Thursday, 24 April 2025
NEWS

‘เจือ ราชสีห์’ ร่วมกับ ‘กกพ.’ พี่น้อง อสม.ในเทศบาลนครสงขลา บูรณาการความร่วมมือ!! สร้างเครือข่ายคุ้มครอง ผู้ใช้ไฟฟ้า

(22 มี.ค. 68) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรีและของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายเอกประพันธ์ อักษรพันธ์ ผู้อำนวยการเขต สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานประจำเขต 12 (สงขลา) และเครือข่ายสาธารณสุข รวม 70 คนเข้าร่วม โดยมีนายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา กรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นประธานเปิดการเสวนาเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ในการส่งเสริมการคุ้มครอง ผู้ใช้พลังงานที่เป็นผู้ป่วย ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการเดินเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการรักษาพยาบาล ไม่ให้ได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการงดจ่ายไฟฟ้า โดยมีเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุข ในเขตเทศบาลนครสงขลาเข้าร่วมในการสร้างความเข้าใจ รวมถึงให้ข้อมูลครัวเรือนที่มีผู้ป่วยติดเตียง เพื่อร่วมป้องกันปัญหาการสูญเสียชีวิตจากการงดจ่ายกระแสไฟฟ้า กระทรวงพลังงาน พร้อมนำร่องไม่ดับไฟฟ้าในครัวเรือนที่มีผู้ป่วยติดเตียง ในจังหวัดสงขลา ป้องกันผู้ป่วยเสียชีวิต ในขณะที่ครัวเรือนที่ต้องดูแลผู้ป่วยติดเตียงต่างยินดี เพราะสามารถลดภาระในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงได้มาก

"นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรีและของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากการลงพื้นที่นั้นพบว่าครัวเรือนที่มีผู้ป่วยติดเตียงนั้นมีความกังวลกับปัญหาไฟฟ้าดับ รวมถึงการถูกงดจ่ายกระแสไฟฟ้า ซึ่งบางรายนั้นต้องเช่าเครื่องปั่นไฟ บางรายต้องหอบหิ้วผู้ป่วยไปโรงพยาบาล จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องเติมเต็ม โดยจะเริ่มนำร่องในการไม่ตัดกระแสไฟฟ้าในครัวเรือนที่มีผู้ป่วยติดเตียง โดยขอให้ อสม.ประสานระหว่างครัวเรือนที่มีผู้ป่วยติดเตียงกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนำร่องในเขตเทศบาลนคร สงขลา และกระจายออกไปทั่วทั้งจังหวัด

ผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงรายหนึ่งในเขตเทศบาลนครสงขลาบอกว่า ยินดีที่มีการนำร่องในประเด็นนี้ เพราะที่ผ่านมาหากมีไฟฟ้าดับ ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ก็จะใช้ถังออกซิเจนแทน แต่หากดับนานกว่า 1 ชั่วโมงก็จะต้องย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลซึ่งเป็นปัญหาและส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย ซึ่งเมื่อมีการให้ข้อมูลกับทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในอนาคตหากมีการดับไฟที่ทราบล่วงหน้า ก็จะมีการเตรียมเครื่องปั่นไฟมาให้ใช้ และหากค้างค่าไฟฟ้า ก็จะไม่มีการงดจ่ายกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่มีความเห็นใจครอบครัวที่ต้องดูแลผู้ป่วยติดเตียง

โดยปัญหาการตัดไฟฟ้าเคยทำให้ผู้ป่วยติดเตียงที่จังหวัดนครพนมเสียชีวิตเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ทำให้ครอบครัวที่มีผู้ป่วยติดเตียงกังวล และรู้สึกยินดี ปัญหานี้ถูกหยิบยกขึ้นมาให้ความสำคัญนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

