Friday, 23 May 2025
NEWS

จับกุมหนุ่มแดนปลาดิบ ฉ้อโกงเงินสวัสดิการแห่งรัฐ หลบหนีเข้าประเทศไทย

• ในช่วงต้นเดือน ก.ย. 66 กก.2 บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีตำรวจสากลประเทศญี่ปุ่น ขอให้ตรวจสอบบุคคลซึ่งเป็นที่ต้องการตัวของประเทศญี่ปุ่น ผู้ต้องหารายสำคัญ คือ นายยูกิ (นามสมมุติ) อายุ 35 ปี สัญชาติญี่ปุ่น ผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศญี่ปุ่น ข้อหา ฉ้อโกงเงินสวัสดิการแห่งรัฐในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งได้หลบหนีอยู่ในประเทศไทย 

• บก.สส.สตม. ได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. ผลการตรวจสอบพบว่า นายยูกิ เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ผ่านช่องทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 17 พ.ค.65 ได้รับอนุญาต ให้อยู่ในราชอาณาจักรประเภท THAILAND PRIVILEGE CARD (PE) และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ได้ถึงวันที่ 7 มิ.ย.66 โดยการอนุญาตสิ้นสุดแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการสืบสวนจนทราบว่าผู้ต้องหาพัก อาศัยอยู่ที่ คอนโด Q Asok แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์และได้รวบรวม พยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นต่อศาลแขวงดุสิต โดยศาลแขวงดุสิตอนุมัติหมายค้นให้เข้าตรวจค้นคอนโด ดังกล่าว จากการเข้าตรวจค้นพบผู้ต้องหามาพักอาศัยอยู่จริงและไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายในห้องดังกล่าว ได้ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่า การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดแล้ว จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและควบคุมตัวนำส่ง พนักงานสอบสวน บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยนายยูกิไม่ได้กระทำ ผิดกฎหมายในประเทศไทยแต่อย่างใด 

• ต่อมาวันที่ 9 ก.ย.66 เวลาประมาณ 11.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เบิกตัวนายยูกิ ออกจากสถาน กักกันคนต่างด้าว ของ กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อไปฟ้องคดีต่อศาลแขวงพระนครใต้ หลังจากศาลได้มีคำ พิพากษาปรับและได้ชำระค่าปรับเรียบร้อยแล้ว จึงได้พาตัวกลับมายังสถานกักกันคนต่างด้าว เมื่อมาถึงบริเวณ ด้านหน้าสถานกักกันคนต่างด้าว นายยูกิ ได้หลบหนีไป โดยใช้รถควบคุมผู้ต้องหา ป้ายทะเบียนตราโล่ ในการ หลบหนี จากนั้นนำรถไปจอดทิ้งไว้ที่หน้าโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ แขวง/เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ แล้วขึ้นรถแท็กซี่หลบหนีไปที่พัทยา จว.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ลงพื้นที่ติดตามตัวนายยูกิ จนสืบทราบ ว่านายยูกิ เข้าพักอาศัยอยู่ที่โรงแรมบริเวณซอยบัวขาว พัทยา อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้เข้าตรวจสอบพบ ตัวนายยูกิ และควบคุมตัวกลับมาที่ กก.3 บก.สส.สตม. และให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาว่า เป็นคน ต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต, เป็นคนต่างด้าวหลบหนีไปในระหว่างที่ถูกกักตัวหรือควบคุม ตามอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และทำให้เสียทรัพย์ และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

นำหมอ และหัวใจฝ่าสภาพการจราจรติดขัดท่ามกลางสายฝน !!!ทุกวินาทีคือชีวิต!!! ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ นำส่งอวัยวะหัวใจ ครั้งที่ 73 ‘ผบ.ตร.-รอง ผบ.ตร.’ ชมเชยเป็นตำรวจมืออาชีพ ยกเป็นตัวอย่าง ‘สุภาพบุรุษจราจร’ 

วันนี้ (12 กันยายน 2566) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เปิดเผยว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร อำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำส่งอวัยวะหัวใจส่ง รพ.ศิริราช ได้ทันเวลา 

โดยเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 17.35 น. ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ได้รับการประสานงานจากศูนย์บริจาคอวัยวะ รพ.สมุทรสาคร ผ่านศูนย์วิทยุจราจรโครงการพระราชดำริ แจ้งว่าขอสนับสนุนนำอวัยวะหัวใจจาก รพ.สมุทรสาคร ส่งยัง รพ.ศิริราช หลังจากรับแจ้ง ตำรวจโครงการพระราชดำริฯ ได้นำกำลังตำรวจไปรอรับที่ รพ.สมุทรสาคร เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร เร่งนำส่งอวัยวะหัวใจไปยัง รพ.ศิริราช แต่การนำส่งหัวใจในครั้งนี้เหลือเวลาที่จำกัด และเป็นเวลาช่วงเย็นที่มีฝนตก สภาพการจราจรค่อนข้างหนาแน่น  คุณหมอจึงตัดสินใจนำอวัยวะหัวใจขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ โดยมี ร.ต.ต.ศักดิ์ชาย กระแสร์ญาณ เป็นผู้ขับขี่มุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลเป้าหมายทันที  ระหว่างทางมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ทั้งหมอ และตำรวจทุกนายก็มีความมุ่งมั่นที่จะนำพาหัวใจดวงนี้ไปยัง รพ.ที่หมาย รวมถึงได้รับความร่วมมือจากตำรวจจราจร สน.ท้องที่ ในเส้นทางทุกพื้นที่ และผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้จนภารกิจชีวิตในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี 

พล.ต.ท.นิธิธร กล่าวว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ได้เปิดเส้นทางนำส่งอวัยวะหัวใจ ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่ผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งปลูกถ่ายให้ผู้รับ มีเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น (อวัยวะหัวใจหากทำการผ่าตัดออกมาจากร่างกายของผู้บริจาคแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย) จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา กรณีนำส่งอวัยวะหัวใจในครั้งนี้ นับเป็นรายที่ 73 แล้ว ที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ นำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้ 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศจร.ตร. ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง “สุภาพบุรุษจราจร” ที่ ศจร.ตร.กำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา และนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในที่สุด 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธร กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่มากกว่า 6,000 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย เพราะการบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจโครงการพระราชดำริฯ ได้ที่ โทร 1197 กองบังคับการตำรวจจราจร

‘สนามมวย​ลุมพินี’ ต้อนรับ​ ‘มิส​แกรนด์ กรุงเทพฯ-สระบุรี’ จัดกิจกรรมสนับสนุน-ส่งเสริม ‘THAI​ 5​F​ SOFT​ POWER’

(12 ก.ย. 66) สนามมวย​ลุมพินี ​ให้การ​ต้อนรับ​ มิส​แกรนด์​กรุงเทพ​มหานคร​และ​มิส​แกรนด์​สระบุรี​ใน​โอกาส​ที่มา​จัดกิจกรรม​สนับสนุน​ ส่งเสริม​และ​เผยแพร่​โครงการ​ ‘THAI​ 5​F​ SOFT​ POWER​’

ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายผลักดัน Soft Power ความเป็นไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ 5F ได้แก่ F-Food อาหาร, F-Film ภาพยนตร์และวีดิทัศน์, F-Fashion การออกแบบแฟชันไทย, F-Fighting ศิลปการป้องกันตัวแบบไทย และ F-Festival เทศกาลประเพณีไทย สู่ระดับโลกเพื่อช่วยสร้างรายได้และภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ

กระทรวงวัฒนธรรม ได้ปรับบทบาทจากกระทรวงสังคมสู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ มีเป้าหมายการขับเคลื่อนงานด้านศิลปะวัฒนธรรม และศาสนา ถือเป็นการรีสตาร์ตประเทศไทย โดยการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจด้วยวัฒนธรรม ตามนโยบายเปลี่ยนฉากทัศน์วัฒนธรรมสู่ก้าวที่มั่นคงและยั่งยืน ส่งผลให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อประชาชนและประเทศชาติ ทั้งมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ

สำหรับโครงการ THAI 5F SOFT POWER เป็นหนึ่งในแผนการดำเนินงานขับเคลื่อน มุ่งให้ทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน เครือข่ายวัฒนธรรม ชุมชนและประชาชนให้ความสำคัญ ร่วมมือกันนำวัฒนธรรมมาพัฒนาประเทศในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ การค้า รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว อีกทั้งการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญและทรงอิทธิพลของโลก

นายกฯ กำชับ ผบ.ตร.คลี่คลายคดี ผกก.2 ทางหลวง เสียชีวิตในบ้านพัก ทำคดีตรงไปตรงมา เป็นธรรม ผลการสอบสวนเบื้องต้นไทม์ไลน์ที่เกิดเหตุ พยานที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ พบเขม่าดินปืนที่มือผู้ตาย น่าเชื่อว่า ใช้อาวุธปืนยิงตัวตาย

