Wednesday, 2 July 2025
NEWS

อลงกรณ์" ดึง AI สร้างแอปฯ Foundue สู้คอร์รรัปชั่น ประกาศเจตนารมณ์ผนึกภาคีเครือข่าย”ไยแมงมุม” สกัดโกง!

(28 พ.ค. 68) อลงกรณ์ ประกาศนำสถาบัน FKII Thailand ผนึกองค์กรภาคีต่อต้านการทุจริต สร้างเครือข่าย”ใยแมงมุม” สกัดโกง ดึงเทคโนโลยี AI “Corruption Foundue” สร้างช่องทางตรวจสอบข้อมูลที่โปร่งใส ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมแจ้งเบาะแส ตรวจสอบ ขยายผลหวังลดปัญหาฉ้อฉลเงินแผ่นดิน

ที่สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand พร้อมด้วย เครือข่ายพันธมิตร อาทิ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ, นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.), ดร.มานะ นิมิตมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รรัปชั่น (ประเทศไทย), ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผช.ผอ.สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), นายชยดิษฐ์ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา และผอ.สถาบัน FKII Thailand, พลเอก ดร.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เลขาธิการภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ, ดร.เอก์ เหลืองสะอาด นายกสมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย), ดร.โรจนศักดิ์ แสงธศิริวิไล นายกสมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนานาชาติ, นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ ประธานมูลนิธิยุวไทยสากล และนายกสมาคมธุรกิจค้าไม้ และนายสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวแพลตฟอร์ม คอร์รัปชั่น ฟ้องดู (Corruption Foundue) 

นายอลงกรณ์ กล่าวตอนหนึ่งระหว่างบรรยายหัวข้อ“คอร์รัปชั่นเทคโนโลยี คอร์รัปชั่น ฟ้องดู โครงการใยแมงมุมต้านโกง” ว่า การรวมตัวของภาคีเครือข่ายฯครั้งนี้ เพื่อประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยยึดโยงกับวันแรก (28 พ.ค.) ที่สภาผู้แทนราษฎร กำลังพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ในวาระแรก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปีที่รัฐบาลจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล และต้องกู้ยืมเงินมากกว่า 9 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศ ทั้งยังถือเป็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะในแวดวงราชการ ซึ่งสถาบัน FKII Thailand มองเห็นช่องโหว่ใหญ่ที่เป็นปัญหาของประเทศจากพฤติกรรมดังกล่าว
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมืองและผู้เกี่ยวข้อง ในยุคของรัฐบาลที่มีอำนาจมากที่สุดยุคหนึ่ง จนถูกฟ้องร้องดำเนินคดีรวมเกือบ 20 คดี แต่ในที่สุดศาลท่านก็ได้ตัดสินให้ผมชนะในทุกคดี แม้จะไม่สามารถเอาผิดคนโกงได้ทุกคดี แต่ก็ทำให้อดีตรัฐมนตรีท่านหนึ่งและเลขานุการของรัฐมนตรีท่านนั้น ถูกจำคุกฐานฉ้อโกงเงินภาษีของประชาชนได้ ซึ่งบทเรียนจากการทำหน้าที่ประธานตรวจสอบการการทุจริตคอร์รัปชั่นในครั้งนั้น ก็น่าจะเป็นบทเรียนและเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่นับจากนี้ไป”

ประธานสถาบัน FKII Thailand กล่าวย้ำว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภาคีเครือข่ายฯ หรือภาคประชาชน จะต้องกล้าเดินไปด้วยกัน เพื่อต่อต้านและขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และร่วมกันสร้างแสงสว่างแห่งความดีงาม เพื่อป้องกันความดำมืดของการทุจริตคอร์รัปชั่นให้ลดลงไปจากประเทศไทย

ด้าน ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า การจัดการปัญหาคอร์รัปชั่นสามารถทำได้ หากเข้าใจกลไกอันเป็นต้นตอของปัญหา กล่าวคือตัวบุคคล ระบบ และบริบทสังคม ทั้งหมดมีความเชื่อมโยงถึงกัน ทั้งนี้ ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า “สันดานมนุษย์ซื้อได้ด้วยผลประโยชน์” ขอให้จ่ายในสัดส่วนที่มากพอ ก็สามารถจะซื้อคนๆ นั้นได้แล้ว วิธีการแก้ไขคือจะต้องสร้างระบบที่ทำให้ “คนชั่วทำดีโดยไม่รู้ตัว” โดยเฉพาะการสร้างแสงสว่างในที่มืดให้มากที่สุด ส่วนตัวเสนอให้ทุกภาคส่วน เปิดเผยข้อมูลทุกอย่างที่ไม่กระทบต่อปัญหาความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง เพราะหากทุกอย่างเปิดเผย โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้แล้ว เชื่อว่าปัญหาการปัญหาคอร์รัปชั่นก็จะค่อยๆ ลดลงไปโดยปริยาย

ส่วน นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า การจัดตั้งองค์กรตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น นับแต่ที่มี สตง., ต่อมาก็มี ป.ป.ป., ปปท., ดีเอสไอ และ ปปง. ทั้งหมดสะท้อนว่าปัญหาวิกฤติด้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ยังคงเติบโตและขยายตัวไปอย่างต่อเนื่อง ในฐานะ “อดีตผู้ว่าการ สตง.” มีหลายคนถามตนว่า “ทำไม ตึก สตง.ถึงถล่ม!” คำตอบง่ายๆคือ เพราะเป็น “ของหลวง” แต่หากเป็นตึกของภาคเอกชน ก็จะมีกระบวนการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ และขั้นตอนการก่อสร้างที่ดีพอ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตึกของเอกชนจึงไม่ถล่มพังลงมา ส่วนตัวเคยคิดว่าการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องที่ยาก แต่หลังจากที่มีแอปพลิเคชั่น “Corruption Foundue” แล้ว เชื่อว่าปัญหานี้จะลดลงตามมา

ขณะที่ ดร.มานะ  กล่าวว่า ก่อนหน้านี้การพูดว่าจะแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น เสมือนเป็นการพูดใส่กำแพง กล่าวคือพูดให้ตัวเองได้ยิน แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เลย ที่ผ่านมาพบว่าแต่ละปีมีการโครงการก่อสร้างของภาครัฐรวมกันสูงมากถึง 1.7 ล้านล้านบาท และหากมีการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะจากโครงการแค่ 10-20% นั่นก็หมายความว่าประเทศจะสูญเสียเงินไปราวๆ 1.7 - 3.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินที่สูงมาก เฉพาะหน่วยงานในสังกัด องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นพบว่า การทำหน้าที่ของ อบจ.ทั้ง 76 จังหวัด มีโครงการก่อสร้างถนนในพื้นที่ รวมกันมากถึง 3 แสนล้านบาท แต่กลายเป็นว่า 63% เป็นการซ่อมแซมถนนที่ชำรุดทรุดโทรม ซึ่งไม่ก่อประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่แต่อย่างใด มันสะท้อนว่าที่ผ่านมาภาครัฐไม่ได้ใส่ใจต่อการต่อต้านปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นแต่อย่างใด แต่จากนี้ การมีเทคโนโลยี ฟ้องดู แม้จะช่วยให้การตรวจสอบทำได้ง่ายขึ้น แต่จำเป็นจะต้องสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชน รวมถึงนักวิชาการ และสื่อมวลชน เพื่อให้เครือข่ายทุกภาคส่วนสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึงข้อมูลและทำหน้าฟ้องประชาชนไปด้วย

ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้คิดค้นแอปพลิเคชั่น “Traffy Foundue” ก่อนจะขยายผลและเชื่อมโยงไปสู่แอปพลิเคชั่น “Corruption Foundue” กล่าวว่าแนวคิดของการแอปพลิเคชั่นแจ้งเบาะแสหรือปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นคือต้องทำ (ใช้งาน) ได้ง่าย และเห็นความก้าวหน้า ที่สำคัญผู้แจ้งเบาะแสจะต้องปลอดภัย ซึ่งทั้งหมดจะช่วยให้กระบวนการทำงานในการตรวจสอบและป้องกันปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้รับการแจ้งเบาะแสและผ่านการตรวจสอบแล้วจะถูกใช้และขยายผลเพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินการที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป

ทั้งนี้ พลเอก ดร.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ เลขาธิการภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ ระบุว่า ภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ พร้อมจะเข้าร่วมเป็นภาคีต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของ สถาบัน FKII Thailand เพราะไม่ต้องการเห็นการเติบโตของปัญหาดังกล่าว นำไปสู่ความร่วมมือในการสร้างสังคม “ธรรมภิบาล” ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว

ขณะที่ ดร.เอก์ เหลืองสอาด นายกสมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า ครั้งหนึ่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เคยกล่าวปาฐกถาในงานเสวนาของสมาคมฯ ถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นว่าเป็นเสมือน “การปล้นชาติ” จำเป็นจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาที่ “ต้นน้ำ” นั่นจึงเป็นที่มาทำให้ สมาคมฯมุ่งเน้นไปที่สร้างเครือข่ายเยาวชนคนรุ่นใหม่ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ในระดับอุดมศึกษา โดยรวมมือกับมหวิทยาลัยทั่วประเทศ ซึ่งการเกิดขึ้นของ แอปพลิเคชั่น “Corruption Foundue” จะช่วยทำให้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนเป็นไปอย่างเข้มข้นและเข้มแข็ง และทำให้การขับเคลื่อนเดินหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเกาะป้องกันปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้อีกทางหนึ่ง

แม่ทัพภาคที่ 3 ประชุมหารือเพื่อนำข้อมูล ไปร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย - เมียนมา ครั้งที่ 37 (RBC-37) ระหว่างวันที่ 2 - 4 กรกฎาคม 2568 

(28 พ.ค. 68) พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ประชุมหารือเพื่อนำข้อมูล ไปร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย - เมียนมา ครั้งที่ 37 (RBC-37)  

สำหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย - เมียนมา ครั้งที่ 37 (RBC-37) จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 2 - 4 กรกฎาคม 2568 เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศ ช่วยเสริมสร้างความร่วมมือในทุกด้านเพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงตลอดแนวชายแดนไทย - เมียนมา ด้วยมาตรการที่ถูกต้อง ผลักดันให้เกิดผลดีบนพื้นฐานของการมีผลประโยชน์ร่วมกัน อาทิ การปราบปรามยาเสพติด การต่อต้านขบวนการก่อการร้ายการค้าอาวุธสงคราม การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวให้ถูกกฎหมายและการค้ามนุษย์ ตลอดจนความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ การบรรเทาสาธารณภัย อันจะเกิดประโยชน์ต่อกองทัพ และประชาชนทั้งสองประเทศต่อไป 

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าว

ทบ. แจงเหตุปะทะเดือดทหารไทย - กัมพูชา ชี้ สถานการณ์คลี่คลายทหารไทยไร้บาดเจ็บ

ทบ.แจงเหตุการณ์ปะทะทหารกัมพูชาบริเวณชายแดนช่องบก อุบลราชธานี ปัจจุบัน สถานการณ์คลี่คลายแล้ว อยู่ระหว่างรอการเจรจา

เช้าวันนี้ (28 พ.ค.68) ณ กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา โดยระบุว่าได้รับรายงานจาก กองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 05.30 น. 

โดย หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชาได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ต่อมาเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติ โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังบริเวณจุดปะทะ 

ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงที่มีอยู่

กองทัพบกขอยืนยันว่า กำลังพลฝ่ายไทยปลอดภัย ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต และจะรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมให้ทราบต่อไป

สมุทรปราการ-กรมทางหลวง เปิดเวทีรับฟังเสียงประชาชนแผนการพัฒนาโครงข่าย ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และหมายเลข 9 

เมื่อวานนี้ (27 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม Green Heart ชั้น 2 โรงแรมเดอะกรีนวิว ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ โดยนายพิชากร ศรีจันทร์ทอง ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงสมุทรปราการ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม สรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 2) โครงการศึกษา ออกแบบ วิเคราะห์ แผนการพัฒนาโครงข่าย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 และหมายเลข 9 ของกรมทางหลวง 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าของการศึกษาและสรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ พร้อมรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่มีต่อการศึกษาของโครงการจากกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้พิจารณาประกอบการออกแบบรายละเอียด รวมทั้งการกำหนดมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ 

โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ ราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชน เข้าร่วมการประชุม โดยการประชุมในครั้งนี้ บริษัทที่ปรึกษาโครงการฯ ได้นำเสนอสรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการ 

โดยทางด้าน นายนิรันดร์ จันทร์ชม วิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ กรมทางหลวง เปิดเผยว่า สำหรับพื้นที่ศึกษาโครงการตั้งอยู่บริเวณทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ประมาณกิโลเมตรที่ 25+900 ถึง กิโลเมตรที่ 30+800 ครอบคลุมพื้นที่ 4 ตำบล 2 อำเภอ 1 จังหวัด ได้แก่ บริเวณพื้นที่ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง ตำบลเปร็ง ตำบลบางบ่อ และตำบลระกาศ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 