เปิดตัว ‘MG IM6’ เสริมทัพ!! พรีเมียมอีวี ชาร์จเร็วที่สุดในประเทศไทย ในเวลานี้

(22 มี.ค. 68) บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย เผยทิศทางและแผนการดำเนินธุรกิจในไทยตั้งเป้าปีนี้ ครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 5% และมุ่งก้าวสู่ ท็อป 5 ในตลาดยานยนต์ไทย ภายในทศวรรษที่ 2 ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า และ ไฮบริด รุ่นใหม่ เพิ่มเติมพอร์ตโฟลิโอภายในปี 2026 เพื่อขับเคลื่อนแบรนด์สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เติมเต็มพรีเมียมอีวี NEW MG IM6 เข้าเสริมทัพ ชูจุดเด่น The First-ever Premium Intelligent e-SUV ที่มาพร้อมกับความสามารถในการชาร์จเร็วที่สุดในประเทศไทย ณ เวลานี้ ฟังก์ชันครบถ้วน พร้อมแรงม้าสูงถึง 778 แรงม้า สะท้อนภาพยนตรกรรมที่ล้ำสมัย มอบความตื่นเต้นให้ลูกค้า พร้อมส่งมอบในช่วงเมษายนนี้

เอ็มจี ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญในวงการยานยนต์ไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพสูงที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อนในหลากหลายเซกเมนต์ด้วยจุดเด่นของฟีเจอร์ที่ครบถ้วนและราคาที่เข้าถึงง่าย ด้วยยอดขายสะสม ณ ปัจจุบันรวมกว่า 220,000 คัน ทั้งยังมียอดการส่งออกรถยนต์จากฐานการผลิตในไทยไปยังภูมิภาคอาเซียนแล้วมากกว่า 32,000 คัน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จที่ได้รับความเชื่อมั่นไม่เพียงแค่ ตลาดภายในประเทศ แต่ยังขยายไปสู่การเติบโตในระดับภูมิภาคได้อย่างมั่นคง ในทศวรรษที่ 2 เอ็มจี ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดย เอ็มจี มีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ และรถไฮบริด เพิ่มเติมภายในปี 2026 เริ่มต้นด้วย NEW MG IM6 ยนตรกรรมไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นเรือธง ที่จะเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียมอีวี และ B-SUV ไฟฟ้าล้วน อย่าง NEW MG S5 EV ที่จะเปิดตัวในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 พร้อมเสริมทัพแผนการขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพลังงานทางเลือกตามเทรนด์โลก และมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1) การตอกย้ำความเป็นผู้บุกเบิกด้านยานยนต์ไฟฟ้าในไทยด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง เอ็มจี มุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าที่เน้นสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยและคุ้มค่า โดยภายในปี 2026 เอ็มจี เตรียมขยายไลน์อัพรถไฟฟ้าใหม่ ทั้ง SUV และ MPV นอกจากนี้ เอ็มจี ยังเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่มอบการรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ มอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์สำคัญของแบรนด์ เพื่อคลายความกังวลเกี่ยวกับความทนทานของระบบไฟฟ้าและเพิ่มมูลค่าให้กับรถมือสอง ทั้งยังให้ความสำคัญกับการยกระดับโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เพื่อให้พร้อมต่อการขยายตัวในการใช้รถอีวี

2) การพัฒนายานยนต์พลังงานทางเลือก เพื่อเสริมประสิทธิภาพและยกระดับประสบการณ์การขับขี่ เอ็มจี เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดภายใต้แนวคิด “Global Quality, Local Relevance” ด้วยการนำเทคโนโลยีไฮบริดเจเนอเรชันที่ 2 จาก SAIC MOTOR CORPORATION มาชูจุดเด่นด้านสมรรถนะที่ดีขึ้น การประหยัดน้ำมันที่เหนือกว่า และการขับขี่ที่นุ่มนวล พร้อมคงความคุ้มค่าในการใช้งาน พร้อมกันนี้ เอ็มจี ยังเตรียมขยายไลน์อัพรถยนต์ไฮบริดอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดตัวรุ่นใหม่ภายในปี 2026 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยทั้งในกลุ่มครอบครัวและกลุ่มที่มองหาความประหยัดเป็นหลัก

3) สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าในทุกด้าน สำหรับ เอ็มจี เรามุ่งมั่นยกระดับบริการหลังการขายให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนา E-Workshop ระบบบริการดิจิทัล ที่ให้ลูกค้าติดตามงานซ่อมได้แบบเรียลไทม์ สะดวก และมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ เรายังตั้งเป้าอัตรา การจัดหาอะไหล่ 99% เพื่อให้บริการได้รวดเร็ว ลดระยะเวลารอคอย พร้อมเสริมด้วยบริการ ช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง และการดูแลแบบใส่ใจรายบุคคล เพราะที่ เอ็มจี เราเชื่อว่า ลูกค้าทุกคนคือคนสำคัญ และเราพร้อมดูแลตลอดการเดินทาง

