ว กลับไม่ติดอันดับใด ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของนักเดินทางที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ปิแอร์ ฮอนน์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยจากอโกด้า กล่าวว่า เทศกาลตรุษจีนถือเป็นหนึ่งในเทศกาลเฉลิมฉลองที่สำคัญมากที่สุดของชาวเอเชีย และเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้เห็นประเทศไทยได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเมืองต่าง ๆ เช่น กรุงเทพฯ มีเสน่ห์ที่หลากหลาย รอให้นักเดินทางได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนนี้ที่ประเทศไทย หรือเดินทางไปต่างประเทศ อโกด้าพร้อมที่จะนำเสนอสิทธิประโยชน์สำหรับเที่ยวบิน ที่พัก และกิจกรรมท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อช่วยให้นักเดินทางได้เริ่มต้นปีงูด้วยความสุขและความทรงจำที่น่าประทับใจ

วันหยุดตรุษจีนเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่และการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเวลานี้จึงเหมาะสำหรับการเดินทางไปรวมตัวพบปะกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ทั้งนี้ ‘ปีงู’ เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นโอกาสอันเป็นมงคลในการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเองและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘งู’ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโชคลาภ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้นักเดินทางปลดเปลื้องสิ่งเก่าและต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบความสวยงามในสถานที่คุ้นเคยอีกครั้ง หรือการออกเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางใหม่ในช่วงเทศกาลอันแสนพิเศษนี้ การเฉลิมฉลองในปีงูจึงเป็นโอกาสที่จะสร้างความทรงจำใหม่ ๆ เป็นอย่างยิ่ง

ถ้าหากมองถึงจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางชาวเอเชียในช่วงวันหยุดตรุษจีน เมืองต่าง ๆ ในญี่ปุ่นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ โตเกียว ที่คว้าแชมป์เป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยกรุงเทพฯ (ประเทศไทย), โอซาก้า (ญี่ปุ่น), ฟุกุโอกะ (ญี่ปุ่น) และโซล (เกาหลีใต้) สะท้อนให้เห็นถึงเสน่ห์และความหลากหลายที่น่าหลงใหลของแต่ละเมืองในการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนนี้

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตอกย้ำปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”  ชาวจังหวัดเลยอย่างยั่งยืน..มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพผู้ยากไร้ พร้อมมอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บริการประชาชนฟรี

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน  นำทีมลงพื้นที่จังหวัดเลย (จังหวัดที่ 17 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จัดพิธีมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ครัวเรือนยากจน จำนวน 28 ครัวเรือน เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว และมอบจักรยาน จำนวน 20 คัน ให้แก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน 

รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมอบในจังหวัดเลย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น จำนวน 713,430 บาท (เจ็ดแสนหนึ่งหมื่นสามพันสี่ร้อยสามสิบบาทถ้วน) นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายประยูร อรัญรุท รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เป็นประธานในพิธี 

พร้อมด้วย นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชนเป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิสว่างคีรีธรรม จังหวัดเลย เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อาทิ นายวสวิศว์ ศตพิพัฒน์ (ต้น-วสวิศว์) และ นายธวัชชัย คชาอนันต์ (แฮ็ค ชวนชื่น) ร่วมมอบและสร้างสีสันภายในงาน  ณ บริเวณมูลนิธิสว่างคีรีธรรม จังหวัดเลย

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาการดำเนินงานอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ร่วมกับคณะกรรมาธิการการทหาร และความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา เดินทางไปหารือข้อราชการกับ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และคณะผู้บริหารกองทัพอากาศ

เมื่อวันที่ (16 ม.ค.68) พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ร่วมกับคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา 

นำโดย พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ ได้เดินทางไปหารือข้อราชการกับพลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ และคณะผู้บริหารกองทัพอากาศ ณ กองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง กรุงเทพฯ ในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับบทบาทและภารกิจที่สำคัญ ของกองทัพอากาศในการปกป้อง อธิปไตย และการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ความพร้อมกิจการด้านอวกาศ รวมถึงแนวคิดการวิจัย พัฒนา และจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพอากาศ 

โดยคณะกรรมาธิการจะนำข้อมูลที่ได้รับไปประกอบการพิจารณา ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

'สว.ไชยยงค์' ผู้แทนคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ วุฒิสภา เดินสายเยี่ยมเยียนสวัสดีปีใหม่สื่อใหญ่ 5 แห่ง เดลินิวส์ ข่าวสด แนวหน้า ไทยพีบีเอส บ้านเมือง 

เมื่อวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมา นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา เป็นผู้แทนคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ วุฒิสภา พบปะเยี่ยมเยียนพร้อมมอบกระเช้าผลไม้แสดงความปรารถนาดี ในโอกาสเทศกาลขึ้นปีใหม่ 2568 แก่สื่อมวลชนที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต โดยเริ่มจากสำนักงาน บริษัทข่าวสด จำกัด (หนังสือพิมพ์ข่าวสด) เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โดยมี นายวุฒิเทพ เดชะภัทร บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ข่าวสดและคณะ ร่วมรับมอบ

จากนั้นคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ วุฒิสภา เดินทางสวัสดีปีใหม่ บริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด เขตหลักสี่ (นสพ.แนวหน้า)โดยมี นายอดิศร วงศ์ศรศักดิ์ หัวหน้าข่าว เป็นผู้รับมอบ

ต่อมาคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ วุฒิสภา สวัสดีปีใหม่ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS) เขตหลักสี่ โดยมีนายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวและคณะ ร่วมรับมอบ

ต่อมาคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ วุฒิสภา เดินทางไปสวัสดีปีใหม่ ที่สำนักงานใหญ่ นสพ.เดลินิวส์ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โดยมี นายอภิชัย รุ่งเรืองกุล บรรณาธิการผู้พิมพ์และโฆษณา และคณะ ร่วมรับมอบ