ทั้งนี้แนวทางการพัฒนาโครงการจะเป็นการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับรถเข้าทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 โดยถนนโครงการจะออกแบบเป็นสะพานยกข้ามถนนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 โดยได้มีการคัดเลือกตำแหน่งที่ตั้งทางแยกต่างระดับของโครงการ ซึ่งมีแนวทางเลือกทั้งหมด 3 แนวทาง ได้แก่ 
ตำแหน่งที่ 1 จุดตัดระหว่างถนนสายร่วมพัฒนา-ทล.34 บริเวณกิโลเมตรที่ 26+500 ในเขตตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตำแหน่งนี้มีจุดเด่นที่ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบและมีชุมชนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย แต่มีจุดด้อยคือมีตำแหน่งใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจราจรระหว่างการก่อสร้าง และต้องรอแผนการพัฒนาแนวเส้นทางของกรมทางหลวงชนบทที่ชัดเจน อีกทั้งการขนส่งวัสดุเพื่อการก่อสร้างยาก เนื่องจากไม่มีถนนเชื่อมต่อ และเขตทางเดิมเหลือพื้นที่น้อยสำหรับก่อสร้างทางชั่วคราว

ตำแหน่งที่ 2 จุดตัดระหว่างถนน สป.2003 บริเวณกิโลเมตรที่ 27+900 ในเขตตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตำแหน่งนี้มีจุดเด่นที่ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบและมีชุมชนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย แต่มีจุดด้อยคือมีตำแหน่งใกล้ด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจราจรระหว่างก่อสร้าง ต้องรอแผนการพัฒนาแนวเส้นทางของกรมทางหลวงชนบทที่ชัดเจน การขนส่งวัสดุเพื่อการก่อสร้างยาก เนื่องจากไม่มีถนนเชื่อมต่อ และเขตทางเดิมเหลือพื้นที่น้อยสำหรับก่อสร้างทางชั่วคราว

ตำแหน่งที่ 3 จุดตัดระหว่างถนนรัตนโกสินทร์ 200 ปี บริเวณกิโลเมตรที่ 30+200 ในเขตตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีจุดเด่นคือสามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับโครงข่ายถนนเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีระยะห่างจากด่านเก็บค่าผ่านทางลาดกระบังที่เหมาะสม ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบ และพื้นที่ก่อสร้างไม่ผ่านลำน้ำสำคัญ แต่มีจุดด้อยคือมีบ้านเรือนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก

โดยจากการพิจารณาคัดเลือกพบว่า ตำแหน่งที่ 3 มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีแนวเส้นทางที่ชัดเจน สามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายถนนเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับปริมาณจราจรได้ดีและเอื้อต่อการเข้าถึงพื้นที่ก่อสร้างอย่างสะดวก ลดความยุ่งยากด้านการก่อสร้างและต้นทุนการขนส่งวัสดุ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินต่ำ และให้ประโยชน์ต่อผู้ใช้ทางมากกว่าแนวทางอื่น ส่วนการคัดเลือกรูปแบบทางแยกต่างระดับของโครงการ มีแนวทางเลือกทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ 

ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 1 Double Trumpet มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทาง ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 2 Partial Cloverleaf with Semi Directional Ramp ฝั่งตะวันตกของแนวทางเลือก มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทางทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 3 Partial Cloverleaf with Semi Directional Ramp ฝั่งตะวันออกของแนวทางเลือก มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทาง 

ทั้งนี้ แม้ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 2 และรูปแบบที่ 3 จะมีลักษณะทางกายภาพและจุดเด่น-จุดด้อยโดยรวมใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดด้านทิศทางการเดินทางบางจุดที่แตกต่างกัน 

ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 4 Trumpet with Semi Directional Ramp มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทางโดยจากการพิจารณาคัดเลือกพบว่า ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 4 Trumpet with Semi Directional Ramp มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีจุดเด่นในด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อชุมชนน้อยที่สุด และยังมีความเหมาะสมด้านวิศวกรรม ทั้งในแง่ความสะดวกในการก่อสร้างและการบริหารจัดการด่านเก็บค่าผ่านทาง สำหรับการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ สำรวจและเก็บตัวอย่างด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาประกอบการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) โดยมีประเด็นที่ศึกษาครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ทรัพยากรสิ่งแวดลอมทางชีวภาพ คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งจะนำไปศึกษาต่อในขั้นรายละเอียด (EIA) เพื่อเตรียมกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป

ภายหลังการประชุมครั้งนี้ กรมทางหลวง จะรวบรวมข้อมูลความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนนำมาพิจารณาประกอบการศึกษาและรายละเอียดของโครงการให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจะดำเนินการจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อประชาสัมพันธ์รายละเอียดข้อมูลโครงการไปสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่โครงการได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง โดยมีกำหนดจัดการประชุมหารือมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม (กลุ่มย่อย ครั้งที่ 2) ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม - กันยายน 2568 และกำหนดจัดประชุมสรุปผลการศึกษาโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 3) ในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2568 เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาในทุกด้านให้ประชาชนได้รับทราบรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป โดยผู้สนใจสามารถติดตามความคืบหน้าและรายละเอียดของโครงการฯ ได้ที่ เว็บไซต์ www.m7-m9-interchange-ruamphathana-rd34.com หรือ Line Official : @515fcrum

โรงเรียนนายร้อยตำรวจครบรอบ 124 ปี เปิดเวทีประกาศเกียรติศักดิ์ดาวเงิน เชิดชูเกียรติศิษย์เก่าดีเด่น

โรงเรียนนายร้อยตำรวจได้จัดการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาสรรหาศิษย์เก่าดีเด่น เพื่อรับรางวัล 'เกียรติศักดิ์ดาวเงิน' วานนี้ (27 พฤษภาคม 2568) เวลา 09.00 น. ณ ห้องเตมียเวส อาคารกองบัญชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกในวาระครบรอบ 124 ปี แห่งการก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รร.นรต.

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อคัดเลือกศิษย์เก่าที่ได้รับการเสนอชื่อ 1 นายจากแต่ละรุ่น โดยมีผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมด 28 นาย และมีผู้สละสิทธิ์ 5 นาย เหลือจำนวนผู้เข้ารับการพิจารณาคัดเลือกทั้งสิ้น 23 นาย การคัดเลือกมุ่งเน้นไปที่ผลงานที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม องค์กรตำรวจ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อยกย่องและเชิดชูศักดิ์ศรีของศิษย์เก่าผู้ทรงคุณค่า พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิษย์ปัจจุบันและสังคมโดยรวม

สำหรับผลการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้น ศิษย์เก่าที่ได้รับคะแนนสูงสุด ได้แก่
1. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นรต.รุ่น 32 หมายเลข 9 ได้ 24 จาก 27 คะแนน
2. ศ.ร.ต.อ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ นรต.รุ่น 25 หมายเลข 4 ได้ 23 จาก 27 คะแนน
3. พล.ต.อ.ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ นรต.รุ่น 20 หมายเลข 2 ได้ 14 จาก 27 คะแนน
4. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา นรต.รุ่น 28 หมายเลข 6 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
5. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง นรต.รุ่น 41 หมายเลข 15 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
6. พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย นรต.รุ่น 48 หมายเลข 18 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
7. พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว นรต.รุ่น 18 หมายเลข 1 ได้ 11 จาก 27 คะแนน
8. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นรต.รุ่น 30 หมายเลข 7 ได้ 10 จาก 27 คะแนน
9. พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง นรต.รุ่น 40 หมายเลข 14 ได้ 10 จาก 27 คะแนน
10. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ นรต.รุ่น 45 หมายเลข 17 ได้ 10 จาก 27 คะแนน