วันนี้ (12 ก.ย.66) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กล่าวว่า “จากกรณี พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผกก.2 บก.ทล. เสียชีวิต ภายในบ้านพักตนเองพื้นที่ย่านคูคต จ.ปทุมธานีนั้น หลังเกิดเหตุ  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเสียใจ ต่อการสูญเสียของข้าราชการตำรวจในเหตุการณ์นี้ ซึ่ง ผบ.ตร. เองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน  นายกรัฐมนตรีได้สั่งการ กำกับดูแล ทำข้อเท็จจริงให้ปรากฎ ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรมที่สุด  เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับคดีที่เกิดขึ้น แล้วรายงานผลให้ทราบ

ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ ควบคุมการสืบสวนสอบสวนด้วยตนเอง เน้นการนำหลักนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ในการทำงาน ทำคดีตรงไปตรงมา ให้ปรากฎข้อเท็จจริง ตามข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรี 

ผบช.ภ.1 ได้รายงานผลคดี ให้ทราบในเบื้องต้น มีผลการตรวจที่เกิดเหตุ การสอบสวนปากคำพยาน การตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ภาพจากกล้องวงจรปิด และ ผลการชันสูตรพลิกศพ โดยมีไทม์ไลน์ที่เกี่ยวข้องทางคดีมีดังนี้ 

ก่อนเกิดเหตุวันที่ 10 ก.ย.66 เวลาประมาณ 18.00 น. พ.ต.อ.วชิราฯ ได้ร่วมรับประทานอาหารกับเพื่อนที่ร้านแห่งหนึ่ง ย่านเมืองทองธานี ก่อนที่เวลาประมาณ 22.00 น. จะขอตัวกลับไปพักที่โรงแรมไอบริส จากการสอบปากคำเพื่อนที่ร่วมรับประทานอาหาร  ในระหว่างที่รับประทานอาหาร พ.ต.อ.วชิราฯ ได้พูดคุยถึงความเครียดในสิ่งที่เกิดขึ้น บ่นตลอดเวลา เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรุ่นน้องสารวัตรตำรวจทางหลวงที่เสียชีวิต และไม่ค่อยทานข้าว 

ต่อมาเวลาประมาณ 04.23 น.ของวันที่ 11 ก.ย.66 ภาพวงจรปิด พบ พ.ต.อ.วชิราฯ เดินออกจากโรงแรม แล้วเดินไปตามถนนป๊อปปูล่า ซอย 2 แล้วขึ้นรถแท็กซี่ โตโยต้า สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทฬ 806 กทม  จากการสอบปากคำ นายสุจิต ผู้ขับรถแท็กซี่ ให้การว่าไปรับ พ.ต.อ.วชิราฯ จากจุดดังกล่าว มาส่งที่หมู่บ้านกรีนพาร์ค อ.คูคต จ.ปทุมธานี โดยส่งถึงบ้าน เวลาประมาณ 04.50 น. ระหว่างเดินทางไม่ได้คุยอะไรนอกจากบอกเส้นทาง  

เมื่อ พ.ต.อ.วชิราฯ เดินทางมาถึงบ้าน ได้ทำการปีนรั้วบ้านเข้าไปยังบ้านของตนเอง เนื่องจากไม่มีกุญแจรั้วบ้าน จากการสอบปากคำตำรวจซึ่งเป็นพลขับของ พ.ต.อ.วชิราฯ ทราบว่า กุญแจรั้วบ้าน เป็นกุญแจรีโมท ซึ่งอยู่ภายในรถประจำตำแหน่งของ พ.ต.อ.วชิราฯ ซึ่งไม่ได้อยู่ในขณะนั้น  พ.ต.อ.วชิราฯ จึงได้ปีนรั้วเข้าไปภายในบ้าน และกดรหัสประตูดิจิทัล เข้าไปในบ้าน เวลา 04.51 น.

ต่อเวลาเวลาประมาณ 04.55 น. หลังจากที่ พ.ต.อ.วชิราฯ เข้าบ้านไปประมาณ 5 นาที มีภาพและเสียงจากกล้องวงจรปิดของเพื่อนบ้านข้างเคียง มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด คาดว่าเป็นช่วงที่ พ.ต.อ.วชิราฯ ใช้อาวุธปืนยิงตัวตาย  ซึ่งตรงกับผลการชันสูตรของแพทย์ที่ระบุว่า ผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 8-12 ชม.

ผลการตรวจที่เกิดเหตุของกองพิสูจน์หลักฐาน พบผู้ตายนอนเสียชีวิตอยู่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง พบ อาวุธปืน ที่ตกในที่เกิดเหตุ เป็นอาวุธปืน กึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อกล็อก หมายเลขทะเบียน นฐ.03/4500091 ตรวจสอบแล้ว ผู้ครอบครอง คือ พ.ต.อ.วชิราฯ ผู้เสียชีวิต  

การตรวจสอบร่อวรอยบ้านที่เกิดเหตุ จากผลการตรวจของ พฐ. และจากการสอบปากคำของ พยานตำรวจที่พบศพ  4 คนแรก ให้การสอดคล้องกันว่า ไม่มีร่องรอยการงัดแงะทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน โดยพยานที่มาพบคนแรก ซึ่งเป็นตำรวจเพื่อนสนิทผู้ตาย สามารถเข้าไปยังภายในบ้านได้ เนื่องจากได้โทรสอบถามรหัสกับ ภรรยา ของพ.ต.อ.วชิราฯ เมื่อกดรหัสผ่าน เข้าไปภายในบ้าน พบร่างของ พ.ต.อ.วชิราฯ บริเวณห้องนั่งเล่น หน้าโทรทัศน์ รอยเลือดท่วมตัว จึงได้ออกจากบ้าน และโทรศัพท์แจ้งเหตุ ต่อ ศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 แจ้งพนักงานสอบสวนทราบ

ผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิด เส้นทางการเดินทางของ พ.ต.อ.วชิราฯ จากที่โรงแรมบริเวณ เมืองทองธานี มาถึงหมู่บ้านที่เกิดเหตุ ไม่มีใครติดตามพ.ต.อ.วชิราฯ มา และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด หน้าบ้านที่เกิดเหตุ หลังจาก พ.ต.อ.วชิราฯ เข้าบ้านไปแล้ว ไม่มีผู้ใดเข้ามาในบ้านอีก จนกระทั่งพยานเพื่อนสนิทมาถึงบ้านพัก

ผลการชันสูตรพลิกศพของแพทย์นิติเวช รพ.ภูมิพล ทำการผ่าพิสูจน์พบรอยกระสุนเข้าทางศีรษะ ด้านขวา ทะลุ ศีรษะด้านซ้าย แนวเฉียงขึ้น บริเวณรอบๆศพ พบรอยเลือดเป็นแนว
ผลการตรวจเขม่าดินปืน โดยใช้เครื่องมือ AAS (Atomic absorption spectroscopy ) ซึ่งเป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ขั้นสูง มีผลแม่นยำ เป็นที่ยอมรับสากล พบเขม่าดินปืนที่มือซ้ายและขวา จึงจำลองสถานการณ์ได้ว่า ท่ายิงก่อนเสียชีวิต พ.ต.อ.วชิรา น่าจะนั่งชันเข่า จากนั้นถืออาวุธปืนด้วยมือขวาแล้วจ่อที่ขมับข้างขวา โดยใช้มือซ้ายปะคอง เมื่อยิงเสร็จ ทำให้ตัวผู้ตายหงายหลังกระสุนทะลุและตกอยู่ที่ด้านซ้ายของผู้ตาย (พบหัวกระสุนในเครื่องโรบอททำความสะอาดสถานที่เกิดเหตุ) พบเศษเนื้อสมองกระเด็นติดที่ผนังบ้านฝั่งซ้าย ขณะชันสูตรสภาพศพแข็งตัวตั้วตั้งแต่ช่วงลำตัวจนสุดด้านล่าง แพทย์สันนิษฐานว่าเสียชีวิตมาแล้วระหว่าง 8-12 ชม.

โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า “จากผลดังกล่าวข้างต้น ทั้งการตรวจพิสูจน์ที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ผลการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด และผลการตรวจชันสูตรพลิกศพ สอดคล้องตรงกัน น่าเชื่อได้ว่า พ.ต.อ.วชิราฯ ใช้อาวุธปืนยิงตัวตาย ส่วนประเด็นสาเหตุคงต้องรอผลการสอบสวนปากคำพยานเพิ่มเติม  ซึ่งทาง ภ.จว.ปทุมธานี ได้มีคำสั่งที่ 242/2566 ลง 11 ก.ย.66 เรื่องแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยมี พ.ต.อ.พีรพล โชติกเสถียร รอง ผบก.เป็นหัวหน้า เพื่อทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานคลี่คลายคดีนี้แล้ว ขอให้พี่น้องประชาชนมีความเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ” 

กองทัพอากาศ ได้นำเสนอผลการปฏิบัติงานที่สำคัญ

กองทัพอากาศ ได้นำเสนอผลการปฏิบัติงานที่สำคัญให้ที่ประชุมฯ ได้รับทราบ ได้แก่ ด้านการพิทักษ์เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยได้นำส่งสิ่งของพระราชทานไปช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนชาวตุรกีที่ประสบเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา กรณีพายุไซโคลน MOCHA การจัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน การแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันในวันสำคัญต่าง ๆ การจัดหน่วยทหารรักษาพระองค์ถวายพระเกียรติ/ถวายความปลอดภัยในหมายที่สำคัญ ด้านการป้องกันประเทศ โดยการบินลาดตระเวนรบทางอากาศตามแนวชายแดนด้านทิศตะวันตก ทั้งกลางวัน/กลางคืนเพื่อป้องปราบการบินล้ำแดน ให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการ และในห้วงเวลาปฏิบัติการของฝ่ายตรงข้าม ให้เกิดการรับรู้ของประชาชนโดยทั่วกัน ด้านการรักษาความมั่นคงของรัฐ โดยการรักษาความปลอดภัยและการรองรับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC ครั้งที่ ๒๙ การนำขีดความสามารถกำลังทางอากาศเข้าบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้านการพัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคงและการช่วยเหลือประชาชน อาทิ การบรรเทาสาธารณภัย สนับสนุนอากาศยานปฏิบัติภารกิจฝนหลวง ปฏิบัติการควบคุมไฟป่า 

การลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศ การสนับสนุนกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติการนภารักไทย ร่วมกับ กองบัญชาการกองทัพไทย ในภารกิจการอพยพคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในสาธารณรัฐซูดาน การบรรจุเข้าประจำการระบบอากาศยานไร้คนขับพิสัยกลางแบบ DominatorXP (Maned - Unmaned Teaming)

ซึ่งเป็นอากาศยานไร้คนขับแบบ Medium Altitude Long Endurance หรือ MALE แบบแรกของประเทศไทย การจัดทำแผนงานสำหรับพัฒนาพื้นที่สนามบินเชียงราย เพื่อให้เป็นศูนย์กลางรองรับการปฏิบัติการช่วยเหลือ
ด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติในเขตพื้นที่ภาคเหนือและภารกิจช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกองทัพอากาศและองค์การต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการ
ให้ความช่วยเหลือประชาชน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สรุปผลการปฏิบัติงานที่สำคัญให้ที่ประชุมฯ ได้รับทราบ ได้แก่ การจัดกิจกรรมจิตอาสาภัยพิบัติ การป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดและอำนวยความยุติธรรมทางอาญา การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยได้กำหนดนโยบายและมาตรการสำคัญ ๒ ด้าน ได้แก่ มาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยการยกระดับความสำคัญในการป้องกันยาเสพติด แสวงหาความร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดทำโครงการชุมนุมยั่งยืน ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๖๔ จนถึงปัจจุบัน และมาตรการปราบปรามยาเสพติด ได้แก่ การปราบปรามยาเสพติด 213,104 คดี โดยจากการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ เพื่อให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยได้วางระบบการรับแจ้งความออนไลน์ จำนวน ๓๐๕,๙๕๒ คดี มูลค่าความเสียหาย๔๑,๓๓๖ ล้านบาท สามารถอายัดเงิน ๗๔๗ ล้านบาท ซึ่งพบว่าสถิติประเภทคดีสูงสุด ๕ ลำดับ ได้แก่ หลอกซื้อขายสินค้าหรือบริการ ร้อยละ ๓๘.๔๐ หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน ร้อยละ ๑๓.๓๙ หลอกให้กู้เงิน ร้อยละ ๑๓.๑๕ หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ร้อยละ ๘.๑๕ และข่มขู่ทางโทรศัพท์/Call Center ร้อยละ ๗.๔๗ การผลักดัน พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.๒๕๖๖ ซึ่งบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๖ โดยพบว่าภายหลังกฎหมายบังคับใช้สถิติคดีอาชญากรรมออนไลน์ลดลง สามารถจับกุมบัญชีรับเงิน หรือบัญชีม้า ๒๕๒ ราย ซิมการ์ด ๘๔ ราย และใช้กลไกคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการป้องกัน ปราบปราม และจัดการคดี จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์สร้างภูมิคุ้มกัน สร้างภาคีเครือข่ายป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำหรับการบังคับใช้กฎหมายจราจร มีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการจราจร เช่น การกำหนดเรื่องที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก การกำหนดการโดยสารท้ายรถกระบะให้มีความปลอดภัย การเพิ่มโทษของผู้ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ การกำหนดโทษของการรวมกลุ่มมั่วสุมเพื่อแข่งรถในทางตั้งแต่ ๕ คันขึ้นไป การยกระดับสถานีตำรวจและการให้บริการประชาชน การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างขวัญกำลังใจข้าราชการตำรวจ โครงการธรรมนำใจ โครงการทำดี มีรางวัล การจัดหาเครื่องแบบรูปแบบใหม่ให้กับตำรวจจราจรทั่วประเทศ โครงการครอบครัวตำรวจเราไม่ทิ้งกัน โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้าง นอกจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังได้ให้ความสำคัญในการปฏิบัติงาน กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการเสนอร่างกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดทำโครงการชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาปรับปรุงระบบการทำงาน และความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มุ่งเน้นการดำเนินการในทุกมิติ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นตำรวจมืออาชีพ ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน” และวางแนวทางการปฏิบัติให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ว่า “ความทุกข์ร้อนของประชาชน เป็นหน้าที่ของตำรวจต้องเข้าไปแก้ไขอย่างรวดเร็วและทันท่วงที” เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ และสังคมส่วนรวมต่อไป

ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กล่าวขอบคุณเหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ทุ่มเท เสียสละ ร่วมแรง ร่วมใจตลอดระยะเวลา ๑ ปีที่ผ่านมาในการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน สามารถแก้ปัญหาในภารกิจต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้สำเร็จด้วยดีอย่างมีประสิทธิภาพ และขอให้ดำรง
ความร่วมมือระหว่างเหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการดูแลประเทศชาติและประชาชน พร้อมกับปกป้องสถาบันหลักของชาติอย่างต่อเนื่องตลอดไป

กองทัพไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ รวมทั้ง สนองตอบนโยบายของรัฐบาล โดยจะใช้ศักยภาพและทรัพยากรที่มีอยู่ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงให้กับประเทศชาติ และประชาชนสืบไป 
--------------------------------------------
กองประชาสัมพันธ์ สำนักประชาสัมพันธ์ กรมกิจการพลเรือนทหาร ๑๑ กันยายน ๒๕๖๖

'อ.ไชยณรงค์' โต้!! 'ป๋อ ณัฐวุฒิ' กรณี 'เพลงคนจนมีสิทธิ์ไหมคะ' ชี้!! บทนางเอกถูกขืนใจ 'เลวร้าย-หยาบโลน' กว่าหลายพันเท่า

จากกรณี ‘ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ’ ไม่ขำด้วย เมื่อเพลงที่กำลังเป็นกระแสตอนนี้ คือเพลงที่มาจากลำซิ่งของคณะทิวลิป เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เมื่อช่วง 30 ปีก่อน ซึ่งมาพร้อมกับเนื้อเพลงแบ่งแยกชนชั้นและมีคำหยาบคายที่ใช้เรียกอวัยวะเพศอย่างชัดเจน ส่งผลให้มีเยาวชนและคนไทยมากมายนำไปคัฟเวอร์และร้องเพลงนี้กันอย่างสนุกสนาน

ล่าสุด (11 ก.ย. 66) ผศ.ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีเพลง ‘คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ’ ที่กำลังเป็นกระแสไวรัลอยู่ในขณะนี้ โดยระบุว่า…

คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ ถ้าคุณป๋อไม่เข้าใจ ผมจะอธิบายให้ฟัง

1. เพลงนี้ที่ติดหูและถูกใจโลกโซเชียลอย่างล้นหลาม แม้ร้องเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เพราะเพลงได้สะท้อนความเหลื่อมล้ำทางสังคม แม้ผ่านไป 30 ปี แต่ความจริงนี้ก็ยังดำรงอยู่ในสังคมไทย

2. เพลงนี้ยังสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางเพศสภาพด้วย และความเหลื่อมล้ำนี้ ผ่านไป 30 ปีแล้ว แต่ก็ยังดำรงอยู่ในสังคมไทย

3. การที่นักร้องคือคุณเดือนเพ็ญหยิบท่อนนี้มาจากเพลงสมองจนจนของพลอยมาเล่นต่อ ไม่ใช่เพื่อความสนุกสนานอย่างเดียว แต่การแสดงนี้คือศิลปะการแสดงที่เป็นอาวุธของผู้อ่อนแอ (weapons of the weak) หรือศิลปะของผู้อ่อนแอ (art of the weak) ลองนึกดูครับว่า ถ้ายุคนั้นหรือแม้แต่ยุคนี้ หากคนจนลุกขึ้นมาเดินขบวนชุมนุมประท้วงเรื่องความเหลื่อมล้ำ ก็ย่อมถูกปราบปรามจากรัฐได้ง่าย หรืออาจนึกภาพว่าคนจนเดินไปหานายกฯ หรือข้าราชการระดับสูง แล้วถามว่า “คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ” คุณคิดว่าเขาจะฟังหรือ?