ก่อนจะปิดท้ายของวัน เดินทางไปที่บริษัท นวกิจบ้านเมือง จำกัด ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ 

สวัสดีปีใหม่เวบไซต์บ้านเมือง

โดยมี นายชิงชัย รุ่งละโภ บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์บ้านเมือง เป็นผู้รับมอบ

คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา เข้าพบหารือข้อราชการกับพลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค.68) เวลา 08.30 – 12.00 นาฬิกา พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา พร้อมด้วยกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ ที่ปรึกษาฯ เดินทางไปหารือข้อราชการกับพลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เกี่ยวกับนโยบายด้านกิจการทหารและความมั่นคงของกองบัญชาการกองทัพไทยที่มีความเด่นชัดมากขึ้นทั้งเรื่องบทบาทต่าง ๆ ของหน่วย การบรรเทาสาธารณภัย ปฏิบัติการไซเบอร์ และปฏิบัติการร่วมอื่น ๆ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสำคัญ ๆ ของประเทศ

ในการนี้ พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บริหารระดับสูงของกองบัญชาการกองทัพไทย ได้ให้การต้อนรับและหารือในประเด็น ดังนี้
1. การขับเคลื่อนภารกิจ การจัด และบทบาท บก.ทท.
2. การบรรเทาสาธารณภัยของกองทัพไทยในภาพรวม และการพัฒนาขีดความสามารถในการบรรเทาสาธารณภัยและช่วยเหลือประชาชนของกองทัพไทย (รวมทั้งการสาธิตการจัดชุดปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัยผ่านระบบ VTC)
3. การพัฒนาการดำเนินงานด้านไซเบอร์ของกองบัญชาการกองทัพไทย
4. เรื่องอื่น ๆ /ประเด็นสำคัญที่ต้องการให้กรรมาธิการในฐานะสมาชิกวุฒิสภาผลักดันให้ประสบผลสำเร็จ 

โดยที่ประชุมหารือได้มีการพูดคุยและข้อเสนอแนะที่สำคัญทั้งเรื่องการพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพกับการพัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคง รวมทั้งการช่วยเหลือประชาชน และการแก้ไขปัญหาที่สำคัญของชาติที่ต้องร่วมคิดร่วมขับเคลื่อนให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนสืบไป

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการจะได้นำข้อมูลและข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่ได้หารือร่วมกับพลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บริหารระดับสูงของกองบัญชาการกองทัพไทยไปพิจารณาศึกษาและดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นรูปธรรมต่อไป 

แม่ค้าย่านตลาดดินแดงยิ้มแก้มปริ หลัง ‘ปฏิทินพีระพันธุ์’ ให้โชคเต็ม ๆ 2 งวดซ้อน

(17 ม.ค. 68) มีรายงานข่าวว่า หลังผลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 17 มกราคม 2568 พ่อค้าแม่ค้าย่านตลาดดินแดง ถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว กันหลายราย ทั้งนี้ จากการสอบถามถึงที่มาของเลขเด็ด พบว่า เป็นการซื้อเลขตามปฏิทิน ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ทำแจกช่วงปีใหม่ 2568 ที่ผ่านมา

โดยแม่ค้ารายหนึ่ง บอกด้วยความตื่นเต้นว่า ได้ติดตามเลขที่อยู่ในปฏิทินที่ได้รับแจกมานั้น ผลปรากฏว่า เลขที่ตีออกมานั้นตรงกับรางวัลเลขท้าย 2 ตัวทั้ง 2 งวด โดยงวดวันที่ 2 มกราคม 2568 ออก 51 และ งวด 17 มกราคม 2568 ออก 23

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย

เมื่อวันที่ (15 ม.ค.68) เวลา 11.30 นาฬิกา ณ ห้องรับรองพิเศษ 204 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรอง ตัน ศรี ดาโต๊ะ โจฮารี บิน อับดุล (H.E. Tan Sri Dato’ (Dr.) Johari bin Abdul) ประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐสภาไทย โดยมี พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง นายนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ร้อยตำรวจเอก ฉลอง ทองนะ สมาชิกวุฒิสภา และนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา ร่วมให้การรับรอง

ประธานวุฒิสภากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียที่ใกล้ชิดและผูกพันกันมาอย่างยาวนาน และปีนี้ครบรอบ 68 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ในด้านนิติบัญญัติรัฐสภาไทยและรัฐสภามาเลเซียได้แลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ โดยล่าสุดประธานรัฐสภาไทยได้นำคณะเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 นอกจากนี้ รัฐสภาทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ผ่านกลไกกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภา อีกทั้งขอแสดงความยินดีที่มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน และสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA)

ในปีนี้ ประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย กล่าวขอบคุณที่ประธานวุฒิสภาให้การต้อนรับในครั้งนี้ โดยปีนี้ประเทศมาเลเซียเป็นประธานอาเซียน มุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทุกมิติ อาทิ การเมือง เศรษฐกิจ สันติภาพ รวมไปถึงความสัมพันธ์ด้าน
นิติบัญญัติให้ดียิ่งขึ้น

จากนั้น ประธานวุฒิสภาได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซียและคณะ ณ ห้องรับรองพิเศษ 203 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) โดยมีสมาชิกวุฒิสภาจากจังหวัดทางภาคใต้ของไทย ได้แก่ พันตำรวจโท สุริยา บาราสัน นายสามารถ รังสรรค์ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล พันตำรวจเอก กอบ อัจนากิตติ นายยะโก๊ป หีมละ นายนิฟาริด ระเด่นอาหมัด ร้อยตำรวจเอก ฉลอง ทองนะ และนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา เข้าร่วมงานเลี้ยงดังกล่าวด้วย

จเรตำรวจแห่งชาติประชุมแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ และสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก เพื่อวางมาตรการควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่อย่างได้ผล