4) การขับเคลื่อนแบรนด์สู่ความยั่งยืน พร้อมเคียงข้างสังคมไทย ในปีนี้ เอ็มจี จะยังคงเดินหน้าพันธกิจนำแบรนด์สู่ความยั่งยืน โดยบูรณาการความร่วมมือกับทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนาองค์กรและสังคมไปพร้อมกัน ทั้งยังสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคม และมุ่งถ่ายทอดทักษะด้านนวัตกรรมในการพัฒนาเทคโนโลยี NEV ด้วยเผยการขยายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อต่อยอดสู่การพัฒนาทักษะในอนาคตและสร้างบุคลากรเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีคุณภาพ

ไฮไลต์สำคัญภายในงานกับการเปิดตัว NEW MG IM6 ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ของแบรนด์ เอ็มจี ซึ่ง NEW MG IM6 ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “ขับเคลื่อนตัวตน บนความเป็นตัวเอง” (I'M WHO I’M) โดยนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ เติมเต็มทั้งความหรูหราและการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหารถเอสยูวีคูเป้ไฟฟ้าที่ไม่เพียงแค่มอบสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังสะท้อนถึงตัวตนของผู้ขับขี่ผ่านการออกแบบที่โดดเด่นและแตกต่างอย่างมีสไตล์ ซึ่งยนตรกรรมรุ่นนี้ได้รับรางวัล 2024 Red Dot Product Design Award ด้วยดีไซน์ภายนอกที่เรียบหรู ภายใต้คอนเซ็ปต์ Gentle Sculpture ทั้งยังคำนึงถึงการใช้หลักอากาศพลศาสตร์ หรือ Aero Dynamics ในการออกแบบเพื่อช่วยเสริมสมรรถนะและเพิ่มประสิทธิภาพของตัวรถได้อย่างลงตัว ผสานกับการออกแบบภายในที่เน้นความสะดวกสบาย ด้วยเบาะ POPO Sofa รูปทรงขนมปังที่มอบความนุ่มนวล ไม่ว่าเส้นทางไหนก็นั่งสบายตลอดทาง เสริมความบันเทิงด้วยหน้าจออัจฉริยะระบบสัมผัส Intelligent Immersive Touch Screens จำนวน 2 จอขนาดใหญ่ ประกอบด้วย หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัลขนาด 26.3 นิ้ว และหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 10.5 นิ้ว ที่รองรับระบบสั่งการอัจฉริยะ IM OS ที่ได้รับการพัฒนาโดย Alibaba Group ซึ่งระบบดังกล่าวยังได้รับรางวัล Red Dot Design Award สาขา Brand & Communication Design รวมถึงระบบลำโพงรอบทิศทาง 20 ตำแหน่ง ให้ลูกค้าได้เต็มอิ่มกับเครื่องเสียงรอบทิศทางขณะการเดินทาง

โดย ‘MG IM6’ เปิดตัวมาสองรุ่น ในราคาดังนี้
- รุ่น Premium ราคา 1,399,900 บาท
- รุ่น Performace ราคา 1,799,900 บาท

