Saturday, 24 May 2025
NEWS

WHO เตือน!! คนทำงานเกิน 54 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เสี่ยง 'โรคหลอดเลือดหัวใจ-เส้นเลือดในสมองแตก'

‘งานหนักไม่เคยฆ่าใครตาย’ หากมีใครมาพูดประโยคนี้ใส่มนุษย์เงินเดือนในปัจจุบัน คงเถียงสุดใจขาดดิ้นว่า ‘การทำงานหนัก สามารถทำให้ตายได้’

การทำงานในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ‘Work from home, Work from anywhere เข้าออฟฟิศ หรือ การทำงานแบบ Hybrid เข้าออฟฟิศด้วยและทำงานที่ไหนก็ได้นั้น’ ยิ่งทำให้ทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งการทำงานแบบ Work from home, Work from anywhere ที่หลายคนบอกว่าสบาย ทำงานที่บ้าน หรือ ทำงานจากที่ไหนก็ได้ กลายเป็นเหมือนต้องทำงาน 24 ชั่วโมง

ปัจจุบัน สังคมมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิม การต่อสู้เพื่อดิ้นรนให้อยู่รอดยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น 'เงิน' กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ทำให้ทุกชีวิตต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย และแน่นอนว่ายิ่งต้องการเงินมากเท่าไรก็ยิ่งทำงานเยอะมากขึ้นเท่านั้น จนบางคนอาจเผลอทำงานหนักมากเกินไป พักผ่อนน้อย และละเลยในการดูแลใส่ใจสุขภาพของตนเอง

จากการศึกษาล่าสุดขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ พบว่า คนที่ทำงานเกิน 54 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและเส้นเลือดในสมองแตก 

>> สัญญาณอันตรายเตือน คุณกำลังมีปัญหากับการ Work-Life Balance จากการทำงานหนักมากเกินไป มีดังนี้...

1. ไม่มีสมาธิในการทำงาน ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้นานๆ เหมือนแต่ก่อน 

2. อารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหาย เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย หรืออยู่ดีๆ ก็หงุดหงิดใส่เพื่อนร่วมงานที่ทำอะไรผิดหูผิดตา ทั้งๆ ที่แต่ก่อนไม่เคยเป็น จนทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย

3. ปลีกตัว ไม่อยากสุงสิงกับใคร ทั้งที่แต่ก่อนเป็นคนสนุกสนานร่าเริง ทั้งกับเพื่อนร่วมงานและคนในครอบครัว แต่กลับกลายเป็นอยากอยู่ตัวคนเดียว ไม่อยากคุยกับใคร เบื่อที่จะคุยกับคนอื่น เมื่อมีคนเข้ามาคุยก็จะรู้สึกหงุดหงิดและไม่อยากพูดคุยด้วย

4. รู้สึกผิดกับงานที่ทำไม่สำเร็จมากขึ้น งานที่เคยเสร็จทันกำหนดเวลาก็เริ่มไม่ทันเวลามากขึ้น ผลงานที่เคยดีก็ไม่ดีเหมือนเดิม แม้ใส่ความพยายามเท่าเดิมแต่กลับแย่ลง ไม่ถึงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จนรู้สึกแย่ลงไปเรื่อยๆ และโทษตัวเองมากขึ้น

5. ป่วยบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัวไมเกรน ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดตัว ปวดตา คลื่นไส้อาเจียน มึน ออฟฟิศซินโดรม ฯลฯ

6. คุณเลิกสนใจหรือไม่ใส่ใจตัวเอง ไม่ให้ความสำคัญกับตัวเอง ไม่ดูแลตัวเอง

7. คุณนอนไม่เป็นเวลา หลายคนอาจจะนอนไม่หลับ หรือจำนวนงานที่มากเกินไป ทำให้เวลาที่ควรค่าแก่การพักผ่อนก็ต้องมานั่งทำงาน และหันไปพึ่งยานอนหลับ ยาแก้เครียด หรือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างมันท่วมท้น

8. คุณทานไม่เป็นเวลา หรือ ทานน้อยกว่าปกติ  มีความเบื่ออาหาร ไม่มีความสนุก หรือความสุขในการทานอาหาร

9. คุณออกกำลังกายไม่เพียงพอ ความเหนื่อยจากการทำงานและความเครียดอาจจะทำให้ใครหลายๆ คนละเลยในการออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพ

10. คุณไม่ใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ หรือแม้แต่พลาดนัดสำคัญๆ บ่อยๆ

เมื่อรู้ถึงโทษของการทำงานหนักกันแล้ว หวังว่าคนวัยทำงานทุกคนจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดูแลสุขภาพร่างกาย จิตใจของตนเองมากขึ้น ทำงานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข ไม่ใช่ทำงานเพื่อนำเงินมารักษาตัว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมกับ ตำรวจภูธรภาค 2 คืนรถที่ยึดได้จากแก๊งรับจำนำรถเถื่อน คืนความสุขให้กับประชาชน

ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) เป็นศูนย์รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายทั่วประเทศ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเงินกู้นอกระบบหลายรูปแบบ เช่น แอพพลิเคชั่นเงินกู้ผิดกฎหมาย, แก๊งหมวกกันน็อค, การรับจำนำรถโดยผิดกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งได้มีการปราบปรามการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวเรื่อยมา

จากกรณีเมื่อวันที่ 31 ม.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปน.ภ.2 ได้ทำการจับกุม นายณัฐพงษ์ หรือโจ้ (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี พร้อมตรวจยึดของกลางเป็นรถจักรยานยนต์ จำนวน 37 คัน และรถยนต์ จำนวน 69 คัน ซึ่งเป็นรถของกลางที่ได้มาจากการรับจำนำรถโดยผิดกฎหมาย ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และจัดตั้งโรงรับจำนำโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอไปแล้วนั้น