(17 ม.ค.68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศพดส.ตร.) เป็นประธานการประชุมป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมี นายชูขีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก , พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พ.ต.อ.ทรงกลด เกริกกฤตยา รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล รักษาราชการแทนผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ พร้อมด้วย นายสวนิต สุริยกุล ณ อยุธยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นายอำเภอ ผู้กำกับการ สภ.ต่างๆ เจ้าหน้าที่ทหาร และผู้แทนหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 5 ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก อ.แม่สอด

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมร่วมกันเพื่อวางแนวทางมาตรการในการดูแลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และหารือแนวทางการปฏิบัติในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และการสกัดกั้นคนต่างชาติลักลอบเข้าเมือง ว่าจะควบคุมกํากับดูแลอย่างไรตั้งแต่การเข้ามาในพื้นที่บริเวณขอบ อ.แม่สอด จนกระทั่งเข้าสู่แนวชายแดนรวมทั้งบริเวณพื้นที่ภายในทั้งหมด โดยมาตรการจะเริ่มต้นตั้งแต่การด่านต่าง ๆ ที่ประชาชนจะเข้ามาในพื้นที่ อ.แม่สอด จะต้องมีการตรวจสอบซักถามนักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางเข้ามา ว่าเดินทางเข้ามามีแผนการท่องเที่ยวอย่างไร มีใครเป็นคนพามา และพักที่ไหน เป็นต้น จากนั้นจะมีการบันทึกไว้ในระบบเพื่อนําไปสู่การตรวจสอบในภายหลัง หากพบว่ามีความไม่ชัดเจนเกี่ยวเรื่องแผนการท่องเที่ยวต่างๆ ก็จะมีการติดต่อสถานทูตและจะมีการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 

การควบคุมการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง คาดว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้ และจากนี้จะมีการประเมินผลการปฏิบัติทุกเดือน ซึ่งนอกจากจะป้องกันปราบปรามอาชญากรรม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้ว ยังเป็นการรักษาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย เพื่อให้นักท่องเที่ยวมั่นใจว่ามาเที่ยวเมืองไทยปลอดภัยตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีอีกด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า กรณีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีการแจ้งความว่าหายตัวไปหรือติดต่อไม่ได้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีการสืบสวนขยายผลทุกกรณี ในกรณีชาวจีนเช่นกัน ได้มีการพูดคุยกับทางสถานทูตจีนโดยเสนอว่าเมื่อพบนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไปในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ไทยเราจะมีการประสานกับไปทางสถานทูต เพื่อให้สถานทูตช่วยตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแนวทางนี้ทางสถานทูตก็เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วตำรวจไทยมีการประสานทํางานร่วมกับสถานทูตต่าง ๆ อยู่แล้ว ในการช่วยเหลือติดตามในกรณีที่เกี่ยวข้องกับคนของชาตินั้น ๆ 

สำหรับกรณีนายแบบจีนนั้นจากการตรวจสอบล่าสุดกับทางสถานทูตจีน ได้รับการยืนยันว่าขณะนี้นายแบบดังกล่าวกลับประเทศจีนโดยปลอดภัยแล้ว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยม สภ.สามพราน จ.นครปฐม และเยี่ยมตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนไปบรรยายพิเศษ รร.นรต. ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง

(17 ม.ค.68) เวลา 11.45 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมี พ.ต.อ.ไพบูลย์ แพรสีนวล ผกก.สภ.สามพราน และข้าราชการตำรวจในสังกัดให้การต้อนรับ และรายงานเหตุคดีที่น่าสนใจ ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ ผกก.สภ.สามพราน เดินทางไปยังโรงพยาบาลสามพราน เพื่อเยี่ยม ส.ต.ต.ชายแดน เอี่ยมละออ และ ส.ต.ต.นิติพล พลเสน ผบ.หมู่ กองร้อยควบคุมฝูงชน ช่วยราชการ สภ. สามพราน ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่รถจักรยานยนต์สายตรวจติดตามรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย ที่ขับขี่หลบหนีจุดตรวจป้องกันอาชญากรรม บริเวณถนนพุทธมณฑล สาย 7 เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 ซึ่งหลังเกิดอุบัติเหตุได้ประสานขอสนับสนุนกำลังสายตรวจรถจักรยานยนต์เพิ่มเติม จนสามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุไว้ได้ โดย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย

จากนั้น เวลา 13.00 น. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางไปที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อบรรยายพิเศษ ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานจากรุ่นพี่ นรต. 41สู่รุ่นน้อง โดยมีนักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 4 รุ่นที่ 78 เข้ารับฟังการบรรยาย โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เน้นย้ำการทำงานภายใต้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 , , เน้นการทำงานสอบสวน วางแผนการทำงานทางคดี กำหนดกรอบเวลา และบริหารคดีให้ทันต่อเวลา ซึ่งถือเป็นหัวใจที่สำคัญของการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมเน้นย้ำให้นักเรียนนายร้อยตำรวจและข้าราชการตำรวจทุกนาย ให้ตั้งใจประพฤติดี เข้าถึงประชาชน ให้สมกับการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ โดยการปรับแนวคิด mind set เพื่อการทำงานในหน้าที่ตำรวจไปสู่การสร้างความเชื่อถือและศรัทธาของพี่น้องประชาชน

'เฉลิมชัย' ดันเข้าครม.21 มค.นี้ เห็นชอบเอกสารเสนอ 'วัดพระมหาธาตุ นครศรีฯ' ขึ้นทะเบียนมรดกโลก ก่อนยื่นศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส ภายใน 1 กพ. เพื่อเข้าพิจารณาทันวงรอบปี 2568 

นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ที่ปรึกษา รมว.ทว.) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เตรียมจะนำเรื่องการนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก เสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาในวันที่ 21 มกราคมนี้ ตามที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกได้มีมติเห็นชอบแล้ว กับร่างเอกสารการนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก เมื่อวันทึ่ 15 มกราคม  ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เอกสารนำเสนอแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมหรือทางธรรมชาติ เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จะต้องจัดส่งให้ศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ของทุกปี เพื่อเข้าวงรอบการพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของคณะกรรมการมรดกโลก ดังนั้นเพื่อให้เอกสารนำเสนอวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สามารถดำเนินการได้ทันภายในปี 2568 จึงจำเป็นต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในวันที่ 21 มกราคม นี้