NEW MG IM6 ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่โดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะและเทคโนโลยีระดับสูง ด้วยแชสซีดิจิทัลอัจฉริยะ IM Digital Chassis ที่มอบความสมดุลและประสิทธิภาพการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม มาพร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุดที่ 778 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 802 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 100 kWh ที่รองรับแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 875 โวลต์ ทำให้สามารถวิ่งได้ระยะทาง 634 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC มาพร้อมระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้ออัจฉริยะ (Intelligent Four-Wheel Steering System) ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเลนในความเร็วสูงเสถียรและการกลับรถในที่แคบได้อย่างง่ายดาย รวมถึงระบบ One Touch iAD ที่ช่วยในการถอยจอดด้านข้าง (One Touch Side Parking) รวมถึง การจอดและออกจากช่องจอดรถในพื้นที่จำกัด (One Touch Escape) และการถอยหลังอัตโนมัติเมื่อขับเจอซอยตัน (One Touch Reverse) สะดวกสบายด้วยฟังก์ชัน Crab Mode เพื่อปรับมุมทั้ง 4 ล้อ ในมุมเดียวกันเพื่อทำการเคลื่อนรถออกจากพื้นที่จำกัด นอกจากนี้ยังมีระบบ Cooling System เจเนอเรชันใหม่ที่สามารถระบายความร้อนถึง 15 องศาเซลเซียส ภายในเวลาเพียง 30 วินาที และมอบความขั้นกว่าด้วยสถาปัตยกรรม 800V Dual SiC Platform ที่ทำให้ NEW MG IM6 เป็นรถที่ชาร์จไฟได้เร็วที่สุดในคลาสเดียวกันและยังสามารถเพิ่มระยะทาง การขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ อุ่นใจกับการใช้รถไฟฟ้าด้วยการรับประกันแบตเตอรี่ มอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ตลอดอายุการใช้งาน (LIFETIME WARRANTY) ปลอดภัยในทุกการเดินทาง ด้วยระบบ ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM และ ADAS รวมถึงระบบอำนวย ความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ที่ผ่านการทดสอบและรับรองมาตรฐานระดับ 5 ดาว จาก China NCAP พร้อมดีไซน์ระบบให้รองรับ EURO-NCAP ต่อไป นอกจากนี้ NEW MG IM6 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้เหนือกว่าทุกมาตรฐาน ด้วยระบบช่วยจอดอัตโนมัติ APA (Auto Park Assist) ที่ทำให้การจอดรถเป็นเรื่องง่ายดายแม้ในพื้นที่จำกัด และระบบอัจฉริยะแสดงผลในที่มืดและฝนตก (Intelligent Rainy Night Mode) ที่ช่วยให้การขับขี่ในสภาพอากาศที่ยากลำบากยังคงมีความชัดเจน อีกทั้งยังมีระบบช่วงล่างถุงลมอัจฉริยะ (Intelligent Air Suspension) ที่ไม่เพียงแต่ช่วยลด แรงกระแทกต่อพื้นถนนถึงห้องโดยสาร แต่ยังสามารถปรับระดับความสูงของช่วงล่างได้ถึง 3 ระดับ ตามลักษณะการขับขี่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความมั่นคงในทุกการเดินทาง

นาย ซู๋ว หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด กล่าวว่า “แม้ในปีที่ผ่านมา เอ็มจี จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เรามุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น โดยการพัฒนาแบรนด์ในทุกมิติ ทั้งในด้านประสิทธิภาพการผลิต การขยายเครือข่ายบริการหลังการขาย และการเพิ่มประสิทธิภาพ การดำเนินงานต่าง ๆ สำหรับการเปิดตัวและประกาศราคา NEW MG IM6 ครั้งนี้ เรามุ่งหวังที่จะสร้าง มาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยและยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตของแบรนด์ เอ็มจี นอกจากนี้ เรายังคงมุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในสังคมไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ระดับสากล โดยในปีนี้ เอ็มจี ตั้งเป้าหมายที่จะ เพิ่มส่วนแบ่งตลาด เป็น 5% พร้อมเดินหน้าแผนธุรกิจอย่างเข้มข้นเพื่อผลักดันสู่หมุดหมายใหญ่ในการขึ้นเป็น แบรนด์ 'ท็อป 5' ภายในทศวรรษที่ 2 ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย”

‘มาสด้า’ ฉลอง!! ครบรอบ 35 ปี MX-5 เปิดจอง NEW MAZADA MX-5 รุ่นลิมิเต็ด ตำนานความสนุกสนาน!! ในการขับขี่ ที่ได้รับการตกแต่งเป็นพิเศษ อย่างประณีต