กรณีดังกล่าว ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) นำโดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปน.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2/ผอ. ศปน.ภ.2 , พล.ต.ต.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ รอง ผบช.ภ.2/รอง ผอ.ศปน.ภ.2 ได้สั่งการให้ ชุดปฏิบัติการสืบสวนส่วนกลาง ศปน.ตร. และ ศปน.ภ.2 เร่งรัดปราบปรามกลุ่มเงินกู้นอกระบบที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรากว่าที่กฎหมายกำหนด และมีการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ลูกหนี้ โดยให้ดำเนินการสืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับเครือข่ายผู้กระทำความผิดดังกล่าว

จากการสืบสวนขยายผลทราบว่า นายณัฐพงษ์ หรือโจ้ ซึ่งถูกจับกุมไปแล้วนั้น เป็นหนึ่งในเครือข่ายเงินกู้ผิดกฎหมายซึ่งมี นายฐณะวัฒน์ หรือไอซ์ บางละมุง เป็นหัวหน้าขบวนการดังกล่าว จึงได้ตรวจสอบความเชื่อมโยงทางการเงินและรวบรวมพยานหลักฐาน จนสามารถขออนุมัติหมายจับบุคคลเกี่ยวข้อง และขยายผลเข้าตรวจค้น จำนวน 14 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี, ระยอง, พิษณุโลก และ กาญจนบุรี จนสามารถจับกุมนายฐณะวัฒน์ หรือไอซ์ หัวหน้าขบวนการ พร้อมเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มเติมอีก 8 ราย โดยดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และร่วมกันจัดตั้งโรงรับจำนำโดยไม่ได้รับอนุญาต” และสามารถตรวจยึดของกลางเพิ่มเติม เป็นรถยนต์ จำนวน 23 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 43 คัน รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดทั้งหมด 40,700,000 บาท

ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการทลายเครือข่ายของ นายฐณะวัฒน์ หรือไอซ์ บางละมุง ซึ่งดำเนินการปล่อยเงินกู้อยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องรวมทั้งนายทุนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มดังกล่าวได้ทั้งหมด รวมผู้ต้องหาในขบวนการทั้งหมด 9 ราย ตรวจยึดรถยนต์ได้ 92 คัน รถจักรยานยนต์ 80 คัน ซึ่งก็เป็นปัญหาหนี้นอกระบบในอีกรูปแบบหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะจะต้องแบกรับภาระจ่ายดอกเบี้ยที่สูงมากและบางครั้งไม่สามารถติดตามรถคืนได้

ในวันนี้ (13 ก.ย.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปน.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.อิทธิพล   อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2/ผอ. ศปน.ภ.2 , พล.ต.ต.ชัยต์พจน์ สูวรรณรักษ์ รอง ผบช.ภ.2/รอง ผอ.ศปน.ภ.2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปน.ตร. และ ศปน.ภ.2 ดำเนินการคืนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของกลางให้กับผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของรถที่แท้จริง ซึ่งได้มีการทยอยส่งมอบคืนไปแล้วบางส่วน เป็นรถยนต์ 67 คัน และรถจักรยานยนต์ 39 คัน ในวันนี้มีการส่งคืนรถของกลางที่เหลือทั้งหมด เป็นรถยนต์จำนวน 25 คัน และรถจักรยานยนต์จำนวน 41 คัน เพื่อเป็นการคืนความสุขให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกู้หนี้นอก

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การดำเนินการคืนรถของกลางซึ่งตรวจยึดจากแก๊งค์เงินกู้ในวันนี้ ถือเป็นความสำเร็จอีกครั้งหนึ่งในการปราบปรามแก๊งค์เงินกู้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปน.ตร. และ ศปน.ภ.2 ได้ขยายผลจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาของทั้งขบวนการได้ครบทั้ง 9 คน ตรวจยึดรถยนต์ได้ 92 คัน รถจักรยานยนต์ 80 คัน ซึ่งแก๊งค์นี้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัด วันนี้จึงได้นำรถของกลางทั้งหมดส่งมอบคืนให้กับผู้เสียหายที่ได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งค์เงินกู้ดังกล่าวทั้งหมด เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน

สุดท้ายนี้ ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอฝากเตือนภัยถึงประชาชน อย่าหลงเชื่อในการกู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งไม่มีความน่าเชื่อถือและไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยังเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และหากพี่น้องประชาชนท่านใดได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งค์เงินกู้ผิดกฎหมายหรือมีเบาะแสที่เป็นประโยชน์ สามารถแจ้งไว้ที่ช่องทางสายด่วน 1599 หรือ แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในแต่ละพื้นที่ได้ทันที

'พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงนโยบายรัฐบาล ประกาศฟื้นฟูหลักนิติธรรม-ไม่ยืนฝั่งคนทำผิด

เมื่อวานนี้ ( 12 กันยายน 2566 ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 21.25น. ที่ผ่านมา พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ขอเรียนว่า วันนี้รัฐบาลยังไม่ได้ทำงาน การทำงานได้ต้องหลังแถลงนโยบาย นโยบายเป็นทิศทางให้เห็น 4 ปีข้างหน้าจะบริหารงานไปทิศทางใด ในส่วนกระทรวงยุติธรรม ผมถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุด เนื่องจากรัฐบาลนี้หยิบการฟื้นฟูหลักนิติธรรมขึ้นมา หลักนิติธรรม เป็นหลักพื้นฐานในการปกครองระบอบประชาธิปไตย และเป็นหลักในการควบคุมการใช้อำนาจของทุกหน่วยงาน ไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ อันนี้คือ บทบาทสำคัญที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้องรับนโยบาย ขณะที่สิ่งที่ท้าทาย คือ เราต้องนำตัวชี้วัด มาตรฐานหลักนิติธรรม การคอร์รัปชัน ในฐานะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้องเข้าไปแก้ไข ผู้ที่ดูอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ต้องไม่ไปยืนในฝั่งผู้กระทำความผิด หลักนิติธรรม คือ บ้านเมืองต้องปราศจากคอร์รัปชัน ขณะที่รัฐบาลต้องโปร่งใส และต้องส่งเสริมสิทธิพื้นฐาน ไม่ว่าเรื่องแรงงาน ชุมชน ป่าไม้ การปกป้องนักสิทธิมนุษยชน ที่ออกมาต่อสู้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีคำถาม นโยบายรัฐบาลนี้ ทำไมไม่มีเรื่องนโยบายภาคใต้ ผมได้สอบถามที่ประชุม ครม.แล้วว่า ทำไม นโยบายรัฐบาล ทั้ง 14 หน้าไม่มีเรื่องภาคใต้ ก็ได้รับคำตอบ เรามีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เอามาเขียน เรื่องแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ 