ส่วนเหตุผลที่นำเสนอเห็นสมควรให้วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก เนื่องจากเป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรมที่แสดงถึงการ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พุทธศาสนามหายาน และพุทธศาสนาเถรวาท ในทางตอนใต้ของภูมิภาคเอเชียภาคพื้นสมุทรที่โดดเด่นที่สุด เป็นศาสนสถานที่ยังคงใช้งานมาอย่างต่อเนื่องราว 1,500 ปี เป็นศูนย์กลางของประเพณีที่ยังคงดำรงอยู่ด้วยระบบความเชื่อที่หลากหลาย และผสมผสานเป็นเอกลักษณ์สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กับชุมชนโดยรอบอย่างแน่นแฟ้น และเด่นชัด 

สำหรับพื้นที่นำเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลก มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งได้รับการประกาศขอบเขตที่ดินโบราณสถานทั้งพื้นที่ ประกอบด้วยเขตพุทธาวาส และเขตสังฆาวาส โดยมีพระบรมธาตุเจดีย์เป็นประธานของกลุ่มโบราณสถานภายในวัดอันเป็น คุณลักษณะของแหล่งมรดกวัฒนธรรมและสถานที่ประกอบพิธีกรรมและประเพณีทางพุทธศาสนาที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน 

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 37 ระหว่างวันที่ 17 ถึง 27 มิถุนายน 2556  ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา มีมติรับรองวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative Liist) แหล่งมรดกทางวัฒนธรรม ของศูนย์มรดกโลกไว้แล้ว

นายอภิชาต ระบุว่า ตลอดเวลากว่า 10 ปี ชาวนครศรีธรรมราชหลายภาคส่วน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จนมาถึงวันนี้ นับเป็นข่าวดีที่มาถึงขั้นตอนที่ครม.จะให้ความเห็นชอบกับเอกสารการนำเสนอ ก่อนไปสู่กระบวนการพิจารณาขั้นสุดท้ายที่คณะกรรมการมรดกโลก จะตัดสินชี้ขาด ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นไปในทางบวก 

“ประเมินว่า การได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก จะเกิดความคุ้มค่าในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 500-750 ล้านบาท จังหวัด ชุมชนท้องถิ่น ชุมชนรอบแหล่งมรดกโลก ธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการจะได้รับอานิสงส์มากมาย ทั้งในจังหวัดและภายนอก นอกจากนี้ในคุณค่าด้านวัฒนธรรม จะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมกับต่างประเทศกว้างไกลมากขึ้น และสำหรับชาวนครศรีธรรมราช เจ้าของบ้าน จะเกิดความรัก ความภาคภูมิใจ ความสามัคคี และความตระหนักร่วมกันในการอนุรักษ์หวงแหนมรดกโลกของเรา” ที่ปรึกษา รมว.ทส. กล่าว

เชียงใหม่- ททท.จัดกิจกรรมการเตรียมความพร้อมส่งเสริมการขาย ภูมิภาคภาคเหนือ ผ่านสื่อออนไลน์

 

เมื่อวันที่ (15 ม.ค.68) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดการประชุมเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายภูมิภาคภาคเหนือผ่านสื่อออนไลน์ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวผ่านการตลาดออนไลน์ โดยมีนายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวเปิดการประชุม ณ ห้องประชุมพุดตาน โรงแรมพะเยาเกทเวย์ จังหวัดพะเยา

นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท. จัดกิจกรรม การเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายภูมิภาคภาคเหนือ (ผ่านสี่ออนไลน์) ระหว่างวันที่ 15-16 มกราคม 2568 มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมส่งเสริมการขายภูมิภาคภาคเหนือ (ผ่านสื่อออนไลน์) เพื่อสร้างความเข้าใจและเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการในภาคเหนือในการใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและกระตุ้นยอดการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืนในอนาคตต่อไป

หัวข้อการประชุม ได้แก่ กิจกรรมเติมและเสริมเขี้ยวเล็บ IT ทีม Admin ภาคเหนือ และพันธมิตรเครือข่าย เทคนิค/เคล็ด (ไม่) ลับเขียนข่าว ให้คลิ๊ก,เขียน Content ให้ถูกใจสร้างยอดขาย ,ทำ Ads. ประกอบการเขียนข่าว ,ถ่ายภาพ ถ่ายคลิปด้วยมือถือ, ตัดต่อคลิปด้วยมือถือ TikTok (ปั้นดาว TikTok) ,การใช้ Chat GPT สร้าง Content ,ถ่ายทำและตัดต่อคลิปจากโทรศัพท์ (Workshop) และ Stream Yard การส่งเสริมการขายผ่าน Zoom และ Line OA การสร้างเมนูย่อยใน Line OA และการจัดการระบบห้าง ททท.

โดยวิทยากร ได้แก่ ดร.นิรมล พรมนิล อาจารย์ประจำสาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรมมหาวิทยาลัยพะเยา พร้อมด้วย อาจารย์กมลพงศ์ รัตนสงวนวงศ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการตลาดดิจิทัลคณะบริหารธุรกิจและนิเทศศาสตร์ และคุณณรงค์ วงค์ไชย นักประชาสัมพันธ์ กองกลาง จากมหาวิทยาลัยพะเยา และคุณกิตติ จันทรประเสริฐ CRETIVE DIRECTOR บริษัท ฟลอด เอฟโวลูชั่น จำกัด มีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นบุคลากร จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 17จังหวัด ภาคเหนือ ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชน

วันสถาปนา กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ

เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2464 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยก กองอุทกศาสตร์ทหารเรือขึ้นเป็นกรมอิสระจาก กรมเสนาธิการทหารเรือ เรียกว่า กรมอุทกศาสตร์ทหารเรือ ขึ้นตรงต่อกระทรวงทหารเรือ 