(22 มี.ค. 68) มาสด้าแนะนำรถสปอร์ตโรดสเตอร์แบรนด์ไอคอนเจ้าของตำนานความสนุกสนานในการขับขี่ New Mazda MX-5 35th Anniversary Edition ที่ผลิตขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 35 ปี ของ MX-5 ได้รับการตกแต่งอย่างประณีต มอบความสปอร์ตสไตล์คลาสสิก แฝงด้วยความสปอร์ตทุกรายละเอียด มาพร้อมความพิเศษกับสีภายนอก Artisan Red Premium เอกสิทธิ์เฉพาะมาสด้า ภายในตกแต่งด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan สะท้อนความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พร้อม Serial number บ่งบอกความพิเศษที่ผลิตขึ้นจำนวนจำกัด วางราคาจำหน่าย 3,069,000 บาท และแคมเปญพิเศษช่วงเปิดตัว ฟรีประกันชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance และฟรีโปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี หรือ Mazda Ultimate Service พร้อมเปิดโอกาสให้แฟนพันธุ์แท้ชาวไทยจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้า MX-5 คือรถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุนหลังคาไฟฟ้าที่มีน้ำหนักเบา เจ้าของตำนานความสนุกสนานในการขับขี่ แบรนด์ไอคอนของมาสด้าที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลก โดยมาสด้า MX-5 เจนเนอเรชั่นแรก เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2532 ในงาน Chicago Auto Show ด้วยการเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์น้ำหนักเบา ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 เจนเนอเรชั่นที่สองก็ได้ถูกเปิดตัว สร้างชื่อเสียงกระหึ่มไปทั่วโลกจนได้รับการบันทึกลงในหนังสือ Guinness World Records ให้เป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์แบบสองที่นั่งที่ขายดีที่สุดในโลก ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 MX-5 เจนเนอเรชั่นที่สามก็ได้เปิดตัวขึ้น และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โรดสเตอร์ที่มาพร้อมหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลกเพียง 13 วินาที จนกระทั่งในปี 2558 จนถึงปัจจุบัน MX-5 เจนเนอเรชั่นที่สี่ ได้มีการพลิกโฉมอีกครั้ง โดยมาพร้อมกับดีไซน์ที่เฉียบคมและพลิ้วไหว ตามแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ ทำให้ได้ภาพลักษณ์ที่มีความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวอย่างชัดเจน และยังคงสร้างกระแสความนิยมในกลุ่มแฟน ๆ อย่างไม่เสื่อมคลาย ทำให้การผลิตในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 1.2 ล้าน คันทั่วโลก

“การแนะนำ New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษครบรอบ 35 ปี ครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมเฉลิมฉลองไปพร้อม ๆ กับแฟนมาสด้าทั่วโลก นับตั้งแต่รถรุ่นนี้ได้เปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรก และยังคงเป็นรถในเจนเนอเรชั่นที่สี่ ที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์ยอดนิยมของมาสด้าไว้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบที่พรีเมี่ยมสง่างาม ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา มีไดนามิกในการขับขี่ที่ดี พร้อมการควบคุมที่แม่นยำ มาพร้อมกับเครื่องยนต์วางหน้า และขับเคลื่อนล้อหลัง กระจายน้ำหนักหน้า-หลังแบบ 50:50 มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ พัฒนาโดยยึดหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ตามปรัชญา จินบะ-อิไต โดยผลิตจำนวนจำกัดเพื่อให้แฟน ๆ ทั่วโลก และนักสะสมชาวไทยได้ครอบครอง เชื่อว่ารถรุ่นนี้จะเป็นรถอีกโมเดลที่จะมาสร้างความสนุกสนานในการขับขี่ ทำให้แฟน ๆ สปอร์ตโรดสเตอร์ได้ภูมิใจที่ได้ครอบครองอย่างแน่นอน“ นายธีร์ กล่าว

Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี ได้รับการตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์เพื่อถ่ายทอดความพิเศษในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น สีภายนอกพิเศษ Artisan Red Premium ที่ได้รับผสมผสานตามแนวทาง ทาคุมิ-นูริ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการพ่นสีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า โดยเน้นแสงเงาและความมีมิติ ช่วยเพิ่มความสวยงามของตัวถังภายนอกให้โดดเด่นยิ่งขึ้น พร้อมความพิเศษด้วยสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition พร้อม Serial Number ที่บริเวณด้านข้างตัวถัง บ่งบอกถึงความพิเศษที่มีจำนวนจำกัด รวมถึงหลังคาแข็งที่สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สี Bright ที่ถ่ายทอดภาพลักษณ์สปอร์ตพรีเมี่ยมและความพิเศษได้อย่างมีเอกลักษณ์

ภายในห้องโดยสารของ New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี มาพร้อมความสปอร์ตพรีเมี่ยมที่พิเศษแตกต่างจากรุ่นปกติ ด้วยเบาะหุ้มหนังสีพิเศษ Sports Tan พร้อมสัญลักษณ์รุ่นพิเศษ 35th Anniversary Edition ที่บริเวณพนักพิงศีรษะ เบาะนั่ง และพรมปูพื้นห้องโดยสาร มาพร้อมพวงมาลัย หัวเกียร์ และเบรกมือหุ้มหนังสีดำ พร้อมด้วยสีพิเศษ Sports Tan กรอบช่องแอร์ตกแต่งด้วยสีพิเศษ Artisan Red Premium แผงคอนโซลและแผงประตูหุ้มด้วยหนังสีพิเศษ Sports Tan มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ ด้วย Apple CarPlay® และ Mazda Connect ที่สามารถแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมมอบสุนทรียภาพในการขับขี่ด้วยระบบเสียงคุณภาพ Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพงถึง 9 ตำแหน่ง