"ส่วนกรณียาเสพติดร้ายแรง บทบาทกระทรวงยุติธรรมได้เปลี่ยนวิธีแก้ปัญหา คือ เราเอาประมวลยาเสพติดขึ้นมาใช้ ประมวลกฎหมายยาเสพติดใช้ตั้งแต่ปี 2564 แต่กฎหมายลูกล่าช้าก็ยังไม่ประกาศใช้" พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าว

ศรชล.ภาค 1 โดย ศรชล./ศคท.จว.สป. ร่วม จัดกิจกรรมสานสัมพันธ์สู่ชุมชน

ใน 12 ก.ย.66 เวลา 10.00 น. ศรชล.ภาค 1 โดย ศรชล./ศคท.จว.สป. ได้จัดกิจกรรมสานสัมพันธ์สู่ชุมชน ด้วยการจัดกำลังพลในสังกัด พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน มอบก้อนเห็ดเพื่อการเพาะปลูก ให้กับคณะครูและนักเรียน รร.บ้านขุนสมุทรไทย อ.พระสมุทรเจดีย์ จว.สป. ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับ อ.1 - ป.6 ที่มีเด็กนักเรียนด้อยโอกาสและพิการซ้ำซ้อนศึกษาอยู่ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้นักเรียนทุกระดับชั้น ได้เรียนรู้การเพาะปลูกพืชในตระกูลเห็ด

นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารรับประทาน ช่วยบรรเทาภาระและค่าใช้จ่ายของอาหารมื้อกลางวัน ซึ่งมีหน่วยงานตลอดจนผู้มีจิตกุศล ร่วมบริจาคในการจัดหาก้อนเห็ด จำนวน 400 ก้อน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวสร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ได้รู้จักและเรียนรู้การใช้ทรัพยากรตามธรรมชาติเพื่อมาดำรงชีวิต ตลอดจนให้เด็กๆ ได้มีกิจกรรมและสานสัมพันธ์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ จากหน่วยงานต่างๆ ที่ตั้งใจมาให้การสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์ต่างๆ ให้กับทาง รร.ฯ อีกทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์หน่วยงานของ ศรชล.ภาค 1 ให้เด็กๆ ได้รู้จักอีกด้วย 

‘ดร.เอ้’ ซีเรียส เจอข่าวร้ายรายวัน เครนล้มกลางกทม. คนตายอีกแล้ว โอด!! มุ่งกระตุ้นเรื่อง ‘ความปลอดภัย’ แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น 

(13 ก.ย. 66) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ตายอีกแล้วหรือครับ เมื่อไหร่คนไทยจะอยู่ในสังคมปลอดภัย

อันตรายใกล้ตัว ป้องกันได้ ด้วยมือเราเอง

ผมกลับจากสวิตเซอร์แลนด์ มาเจอข่าวร้ายรายวัน เครนล้มกลางกทม. คนตายอีกแล้ว! วันนี้ก็มีข่าวเหล็กก่อสร้างหล่นใส่กลางถนน ครั้งก่อนก็มีคนตาย

เกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของเรา ทำไมคนไทยและลูกหลาน ต้องใช้ชีวิตเสี่ยงได้ทุกวัน ไม่รู้จะเจอแจ็กพอตเข้าวันไหน น่ากลัว

ผมซีเรียสนะครับ เพราะพยายามกระตุ้นเรื่อง ‘ความปลอดภัย’ มาทั้งชีวิตการทำงานด้านวิศวกรรม แต่ดูเหมือน ไม่มีอะไรดีขึ้น หรืออาจจะแย่ลงด้วยซ้ำ พิสูจน์จากสถิติความสูญเสียจากอุบัติเหตุ ที่มาจากความประมาท และไม่ใส่ใจ

เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรา ‘ไม่เอาจริงเอาจัง’ ในการแก้ปัญหา คิดเพียงแต่ว่า เดี๋ยวข่าวก็เงียบ ทั้งที่มีคนตาย แถมปล่อยให้หน่วยงานที่เป็นปัญหา ไปจัดการกันเอง แบบนี้คือ วิธีแก้ปัญหาหรือ

ถึงเวลา ที่เราต้องระบบตรวจสอบ ถอดบทเรียน นำไปสู่การคุ้มครองผู้เสียหาย ซึ่งอาจเป็นใครก็ได้ ทั้งเสนอหลักฐานตามหลักวิชาการ และเป็นธรรม นำไปสู่การหาผู้รับผิดชอบ ไม่ใช่ปล่อยลอยนวล

มาช่วยกันเถอะครับ ร่วมกันให้ครบ 10,000 คน เพื่อเสนอกฎหมายตั้ง ‘#องค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ’ เพื่อทำหน้าที่นี้ เหมือนกับประเทศพัฒนา ที่เขามีกันทั้งนั้น เพราะความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ

มาร่วมลงชื่อที่ suchatvee.com สร้างสังคมไทยปลอดภัยด้วยกันครับ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบรางวัล “บุคคลต้นแบบทางการเงิน และบุคคลต้นกล้าทางการเงิน” โครงการ Money Management & Investment ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2566 สร้างโอกาสแห่งความภาคภูมิใจ