ในสังคมไทย อาวุธหรือศิลปะของผู้อ่อนแอไม่ได้มีแค่หมอลำ แต่ยังมีในศิลปะการแสดงและประเพณีอย่างอื่น เช่น หนังตะลุง ขบวนแห่บั้งไฟ นิทานก้อม ฯลฯ สำหรับชาวบ้านชาวช่อง เขาถือว่าปกติ เช่น นายหนังตะลุงเดี่ยว เอาประยุทธ์มาล้ออย่างหนักเป็นที่ตลกขบขันของผู้ชม แต่ผู้มีอำนาจไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธเคือง

ประเด็นท่อนเพลง ‘คนจนมีสิทธิ์มั้ยคะ …’ จึงควรให้ความสำคัญต่อสาระที่แท้จริง คือความเหลื่อมล้ำ ซึ่งรวมถึงความเหลื่อมล้ำทางเพศสภาวะที่เกิดขึ้นในสังคมนี้ และสาระตรงนี้ควรสะกิดต่อมความคิดแบบอนุรักษนิยมให้คิดมากกว่าภาษาที่หยาบโลน

คุณป๋อไม่ได้มาจากดาวดวงอื่นหรอกครับ คุณอยู่บนโลกใบเดียวกันนี่แหละ เพียงแต่คุณอยู่ในโลกของการแสดงอีกแบบที่คิดว่าดีกว่าคนอื่น ทั้งที่คุณเกิดและดังในยุคที่พระเอกละครไทยข่มขืนนางเอก ที่หากพิจารณาแล้ว มันเลวร้ายกว่าหยาบโลนกว่าหลายพันเท่า ซึ่งคุณป๋อควรออกมาแสดงจุดยืนว่ารับไม่ได้

‘ไก่ทอดมีนา’ โร่ชี้แจง ทางร้านคิดเงินผิด-ไม่มีความคิดขูดรีดนทท. หลังทัวร์ลงกระหน่ำ ปมขายไก่ให้ยูทูบเบอร์แพงหูฉี่ 6 ชิ้น 520 บาท

(11 ก.ย. 66) กลายเป็นดรามาของร้านขายไก่ทอด เมื่อยูทูบเบอร์หนุ่มอย่าง ‘คอลแลน’ ได้ซื้อไก่ทอดหาดใหญ่จากร้าน ‘ไก่ทอดหาดใหญ่มีนา’ ซึ่งปรากฎว่ามีการคิดราคาที่แพงมากๆ ถึง 520 บาท จนเกิดประเด็นให้ชาวเน็ตถกเถียงว่าแพงเกินไปหรือไม่ หรือ ขูดรีดนักท่องเที่ยวต่างชาติเกินไปไหม

ซึ่ง ล่าสุดทางเพจ ‘ไก่ทอดหาดใหญ่มีนา’ ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความชี้แจงต่อประเด็นดังกล่าว โดยได้ระบุข้อความว่า

“ทางร้านขอชี้แจงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคลิปของคุณ คอลแลน Cullen Hateberry ที่ได้อัพลงทางโซเชี่ยลเมื่อวานนี้ ถึงรายละเอียดต่างๆ และข้อสงสัยที่เกิดขึ้นกับราคาในคลิปนั้น

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นราวปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา (ถ้าจำผิดต้องขออภัย) และอย่างที่ปรากฏในคลิปนั้น เมื่อทางร้านได้รับทราบ เมื่อตอน 4 ทุ่มของคืนที่ผ่านมา ก็ได้หาช่องทางติดต่อคุณ Cullen ตั้งแต่ตอนนั้น หลังจาก 5 ทุ่ม ก็ได้ส่งอีเมลไปสอบถามรายละเอียด เพราะร้านก็ดูคลิปวนๆ อยู่เลยไม่แน่ใจว่า ไก่ส่วนไหนและกี่ชิ้นบ้าง เราจึงต้องรอความชัดเจนตรงนี้ก่อน

จนเขาตอบกลับมา ว่าไก่ที่ซื้อนั้น มี 6 ชิ้น สะโพกติดน่อง 3 , น่อง 3 , ข้าวหมก 2

ซึ่งราคาของขนาดไก่นั้น ที่ร้านขายปกติคือ สะโพกติดน่องใหญ่ชิ้นละ 80 (3ชิ้น/240), น่องชิ้นละ35 (3ชิ้น/100), ข้าวหมกกล่องละ 20 (2กล่อง/40)

พอติดรวมค่าสินค้าที่เขาได้รับไป เป็นเงิน 380 บาท แต่ในคลิปที่ทุกคนได้ดูคือ 520 บาท ซึ่งมันเกินจากราคาปกติที่ร้านขายอยู่ ทางเราดูก็ยังเกิดความสงสัยเหมือนกับทุกคน

จึงพูดคุยกับคนขายว่า เราผิดพลาดตรงไหน เขาก็ตอบด้วยความสัตย์จริงว่าคงจะคิดผิดหลังจากใส่ถุงไปแล้ว นึกว่าเป็นชิ้นส่วน น่องติดสะโพกทั้ง 6 ชิ้น 480 รวมข้าวหมกอีก 40 บาท ราคาจึงออกเป็นอย่างที่ทุกคนเห็นในคลิป

ร้านไม่ได้นิ่งนอนใจ ไม่เคยคิดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติอย่างที่หลายท่านเมนต์มา

เราไม่ต้องการจะหาข้ออ้าง แต่มันคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวันนั้น แค่อยากให้ทุกท่านเข้าใจในรายละเอียดของเหตุการณ์

ทางร้านรีบขอโทษคุณ คอนแลน และขอรับผิดชอบตั้งแต่อีเมลฉบับแรกที่เราส่งไป

ร้านขอน้อมรับทุกคำติติงของสุภาพชนอย่างเต็มใจ เพราะร้านเองที่พลาดอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

ถึงตอนนี้ร้านจะถูกดิสเครดิตทุกช่องทาง ด้วยการตัดสินของหลายๆ ท่านไปแล้ว เราก็จะพยายามเงยหน้าขึ้นมารับผลของการตัดสินของหลายๆ ท่าน

หวังว่าทุกๆ ท่านจะเข้าใจ และทักท้วงได้หากสงสัยว่าราคาผิดพลาด ทางร้านยินดีรับฟังและรับผิดชอบครับ

ด้วยความเคารพจากใจ ร้านไก่ทอดหาดใหญ่มีน”

นอกจากนี้ ทางเพจ ‘คอลแลน’ เอง ก็ได้มีการออกมาโพสต์ข้อความด้วยเช่นกัน โดยมีใจความว่า

“ใน Ep.สงขลา นี้ ได้มีประเด็นที่พูดถึงกันอย่างมากเรื่อง ‘ไก่ทอดหาดใหญ่’ ครับ ทางทีมจะขอชี้แจงผ่านโพสต์นี้นะครับ

เนื่องจากทาง ‘ร้านไก่ทอดหาดใหญ่มีนา’ Kaitod MEENA ไก่ทอดหาดใหญ่มีนาได้คิดเงินผิดพลาด และได้ทำการติดต่อมาเพื่อชี้แจงขอโทษและแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับคืนเงินเต็มจำนวนเรียบร้อยแล้วครับ

อย่างที่ทุกคนทราบดีว่าช่อง Cullen Hateberry เป็นช่องที่แสดงภาพลักษณ์เชิงบวก และสดใสโดยหลีกเลี่ยงข้อโต้แย้งและประเด็นที่เป็นเชิงลบครับ

ทางทีมต้องขออภัยกับประเด็นที่เกิดขึ้นและหวังว่าทุกคนจะยังคงสนับสนุนและแสดงเจตนาที่ดีต่อ ‘ร้านไก่ทอดหาดใหญ่มีนา’ กันนะครับ (ราคาไม่แพงและไก่ทอดอร่อยมากจริงๆ ครับ)”

‘แอน จักรพงษ์’ โต้!! แค่จับมือ ‘ท็อปนิวส์’ เพื่อผลิตรายการข่าว หวังขยายฐานผู้ชม และผนึกกำลังธุรกิจให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