จึงได้ถือเอาวันที่ 16 มกราคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนากรมอุทกศาสตร์ โดยมีนายพลเรือจัตวา ฟริตซ์ ทอมเซ็น เป็นเจ้ากรมอุทกศาสตร์ท่านแรก มีภารกิจอำนวยการ ประสานงาน แนะนำ กำกับการ ดำเนินการ ให้การสนับสนุน และให้บริการด้านอุทกศาสตร์สมุทรศาสตร์ อุตุนิยมวิทยา วิศวกรรมชายฝั่ง เครื่องหมายทางเรือ การเดินเรือ เวลามาตรฐานประเทศไทย และงานเขตแดนระหว่างประเทศ

ปัจจุบันมี พลเรือโทคมสัน กลิ่นสุคนธ์ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ

'รมว.ทส.-เฉลิมชัย' แจงสภา ยก 6 มาตรการแก้ปัญหา 'ช้างป่า' พร้อมปรับปรุงหลักเกณฑ์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ย้ำวัคซีนคุมกำเนิด ไม่ใช่ทำหมัน ชี้เป็นการแก้ระยะยาวให้คนอยู่ร่วมกับช้างได้

เมื่อวานนี้ (16 ม.ค.68) เวลา 13.00 น. ที่อาคารรัฐสภา ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ตอบกระทู้ถามทั่วไป กรณีปัญหาภัยจากช้างป่า บุกรุกที่ทำกินของประชาชน โดย สส. ผู้ถามกระทู้ ได้กล่าวขอบคุณ และชื่นชม ดร.เฉลิมชัย ว่า “ขอขอบคุณ ดร.เฉลิมชัย รมว.ทส. ที่ให้ความสำคัญในการมาตอบกระทู้ในสภา เพราะปัญหาเดียวกันนี้ เคยตั้งกระทู้ถามในการประชุมในสมัยที่แล้ว แต่รัฐมนตรีคนเก่าไม่ได้มาตอบเหมือน รมว.ทส. คนปัจจุบัน

ต่อกระทู้ถามที่ว่า มีแนวทางในการแก้ปัญหาช้างป่าอย่างเป็นรูปธรรมอย่างไร

ดร.เฉลิมชัย กล่าวตอบว่า ในฐานะ รมว.ทส. อยากให้มีเวทีสร้างความเข้าใจปัญหาคนกับช้างป่า ตั้งแต่มาเป็น รมว.ทส. มีหน้าที่รักษาชีวิตประชาชน และหน้าที่อนุรักษ์ช้างไปพร้อมๆกัน ตนมีแนวคิดอยากจะให้คนอยู่ร่วมกับช้างได้โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย วันนี้มีช้างป่าจำนวน 4,000 กว่าเชือกก่อให้เกิดความเสียหาย จากสถิติทั้งการเสียชีวิต การบาดเจ็บ ของประชาชน และเจ้าหน้าที่ ยังไม่นับรวมความเสียหายภาคการเกษตร  เป็นความสูญเสียที่ใหญ่หลวง ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ซึ่งช้างมีอัตราการเกิด 7-8 % หากปล่อยไปอีก 10 ปีจะมีช้างป่าเพิ่มเป็นเท่าหนึ่งคือ 8,000 กว่าเชือก หากไม่เร่งแก้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ซึ่งวันนี้ตนได้ประสานงานกับคณะกรรมการวิสามัญสภาผู้แทนราษฎร และได้เชิญเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เข้ามาคุยว่าต้องเร่งดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง ระดมความคิดหามาตรการอะไรบ้าง ที่สามารถดำเนินการแก้ไขตรงนี้ได้

รมว.ทส. กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 คณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้าง  ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกมนตรี เป็นประธาน และมีนายวราวุธ  ศิลปอาชา รมว.ทส.ขณะนั้น เป็นรองประธาน มีอธิบดีกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผู้เป็นเลขานุการ ทำหน้าที่ในการที่จะบูรณาการความร่วมมือ จัดการแก้ปัญหาให้เป็นรูปธรรม ซึ่งในการประชุมครั้งนั้น มีมาตรการ 6 ข้อ ตนได้นำมาตรการทั้ง 6 ข้อนั้น มาดูว่ามีตรงไหนที่ไม่ได้ดำเนินการ และไม่รีบดำเนินการ โดย มาตรการ 6 ข้อ ประกอบด้วย

1.การเพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่อาหารให้ช้างป่า เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง อาจมีบางฝ่ายมองว่าคนรุกป่า แต่ตนมองว่าปัญหามีไว้แก้ไข

2.การสร้างแนวการช้างป่า ที่ผ่านมามีการทำแนวรั้ว รั้วไฟฟ้า ทำแนวขุดคู ทำเป็นกำแพงกั้น แต่ไม่สามารถกันช้างป่าได้ เพราะ1. ช้างมีพัฒนาการ 2. งบประมาณที่ได้รับไม่ต่อเนื่อง ไม่เพียงพอ ยกตัวอย่าง พื้นที่ปัญหามีความยาม 50 กิโลเมตร แต่ทำได้เพียง 20 กิโลเมตร มีช่องว่าง 30 กิโลเมตรก็ไม่สามารถเป็นแนวกันช้างได้ 

3. การจัดชุดเฝ้าระวัง ผลักดันช้างป่า ซึ่งตรงนี้เครือข่าย มีทั้งอาสา เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ และในจำนวนผู้เสียชีวิตที่ก็เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ หลายท่านทั้งบาดเจ็บ และเสียชีวิต

4.การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่าออกมาสร้างความเดือดร้อน ทั้งเรื่องของเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน กองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสัตว์ป่า