วันนี้ (13 ก.ย.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีมอบรางวัล “บุคคลต้นแบบทางการเงิน และบุคคลต้นกล้าทางการเงิน” โครงการ Money Management & Investment ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ประจำปี 2566 ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีคุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , ผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมพิธี

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติตระหนักถึงความเดือดร้อนและความจำเป็นในปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ จึงได้ดำเนินนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้สินขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2566 สมาคมแม่บ้านตำรวจได้เสนอให้โครงการ Money Management & Investment เป็นโครงการระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ลงนาม MOU ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 รวมทั้งบรรจุเป็นหลักสูตรเสริม และอบรมให้แก่ข้าราชการตำรวจ ทุกระดับชั้นในทุกสังกัดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นการให้ความรู้ คำแนะนำ การให้คำปรึกษา การวางแผนในการบริหาร จัดการเงิน และเพื่อการแก้ปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจได้อย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และยั่งยืน

นอกจากนี้ ในปี 2566 นี้ สมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้วางแผนการดำเนินโครงการเป็น Model การสร้าง “บุคคลต้นแบบ” พัฒนาทักษะการบริหารการเงินและจัดการหนี้สิน หลักสูตร Happy Money in Action เส้นทางสร้างสุขทางการเงิน “1 โรงพัก 1 บุคคลต้นแบบ” ซึ่งเป็นการปลูกฝังแนวคิดและทักษะเรื่องการบริหารเงินและจัดการหนี้สิน พร้อมต่อยอดความรู้ผ่านการฝึกปฏิบัติจริงผ่าน Happy Money App. รับคำปรึกษากับวิทยากรเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนพฤติกรรมการเงินของข้าราชการตำรวจและบุคคลในครอบครัว ให้สามารถบริหารจัดการเงินและหนี้ได้อย่างยั่งยืน สร้างบุคคลต้นแบบ Success Case ขององค์กร  เริ่มต้นนำร่องรุ่นที่ 1 ที่ตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 ได้บุคคลต้นแบบทางการเงิน จำนวน 1 คน และบุคคลต้นกล้าทางการเงินจำนวน 7 คน ,

รุ่นที่ 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้านหนี้สินอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดการอบรมให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ ที่ได้มีการจัดแบ่งกลุ่มเป็น กลุ่มสีแดง ผู้มีหนี้ และเป็นกรณีที่ถูกฟ้องร้องบังคับคดี ถูกฟ้องล้มละลาย กลุ่มสีเหลือง ผู้มีหนี้ แต่ไม่สามารถชำระได้ตามปกติ แต่ยังไม่ถูกฟ้องร้อง กลุ่มสีเขียว ผู้มีหนี้แต่สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ ไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต เจ้าหน้าที่การเงิน และผู้ที่สนใจเข้าร่วมอบรม เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ได้บุคคลต้นแบบทางการเงินจำนวน 1 คน บุคคลต้นกล้าทางการเงินจำนวน 8 คน และจัดการอบรมรุ่นที่ 3 ที่ตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ได้บุคคลต้นแบบทางการเงินจำนวน 1 คน บุคคลต้นกล้าทางการเงิน 2 คน โดยการอบรมแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการประหยัดค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นกว่า 76,000 บาท มีเงินออมเพิ่มขึ้นกว่า 150,000 บาท และมีหนี้สินลดลงกว่า 580,000 บาท ทำให้               ในปีนี้มี บุคคลต้นแบบทางการเงินทั้งสิ้นจำนวน 3 คน และบุคคลต้นกล้าทางการเงินทั้งสิ้นจำนวน 17 คน ซึ่งได้เข้าร่วมพิธีมอบรางวัลในวันนี้

คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า การดำเนินโครงการ Money Management & Investment ของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ได้รับการยกระดับให้เป็นนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้มีการลงนาม MOU ร่วมกันระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมแม่บ้านตำรวจ กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2566-2568 เพื่อให้การดำเนินโครงการมีความต่อเนื่องและชัดเจน ในนามของสมาคมแม่บ้านตำรวจ ต้องขอขอบคุณตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่อยู่เคียงข้างช่วยให้ครอบครัวตำรวจ ได้รับโอกาสดีๆ มีความหวัง มีพลังชีวิต โดยบุคคลต้นแบบและต้นกล้าทุกคนคือตัวแทนของความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งในอนาคตสมาคมแม่บ้านตำรวจมีแผนที่จะพัฒนาต่อยอดบุคคลกลุ่มนี้ ให้สามารถมีบทบาทในการสร้างศรัทธา เป็นพี่เลี้ยงประจำโครงการ ช่วยส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนข้าราชการตำรวจได้

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนดีใจและยินดีที่ได้เห็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมแม่บ้านตำรวจ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการจัดโครงการอบรมส่งเสริมความรู้ทางการเงินและการการจัดการหนี้สินให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว ทำให้ข้าราชการตำรวจและครอบครัวรู้จักวางแผนบริหารการเงิน รู้วิธีจัดการหนี้สิน วางแผนชีวิตของตนเอง ได้แบบมีทิศทาง เป็นเส้นทางที่จะทำให้มีชีวิตที่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ขอให้ผู้บังคับบัญชาทุกท่าน โดยเฉพาะหัวหน้าหน่วย ได้ช่วยกันดูแลและเข้าถึงปัญหาของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย จะได้ช่วยกันหาทางแก้ไขบรรเทา วันนี้ข้าราชการตำรวจโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เราต้องเห็นคุณค่าของโอกาสนี้ และช่วยกันขยายโอกาส ขยายโครงการนี้ไป ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เพื่อให้ลูกน้องเรามีชีวิตที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีต่อไป

ศรชล.ภาค 1 โดย ศรชล.จว.ปข.จัดข้าราชการ เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติ สืบสานแนวพระราชดำริฯ

วันที่ 12 ก.ย.66 เวลา 09.45 น.  ศรชล.จว.ปข.จัดข้าราชการ เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาเฉลิมพระเกียรติ สืบสานแนวพระราชดำริในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ์ ที่จัดขึ้นโดย สถานีตำรวจน้ำ 5 (ปากน้ำปราณบุรี) เป็นโครงการจิตอาสา สร้างบ้านให้น้องปลา ขยายสาขาให้น้องปู