ทั้งนี้ โรงเรียนนายร้อยตำรวจขอแสดงความยินดีและเชิดชูเกียรติแก่ศิษย์เก่าผู้ได้รับการเสนอชื่อทุกท่าน ที่เป็นแบบอย่างแห่งความสำเร็จและความมุ่งมั่นอันสูงสุด พร้อมย้ำเจตนารมณ์เดินหน้าสร้างแรงบันดาลใจและความภาคภูมิใจให้กับศิษย์ปัจจุบันและสังคมโดยรวม

‘เอ ภักดี’ เจ้าของร้านภักดีคาเฟ่ ย้อนความหลัง ได้รับน้ำใจจาก “พระเอกกล้ามโต” รีวิวน้ำพริกให้ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกัน

(27 พ.ค. 68) นายฐิติวัฒน์ ธนการุณย์ หรือ เอ ภักดี เจ้าของร้าน “ภักดี คาเฟ่” โพสต์เฟซบุ๊กถึง ‘อาร์ต พศุตม์‘ ว่า มีช่วงชีวิตหนึ่งที่ผมลำบากมากๆไม่มีอะไรทำ ต้องมาขายของออนไลน์ ทำน้ำพริกขาย ก็พอขายได้บ้างแต่ไม่มากครับ แต่แล้ว…

หลังบ้านสิครับ วันดีคืนดีไอ้น้องคนนี้ทักเข้ามาหาพี่(ไม่เคยรู้จักเขาเป็นการส่วนตัวเลยนะครับ) พี่เอครับ ผมขอซื้อน้ำพริกพี่เออย่างละ 5 ครับ เดี๋ยวผมจะช่วยพี่เอรีวิวด้วย เฮ้ย…ไอ้เราก็งงสิครับ อยู่ๆนักแสดงชื่อดัง แถมเราก็ชอบน้องมันด้วย เพราะเห็นน้องทำกิจกรรมจิตอาสาต่างๆ เยอะแยะมากมาย หลังจากนั้น…พอน้องเขาได้น้ำพริกของผมไป ตั้งแต่บัดนั้นชีวิตของผมเปลี่ยนเลยครับ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ที่ผมใช้ชีวิตโดยการส่งน้ำพริกทั้งทั้งคืน…นี่แหละครับ…ไอ้พระเอกกล้ามโตของพี่

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงผลการจับกุมคดีชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวจีน โดยใช้อาวุธมีด

ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวจีนโดยใช้อาวุธมีดหน้าคอนโดฯ กลางเมืองเชียงใหม่ ยึดของกลาง เงินสด 135,000 บาท พร้อมรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนี"ในพื้นที่ สภ.เมืองเชียงใหม่

(27 พ.ค.68) เวลา 11.00 น. ณ.สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่  พลตำรวจโท กฤตราพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เป็นประธานการแถลงข่าว ผลการจับกุมผู้ต้องหาชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวชาวจีนโดยใช้อาวุธมีดหน้าคอนโดฯ กลางเมืองเชียงใหม่ ยึดของกลาง เงินสด 135,000 บาท พร้อมรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนี"ในพื้นที่ สภ.เมืองเชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่

เกิดเหตุ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 13.19 น. สภ.เมืองเชียงใหม่ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุนครพิงค์ว่ามีเหตุชิงทรัพย์ บริเวณลานจอดรถชั้น 1 อาคาร ซิตี้ทาวน์เวอร์ คอนโด ถ.ท่าแพ ต.ช้างม่อย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ และชุดสืบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุดังกล่าว เมื่อเดินทางมาถึงได้พบ Mr.Tan (ตัน ) ผู้เสียหาย อายุ 28 ปี สัญชาติ จีน ได้ให้รายละเอียดผ่านล่ามภาษาจีนว่า ได้มีชายไม่ทราบชื่อ ลักษณะเหมือนคนเอเชีย การแต่งกายสวมใส่เสื้อแขนยาวลายสลับขาวดำ กางเกงขายาวสีดำและสวมใส่ผ้าอนามัยปิดบังใบหน้า ได้ใช้อาวุธมีดข่มขู่ตน เพื่อให้ตนได้ส่งทรัพย์สินเงินสด จำนวน 135,000 บาท เมื่อคนร้ายได้เงิดสดแล้วจึงขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปในทันที จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจฯ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิดและพยานในบริเวณที่เกิดเหตุและเส้นทางหลบหนีโดยรอบ

หลังเกิดเหตุ พบว่า คนร้ายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ซูเมอร์ เอ็กซ์ สีส้ม ทะเบียน 2 กณ 3598เชียงใหม่ ซึ่งจากการติดตามกล้องวงจรปิดพบว่าเส้นทางหลบหนีของคนร้ายได้วิ่งไปตามถนนหลัก และมองเห็นได้อย่างชัดเจน

โดยระหว่างหลบหนีคนร้ายได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใช้ก่อเหตุ บริเวณ ถ.เจริญประเทศ โดยเปลี่ยนจากชุดเสื้อแขนยาวลายสลับขาวดำ กางเกงขายาวสีดำ มาเป็นสวมเสื้อแขนสั้นคอกลมสีดำ และกางเกงขาสั้นสีดำ สวมใส่หมวกกัน น็อคสีขาว ขับขี่หลบหนีไปทาง ถ.เจริญราษฎร์ ไปยัง อ.สันทราย เข้าสู่คอนโด คานาเล่ (The Canale condo ) ในเวลาประมาณ 16.07 น. ซึ่งเป็นที่พักของคนร้ายและต่อมาเวลาประมาณ 16.30 น. คนร้ายได้ออกจากคอนโด ไปยังบริเวณคูเมืองเชียงใหม่เพื่อหลบการจับกุม จึงได้ไปเช่าหอพักไม่ทราบชื่อ แถวบริเวณ ถ.ราชดำเนิน

ขณะจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ติดตามคนร้ายมาโดยตลอด จนกระทั่งเวลา 12.00 น.ของวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 พบว่าคนร้ายได้กลับเข้ามายังคอนโดที่พักเขต อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ชุดสืบสวนจึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทำการเข้าจับกุมตัวผู้ก่อเหตุ ทราบชื่อภายหลังว่า คือ Mr.Eng Chee Hon (อิง ซี ฮอน)
สัญชาติ มาเลเซีย จึงได้ตรวจสอบกระเป๋าแบบคาด สีน้ำตาล พบของกลางเงินสดจำนวน 101,160 บาท รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ซูเมอร์ เอ็กซ์ สีส้ม ทะเบียน 2กณ 3598 เชียงใหม่ เสื้อผ้าที่ใช้ก่อเหตุ หมวกกันน็อคสีขาวที่ใช้ก่อเหตุ