(11 ก.ย. 66) แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่ปรากฎรายงานข่าวจากสื่อมวลชนบางฉบับว่าบริษัทขายช่อง JKN 18 ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัลในประเทศไทย ภายใต้บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด (JKNBL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 100% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วนั้น

บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าบริษัทได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับบริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิทัล มีเดีย จำกัด (Top News) ในการร่วมผลิตรายการประเภทรายการข่าวสารและสาระระหว่าง JKNBL และ Top News เพื่อออกอากาศทางช่อง JKN18 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดผังรายการเพื่อจัดสรรช่วงเวลาการออกอากาศ โดยบริษัทจะได้รับค่าตอบแทนตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกัน โดยการเข้าทำรายการในครั้งนี้มีความสมเหตุสมผลเป็นประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท

ทั้งนี้ JKNBL ยังเป็นผู้ได้รับสิทธิในการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ จากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เช่นเดิม และไม่ได้ทำการขายสิทธิในการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ตามที่ปรากฎในรายงานข่าวแต่อย่างใด

สำหรับการร่วมผลิตรายการในครั้งนี้นั้น จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้กับช่อง JKN18 เนื่องจากบริษัทมีความเชี่ยวชาญทางด้านรายการบันทิง และรายการข่าวด้านเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน ในขณะที่ Top News มีความเชี่ยวชาญในกลุ่มรายการข่าวสารและสาระในการเสนอข้อเท็จจริงในทุก ๆ ด้าน

การนำความเชี่ยวชาญของทั้งสองฝ่ายมาร่วมกันในครั้งนี้จะช่วยผลักดันความนิยมของผู้ชม รวมถึงขยายฐานผู้ชมช่อง JKN18 ให้มีจำนวนมากขึ้น สามารถเสริมสร้างให้ธุรกิจของบริษัทมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

'หนุ่มมาเลเซีย' รีวิวประสบการณ์เที่ยวเมืองไทย 'กิน-เที่ยว-ใช้ชีวิต' แสนสุขใจ 'คุณยังต้องการอะไรอีก?"

(11 ก.ย. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Suvinai Pornavalai' ถึงไวรัลดังในโซเชียลมีเดียประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อหนุ่มมาเลเซีย 'รีวิวประสบการณ์เที่ยวเมืองไทย' โดนใจชาวมาเลเซียเป็นจำนวนมาก จนคนช่วยกันแชร์ไปแล้วกว่า 4 พันแชร์ กระหน่ำไลก์อีกกว่า 6 พัน ว่า...

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กบัญชี 'Ahmad Nazrul' ซึ่งเป็นชาวมาเลเซีย ได้โพสต์รูปถ่ายที่อ่าวนาง จังหวัดกระบี่ 1 รูป พร้อมรีวิวประสบการณ์ท่องเที่ยวของตัวเองไว้ ซึ่งเป็นความประทับใจของเขาที่มีต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทย 

ปรากฏว่า รีวิวสั้นๆ เป็นประเด็นที่ตรงใจ โดนใจชาวมาเลเซียหลายคนที่มีประสบการณ์ประทับใจตรงกัน จนทำให้โพสต์ของ Ahmad Nazrul มีคนเข้ามากดไลค์ชื่นชอบกว่า 6 พันคน แชร์ต่อกันไปอีกกว่า 4 พันแชร์ และเข้ามาแสดงความเห็นแลกเปลี่ยนกันจำนวนมาก

ทั้งนี้ เนื้อหารีวิวของ Ahmad Nazrul ได้โพสต์ไว้เป็นภาษามาเลย์ ซึ่งแปลความหมายคร่าวๆ ได้ว่า....

ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าเที่ยว

อาหารในเมืองไทยมีราคาถูก ถ้าคุณรับประทานอาหาร 10 คน บิลค่าใช้จ่ายออกมาไม่ถึง 300 ริงกิต (ประมาณ 2,300 บาท) แม้ว่าโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารก็ตาม

หากคุณรับประทานอาหารคนเดียว โดยปกติจะอยู่ที่ 10 ริงกิต (ประมาณ 76 บาท) ข้าวผัดปลาหมึกสดและกุ้งสดเพียง 7 ริงกิต (54 บาท) กุ้งตัวใหญ่ๆ ตัวละ 50 ริงกิต (380 บาท)

ในประเทศไทยอาหารอร่อยทุกอย่าง ถ้าทำงานเกี่ยวกับอาหาร-เครื่องดื่มก็คงดี ลองนึกดูสิ ชาเย็นในร้าน 7-Eleven ยังอร่อย ยังไม่รวมเบอร์เกอร์นะ

อาหารในไทยอร่อยแตกต่างและหาไม่ได้ในมาเลเซีย อาหารทะเลสดมาก ปลาหมึกยักษ์ กุ้งตัวใหญ่

ประเทศไทยมีความสะอาด แม้ถังขยะจะหายาก ถ้าเรากินของเล็กๆ ควรเก็บถุงพลาสติกไว้ในกระเป๋าและโยนเข้าห้องพักในโรงแรม แต่คุณจะไม่พบขยะตามถนนหนทาง

ราคาโรงแรมในประเทศไทย ก็ราคาถูก ตั้งแต่ 60 - 150 ริงกิต (ประมาณ 460-1140 บาท) พร้อมอาหารเช้าด้วยนะ สระว่ายน้ำก็เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าราคาตั้งแต่ 200 ริงกิตขึ้นไป (1,520 บาท) ก็เหมือนโรงแรม 5 ดาวเลย ส่วนโฮมสเตย์ในประเทศไทย หลังนึงก็มักมีราคาน้อยกว่า 150 ริงกิต (1,140 บาท)

ถนนเมืองไทยสวยมาก ยากที่จะหาถนนที่มีหลุมหรือชำรุด ถ้าขับรถยนต์ก็ไม่มีปัญหาแม้ว่าทำความเร็วถึง 200 กม./ชม. ก็ตาม แต่ถ้าคุณขี่มอเตอร์ไซค์ ก็เหาะไปได้เลยภายใน 5 ชั่วโมง

ปั๊มน้ำมันในเมืองไทยใหญ่เวอร์มาก ในปั๊มน้ำมัน มีทั้ง 7-Eleven ที่ละหมาด และมีห้องน้ำอยู่เสมอ

แล้วใน 7-Eleven ก็ใหญ่มากๆ ไม่เหมือนกับที่มาเลเซีย อาหารในนั้นอร่อยทุกอย่าง มีการแยกอาหารฮาลาลและฮารอมไว้แล้ว เครื่องสำอางก็มีเยอะมากใน 7-Eleven เข้า 7-Eleven แล้วแทบจะบ้าได้ อาหารและเครื่องดื่มน่าลองไปหมด เข้าไปก็พร้อมชอปปิงเครื่องสำอางกันอีกแล้ว

ห้องน้ำในประเทศไทยมีความสะอาด ผมไม่เคยพบห้องน้ำเหม็นหรือสกปรกที่ไม่สามารถกดชักโครกได้เลย

ไม่เคยเจอก้นบุหรี่ด้วย สะอาดมากและห้องน้ำก็มีเอกลักษณ์และไม่ค่อยพบในมาเลเซีย

มีต้นไม้ มีต้นไผ่อยู่ในห้องน้ำ อากาศในห้องน้ำยังดีเลยนะ

หากไปรับประทานอาหารในร้านอาหารเมืองไทย ไม่มีใครเค้าสูบบุหรี่ในร้านกัน ถ้ามีแสดงว่าเป็นมาเลเซีย

อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยใช้ 5G ผมขับรถมา 5 ชั่วโมงสัญญาณไม่ตกเลย สัญญาณเต็มครอบคลุม แล้วก็ราคาถูก แค่ 25 ริงกิต (ประมาณ 190 บาท)

คนไทย เป็นคนสบายๆ ทุกคนที่ผมพบล้วนเป็นมิตร พนักงานเสิร์ฟนี่ดีที่สุด โค้งคำนับและพูดเบาๆ แม้จะสื่อสารกันยากสักหน่อย เพราะไม่ค่อยพูดภาษาอื่นนอกจากภาษาไทย แต่ก็ไม่มีปัญหา แค่ติดตั้งแอปฯ Google แปลภาษา

ไม่ต้องพิมพ์ เพียงแค่กดเสียงแล้วแอปฯ ก็จะแปลเป็นภาษาไทยให้โดยอัตโนมัติ

ในเมืองไทยไม่ค่อยเจอท่อไอเสีย เสียงดัง ไม่พบรถบรรทุกที่มีท่อไอเสียขนาดใหญ่ มีรถ 4x4 เยอะ และไม่ค่อยมีสิ่งกีดขวางบนถนนแบบในมาเลเซีย คุณไม่ต้องกังวลหากไม่สวมหมวกกันน็อก มอเตอร์ไซค์ไม่มี กระจกมองข้าง หรือป้ายทะเบียนแฟนซี นั่นเป็นเหตุผลที่กลุ่มไบเกอร์จำนวนมากไปเที่ยวพักผ่อนที่ประเทศไทย บิดไปได้โดยไม่ต้องลังเล