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงตระหนักอย่างดียิ่งในคุณค่าแนวพระราชดำริ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงมุ่งมั่นสืบสาน ต่อยอด พระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ อาทิ งานด้านสิ่งแวดล้อมฯ เพื่อความก้าวหน้า และประโยชน์สุขแก่พสกนิกรชาวไทย

โดยมี พลตำรวจตรี ชัช สุกแก้วณรงค์ รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง เป็นประธานในพิธี ณ สถานีตำรวจน้ำ 5 กองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจน้ำ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

ตำรวจไซเบอร์เฝ้าระวังตรวจสอบ การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะผู้ปกครองที่ชักจูงส่งเสริมเด็กและเยาวชนให้กระทำผิด

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่า ตามที่ปรากฎเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ กรณีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเด็กหรือเยาวชนซึ่งมีอาการมึนเมาคล้ายเสพสารเสพติดภายในงานเลี้ยงสังสรรค์แห่งหนึ่ง โดยมีผู้ใหญ่จำนวนมากอยู่ด้วย เป็นเหตุให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายว่าเหตุใดผู้ใหญ่จึงปล่อยให้เด็กหรือเยาวชนตกอยู่ในสภาพดังกล่าวนั้น ที่ผ่านมา บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยได้สั่งการให้ทุกกองบังคับการในสังกัด เฝ้าระวัง และตรวจสอบการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าว หากพบการกระทำผิดให้เร่งดำเนินการปราบปรามจับกุม พิสูจน์ทราบตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวนอกจากจะเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีอัตราโทษสูงแล้ว ผู้ปกครองยังอาจจะมีความผิดฐาน บังคับขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ม.26 (3), 78 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกส่วนหนึ่งด้วย ทั้งนี้ขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับบุตรหลาน ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด หรือเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง พร้อมกับตรวจสอบดูแลพฤติกรรมของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ควรใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ และมีประโยชน์ต่อสังคม

หมอเตือน!! หมอนรองกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท พบในคนหนุ่มสาวมากขึ้น

นายแพทย์สุนทร ศรีสุวรรณ์ อาจารย์แพทย์กลุ่มงานศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลศูนย์หาดใหญ่ กล่าวว่า  โรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท เป็นหนึ่งโรคที่ตรวจพบเป็นประจำ โดยผู้ป่วยจะมีอาการ ได้ 3 ลักษณะ ดังนี้
1. มีอาการที่คอ อาจมีอาการปวดต้นคอเรื้อรัง เป็นๆหายๆ และอาจมีอาการปวดร้าว ไปยังบริเวณท้ายทอยและศีรษะ
2. มีอาการที่แขน  ได้แก่ ปวดร้าวลง บริเวณสะบัก หัวไหล่ แขน , ชาลงแขน และอาจมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมือหรือแขน
3. ในคนไข้ที่มีอาการรุนแรงมาก อาจตรวจพบ อาการปวดร้าวลง ทั้งแขนและขา มีอาการอ่อนแรงของขา ให้เดินได้ไม่ปกติ  รู้สึกเหมือนจะล้มง่าย เดินได้ระยะทางสั้นๆ ก็เริ่มจะหมดแรง

สาเหตุของ หมอนรองกระดูกคอเสื่อมทับเส้นประสาท
1. เสื่อมตามอายุที่มากขึ้น 
2. เคยรับอุบัติเหตุบริเวณกระดูกคอมาในอดีต
3. มีความผิดปกติ ของโครงสร้างกระดูกคอ มาตั้งแต่กำเนิด
4. มีการใช้พฤติกรรมคอไม่ปกติ อาทิเช่น ทำงานคอมพิวเตอร์ ก้มๆเงยๆคอมากเป็นเวลานาน 

ในอดีต จะตรวจพบเจอโรคนี้ ในกลุ่มคน อายุ 40-50 ปีขึ้นไป โดยสาเหตุหลักๆ เป็นจากความเสื่อมตามอายุ  แต่ในโลกปัจจุบัน พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป มีการใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ มากขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทำให้มีพฤติกรรมก้มๆเงยๆ คอ มากกว่าปกติ ทำให้ หมอนรองกระดูกคอทำงานหนัก  เร่งให้เกิดความเสื่อมเร็วขึ้น จึงทำให้ในปัจจุบัน พบโรคนี้ในคนหนุ่มสาวมากขึ้น การตรวจวินิจฉัยยืนยันโรค แพทย์จะส่งตรวจเอกซเรย์เพิ่มเติม เพื่อเป็นการยืนยัน โดยมักจะพบ หินปูนเกาะบริเวณกระดูกคอ อาจตรวจพบความสูงหมอนรองกระดูกคอ ทรุดตัวลง เมื่อเทียบกับหมอนรองกระดูกที่ปกติ

แนวทางการรักษา
1.ลดการใช้งาน นอนพัก พิจารณาใส่อุปกรณ์รองคอ [ Soft Collar ] เพื่อหวังผลลดแรงกระแทก ที่กระดูกคอ
2 .ในช่วงที่อาการกำเริบ  แนะนำรับประทานยาแก้ปวด พาราเซตามอล , ยาแก้อักเสบ ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ , ยาลดอาการอักเสบของเส้นประสาท

เมื่ออาการทุเลาลง แพทย์อาจพิจารณาให้ทาน ยาวิตามินบำรุงเส้นประสาท ต่อเนื่องสักระยะหนึ่ง เพื่อเป็นการฟื้นฟูเส้นประสาท
3. ทำกายภาพบำบัด  ควรพิจารณาเป็นรายๆไป  อาทิเช่น  การดึงคอ [ Cervical Traction ]  , อัลตร้าซาวด์ลดปวด , ใช้คลื่นเสียง Shock Wave ลดปวด ก่อนทำกายภาพบำบัด ควรได้รับการตรวจประเมิน และวางแผนการรักษาจาก แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โดยตรงก่อนเสมอ
4 .ฉีดยา ลดการอักเสบบริเวณรากเส้นประสาท ผ่าน อัลตร้าซาวด์นำวิถี หวังผลลดอาการปวดที่รุนแรง เฉียบพลัน