New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี ยังคงเอกลักษณ์ของมาสด้าด้านความสนุกสนานในการขับขี่ไว้อย่างเต็มเปี่ยม ตามหลักปรัชญา จินบะ-อิไต (Jinba-Ittai) ที่ถ่ายทอดความรู้สึกความเป็นหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคนกับรถ มาพร้อมเครื่องยนต์ SKYACTIV-G 2.0 เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้สมรรถนะความแรงสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับพรีเมี่ยมอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง ระบบสัญญาณเตือนกันขโมย และระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด นอกจากนั้น รถรุ่นนี้ยังมาพร้อม ระบบความปลอดภัยสุดล้ำ i-Activsense มากมายหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็น

• ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring)
• ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System)
• ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps)
• ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ แบบ Advance (Advanced Smart Brake Support)
• ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
• ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R (Smart Brake Support-Reverse)
• ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)
• ระบบช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง SBS-RC (Smart Brake Support- Rear Crossing)

New Mazda MX-5 รุ่นพิเศษ ครบรอบ 35 ปี มาพร้อมสีภายนอก Artisan Red Premium โดยวางราคาจำหน่ายที่ 3,069,000 บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับแฟน ๆ MX-5 ที่สนใจร่วมเป็นหนึ่งกับความภาคภูมิใจไปพร้อมกับแฟนมาสด้าทั่วโลกที่จะได้ครอบครองรถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นพิเศษนี้ สอบถามรายละเอียดได้ที่ผู้จำหน่ายมาสด้าทั่วประเทศ หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.mazda.co.th

ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วยกรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ เยี่ยมบำรุงขวัญกำลังใจตำรวจ EOD ภ.จว.ปัตตานี ที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่...

ตามที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบนโยบายให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแล ช่วยเหลือ สร้างขวัญกำลังใจ ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด และมอบหมายให้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลลักษณะงานสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และด้านสมาคมแม่บ้านตำรวจ คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้มีนโยบายในการสนับสนุนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของครอบครัวตำรวจ โดยได้จัดทำโครงการหลายโครงการที่มุ่งเน้นช่วยเหลือข้าราชการตำรวจและครอบครัว เช่น โครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” (ด้านตำรวจทุพพลภาพ) ที่จะดูแลช่วยเหลือ บำรุงขวัญกำลังใจข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ หรือทุพพลภาพ จากการปฏิบัติหน้าที่

ล่าสุดวันนี้ (22 มี.ค.68) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย คุณนภัสนันท์ วุฒิจรัสธำรงค์ กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ ระดับ ตร./ประธานที่ปรึกษาโครงการ“ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” (ด้านตำรวจทุพพลภาพ) และ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (ผบช.ภ.9) พร้อมด้วย พล.ต.ท.หญิง อาภาพรรณ ชลศึกษ์ ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 9 , พ.ต.อ.มนัส รุ่งนาค หัวหน้าสำนักงานสมาคมแม่บ้านตำรวจ และคณะสมาคมแม่บ้านตำรวจ เยี่ยมบำรุงขวัญกำลังใจ ด.ต.เกษม บัวเทศ ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) กก.ปพ.ภ.จว.ปัตตานี ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ รักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2565 เวลาประมาณ 03.10 น. เกิดคนร้ายลอบวางระเบิดริมถนนสายชนบท หมู่ 6 บ้านแป้น กับหมู่ 8 บ้านละหาร อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เช้าวันรุ่งขึ้นหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) กก.ปพ.ภ.จว.ปัตตานี เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบวัตถุต้องสงสัยวางอยู่ริมถนน ระหว่างพยายามปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ ได้เกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ EOD ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ซึ่ง 2 ราย อาการดีขึ้นสามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ ส่วน ด.ต.เกษมฯ อยู่ใกล้จุดระเบิดมากที่สุด มีบาดแผนฉีกขาดบริเวณต้นขาขวา มือซ้ายหัก นิ้วมือด้านซ้ายฉีกขาด ได้รับบาดเจ็บบริเวณตาทั้งสองข้าง อาการสาหัส ต้องรักษาอาการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งล่าสุดอาการดีขึ้นตามลำดับ และแพทย์อนุญาตให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านในเร็วๆ นี้