5.การจัดการพื้นที่รองรับช้างป่าอย่างยั่งยืน เราได้ดำเนินการในส่วนของ 5 กลุ่มป่า 1.กลุ่มป่าตะวันออก 2.กลุ่มป่าตะวันตก และกลุ่มป่าแก่งกระจาน 3.กลุ่มป่าคลองเขาสก 4.กลุ่มป่าเขาเขียวน้ำหนาว 5.กลุ่มป่าดงพญาเย็น เขาใหญ่

6. แก้ปัญหาอัตราการเพิ่มของช้าง 7- 8% หรือ 10% ในพื้นที่ที่มีอุดมสมบูรณ์ที่ทำให้อัตราการเกิดของช้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่พื้นที่ที่อยู่ และเป็นอาหารกลับมีอยู่เท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม

“เมื่อปริมาณช้างมากขึ้น ขอบข่ายของการเดินหาอาหารของช้างป่าก็จะขยาย มากขึ้น จนเข้าสู่พื้นที่ภาคการเกษตรของประชาชน เราจึงมีมาตรการว่าหากเราจะดำเนินการ1-5 ได้ผล เราต้องมีการควบคุมประชากรของช้างป่าให้อยู่นิ่งก่อน เพื่อที่จะได้ดำเนินการในเรื่องของการเพิ่มพื้นที่ป่า เพิ่มพื้นที่อาหาร การดำเนินการกั้นรั้ว แนวรั้ว ตั้งโครงการอาสา หรือผลักดันช้างโดยเจ้าหน้าที่ถึงจะดำเนินการได้” รมว.ทส.กล่าว

รมว. ทส. กล่าวต่อว่า ดังนั้นจึงมีการคิดค้นวัคซีนเพื่อคุมกำเนิดช้าง (ไม่ใช่การทำหมัน)  เพื่อให้รอบการเกิดของช้างน้อยลง จะได้จัดการปัญหาอย่างอื่นได้ และวัคซีนตัวนี้ได้รับการรับรองแล้วว่าไม่มีอันตราย โดยทดลองใช้กับช้างบ้าน มีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน “การดำเนินการก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จะดำเนินการในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดเสียก่อน การดำเนินการตรงนี้จะสามารถใช้กับช้างเพศเมียที่เคยมีลูกแล้วเท่านั้น  วัคซีนจะไปมีฤทธิ์ในการควบคุมฮอร์โมน สามารถควบคุมได้ 7 ปี ซึ่งเชื่อว่าใน 7 ปี เราจะสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าเพิ่มพื้นที่อาหารเพื่อแก้ปัญหาช้างได้ดีขึ้น ดีกว่าปล่อยให้ปริมาณช้างขยายไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถควบคุม”รมว. ทส. กล่าว

รมว. ทส. กล่าวอีกว่า วันนี้นอกจากติดตามการดำเนิน 6 มาตรการแล้ว ยังมีการ เพิ่มอาสาสมัครและนำเทคโนโลยีโดยบินโดรนตามแนวป่ากับแนวพื้นที่ประชาชน เพื่อให้รู้การเคลื่อนไหวของช้างป่าว่าช้างมีการเคลื่อนออกมาจากป่าวันไหน ชุดปฏิบัติการและชุดอาสาจะเข้าไปผลักดันช้างได้ทันท่วงที 

ต่อกระทู้ถามว่า มีแนวทางในการที่จะปรับหลักเกณฑ์การชดเชยเยียวยาให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างไร 

ดร.เฉลิมชัย กล่าวตอบว่า ในส่วนของการเยียวยาจะมีทั้งหมด 3 ประเภท 1.การเยียวยาเรื่องการบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือ เสียชีวิต 2.การเยียวยาความเสียหายภาคการเกษตร 3.เป็นส่วนที่กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการสงเคราะห์ช่วยเหลือสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งอาสาสมัครที่เข้ามาดำเนินการในส่วนของการช่วยผลักดันช้างและเฝ้าระวังช้าง

“การเยียวยามีหลักเกณฑ์ในการดำเนินการเป็นภาพรวม เราไม่สามารถที่จะแยกได้ว่าช้างก่อให้เกิดความเสียหาย จะต้องเยียวยาเป็นจำนวนเท่านั้น เท่านี้ วัวกระทิง หรือ สัตว์ต่างๆ ก่อให้เกิดความเสียหายจะต้องมีความเสียหายชดเชยเท่ากับเท่านี้ เท่านั้น ทำไม่ได้ เพราะในระบบราชการถูกกำหนดไว้เป็นระเบียบว่าในกรณีที่เกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ จากสัตว์ป่า  ถูกกำหนดชัดเจนว่าจะได้รับการเยียวยาประเภทละ ซึ่งแต่ละประเภทไม่เท่ากัน เป็นไม้ยืนต้นเท่าไหร่ เป็นพืชล้มลุกเท่าไหร่ ซึ่งตรงนี้ผมขอรับไปเพื่อจะปรึกษาว่าเราจะสามารถเพิ่มค่าชดเชยตรงนี้ให้กับพี่น้องประชาชนที่รับผลกระทบได้หรือไม่ ตนทราบดีว่าบางครั้งเงินชดเชยเยียวยาที่ได้ไม่คุ้มกับความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ราชการก็ไม่สามารถจะให้เกินไปกว่ากำหนดในระเบียบได้ ผมยอมรับว่าเป็นความหนักใจของคนทำงาน แต่จะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาหาทางแก้ไขว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง”ดร.เฉลิมชัย กล่าว

ดร.เฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องของการได้รับบาดเจ็บก็จะมีประกาศหลักเกณฑ์ และการช่วยเหลือความเยียวยาจากผลกระทบจากสัตว์ป่า พ.ศ. 2567 ที่จะช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสัตว์ป่าทุกชนิด ก็จะมีกำหนดไว้เป็นระเบียบว่าในกรณีเช่นนี้สามารถดำเนินการได้อย่างไรบ้าง ในส่วนของกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีเงินอนุรักษ์ขอใช้จ่ายเงินอนุรักษ์สัตว์ป่า ประเภท ข. ที่จะดำเนินการให้ในส่วนของผู้บาดเจ็บ ทุพพลภาพ อัมพาต สูญเสียแขน สายตา ตาบอดสองข้าง รายละ 100,000 บาท