ในบางราย ที่มีอาการรุนแรงมาก  และ ผ่านการรักษาโดยวิธีอนุรักษ์นิยมแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะพิจารณา ส่งตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  [ MRI ]เพื่อประเมิน การกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง หากรุนแรงมาก อาจจำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัดต่อไป
นพ.สุนทร  ศรีสุวรรณ์ อาจารย์แพทย์ กลุ่มงานศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ รพ.ศูนย์หาดใหญ่
สามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.thedoctorbone.com

บรรยายภาพ dd1
นายแพทย์สุนทร ศรีสุวรรณ์ อาจารย์แพทย์กลุ่มงานศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์  โรงพยาบาลศูนย์หาดใหญ่

บรรยายภาพ dd2
แสดง หมอนรองกระดูกคอ ทรุดตัว เหลือ 4.4 mm
[ ความสูงเดิมของหมอนรองกระดูกคอ ในผู้ป่วยรายนี้ประมาณ 6.6 mm ]

บรรยายภาพ dd 3.1 และ dd 3.2
แสดง หมอนกระดูกคอเสื่อมอย่างรุนแรง
และแนวกระดูกคอคดผิดรูป

‘การยาสูบฯ’ วิกฤตหนัก!! กำไรดิ่งเหลือเพียงร้อยล้าน เหตุ ‘บุหรี่นอก-เถื่อน’ แย่งตลาด ลุยประสานตร.เร่งปราบปราม

(12 ก.ย.66) นายภูมิจิตต์ พงษ์พันธุ์งาม ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากมีการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตในการจัดเก็บทั้งในปี 2560 และปี 2564 ทำให้มีผลกระทบ โดยเฉพาะการปรับตัวของคู่แข่งขันที่อยู่ในการค้าขายบุหรี่ในประเทศไทย ทำให้บุหรี่ต่างประเทศสามารถแข่งขันได้มากขึ้น ซึ่งทำให้รายได้ของการยาสูบแห่งประเทศไทย ลดน้อยลง โดยในปี 2560 การยาสูบแห่งประเทศไทย มีรายได้ส่งให้รัฐอยู่ที่ประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท แต่ผลกำไรในปี 2565 เหลือเพียง 100 ล้านบาท นอกจากนี้การที่รับซื้อใบยาสูบลดน้อยลงมากทำให้เกิดภาระต่อชาวไร่ และผลกระทบอีกประการหนึ่งก็คือ ในเรื่องของบุหรี่ผิดกฎหมาย เนื่องจากการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ทำให้บุหรี่มีราคาสูงขึ้น

นายภูมิจิตต์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การยาสูบแห่งประเทศไทย มีหน่วยงานคือ สำนักป้องกันบุหรี่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้ความรู้กับหน่วยงานราชการต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของบุหรี่ปลอมปน บุหรี่ผิดกฎหมาย แสตมป์ยาสูบที่ปลอม ในเรื่องของการให้ความรู้เรื่องบุหรี่ผิดกฎหมายกับประชาชนจะทำได้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากมีพรบ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ไม่สามารถที่จะโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือให้ความรู้เกี่ยวกับบุหรี่ผิดกฎหมายโดยตรงได้ ดังนั้นการยาสูบแห่งประเทศไทย จึงมุ่งให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปปราบปราม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทหาร ตำรวจ หรือว่าหน่วยงานฝ่ายปกครอง นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ซึ่งได้บูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสรรพสามิต ศุลกากร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ปปง. ในการดูแลเรื่องนี้อย่างเข้มแข็ง

“สำหรับการปรับตัวของการยาสูบแห่งประเทศไทยนั้น ในขณะนี้นอกจากการผลิตบุหรี่ของประเทศไทยแล้ว เรายังมีการส่งออกใบยาสูบไปต่างประเทศ เพื่อให้อุตสาหกรรมนี้ยังคงทำรายได้ให้กับประเทศ และส่งเสริมพี่น้องเกษตรกรที่ทำการเพาะปลูก ในอนาคตเราอาจจะมีเรื่องของการสกัดสารนิโคตินเพื่อการแพทย์จากใบยา หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อรับกับแนวโน้มการบริโภคบุหรี่ที่ลดลงในอนาคตอีกด้วย” นายภูมิจิตต์ กล่าว

‘คิมลิม’ เซเลบสิงคโปร์ บริจาคของให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จ.น่าน แม้งานจะยุ่งแค่ไหน ก็ไม่เคยลืมที่จะแบ่งปันให้กับคนที่ด้อยโอกาส

(12 ก.ย.66) ‘คิมลิม’ อินฟลูเอนเซอร์แฟชันชาวสิงคโปร์ ลูกสาวของมหาเศรษฐี ‘ปีเตอร์ ลิม’ เจ้าของสโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย หลงเสน่ห์เมืองไทยเข้าเต็มเป้า นอกจากเธอจะชื่นชอบแหล่งท่องเที่ยวและอาหารไทยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เธอชื่นชอบไม่แพ้กันคือการทำบุญเข้าวัด รวมถึงการทำทานช่วยเหลือเด็กยากไร้ในพื้นที่ห่างไกล

ล่าสุด ‘คิมลิม’ ได้แอบซุ่มเดินทางขึ้นเหนือ เพื่อมอบของให้กับน้อง ๆ ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จ.น่าน แม้จะงานยุ่งรัดตัวแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยลืมที่จะแบ่งปันให้กับคนที่ด้อยโอกาส ถือว่าสวยทั้งกายสวยทั้งใจเลยทีเดียว