ที่นั่นเราไม่เห็นขอทานตามบนถนนหรือตามสัญญาณไฟจราจร ผมไม่แน่ใจว่ากลุ่มนี้อยู่หรือเปล่า เพราะไม่เคยเจอเลยแม้แต่ในตัวเมือง

ส่วนตำรวจมีอยู่ทุกที่ มีตำรวจเป็นจำนวนมาก ทำการในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทำให้รู้สึกปลอดภัยที่จะเดินหรือชอปปิงอย่างแน่นอน

มีอีกมากที่จะเขียน หากคุณต้องการไปเที่ยวพักผ่อน อยากให้ลองไปประเทศไทย ไม่ยากเลยที่จะไปที่นั่น ถ้าไป 3 วัน 2 คืน พาครอบครัวมา 5 คน รวมค่าอาหาร ที่พัก ไม่ถึง 1,000 ริงกิต (ประมาณ 7,600 บาท) และยังได้เดินไปยังสถานที่ที่น่าสนใจอีกด้วย ค่าเข้าชมสถานที่ ก็ราคาถูกส่วนมากต่ำกว่า 10 ริงกิต (76 บาท) 

คนคิดว่าการเข้าประเทศไทยเป็นเรื่องยาก จริงๆ แล้วไม่ยากถ้ามีวิธี ถ้ามาเมืองไทยแล้ว รับรองว่าในวันหยุดคุณจะไม่ดูที่เที่ยวที่อื่นๆ อีกเลยในมาเลเซีย 

- อาหารอร่อย
- ทุกอย่างมีราคาถูก
- สถานที่น่าสนใจ
- ผู้คนใจดี
- คุณยังต้องการอะไรอีก?

ประเทศไทยมีกฎหมายแตกต่างบางประการในมาเลเซีย แต่เราต้องเชื่อฟังและเคารพ ผมจะแบ่งปันในโพสต์ถัดไปของฉันในภายหลัง

ป.ล. นี่คือประสบการณ์ของผมนะ ถ้าประสบการณ์เราไม่เหมือนกันอย่าหาว่า ผมโกหกเพราะวันและเวลาที่เราไปอาจจะไม่เหมือนกัน

รู้จัก 'จามาล ไรซานี' ลูกครึ่งไทย-ปากีสถาน ศิษย์เก่าแม่ฟ้าหลวง นั่งรักษาการเก้าอี้ รมต.ด้วยอายุน้อยที่สุดในปากีสถาน

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เพจเฟซบุ๊ก มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้โพสต์ร่วมแสดงความยินดี พร้อมติด #MFUPride กับนายนาวับซาดา จามาล ไรซานี (Nawabzada Jamal Raisani) นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาการพัฒนาระหว่างประเทศ สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ในโอกาสได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬา เยาวชน และวัฒนธรรม แห่งรัฐโบโลจิสถาน สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน โดยถือว่าเป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดเพียง 25 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นาวับซาดา จามาล ไรซานี หรือจามาล มีเชื้อสายปากีสถานและไทย พ่อเป็นอดีตนักการเมืองชื่อดังของปากีสถาน แม่เป็นชาวไทย โดยได้เข้ามาศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย รวมทั้งเคยอยู่ในอะคาเดมี่ทีม เชียงราย ยูไนเต็ด และเป็นนักฟุตบอลทีมเชียงรายล้านนา

‘เติ้ล วรพรต’ นักบิดดาวรุ่งจาก 'ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม' บิดเปิดตัวครั้งแรกคว้าท็อป 7 'ศึกดาวรุ่งชิงแชมป์ยุโรป' ที่ฝรั่งเศส

(10 ก.ย. 66) ‘เติ้ล’ วรพรต ทองดอนเหมือน ยอดนักบิดดาวรุ่งชาวไทยจาก ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม สร้างผลงานกระหึ่มเวทีดาวรุ่งยุโรป เปิดตัวครั้งแรกบิดคว้าท็อป 7 ในศึก Yamaha R3 bLU cRU European Championship 2023 ขณะ ‘ไอเดีย’ กฤตภัทร เขื่อนคำ โชคร้ายพลาดล้มในการแข่งขันสนามสุดท้ายเมื่อวันเสาร์ที่ 9 กันยายนผ่านมา ที่ประเทศฝรั่งเศส

การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบดาวรุ่งชิงแชมป์ยุโรป รายการ Yamaha R3 bLU cRU European Championship 2023 สนามสุดท้าย ดวลความเร็ว 2 เรซเมื่อวันเสาร์ที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา ที่ เซอร์กิต แม็กนีย์-คูร์ส ประเทศฝรั่งเศส

เกม 2 เรซสุดท้ายมีความหมายอย่างมากต่อการไล่ล่าอันดับบนตารางแชมเปียนชิพของดาวรุ่งชาวไทยอย่าง ‘ไอเดีย’ กฤตภัทร เขื่อนคำ เจ้าของหมายเลข 32 นอกจากนี้ ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม ยังมอบโอกาสทองเพื่อสัมผัสการแข่งขันระดับโลกให้กับ 2 ดาวรุ่งอย่าง ‘แฟรงค์’ ภาสกร แสนหลวง หมายเลข 53 และ ‘เติ้ล’ วรพรต ทองดอนเหมือน หมายเลข 54

เรซแรกของสุดสัปดาห์นี้ เกิดจุดเปลี่ยนตั้งแต่รอบแรกของการแข่งขัน เมื่อ ‘ไอเดีย’ กฤตภัทร ซึ่งออกตัวจากกริดที่ 4 พลาดล้มไปอย่างน่าเสียดาย ส่งผลให้ไม่สามารถเก็บแต้มสำคัญและพลาดลงแข่งในเรซที่ 2 ด้วย

ขณะที่ ‘เติ้ล’ วรพรต สตาร์ตจากกริดที่ 14 ไล่บดกับยอดดาวรุ่งจากทั่วโลกอย่างไม่เกรงกลัว บิดเข้าป้ายในอันดับ 11 ตามหลังผู้ชนะเพียง 2.559 วินาทีเท่านั้น ประเดิมเก็บแต้มได้สำเร็จ ส่วนทีมเมทอย่าง ‘แฟรงค์’ ภาสกร เข้าเส้นชัยในอันดับ 19 ตามหลัง 18.048 วินาที

ส่วนเกมเรซที่ 2 นับเป็นเรซที่ดาวรุ่งชาวไทยอย่าง ‘เติ้ล’ วรพรต เฉิดฉายอย่างมาก ไล่บี้กับกลุ่มหน้าอย่างสุดมัน ก่อนคว้าอันดับ 7 มาครองด้วยเวลาตามหลัง อัลดี้ มาเฮนดร้า นักบิดอินโดนีเซียเพียง 1.185 วินาทีเท่านั้น ขณะที่ ‘แฟรงค์’ ภาสกร ขยับขึ้นมาคว้าแต้มได้สำเร็จ หลังบิดเข้าป้ายในอันดับ 15 ตามหลังผู้ชนะ 22.691 วินาที

โดยหลังจบฤดูกาล 2023 ‘ไอเดีย’ กฤตภัทร สร้างผลงานยอดเยี่ยมบิดคว้าโพเดียมมา 3 ครั้งในปีนี้ รั้งอันดับ 6 บนตารางแชมเปียนชิพมีทั้งสิ้น 119 คะแนน ส่วนทีมเมทอย่าง ‘เอิร์ธ’ ธุรกิจ บัวผา ที่ไม่ได้ลงแข่งสนามสุดท้ายจากอาการบาดเจ็บ รั้งอันดับ 19 มีทั้งสิ้น 57 คะแนน ในปีแรกที่เข้าร่วมแข่งขันรายการนี้

การแจ้งเกิดครั้งนี้ของ ‘เติ้ล’ วรพรต ทองดอนเหมือน และ ‘แฟรงค์’ ภาสกร แสนหลวง นับเป็นสัญญาณที่ยอดเยี่ยมของ ‘ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม’ ที่สามารถผลักดันนักแข่งดาวรุ่งชาวไทยขึ้นสู่เวทีระดับโลกอย่างแข็งแกร่ง

‘สาวใจดี’ รุกช่วยเด็กชายวัย 9 ขวบ กลับคืนสู่ครอบครัว หลังถูกพ่อแท้ๆ พามานั่งขอทาน ริมถนนพัทยาสายสอง