โอกาสนี้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ฯ เป็นตัวแทน ผบ.ตร. มอบกระเช้าสิ่งของอุปโภคบริโภค และเงินช่วยเหลือ  , คุณนภัสนันท์ฯ เป็นตัวแทนนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ มอบเงินช่วยเหลือของสมาคมแม่บ้านตำรวจ และมอบเงินส่วนตัว รวมทั้ง ผบช.ภ.9 และประธานชมรมแม่บ้านตำรวจ ภ.9 ได้ร่วมมอบเงิน เพื่อช่วยเหลือ ด.ต.เกษมฯ และครอบครัว อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และส่งเสริมขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้อุทิศตนเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่

‘ISUZU’ จัดการแข่งขันทักษะ!! ด้านการขาย บริการหลังการขายประจำปี 2567 จัดกิจกรรมการแข่งขัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความพึงพอใจสูงสุด ให้แก่ลูกค้า

(22 มี.ค. 68) อีซูซุตอกย้ำความเป็นผู้นำวงการรถยนต์เมืองไทย เดินหน้าพัฒนาบุคลากรมืออาชีพ จัดกิจกรรมการแข่งขันทักษะด้านการขายและบริการหลังการขายประจำปี 2567 ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 1,320,000 บาท ให้บุคลากรได้แข่งขันเเละโชว์ทักษะความรู้ความสามารถทั้งส่วนงานขายและบริการหลังการขาย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี โดยอีซูซุได้จัดกิจกรรมนี้ต่อเนื่องมากกว่า 30 ปี

ทั้งนี้ภายในงานยังมีการร่วมแสดงความยินดีกับช่างอีซูซุซึ่งเป็นตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันทักษะระดับนานาชาติ หรือ I-1 Grand-Prix ประเภทรถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ หรือ CV Division ประจำปี 2024 ซึ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศ จากผู้เข้าแข่งขันรวมทั้งสิ้น 35 ประเทศ ได้แก่ คุณณัฐวุฒิ พลฤทธิ์ พนักงานช่างยนต์ รถบรรทุกขนาดกลาง-ใหญ่ จากบริษัท อีซูซุอันดามันเซลส์ จำกัด และ คุณณัฐพงศ์ วังเขียว พนักงานช่างยนต์ รถบรรทุกขนาดกลาง-ใหญ่ บริษัท ธาราลำพูนอีซูซุเซลส์ จำกัด

มร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “เพื่อการเติบโตภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายในปัจจุบัน เรามุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพงานบริการทั้งในด้านการขายและบริการหลังการขาย โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้าตลอดการใช้งานของรถอีซูซุ นอกจากนี้การเตรียมความพร้อมด้านความรู้และทักษะที่เหมาะสมของบุคลากรยังเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญของ ผู้จำหน่าย เพื่อให้กลายเป็น “Trusted Buddy” ที่ลูกค้าสามารถพึ่งพาได้ทุกเมื่อ การแข่งขัน “ทักษะด้านการขายและบริการหลังการขายอีซูซุ” จึงเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมทุกท่านได้แสดงความรู้และทักษะ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการของอีซูซุให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น”

การแข่งขันทักษะด้านการขายและบริการหลังการขายอีซูซุ ประจำปี 2567 รอบชิงชนะเลิศนี้ ผู้เข้าแข่งขันต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มข้นตามมาตรฐานการปฏิบัติงานแต่ละด้าน ประกอบด้วยการแข่งขัน 6 ประเภท สำหรับรอบชิงชนะเลิศนี้มีเจ้าหน้าที่ผ่านเข้ารอบทั้งสิ้น 107 คน จากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 617 คน

ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดต้องผ่านการคัดเลือกทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติในรอบคัดเลือก และสำหรับการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศนั้น ผู้เข้าแข่งขันต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มข้นตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน แต่ละด้าน ซึ่งทุกด้านของการแข่งขันล้วนมีส่วนสำคัญเพื่อเพิ่มศักยภาพของการขายและการบริการหลัง การขาย โดยมีคณาจารย์จากสถาบันการศึกษาชั้นนำให้เกียรติร่วมเป็นกรรมการตัดสินในครั้งนี้ด้วย โดยผลการแข่งขันมีดังนี้