(สุรินทร์) สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุรินทร์ จัดแถลงผลการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

วันที่ 12 กันยายน 2566 สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุรินทร์ แถลงผลการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

โดยมี นางสมธิดา  จะเกรง ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์  ผู้แทนสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดสุรินทร์ สื่อมวลชน ผู้แทนชมรม STRONG  จิตพอเพียงต้านทุจริตประจำ จังหวัดสุรินทร์ ผู้ร่วมงาน และผู้ร่วมรับฟังการถ่ายทอดสดการแถลงผลการดำเนินงาน ของสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุรินทร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ทางช่องทาง เฟซบุ๊คแฟนเพจสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุรินทร์ มี นายธีรพงศ์ ยอดกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุรินทร์ ให้การแถลงผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุรินทร์ จุดประสงค์เพื่อให้เกิดการรับรู้ถึงบทบาท หน้าที่ ผลงานที่สำคัญของสำนักงาน ป.ป.ช. และนำไปขยายผลการเผยแพร่ไปสู่สาธารณะอย่างต่อเนื่อง และเกิดความเชื่อมั่นในการทำงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต

โดยมีผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุรินทร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ในภารกิจหลัก 3 ด้าน ประกอบไปด้วย ภารกิจด้านการป้องกันการทุจริต ภารกิจด้านการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน ภารกิจด้านการปราบปรามการทุจริต ผลการดำเนินงานด้านปราบปรามการทุจริต การตรวจสอบเบื้องต้นจำนวน 146 เรื่อง 1.ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 80 เรื่อง 1.1 ไม่รับไว้พิจารณาจำนวน 60 เรื่อง 1.2 รับไว้ดำเนินการไต่สวนจำนวน 20 เรื่อง 2.อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นจำนวน 66 เรื่อง การไต่สวนเบื้องต้นจำนวน 66 เรื่อง 1.การดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 8 เรื่องเลขแดง 2.อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 22 เรื่อง 3 อยู่ระหว่างดำเนินการไต่สวนเบื้องต้นจำนวน 36 เรื่อง  ผลการดำเนินงานด้านตรวจสอบทรัพย์สิน ข้อมูลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินข้อมูล ณ วันที่ 8 กันยายน 2566 กรณีตรวจสอบปกติจำนวน 219 บัญชี 1.ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 201 บัญชี 1.1 คณะกรรมการป.ป.ช. พิจารณาแล้วจำนวน 177 บัญชี 1.2 อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 24 บัญชี 2.อยู่ระหว่างดำเนินการของสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดสุรินทร์จำนวน 18 บัญชี กรณีตรวจสอบยืนยันจำนวน 20 บัญชี 1.ดำเนินการแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.จำนวน 12 บัญชี 2.อยู่ระหว่างการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดสุรินทร์จำนวน 8 บัญชี กรณีตรวจสอบเชิงลึกจำนวน 2 บัญชี 1.ดำเนินการแล้วเสร็จอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 1 บัญชี 2.อยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดสุรินทร์จำนวน 1 บัญชี ทั้งนี้ สำนักงานป.ป.ชประจำจังหวัดสุรินทร์ดำเนินการป้องกันการทุจริตโดยการป้องกันการทุจริตนำการปราบปรามการทุจริตมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ประชาชนมีค่านิยมสุดจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบคดีการทุจริตและประพฤติมิชอบลดลงและหน่วยงานภาครัฐมีผลการประเมินคุณภาพและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ผ่านเกณฑ์การประเมินโดยมีการดำเนินโครงการจำนวน 5 โครงการและมีการลงพื้นที่ป้องกันการทุจริตเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง 

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

ชื่นชม จนท.กรมแพทย์ทหารเรือ ช่วยเหลือ ปชช.ประสบอุบัติเหตุรถชน

วันที่ 12 กันยายน 2566 เวลา 07.00 น. น.ต.สมควร วรรณสวัสดิ์ หัวหน้าแผนกป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ กองเวชกรรมป้องกัน กรมแพทย์ทหารเรือ และ จ.อ.ทำนุรัฐ มูลเมือง เจ้าหน้าที่สอบสวนควบคุมโรคฯ ร่วมกับหน่วยกู้ชีพสว่างประทีปศรีราชาได้เข้าช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ประชาชน (เพศชาย อายุ 40 ปี) ที่ประสบอุบัติเหตุทางจราจร รถยนต์เฉี่ยวชนมอเตอร์ไซด์  ณ บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และนำส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาต่อที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา 

สมควรได้รับการยกย่องเชิดชูและเป็นแบบอย่างที่ดี ของกำลังพลกองทัพเรือ และบุคคลโดยทั่วไป เมื่อพบผู้ประสบเหตุไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สมควรเข้าให้การช่วยเหลือในทันที 
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีแจกเครื่องอุปโภคบริโภคครั้งยิ่งใหญ่ในงานประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2566 

โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  ผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานในพิธี ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย พร้อมเผยงบประมาณ ปีนี้ลงพื้นที่แจกทั้งสิ้น 4 จังหวัด รวมมูลค่า 15 ล้านบาท

วันนี้ (วันอังคารที่ 12 กันยายน 2566 เวลา 08.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ นายสัก กอแสงเรืองรองประธานกรรมการ พร้อมด้วยคณะกรรมการ และผู้ช่วยกรรมการมูลนิธิฯ จัดพิธีแจกเครื่องอุปโภคบริโภค เนื่องในงานประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2566  จำนวน 20,000 ชุด ให้แก่ประชาชนผู้ยากไร้ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่เดินทางมารอรับกันอย่างเนืองแน่น โดยสิ่งของที่แจกประกอบด้วย   ข้าวสาร  บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  ปลากระป๋อง  น้ำปลา น้ำมันพืช  ขนม ฯลฯ บรรจุถุงผ้ามูลนิธิฯ พร้อมมอบค่าพาหนะคนละ 100 บาท  โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย แขกผู้มีเกียรติ และ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ อาทิ  นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์  และนางศิริพร โอภาสวงศ์ ร่วมในพิธี ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