โดย Mr.Eng Chee Hon ให้การรับสารภาพว่าได้ใช้มีดที่เตรียมมาด้วยก่อเหตุชิงทรัพย์ Mr.Tan Liaing (ต้น เหลียง)จริง เจ้าหน้าที่ตำรวจฯ จึงได้รวบรวมตรวจยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน ควบคุมตัว Mr.Eng Chee Hon มายัง สภ.เมืองเชียงใหม่ และตรวจสอบข้อมูลการเข้ามาในราชอาณาจักรแล้วพบว่า Mr.Eng Chee Hon (อิง ซี ฮอน) วีซ่าสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2568

แจ้งข้อกล่าวหาว่า "ชิงทรัพย์และเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุด" นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป

เหตุจูงใจในการกระทำความผิด เนื่องจาก Mr.Eng Chee Hon (อิง ซี ฮอน) เคยแลกสกุลเงิน ดิจิตอล(USDT) กับผู้เสียหายมาแล้วหลายครั้ง ทำให้ปัจจุบัน ไม่มีเงินดิจิตอลและเงินสดเหลืออยู่เลย จึงวางแผนก่อเหตุชิงทรัพย์โดยอ้างกับผู้เสียหายว่าจะขอทำการแลกเงินดิจิตอลจำนวน 4,200 USDT ซึ่งคิดเป็นเงินไทยประมาณ 135,000 บาท เมื่อมาถึงคอนโดผู้เสียหายจึงได้ใช้มีดที่เตรียมมาด้วยก่อเหตุชิงทรัพย์ได้เงินจำนวน 135,000 บาทแล้วหลบหนีไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดทำ 'โครงการถนนปลอดภัย' บังคับใช้กฎหมายจราจรเข้มข้น ป้องกันอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในการสัญจร คิกออฟ 1 มิถุนายนนี้ พร้อมกันทั่วประเทศ

(27 พ.ค.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยจัดทำ “โครงการถนนปลอดภัย” โดยให้ดำเนินการเสริมสร้างวินัยจราจรและสร้างความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้การบริหารงานจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

พล.ต.อ.ไกรบุญฯ สั่งการให้ดำเนินโครงการ “โครงการถนนปลอดภัย” โดยให้กองบังคับการ/ตำรวจภูธรจังหวัด ในทุกพื้นที่ พิจารณาเลือกถนนสายสำคัญในพื้นที่ หรือถนนที่มีการฝ่าฝืนกฎจราจรจำนวนมาก หรือถนนที่มีอุบัติเหตุในเส้นทางบ่อยครั้ง หรือถนนที่มีที่ตั้งของสถานศึกษาอยู่หลายแห่ง เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรในทุกมิติ โดยเฉพาะการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 100% ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 122 กำหนดให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และคนโดยสารรถจักรยานยนต์ ต้องสวมหมวกนิรภัยเพื่อป้องกันอันตรายในขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และมีโทษปรับเป็น 2 เท่า หากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ขับขี่ในขณะที่คนโดยสารรถจักรยานยนต์มิได้สวมหมวกนิรภัย โดยให้บังคับใช้กฎหมายจราจรทางบกและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรถหรือการใช้ทางบนถนนดังกล่าวอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในการสัญจร โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป 

นอกจากนี้ ให้ทุกหน่วยรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน หน่วยงานเจ้าของถนน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง หน่วยงานภาครัฐ และสถานศึกษาที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อทราบถึง “โครงการถนนปลอดภัย” ของหน่วยตนเอง และเชิญชวนให้ร่วมกันปฏิบัติตามกฎจราจร ช่วยกันรณรงค์และตรวจตราผู้ใช้เส้นทาง มิให้มีการฝ่าฝืนกฎจราจรในถนนเส้นดังกล่าว ตลอดจนเสริมสร้างการใช้มาตรการองค์กรร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ ให้ร่วมกันปฏิบัติตามกฎหมายจราจรในถนนเส้นดังกล่าวในทุกมิติ ทั้งนี้ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุจราจร สร้างความปลอดภัยให้แก่ทุกคนที่ใช้รถใช้ถนน และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นลูกหลานของเราอีกด้วย

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนร่วมกันสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน และหากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนพบเหตุต้องสงสัย หรือสอบถามข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติม  แจ้งอุบัติเหตุจราจร และขอความช่วยเหลือด้านการจราจร สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผบ.ตร.เปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ เพิ่มประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ 

(27 พ.ค. 68) เวลา 08.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รุ่นที่ 1 และ 2 โดยมี พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 , พล.ต.ต.กันตพัฒน์ ศรีอมรรัตน์ ผู้บังคับการกองแผนงานอาชญากรรม , พล.ต.ต.ชัยกฤต โพธิ์อ๊ะ ผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน , พล.ต.ต.วรวิทย์ ญาณจินดา ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ , คณะวิทยากร และผู้เข้ารับการฝึกอบรม ประกอบด้วย ข้าราชการตำรวจระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทั่วประเทศ สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 รวมจำนวน 104 นาย ร่วมพิธี ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผบ.ตร. กล่าวว่า จากสภาพปัญหาการก่ออาชญากรรมที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปในหลายรูปแบบ เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ อันเป็นเหตุการณ์ที่ตำรวจ โดยเฉพาะสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในฐานะผู้เผชิญเหตุคนแรก ต้องมีทักษะที่ถูกต้องในการรับแจ้งเหตุ ประเมินสถานการณ์ และผู้บังคับบัญชาในฐานะผู้ควบคุมเหตุการณ์พื้นที่ที่จะต้องเข้าไประงับยับยั้งเหตุ บริหารเหตุการณ์ ตามหลักกฎหมาย ยุทธวิธีตำรวจ หลักสิทธิมนุษยชน และหลักการใช้กำลังตามความจำเป็น เหมาะสม ได้สัดส่วนตามแต่ละสถานการณ์ ป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดแผนการปฏิบัติในการรักษาความสงบไว้แล้ว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่ จึงได้จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ขึ้น เพื่อให้ข้าราชการตำรวจทุกนายเกิดความเข้าใจ ดำเนินการในขั้นเตรียมการรองรับสถานการณ์ในแต่ละสภาพพื้นที่ เพื่อนำไปกำหนดแผน ซักซ้อมการปฏิบัติ จัดเตรียมกำลังพล เครื่องมือ อุปกรณ์ และสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนไปในระดับพื้นที่ และการปฏิบัติตามหลักกฎหมาย หลักยุทธวิธี และหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อลดปัญหาและลดความเสี่ยงในการปฏิบัติ