ในส่วนบาดเจ็บทั่วไปจ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ในการรักษาจำนวนไม่เกิน 300 บาทต่อวัน ไม่เกิน 180 วัน กรณีเสียชีวิตได้ 100,000 บาทเป็นต้น ซึ่งตรงนี้จะมีเงินกองทุนที่จะไปดำเนินการให้   ตนได้เชิญเจ้าหน้าที่ ข้าราชการที่เกี่ยวข้องมาหาหรือว่าเราจะสามารถทำอย่างไรที่จะดูแลพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ได้มากกว่านี้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเคลื่อนที่เร็วต่างๆมีหน้าที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยหน้าในการผลักดันช้างเหล่านั้น ก็ได้รับผลกระทบอัตราการเสี่ยงสูงตรงนี้กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช  ก็จะดูแลในส่วนของการทำประกันให้กับบุคลากรเหล่านั้นเพื่อที่จะได้ทำงานด้วยความสบายใจว่าเมื่อมีการได้รับบาดเจ็บ จะมีการตอบแทนจากภาครัฐเพิ่มขึ้น

“ทั้งหมดเป็นมาตรการที่เราได้ดำเนินการอยู่ ระเบียบต่างๆ ก็มีใช้มานาน เพราะฉะนั้นราคาสิ่งที่ตอบแทนอาจจะไม่สอดคล้องตามความเป็นจริงมากนัก แต่ระเบียบต่างๆถูกออกมาใช้ เพื่อใช้กับทั้งประเทศ เมื่อถูกใช้สำหรับทั้งประเทศ การแก้ไขแต่ละเรื่องจึงมีผลกับงบประมาณรวมกับของทั้งประเทศเหมือนกัน ก็จะเป็นภาระกับงบประมาณพอสมควร แต่ว่าอย่างไรก็ตามเห็นว่าควรมีการชดเชยให้ผู้ได้รับผลกระทบมากกว่านี้ ผมขอยืนยันว่าจะผลักดันเรื่องนี้ต่อไป และจะใช้เงินกองทุนของกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจะเร่งดำเนินการทันที เพราะถ้าเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้อีก 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้าปัญหานี้จะเป็นปัญหาระดับชาติ และจะไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ในแนวแนวต่อของป่าอย่างเดียวจะลามมาถึงในเขตเมือง เขตภาคการเกษตรที่อยู่ในเมืองมากยิ่งขึ้น”ดร.เฉลิมชัย กล่าว

โฆษกตร. แจงยิบปมเลื่อน ‘พ.ต.อ.ศิรสัณห์’ ขึ้นเป็น ‘ผู้การกาฬสินธุ์’ ชี้ เรื่องคดียิงวัดพระแก้วยุติแล้ว

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงแต่งตั้ง 'พ.ต.อ.ศิรสัณห์' เคยถูกตั้งกรรมการสอบสวนพัวพันคดียิงวัดพระแก้ว เป็นผู้บังคับการจังหวัดกาฬสินธุ์ เผยมีคุณสมบัติครบถ้วน

เมื่อวันที่ (16 ม.ค. 68) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจในตำแหน่งสูงขึ้นและหมุนเวียนระดับรอง ผบช.-ผบก. ว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์กฎหมายที่พิจารณาให้ข้าราชการตำรวจมีการโยกย้าย เมื่อมีมติ ก.ตร.เห็นชอบก็จะมีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

โฆษก ตร. กล่าวว่า ในส่วนที่มีข่าวปรากฏตามโซเชียลในกรณีคุณสมบัติของ พ.ต.อ.ศิรสัณห์ เยื้อนสงวนชัย รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด ที่ได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรกาฬสินธุ์ ต้องขอชี้แจงว่าที่ พ.ต.อ.ศิรสัณห์ ถูกตั้งคณะกรรมการวินัยและถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ผลการสอบสวนวินัยเป็นที่ยุติได้รับกลับเข้ารับราชการเมื่อปี 53 มีความเจริญก้าวหน้ามาเรื่อยในตำแหน่ง ผกก. ได้รับหน้าที่การดูแลพื้นที่สถานีตำรวจขนาดใหญ่ มีความเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและเรื่องของปริมาณงานจำนวนมาก

พล.ต.ท.อาชยน กล่าวอีกว่า เมื่อมีวาระการแต่งตั้งห้วงที่ผ่านมา ทางต้นสังกัดได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติ สามารถได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นและเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ อยู่ในกลุ่มที่ทางหน่วยเสนอมา เพราะฉะนั้นในเรื่องกระบวนการแต่งตั้งคณะกรรมการมีการคัดเลือกสอดคล้อง จึงได้รับการคัดเลือกในตำแหน่งที่สูงขึ้น ขณะนี้เป็นรักษาการผู้บังคับการจังหวัดกาฬสินธุ์ ทุกเรื่องของการแต่งตั้งเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ

กรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตามที่มีกระแสข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า มีการเสนอชื่อ พ.ต.อ.ศิรสัณห์ เยื้อนสงวนชัย รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด ชื่อเดิม ศุภชัย ผุยแก้วคำ ผู้ต้องหาในคดียิงวัดพระแก้วในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง สมัยกลุ่มคนเสื้อแดง นปช.ปิดล้อมกรุงเทพฯ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรกาฬสินธุ์นั้น ต้องตรวจสอบข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่ และผ่านการประชุม ก.ตร.ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเมื่อวันศุกร์และเสนอโปรดเกล้าฯ ในวันนี้จริงหรือไม่

“ผมจึงขอร้องเรียน พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ตรวจสอบรายชื่อตำรวจที่เสนอโปรดเกล้าฯ ว่า มีรายใดมีประวัติพัวพันการยิงวัดพระแก้ว ซึ่งเปรียบเสมือนกับเป็นห้องพระของในหลวง และเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติหรือไม่ และถ้ามีประวัติพัวพันดังกล่าวสมควรที่จะเสนอขึ้นโปรดเกล้าฯ หรือไม่” นายวัชระ กล่าว