โดยบรรยากาศภายในงาน ได้มีผู้มีจิตศรัทธา ร่วมแจกจ่ายอาหาร และเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับประชาชนที่มารอรับสิ่งของ รวมถึงเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครมูลนิธิฯ จัดทีมดูแลประชาชนตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครศิลปิน นำโดย นางดวงตา ตุงคะมณี (ตุ๊ก ดวงตา) นายกวินรัฏฐ์ ยศอมรสุนทร (หยวน-กวินรัฏฐ์) นายสวิช  เพชรวิเศษศิริ (บี๋) นายธรรศภาคย์ ซี (บี้)  นางสุมณทิพย์ ซี (กุ๊บกิ๊บ)  นายธวัชชัย คชาอนันต์ (แฮ็ค ชวนชื่น)  นายปิยะวัฒน์ รัตนหรูวิจิตร (หรูหรา)  นางสาวพรชดา วราพชระ (มะเหมี่ยว) นางสาวอาจารียา พรหมพฤกษ์ (หลิว) นางสาวอธิชา เทศขำ (เมย์)  ฯลฯ  ร่วมแจกจ่ายสิ่งของ แสดงดนตรี และสร้างสีสันภายในงาน โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และอิ่มเอมใจทั้งผู้ให้และผู้รับ

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า งานประเพณีทิ้งกระจาด เป็นงานบุญที่สำคัญของชาวพุทธ ซึ่งปฏิบัติสืบทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ด้วยการนำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารแห้ง มาเซ่นไหว้ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพชน และดวงวิญญาณที่ไร้ญาติ แล้วแจกเป็นทานแก่ผู้ยากไร้ เป็นงานบุญที่ครบทั้งการทำบุญและให้ทาน ซึ่งมูลนิธิ
ป่อเต็กตึ๊งได้จัดทำสืบทอดประเพณีทิ้งกระจาดต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อตั้งมูลนิธิฯ เป็นเวลากว่า 100 ปี  โดยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 24 สิงหาคม 2566 และ 1 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ทำพิธีแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ณ สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร  และ คลินิกการประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว สาขาโคราช จังหวัดนครราชสีมา และสาขาศรีราชา จังหวัดชลบุรี  รวมงบประมาณการจัดงานประเพณีทิ้งกระจาด ประจำปี 2566 เป็นจำนวนเงิน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิฯ ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กร สาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชี้!! สังคมพูดเรื่อง ‘หยก’ โดยไม่ดูข้อเท็จจริง ฟากพ่อแม่นิ่งเฉย ส่วนโรงเรียนต้องรับมือความปั่นป่วนรายวัน

(12 ก.ย. 66) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก ‘โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา - Nuttaa Mahattana’ ระบุข้อความว่า…

หลายคนพูดเรื่องหยกโดยไม่ดูข้อเท็จจริงเลยค่ะ ประเด็นสำคัญที่ต้องเข้าใจตรงกันคือ 

📍โรงเรียนจะรับเด็กให้มีสถานะเป็นนักเรียนของโรงเรียนได้จะต้องมีผู้ปกครองมารับรอง เพราะการดูแลนักเรียนคือการทำงานร่วมกันระหว่างบ้านกับโรงเรียน หากไม่มีผู้ปกครอง เด็กจะต้องอยู่ในความดูแลของรัฐและได้รับการศึกษาในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการคุ้มครองสิทธิเพื่อสวัสดิภาพของเด็ก

📍แม่ของหยกเคยไปยืนยันความเป็นผู้ปกครองไว้กับโรงเรียนเพื่อขอผ่อนผันการมอบตัวแล้ว โรงเรียนจึงไม่สามารถรับรองบุคคลอื่นที่อ้างตนเป็นผู้ปกครองโดยปราศจากการมอบอำนาจได้ โดยเฉพาะบุคคลที่มีอายุห่างกับเด็กไม่ถึง 15 ปีและมีปัญหาคุณสมบัติหลายประการ 

📍ก่อนครบกำหนดการมอบตัว โรงเรียนพยายามติดต่อแม่และมีครูฝ่ายปกครองเดินทางไปตามที่บ้านไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง โดยปราศจากความร่วมมือของหยกและบุ้งในการประสาน 

📍หลังจากนั้นมีการโอนเงินค่าเทอมจากบัญชีรับบริจาคของกลุ่มทะลุวังเข้าบัญชีโรงเรียน เมื่อการมอบตัวไม่เคยเกิดขึ้น โรงเรียนจึงโอนเงินคืน แต่ยังต้องรับมือกับสถานการณ์ความปั่นป่วนอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏในข่าว

📍นักเรียนในโรงเรียนเริ่มทนไม่ไหวหลังอยู่กับสถานการณ์มาสี่เดือน โรงเรียนได้รับความกดดันทั้งจากนักเรียนและผู้ปกครองให้ปกป้องสิทธิของเด็ก ๆ ที่เหลือในโรงเรียน ให้สามารถมีสมาธิเรียนในบรรยากาศที่เป็นปกติ ปราศจากการรบกวนของกลุ่มบุคคลภายนอก 

📍กระบวนการแก้ปัญหาตามกฎหมายเรื่องการมีผู้ปกครองยังต้องดำเนินอยู่โดยปราศจากความร่วมมือของหยกและกลุ่มบุคคลที่น้องไปอาศัยอยู่ด้วย และโรงเรียนยังต้องใช้ทรัพยากรบุคคลและอาคารสถานที่ในการรับมือกับสถานการณ์รายวัน 

📍เพราะคำว่า ‘เด็ก’ และแรงกดดันจากคนบางกลุ่ม จึงไม่มีใครกล้าดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่ผลเสียนั้นเกิดต่อตัวเด็กเอง และน่าจะคลี่คลายในเร็ววัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top