(10 ก.ย. 66) น.ส.อนุธิดา จันทา อายุ 34 ปี แม่ค้าน้ำปั่น ชาวจังหวัดนครสวรรค์ ได้ช่วยเหลือ ด.ช.แจ็ค (นามสมมุติ) อายุ 9 ปี ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามญาติมารับตัวกลับบ้าน หลังถูกบิดาพามานั่งขอทานยามวิกาล ริมถนนพัทยาสายสอง ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จนกระทั่งสามารถติดต่อให้ผู้เป็นป้ามารับตัวกลับที่พัก โดยมีพนักงานสอบสวนลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

โดย น.ส.อนุธิดา เล่าโดยละเอียดว่าตนเองมาจากกรุงเทพฯ มาเที่ยวพัทยา เจอน้องวันแรกเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา สังเกตเห็นน้องนั่งขอทานริมถนน เกิดความสงสาร อยากที่จะช่วยเหลือ พยายามสอบถามถึงผู้ปกครอง แต่น้องก็ไม่ยอมบอก ตอบเพียงว่าพ่อแท้ๆ ให้มานั่งขอเงิน เพราะป่วยเป็นโรคไต

ตนเองซื้อข้าวให้น้องและฝากให้พ่อน้องด้วย รวมถึงยังซื้อเสื้อผ้าให้อีกด้วย ตนเองรู้สึกผิดปกติ เนื่องจากน้องผิวพรรณดี มีมารยาท ลักษณะไม่น่าจะเป็นขอทานได้ จึงเฝ้าดูมาถึงวันนี้ พร้อมทั้งอัดคลิปลงติ๊กต็อก หวังให้ติดต่อญาติมารับกลับไป

กระทั่งวันนี้ ตนเองสอบถามน้องอีกครั้ง เรื่องที่พักอยู่แถวไหนขอให้พาไปหน่อยเพราะตนเองจะกลับกรุงเทพฯ แล้ว กลัวจะไม่ได้เจอกันอีก น้องจึงขอไปหาน้าก่อน น้าขอทานอยู่แถวนี้ เป็นผู้ชายแต่งตัวดี ตนเองเห็นท่าไม่ดี จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ เพราะกลัวว่าน้องจะตกเป็นเหยือของแก๊งจับเด็กมาขอทาน แต่ผู้ชายคนนั้นเชื่อว่าน่าจะเป็นพ่อของน้อง เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับวิ่งหนีทิ้งลูก สร้างความแปลกใจให้กับตนเองและเจ้าหน้าที่เป็นอย่างมาก

จากนั้นตนเองก็พยายามหาทางจนสามารถติดต่อป้าของน้องได้ จึงให้ญาติมารับตัวกลับโดยนัดกันที่ สภ.เมืองพัทยา พร้อมลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

ซึ่งจากเหตุการณ์พ่อแท้ๆ พาลูกในไส้มานั่งขอทานสร้างสะเทือนใจ หดหู่ใจ ให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก จึงอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยตรวจสอบและติดตามตัวพ่อใจร้ายรายนี้ มาดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมายด้วย

‘นทท.’ นับร้อย แห่ชมปรากฏการณ์พระอาทิตย์ขึ้น ที่ปราสาทพนมรุ้ง ผ่าน 15 ช่องประตู โชคดีท้องฟ้าเปิด ไร้เมฆบัง ทำให้ได้ชมความงดงาม

(10 ก.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาตินับร้อยคน  เดินทางขึ้นไปเฝ้ารอชมปรากฏการณ์มหัศจรรย์ดวงอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาทพนมรุ้ง ที่อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองของปีนี้ ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ ตามที่นักดาราศาสตร์ได้คำนวณและคาดการณ์ไว้ว่า ดวงอาทิตย์ จะขึ้นตรงและสาดแสงส่องผ่าน 15 ช่องประตู ปราสาทพนมรุ้ง ในวันที่ 3-5 เม.ย. และ วันที่ 8-10 ก.ย.ของทุกปี

จนกระทั่งเมื่อถึงเวลา 06.00 - 06.05 น. สภาพอากาศเอื้ออำนวย ท้องฟ้าแจ่มใสปลอดโปร่ง ไม่มีเมฆบดบัง ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างตื่นเต้นและประทับใจ ที่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาท อย่างน่ามหัศจรรย์ ตามที่นักดาราศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเฝ้ารอชมปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นอย่างมาก

โดยนักท่องเที่ยวหลายคนได้ใช้ทั้งโทรศัพท์มือถือ กล้องภาพนิ่ง และกล้องวีดีโอ บันทึกภาพช่วงเวลาดังกล่าว เก็บไว้เป็นที่ระลึก ขณะดวงอาทิตย์อรุณรุ่งสาดแสงส่องผ่าน 15 ช่องประตู ประสาทพนมรุ้ง เพราะปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยาก หลังจากเมื่อวันที่ 8-9 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยท้องฟ้าปิด มีเมฆบดบัง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตูปราสาทพนมรุ้ง

โดยปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตู ปราสาทพนมรุ้ง ตามที่นักดาราศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ ในแต่ละปีจะมีปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้นตรง 15 ช่องประตู 2 ครั้ง ในระหว่าง 3-5 เมษายน และวันที่ 8-10 กันยายน ของทุกปี

ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก ใน 1 ปี จะมีให้ชมเพียง 4 ครั้ง เท่านั้น โดยดวงอาทิตย์จะขึ้นตรง 2 ครั้ง ในช่วงวันที่ 3 - 5 เมษายน และวันที่ 8 - 10 กันยายน ของทุกปี และตกตรง 15 ช่องประตูปราสาท 2 ครั้ง ระหว่างวันที่ 5 - 7 มีนาคม และ 6 - 8 ตุลาคม ของทุกปี นับเป็นปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์

สำหรับปราสาทพนมรุ้ง เป็นเทวสถานในศิลปกรรมขอมแห่งเดียวในโลก ที่มีสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ที่เป็นการผสมผสานภูมิปัญญาด้านสถาปัตยกรรม ที่มีการก่อสร้างปราสาท ที่ให้แสงอาทิตย์ส่องตรง 15 ช่องประตู ผ่านศิวะลึงค์ ที่เปรียบเสมือนองค์พระศิวะ ซึ่งตั้งอยู่ภายในปรางค์ประธานของปราสาทพนมรุ้ง ที่เปรียบเสมือนเขาไกรลาสบนสรวงสวรรค์

ช่อง 3 นำนักแสดงร่วมงานแถลงข่าว “24 กันยายน “วันมหิดล” ศิลปินรวมใจช่วยเหลือผู้ป่วยด้อยโอกาส รพ.ศิริราช” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย” และร่วมกัน “ให้” ชีวิตใหม่แก่ผู้ด้อยโอกาส รพ.ศิริราช

ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ในฐานะรองประธานกรรมการจัดงานหารายได้  และประธานกรรมการฝ่ายจัดรายการโทรทัศน์ประจำปี 2566   เป็นประธานเปิดงานแถลงข่าว “24 กันยายน “วันมหิดล” ศิลปินรวมใจช่วยเหลือผู้ป่วยด้อยโอกาส รพ.ศิริราช” ร่วมกับ ศ.คลินิก นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ในฐานะประธานกรรมการขอรับบริจาคเนื่องในวันมหิดล รศ. พญ.นันทกร ทองแตง รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษและองค์กรสัมพันธ์ ในฐานะคณะกรรมการจัดงานหารายได้เนื่องในวันมหิดล คุณลาวัลย์ กันชาติ ประธานกรรมการ บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด คุณบงกช อักษรดี ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตรายการ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก คุณชาคริต ดิเรกวัฒนชัย รองกรรมการผู้อำนวยการสำนักกิจการและสื่อสารองค์กร บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) คุณวรวรรณ ติณสูลานนท์ ผู้จัดการบริหารประชาสัมพันธ์ สำนักกิจการและสื่อสารองค์กร บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด พร้อมสองนักแสดงจากช่อง 3 พทริเซีย-ธัญชนก กู๊ด จากละคร เกมรักทรยศและน้ำหวาน-ภูริต า สุปินชุมภู จากละคร สืบลับหมอระบาด  คุณสมพันธ์ จารุมิลินท รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด คุณณฐนนท์ ดนัยพิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายออกอากาศ บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด(มหาชน)  คุณพลพล พลกองเส็ง ผู้แทนจากบริษัท จีเอ็มเอ็ม  แกรมมี่ จำกัด  (มหาชน) คุณรงวไล หมื่นสวัสดิ์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมงาน

วันที่ 24 กันยายนของทุกปี ถือเป็นวันมหิดล และเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หรือพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย โดยตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทรงทุ่มเทพระวรกาย พระสติปัญญา และพระราชทานพระราชทรัพย์ ในการวางรากฐานพัฒนาการแพทย์และสาธารณสุขไทยให้เจริญก้าวหน้า เพื่อให้พสกนิกรไทยได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง โดยไม่เลือกยากดีมีจน ทรงอุทิศพระองค์เป็นแบบอย่างในการ “ให้” อย่างแท้จริง

ในทุกปีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ถือวันมหิดลเป็นประเพณีปฏิบัติในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศิริราชให้เจริญก้าวหน้ามาถึงปัจจุบัน พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมเป็นผู้ให้ ด้วยการบริจาคเงินตามรอยพระบาทช่วยผู้ป่วยด้อยโอกาส รพ.ศิริราช โดยคณะฯ ได้รับพระกรุณาธิคุณจากศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเป็นประธานจัดงานหารายได้ เนื่องในวันมหิดลเสมอมา นับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่คณะกรรมการจัดงาน และผู้ป่วยของ รพ.ศิริราช

กิจกรรมการรับบริจาคเงินพร้อมมอบธงวันมหิดลเป็นที่ระลึก ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2503 จนถึงปัจจุบัน ถือเป็นปีที่ 63 โดยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 เป็นต้นมา นักศึกษาวิทยาเขตบางกอกน้อยได้ขอรับบริจาค ตามสถานที่ต่าง ๆ ในปีนี้ คณะฯ กำหนดวันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 เป็นวันขอรับบริจาคครั้งใหญ่ ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล และพิเศษสุดกับการเดินสายขอรับบริจาคที่อาคารมาลีนนท์ ร่วมกับศิลปิน นักแสดง ที่กรุณาสละเวลามาช่วยรับบริจาค นำเงินช่วยเหลือผู้ป่วยด้อยโอกาส รพ.ศิริราช โดยผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมบริจาคตั้งแต่ 20 บาทขึ้นไป จะได้รับธงแขวนเป็นที่ระลึกและตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป จะได้รับธงพร้อมเสาเป็นที่ระลึก สำหรับธงในปีนี้จะเป็นรูปสามเหลี่ยมสีแดง เนื่องจากวันที่ 24 กันยายน ตรงกับวันอาทิตย์ พร้อมสกรีนพระรูปสมเด็จพระบรมราชชนกประทับพระเก้าอี้อยู่กลางผืนผ้า และข้อความ “ที่ระลึกวันมหิดล วันที่ ๒๔ กันยายน โรงพยาบาลศิริราช ๒๕๖๖”

อีกหนึ่งกิจกรรม นั่นคือ การจัดรายการพิเศษเนื่องในวันมหิดล ปี 2566 ภายใต้แนวคิดศิริราชกับคุณภาพชีวิตผู้พิการในประเทศไทย เนื่องจากสถานการณ์ของผู้พิการในแต่ละปียังคงมีความน่าเป็นห่วงซึ่งมีมากกว่า 2 ล้านคน แบ่งเป็นผู้พิการทางการเคลื่อนไหวมากถึง 50% หรือประมาณ 1 ล้านคน ต่างรอคอยการเข้าถึงกายอุปกรณ์ที่เหมาะสม แต่ทุกวันนี้โรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธร มีกำลังการผลิตอุปกรณ์เพียง 4,000 ชิ้นต่อปีเท่านั้น ในการนี้ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานสัมภาษณ์ประเด็น “คุณภาพชีวิตผู้พิการในประเทศไทย” ตลอดจนพระราชทานคำแนะนำการดูแลใจและกายไปยังพสกนิกรที่ในครอบครัวมีผู้พิการหรือทุพพลภาพ นอกจากนี้ ในรายการพิเศษเนื่องในวันมหิดลปีนี้ ยังมีสาระความบันเทิงที่หลากหลายเกี่ยวกับผู้พิการทางการเคลื่อนไหว อาทิ รายการเจาะใจ ตอนพิเศษ ประเด็น “ศิริราชกับกายอุปกรณ์สำหรับผู้พิการ และผู้มีความผิดปกติทางการเคลื่อนไหว” ร่วมสัมภาษณ์ ศ. นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และ รศ. พญ.กุลภา ศรีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธร และ VTR สุด Exclusive ส่งต่อเรื่องราวดีๆ พลิกชีวิตจากผู้ที่มีความบกพร่อง เปลี่ยนสู่ผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์ พร้อมส่งต่อรอยยิ้มอันแสนสุขที่มาจากหัวใจ

นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก อาจารย์ธนธัช จรัสรุ่งโอฬาร รองผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร โรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธร พาเปิดบ้านเยี่ยมชมภารกิจการผลิตนักกายอุปกรณ์และนวัตกรรรมที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้พิการ โดยผู้ที่มีข้อสงสัยหรือสนใจปรึกษาปัญหาสุขภาพเพิ่มเติมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ติดต่อได้ที่หมายเลข 02 270 2555 จำนวน 20 คู่สาย และในปีนี้ได้รับเกียรติจากคุณสัญญา คุณากร (ดู๋) พ.ท.หญิง ชลรัศมี งาทวีสุข (ทิพย์) คุณสุวิกรม อัมระนันทน์ (เปอร์) คุณอรชพร ชลาดล (มิ้นท์) และ นศพ.อิทธิพัฒน์ อารยะการกุล (พีท) ร่วมเป็นพิธีกร

สามารถรับชมและร่วมบริจาคผ่านหมายเลข 02 270 2222 จำนวน 60 คู่สาย ในวันเสาร์ที่ 16 กันยายนนี้ เวลา 16.00 – 18.00 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ. 5) และรับชมได้พร้อมกันทางสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี (ช่อง 32) และทางสถานีโทรทัศน์ TNN 2 (True Visions ช่อง 784) ตลอดจนถ่ายทอดสดผ่านทาง Page Facebook sirirajpr, TV5HD Online, TNN2 True Vision784 และช่องทาง Youtube TNN2 True Vision784 รวมถึงรับชมออนไลน์ผ่านทาง TrueID Application TNN2 True Vision784 และ TrueID TV Box TNN2 True Vision784 อีกช่องทาง

‘เจ้าของบ้าน’ เข่าแทบทรุด หลังไฟไหม้วอดทั้งบ้าน เหตุเปลี่ยนถังแก๊สแล้วขันไม่แน่น ทำระเบิดบึ้มสนั่น

(10 ก.ย. 66) เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา สถานีตำรวจภูธรลานสัก ได้รับแจ้งว่ามีเหตุเพลิงไหม้บริเวณบ้านเลขที่ 2 หมู่ 1 บ้านทุ่งนางาม ต.ทุ่งนางาม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี

หลังจากได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจทุ่งนางาม พร้อมนายก อบต.ทุ่งนางาม รีบรุดประสานไปยังรถน้ำดับเพลิง อบต.ทุ่งนางาม อบต.เขากวางทอง อบต.ทุ่งโพ อบต.ประดู่ยืน มายังที่เกิดเหตุ พบเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้หลังใหญ่ไฟไหม้กำลังลุกโหมอย่างแรง เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานเร่งช่วยกันดับไฟ ใช้เวลาโดยประมาณ 1-2 ชั่วโมง กว่าไฟจะค่อยสงบลง ในที่เกิดเหตุพบชาวบ้านได้ช่วยเหลือนำภรรยาของเจ้าของบ้าน นำส่งรพ.ลานสักเป็นการเร่งด่วน เนื่องจากอยู่ในสภาวะตกใจ อิดโรยเป็นลมทั้งยืน

เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ต้องรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงอย่างละเอียดอีกครั้ง พบข้าวของภายในบ้านหลายอย่างถูกไฟไหม้จนหมดเกลี้ยง เนื่องจากไฟได้ไหม้ลุกโหมอย่างแรง จนเอาไม่อยู่ พร้อมกับพรุ่งนี้เช้าทางเจ้าของบ้านจะประเมินค่าเสียหายภายในบ้านหลังดังกล่าวอีกครั้ง พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะมาช่วยเหลือเจ้าของบ้านในเบื้องต้น

ทราบต่อมาเจ้าของบ้านชื่อนายสำเนา อินสละ อายุ 68 ปี ได้เปิดเผยว่า ขณะนั้นช่วงประมาณ 2 ทุ่ม ตนเองได้ใช้ให้หลานมาเปลี่ยนถังแก๊สหุงต้มที่บ้านหลังเกิดเหตุให้ คาดว่าหลานน่าจะขันหัวแก๊สไม่แน่น หลังจากนั้นตนเองไปดูพร้อมกับไปขันใหม่ให้แน่น แล้วก็มาลองเปิดถังแก๊ส แล้วสักพักก็บึ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตนเองก็ได้ใช้ผ้าชุบน้ำมาโป๊ะถังแก๊สที่ไฟกำลังลุกไหม้ แต่เอาไม่อยู่ ไฟได้ไหม้ลามอย่างรวดเร็ว ตนเองพร้อมภรรยาได้วิ่งหนีออกมาจากที่เกิดเหตุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top