สำหรับ พ.ต.อ.ศิรสัณห์ หรือชื่อเดิม ศุภชัย ผุยแก้วคำ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 48 เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ ผกก.สภ.เมืองพัทยา สน.บวรมงคล และยังเป็นสามีของ นางจุรีพร สินธุไพร อดีตรองนายก อบจ.ร้อยเอ็ด ปี 2552 เป็นแกนนำคนเสื้อแดงพัทยา และมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

โดยเมื่อปี 2553 พ.ต.อ.ศิรสัณห์ เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาร์พีจีใส่วัดพระแก้ว และถูกตั้งกรรมการวินัยร้ายแรง พร้อมถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน แต่ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษในยุคที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดี มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ต่อมาผลสอบวินัยเป็นที่ยุติ จึงได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง

ชาวไร่มันเฮ! ”พิชัย“ จับมือผู้นำเข้ายักษ์ใหญ่จีนสั่งซื้อมันสำปะหลังไทย กว่า 9.8 แสนตัน ร่วม 8,000 ล้านบาท ดูดซับหัวมันสด 3 ล้านตัน ดึงราคามันทั้งระบบ

วันที่ (16 ม.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามสัญญาการซื้อขาย (Purchasing Order) และบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างผู้ประกอบการไทย และบริษัท COFCO BIOTECHNOLOGY CO.,LTD หน่วยงานนำเข้ายักษ์ใหญ่การค้าสินค้าเกษตรแดนมังกร ซึ่งจัดโดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายเจียง เหว่ย อัครราชทูตที่ปรึกษาแห่งสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยและภาคเอกชน เข้าร่วมงาน ณ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูดซับผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศ ส่งสัญญาณบวกให้อุตสาหกรรมมันสำปะหลังทั้งระบบและดึงราคามันสำปะหลังของเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังให้สูงขึ้น

นายพิชัย กล่าวว่า ปีที่แล้วมันสำปะหลังราคาดีมากมีการซื้อตั้งแต่ต้นฤดูกาล ปีนี้ราคาไม่ค่อยดีกระทรวงพาณิชย์ได้พยายามแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ได้มีการติดต่อกับสถานทูตจีนมาโดยตลอด ซึ่งตนและผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย(นายหาน จื้อเฉียง) มาช่วยแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบ จนมาถึงวันนี้มีการเริ่มต้นซื้อมันสำปะหลัง เชื่อว่าจะทำให้ราคามันสำปะหลังของไทยพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งเป้าเบื้องต้นที่ 2.5 บาท/กก. และอยากให้ถึง 3 บาท/กก.ในอนาคต และจะร่วมมือกับสถานทูตจีนต่อไปในเรื่องการส่งออกโค ข้าว และทุเรียน เพื่อให้การค้าของไทยราบรื่น

ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ให้ความสำคัญกับเกษตรกรไทยอย่างยิ่ง ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งผลักดันขยายตลาดการส่งออกสินค้าเกษตร เพื่อกระตุ้นความต้องการสินค้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในต่างประเทศ อันจะส่งผลต่อการยกระดับราคาสินค้ามันสำปะหลังให้สูงขึ้น เพิ่มรายได้และช่วยให้ความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยดียิ่งขึ้น

โดยการลงนามสัญญาซื้อขายและ MOU ระหว่างบริษัท COFCO BIOTECHNOLOGY CO.,LTD และผู้ประกอบไทยในครั้งนี้ที่มีมูลค่า ถึง 3,489 ล้านบาท ปริมาณ 540,000 ตัน คิดเป็นปริมาณหัวมันสดถึง 1.28 ล้านตัน และก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้จัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางจัดกิจกรรมปลุกตลาดการค้ามันสำปะหลังในจีน ณ นครเซี่ยงไฮ้ และนครเฉิงตู เมื่อวันที่ 6-8 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอยากสูงมีการลงนาม MOU ซื้อขายสินค้ามันปะหลังไปแล้วมูลค่าร่วม 5,314.95 ล้านบาท ปริมาณถึง 440,000 ตัน คิดเป็นปริมาณหัวมันสดกว่า 1.68 ล้านตัน และเมื่อรวมกันทำให้สามารถสร้างความต้องการซื้อมันสำปะหลังไทยได้ถึง 980,000 ตัน มูลค่าร่วม 8,083 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถดูดซับหัวมันสดในประเทศได้กว่า 2.96 ล้านตัน หรือเกือบ 3 ล้านตัน

การลงนามซื้อขายมันสำปะหลังกับจีนครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านราคาและตลาดให้แก่เกษตรกรและผู้ส่งออกมันสำปะหลังของไทย ว่าผลผลิตของตนจะมีตลาดรองรับ ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้เกษตรกรและการจัดพิธีลงนามดังกล่าวยังถือเป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ ไทย - จีน ในวาระครบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 2568 นี้อีกด้วย

ทางด้าน นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายสำคัญในการสนับสนุนการส่งออกผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรของไทย เพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มมากขึ้น ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น กรมการค้าต่างประเทศจึงได้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม ซึ่งผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรสำคัญของไทยที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยกว่า 700,000 ครัวเรือน สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศในแต่ละปีมากกว่า 100,000 ล้านบาท โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกมันสำปะหลังไปยังประเทศจีน มีปริมาณมากกว่า 3.8 ล้านตัน มูลค่ากว่า 53,000 ล้านบาท ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เช่น แอลกอฮอล์ อาหารคน อาหารสัตว์ กาว กระดาษและอื่นๆ ซึ่งตลาดจีนที่เป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่สุดของประเทศไทย จึงให้ความสำคัญในการขยายโอกาสการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสัมปะหลังของไทยไปยังจีนเพิ่มมากขึ้น       


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top