ทั้งนี้ โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รุ่นที่ 1 ฝึกอบรมวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2568 และรุ่นที่ 2 ฝึกอบรมวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2568

พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ตรวจเยี่ยมกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ย้ำ! ปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์เดินหน้าเข้มข้น เห็นผลเป็นรูปธรรม

(27 พ.ค. 68) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปชก.ตร. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 โดยมี พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง ผบช.ภ.2 และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 พร้อมคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ พร้อมรับฟังรายงานผลการปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ภาคตะวันออก

ผลการดำเนินงานเด่น
 • ยุทธการ “แผนอรัญ 68 Seal Border” สกัดกั้นการลักลอบขนบัญชีม้า บัญชีปลอม ข้ามชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะ  
   บริเวณอรัญประเทศ จ.สระแก้ว พร้อมปราบปรามขบวนการที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์อย่างต่อเนื่อง
 • ความร่วมมือกับประเทศกัมพูชา ส่งตัวคนไทยกลับประเทศกว่า 200 คน จากการทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์ในปอยเปต
 • ขยายผลและจับกุมสำคัญ
 • จับกุมแก๊งคนจีนคุมบัญชีม้า พร้อมเครือข่าย 10 คน ยึดบัตร ATM 49 ใบ
 • จับกุมกลุ่มนายหน้าจัดหาบัญชีม้า เปิดบัญชีหลอกลวงย่านพัทยา รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท
 • ทลายขบวนการใช้บัญชีม้านิติบุคคล หลอกเหยื่อให้โอนเงินผ่านบริษัท
 • จับกุมพนักงานธนาคารและเอเย่นต์ ร่วมเปิดบัญชีม้าให้ชาวจีนที่ถือวีซ่าท่องเที่ยว พบการทุจริตภายในสถาบันการเงิน

พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ ได้ชื่นชมและให้กำลังใจตำรวจภูธรภาค 2 นำโดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ฐิติวัฒน์ สุริยฉาย รอง ผบช.ภ.2 และพล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 ในการดำเนินการสกัดกั้นและปราบปรามขบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์อย่างจริงจังต่อเนื่องจนเกิดผลสัมฤทธิ์ชัดเจนพร้อมเน้นย้ำการแก้ไขปัญหาเชิงระบบและการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

‘เจือ ราชสีห์’ รับรางวัลแห่งความดี “เงือกทองคำ” ในฐานะผู้เจริญรอยตาม ‘พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์’

เมื่อวันที่ (25 พ.ค. 68) สงขลา นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เข้าร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลครบรอบ 6 ปีแห่งการอสัญกรรมของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ณ อาคาร 100 ปี ชั้น 2 วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งจัดโดยสมาคมชาวสงขลา ร่วมกับสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์

ในวันเดียวกัน ได้มีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2567 ของสมาคมชาวสงขลา  พร้อมทั้งจัดพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติคนดีศรีแผ่นดิน “เงือกทองคำ”เพื่อยกย่องผู้ทำคุณประโยชน์แก่ส่วนรวม และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม

ในโอกาสนี้ นายเจือ ราชสีห์ ได้รับรางวัล “เงือกทองคำ” ในประเภท “ข้าราชการการเมืองที่ทำคุณประโยชน์ให้กับจังหวัดสงขลา” โดยรางวัลเชิดชูเกียรติคนดีศรีแผ่นดิน “เงือกทองคำ” นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณงามความดีของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตด้วยความรับผิดชอบและกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด
นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวสงขลา ที่จะเจริญรอยตามความดีของท่าน ตามคำกล่าวของท่านที่ว่า "เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน"

สำหรับรางวัลเชิดชูเกียรติคนดีศรีแผ่นดิน "เงือกทองคำ" เป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณงามความดีเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม เป็นต้นแบบการทำความดีให้กับคนสงขลา โดยพิจารณาจากคนจังหวัดสงขลาที่คุณงามความดี เสียสละเพื่อส่วนรวมและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม เป็นต้นแบบการทำความดีให้กับคนสงขลา โดยแบ่งรางวัลออกเป็น 7 ประเภทคือ ข้าราชการที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสงขลา บุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสงขลา บุคคลต้นแบบ บุคคลสำคัญ (ถวายแด่พระคุณเจ้า)ข้าราชการการเมืองที่ทำคุณประโยชน์ให้กับจังหวัดสงขลาสื่อมวลชนที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสงขลานักธุรกิจที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดสงขลา

‘อาร์ต พศุตม์’ ปะทะ ‘หมออั้ม อิราวัต’ ทำโซเชียลลุกเป็นไฟ! หลังโดนแซะพระเอกเนรคุณ แต่ล่าสุดฝ่ายหลังโพสต์ขอโทษ

(27 พ.ค. 68) เกิดกระแสดราม่าร้อนแรงในวงการบันเทิง เมื่อหมออั้ม อิราวัต โพสต์พาดพิงถึง “พระเอกกล้ามโต” รายหนึ่งที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในวงการ ทั้งเรื่องงานและการเงิน แต่เมื่อถึงเวลาที่ผู้ใหญ่เดือดร้อนกลับไม่ช่วย แถมยังกล่าวร้ายลับหลัง โดยไม่ได้ระบุชื่อ แต่บอกเพียงว่าเป็น “นิทานลอยๆ”

งานนี้ อาร์ต พศุตม์ ไม่ทน! ออกโรงตอบโต้ในคอมเมนต์ทันที พร้อมแท็กชื่อหมออั้มโดยตรง ท้าชนแบบตรงไปตรงมา พร้อมแจกแจง 6 ประเด็นโต้กลับ ยันไม่เคยพึ่งใครเข้าวงการ ไม่เคยยืมเงินใคร และรายได้ทั้งหมดหามาเองล้วนๆ พร้อมสวนแรง “ถ้าแน่ก็มาออกรายการโหนกระแสกันไปเลย”

ด้านหมออั้มตอบกลับว่าไม่ได้เจาะจงถึงอาร์ตแต่แรก แค่โพสต์เรื่องเวรกรรมทั่วไป แต่เห็นอาร์ตร้อนตัวก่อน จึงตอบกลับบ้าง ซึ่งล่าสุดหมออั้มโดนถล่มหนักจากแฟนคลับฝั่งตรงข้าม จึงเลือกจบดราม่า โพสต์ขอโทษอาร์ตชัดเจน พร้อมย้ำว่ายังคงสนับสนุนครอบครัวอาร์ตเหมือนเดิม

ทว่าอาร์ตกลับไม่จบง่ายๆ ตอกกลับแรงในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมถล่มยับ “ไม่ต้องมาสนับสนุนครอบครัวกู” และแฉว่าหมออั้มเป็นฝ่ายได้ผลประโยชน์จากเรื่องประกัน ไม่ใช่บุญคุณใดๆ 

งานนี้เรียกได้ว่าดราม่าระอุไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายหนึ่งเลือกจบ แต่อีกฝ่ายยังเดินหน้าฟาดต่อ ทำเอาชาวโซเชียลจับตาตอนต่อไปว่าเรื่องนี้จะไปจบที่ศาล โหนกระแส หรือโพสต์เฟซบุ๊กโต้กันเดือดอีกระลอก!

2 นักศึกษาฟีโบ้ มจธ. โชว์นวัตกรรมสร้างอาชีพ “ปิ้ง ปิ้ง หุ่นยนต์ปิ้งหมู” ช่วยแม่ค้าไม่ต้องเปลืองแรง

“ปิ้ง ปิ้ง หุ่นยนต์ปิ้งหมู” เป็นผลงานการออกแบบและพัฒนาโดย นายวริทธิ์ธร คงหนู หรือ เด่น และ นายชวภณ วชิรานิรมิตหรือ ไออุ่น นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่ได้แรงบันดาลใจจากร้านขายหมูปิ้ง 

“พวกเราเดินผ่านร้านหมูปิ้งแถวมหาวิทยาลัยทุกวัน ก็เห็นแม่ค้าต้องยืนปิ้ง ยืนพลิกหมูอยู่ตลอดเวลา บางวันมีออเดอร์เยอะก็ต้องคอยพลิกไม้หลายรอบกว่าจะสุก ลูกค้าต้องยืนรอ เลยคิดว่า ถ้ามีหุ่นยนต์มาช่วยปิ้งแทนได้ ก็น่าจะช่วยให้แม่ค้าไม่ต้องเสียแรงมาก แถมยังมีเวลาทำอย่างอื่น เช่น รับลูกค้า เตรียมของ หรือพูดคุยกับลูกค้าได้มากขึ้น” วริทธิ์ธร หรือ เด่น กล่าวถึงแรงบันดาลใจ

วริทธิ์ธร กล่าวว่า เริ่มต้นก็มาดูขั้นตอนการปิ้งหมูเป็นอย่างไร ถ้าเราทำเป็นระบบออโตเมชันเราต้องทำอะไรบ้าง ปกติการปิ้งทำกันอย่างไร มีการหยิบ จับ เคลื่อนย้าย หรือการพลิกหมู การตรวจดูว่าหมูสุกหรือยัง แล้วเราก็มาแบ่งส่วนที่จะพัฒนาว่า จะพัฒนาอะไรก่อน ซึ่งตัวหุ่นยนต์ Demo 1 เราเริ่มจากการพัฒนาในส่วนของการพลิกหมูให้ได้บนเตา แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ตัวระบบควบคุม การออกแบบตัวจับและโครงสร้างของเตา ตลอดจนการคำนึงถึงข้อจำกัดต่างๆ

กลไกการทำงานของหุ่นยนต์ 'ปิ้ง ปิ้ง' คือการนำแขนกลที่สามารถทำงานร่วมกับคน (Co-operation Robot) มาพัฒนาให้ช่วยพลิกหมูปิ้ง โดยหุ่นยนต์จะค่อย ๆ พลิกหมูทีละไม้ ส่วนคนจะเป็นผู้ตรวจดูว่าหมูไม้ไหนสุกแล้วจึงหยิบออก ส่วนไม้ที่ยังไม่สุก หุ่นจะทำหน้าที่พลิกต่อไปโดย Demo 1 หุ่นยนต์สามารถพลิกหมูได้ครั้งละ 8 ไม้ และพลิกได้แค่ด้านเดียว เพราะเตายังมีขนาดเล็ก ขณะเดียวกัน หมูแต่ละไม้มีขนาดและวิธีเสียบที่ต่างกัน จึงสุกไม่พร้อมกันทั้งหมด ทีมจึงออกแบบให้หุ่นพลิกหมูอย่างเป็นจังหวะไม้ต่อไม้ และเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างคนกับหุ่นยนต์ เพื่อแบ่งเบาภาระและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

สำหรับแนวทางการพัฒนาในอนาคต ชวภณ หรือ ไออุ่น กล่าวว่า หากพัฒนาต่อ Demo 2 ก็อยากจะพัฒนาให้หุ่นรู้ว่าจะต้องพลิกหมูไม้ไหน และสามารถดูความสุกของหมูได้ รู้ว่าหมูไม้ไหนสุก ไม้ไหนยังไม่สุก โดยตอนนี้กำลังศึกษาว่าจะให้หุ่นดูความสุกของหมูได้อย่างไร เพราะการทําหมูปิ้ง จุดที่สุกก่อนจะอยู่ด้านล่างด้านที่โดนความร้อน ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้จากด้านบน รวมถึงเพิ่มระบบที่ให้หุ่นยนต์นำหมูที่สุกแล้วออกไปวางบนถาด และหยิบหมูสดไม้ใหม่ออกมาปิ้งบนเตาได้ รวมทั้งจะเพิ่มความเร็วในการพลิกหมู และระบบควบคุมความร้อนของเตาให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

วริทธิ์ธร กล่าวเสริมว่า“การได้ลงมือพัฒนา ปิ้ง ปิ้ง เป็นเหมือนโจทย์ที่ทำให้เราได้ทดลองทำโครงการหรือโปรเจกต์ร่วมกับอาจารย์ และทำให้เราได้ต่อยอดความรู้จากสิ่งที่เรียนมา ได้ทดลองกับอุปกรณ์หลายอย่าง ได้เรียนรู้ว่าเราจะต้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ได้ประสบการณ์การทำงาน ได้คิด วิเคราะห์ และเพิ่มทักษะมากขึ้น”

“ปิ้ง ปิ้ง หุ่นยนต์ปิ้งหมู” คือหนึ่งในผลงานของนักศึกษาฟีโบ้ที่จัดแสดงในงานครบรอบ 30 ปีของสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) ภายใต้ธีม 'Robotics ไทยแทร่' ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา โดย ผศ. ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม อธิบายว่า ธีมไทยแทร่ต้องการสร้างบรรยากาศสนุกสนานแบบงานวัด เพื่อให้นักศึกษาได้ออกแบบหุ่นยนต์ที่สะท้อนวัฒนธรรมไทยอย่างมีชีวิตชีวา และอาหารปิ้งย่างซึ่งเป็นของคุ้นเคยบนถนนเมืองไทยจนกลายเป็นโจทย์หลักให้ทีมพัฒนาหุ่นยนต์ชุดนี้ โดยใช้พื้นฐานความรู้ด้านหุ่นยนต์และอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการของฟีโบ้นำไปพัฒนาต่อยอด จนเกิดเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่เพียงแต่โชว์ไอเดียสนุก ๆ ในงานนิทรรศการ แต่ยังเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ที่มีพลังให้นักศึกษาได้ฝึกตั้งแต่การออกแบบฟังก์ชัน เลือกเทคโนโลยี ประเมินต้นทุน ไปจนถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจากการใช้งานจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินกว่าการเรียนในห้องหรือการทำโปรเจกต์บนกระดาษ 

ผศ. ดร.สุภชัย เน้นว่า “เทคโนโลยีไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่ต้องตอบโจทย์การใช้งานจริง และคุ้มค่าในการลงทุน แม้หุ่นยนต์ปิ้งหมูเวอร์ชันต้นแบบจะยังไม่พร้อมสำหรับร้านค้าทั่วไป แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกของการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์และ AI ในธุรกิจอาหาร โดยอาจต่อยอดได้ทั้งในร้านอาหารระดับพรีเมียม หรือใช้สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในกิจกรรมการตลาด ซึ่งต่อเนื่องจากผลงานด้านเทคโนโลยีอาหารของฟีโบ้ที่ผ่านมา เช่น หุ่นยนต์ลวกก๋วยเตี๋ยว หุ่นยนต์ตักไอศกรีม และหุ่นยนต์ชงน้ำ ที่เคยสร้างการเปลี่ยนแปลงจากระบบแรงงานคนสู่ระบบอัตโนมัติในชีวิตประจำวัน”

นอกจาก ปิ้ง ปิ้ง ยังมีผลงานของนักศึกษาทุกชั้นปีทั้ง ป.ตรี โท เอก ที่นำมาจัดแสดงมากมาย และได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเข้ามาติดต่อเพื่อนำไปต่อยอดหรือร่วมกับนักศึกษาในการพัฒนาต่อไป อาทิ กรอบรูป ราชรถ หุ่นยนต์สายมู (เตลู) ลงยันต์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำบทบาทของฟีโบ้ ที่ไม่เพียงเป็นสถาบันผลิตวิศวกรหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ แต่ยังเป็นแหล่งบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์และการลงมือทำจริง นักศึกษาไม่ได้เรียนแค่ทฤษฎีหรือวิธีสร้างหุ่นยนต์ แต่เรียนรู้จากโจทย์จริงของสังคม ผ่านการฝึกคิด ฝึกแก้ปัญหา และพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมติดอาวุธทั้ง Upskill, Reskill และ Newskill ที่จำเป็นต่อโลกยุคใหม่

ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

(27 พ.ค. 68) พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 นำกำลังพลจิตอาสาจากทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1, กองพันซ่อมบำรุง กรมสนับสนุนกองพลนาวิกโยธิน, กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 21 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2, หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง, เทศบาลตำบลบางเสร่, เทศบาลตำบลเกล็ดแก้ว ตลอดจนคณะครูและนักเรียนโรงเรียนเกล็ดแก้ว ร่วมจัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ณ โรงเรียนเกล็ดแก้ว ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี รวมถึงกิจกรรมเก็บขยะบริเวณชายหาดหน้าโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ

กิจกรรมประกอบด้วย การปรับปรุงภูมิทัศน์ ตัดหญ้า ลอกรางระบายน้ำ ทำความสะอาดบริเวณโรงเรียนเกล็ดแก้ว และเก็บขยะบริเวณชายหาด เพื่อเสริมสร้างจิตสาธารณะ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือกับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพเรือ

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และบำเพ็ญประโยชน์ถวายเป็นพระราชกุศล

สมนึก เชื้อสนุก  รายงาน

แรงดึงดูดของบ้าน...มากกว่ากรีนการ์ดอเมริกัน คนไทยในสหรัฐฯ เลือกกลับ ถ้าเทียบกับชาติอื่นในเอเชีย

(26 พ.ค. 68) ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ลงคลิปวิดีโอทางช่อง YouTube ของตนเอง โดยแชร์สาระน่ารู้ในเรื่อง..อะไรทําให้คนไทยแตกต่างจากคนเอเชียชาติอื่น เวลาที่พวกเราไปเรียนที่อเมริกา? 

ความแตกต่างที่น่าสนใจระหว่างนักศึกษาไทยและนักศึกษาเอเชียชาติอื่นในสหรัฐอเมริกาคือเป้าหมายหลังสำเร็จการศึกษา โดยนักศึกษาไทยส่วนใหญ่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเดินทางกลับมาทำงานและใช้ชีวิตในประเทศไทย สวนทางกับนักศึกษาจากชาติเอเชียอื่นจำนวนมากที่มองหาโอกาสในการตั้งถิ่นฐานถาวรในสหรัฐฯ อ้างอิงข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ตรงที่ศึกษาในสหรัฐฯ ช่วงปี 1990 ถึง 2004 ยืนยันเรื่องดังกล่าว และยังคงเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนจนถึงปัจจุบัน

สถิติล่าสุดในปี 2022 ชี้ว่า จากจำนวนนักศึกษาไทยประมาณ 5,000 คนในสหรัฐฯ มีเพียงราว 15% เท่านั้นที่เลือกทำงานต่อหลังเรียนจบ ซึ่งแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับชาติอื่น ในช่วงทศวรรษ 1990 นักศึกษาจีนเกือบ 90% เลือกที่จะไม่กลับประเทศ ขณะที่นักศึกษาอินเดีย โดยเฉพาะในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีอัตราการอยู่ต่อสูงถึง 87% และผู้ที่จบปริญญาเอก STEM ระหว่างปี 2000-2015 (ข้อมูลปี 2017) เช่นเดียวกับนักศึกษาจากเกาหลีใต้และไต้หวันจำนวนไม่น้อยที่มุ่งหวังจะอยู่อาศัยในอเมริกาอย่างถาวร

ปัจจัยหลักที่ดึงดูดให้นักศึกษาไทยกลับบ้านเกิดคือความผูกพันกับครอบครัว ความคุ้นเคยกับสังคมและวัฒนธรรมไทย รวมถึงความรักในประเทศชาติ ทำให้ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีโครงการพิเศษเพื่อดึงดูดคนกลับเหมือนที่รัฐบาลจีนริเริ่มโครงการ “เต่าทะเล” (Sea Turtles) ตั้งแต่ปี 2010 เพื่อเชิญชวนคนเก่งกลับไปพัฒนาประเทศ เสน่ห์ของประเทศไทย ทั้งวัฒนธรรม อาหาร และความสัมพันธ์ในครอบครัว ถือเป็นแรงจูงใจสำคัญ

แม้จำนวนนักศึกษาไทยในสหรัฐฯ จะลดลงจากประมาณ 11,600 คนในปี 2000 เหลือราว 5,000 คนในปี 2022 แต่แนวโน้มการกลับประเทศยังคงสูงอยู่เสมอ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยจำนวนมากมองว่าการไปศึกษาต่อต่างประเทศคือการเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์เพื่อนำกลับมาพัฒนาบ้านเกิด มากกว่าจะเป็นบันไดสู่การย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่คนไทยเลือก “กลับบ้าน” ในขณะที่คนชาติอื่นอาจเลือก “จากบ้าน” ไปหาโอกาสที่ดีกว่าในต่างแดน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top