● รางวัลชนะเลิศ ที่ปรึกษาการขาย รถปิกอัพและรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ ได้แก่
คุณณัฐพล พึ่งประชา จาก บริษัท อีซูซุนครหลวง จำกัด

● รางวัลชนะเลิศ ที่ปรึกษาการขาย รถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ ได้แก่
คุณมงคลชัย วงศ์มหาศิริกุล จาก บริษัท อีซูซุนครหลวงมอเตอร์ จำกัด

● รางวัลชนะเลิศ พนักงานช่าง รถปิกอัพและรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ ได้แก่
คุณสุวัฒน์ จันทร จาก บริษัท ชลบุรีอีซูซุเซลส์ จำกัด

● รางวัลชนะเลิศ พนักงานช่าง รถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ ได้แก่
คุณชัยวัฒน์ ศรีจันทร์ จาก บริษัท อึ้งง่วนไต๋อีซูซุเซลส์ จำกัด

● รางวัลชนะเลิศ พนักงานมัลติฟังก์ชัน (ที่ปรึกษางานบริการและเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์) ได้แก่
คุณธงชัย เย็นรักษา จาก บริษัท อีซูซุอันดามันเซลส์ จำกัด

● รางวัลชนะเลิศ พนักงานอะไหล่ ได้แก่
คุณมงคล พลฤทธิ์ จาก บริษัท อีซูซุอันดามันเซลส์ จำกัด

ร่วมติดตามและอัปเดตข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.isuzu-tis.com หรือ LINE: @isuzuthai

ผู้ช่วยฯ ผบ.ตร.พร้อมคณะแม่บ้าน ตรวจเยี่ยม ด.ต. เกษม บัวเทศผบ.หมู่ กก.ปฏิบัติการพิเศษ ภ.จว.ปัตตานี ได้รับบาดเจ็บฯจากเหตุระเบิดที่อ.สายบุรี 

(22 มี.ค.68) เวลา 10.00 น.ที่ห้อง 1421 ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ​ รพ.พระมงกุฎเกล้า พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.(บร 2)เปิดเผยว่า ตามนโยบายเน้นหนักของ ผบ.ตร. ข้อ 15 เรื่องสวัสดิการของข้าราชการตำรวจ ตามคำสั่ง ตร. ที่ 578/2567 ลง 26 พ.ย.2567 และคำสั่ง ตร. ที่ 609/2567 ลง 20 ธ.ค.2567 ประกอบบันทึกสั่งการ ผบ.ตร. ลง 24 ธ.ค.2567 ท้ายหนังสือ สง.รอง ผบ.ตร.(บร) ที่ 0001(บร)/20 ลง 23 ธ.ค.2567 เรื่อง การมอบอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบในงานบริหาร มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.(บร 2) รับผิดชอบกำกับการบริหารราชการ สกพ. รวมทั้งสั่งและปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร. ในลักษณะงานสวัสดิการ ตร. และตามนโยบายของสมาคมแม่บ้านตำรวจ โดยคุณกนกวรรณ  พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้ดำเนินโครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” (ด้านตำรวจทุพพลภาพ) ประจำปี 2568โดยให้ตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญกำลังใจ ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ จากการปฏิบัติหน้าที่  

พล.ต.ท.ธนายุตม์ กล่าวว่า ตามนโยบายเน้นหนักของ ผบ.ตร. ข้อ 15 เรื่องสวัสดิการของข้าราชการตำรวจ ตามคำสั่ง ตร. ที่ 578/2567 ลง 26 พ.ย.2567 และคำสั่ง ตร. ที่ 609/2567 ลง 20 ธ.ค.2567 ประกอบบันทึกสั่งการ ผบ.ตร. ลง 24 ธ.ค.2567 ท้ายหนังสือ สง.รอง ผบ.ตร.(บร) ที่ 0001(บร)/20 ลง 23 ธ.ค.2567 เรื่อง การมอบอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบในงานบริหาร มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.(บร 2) รับผิดชอบกำกับการบริหารราชการ สกพ. รวมทั้งสั่งและปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร. ในลักษณะงานสวัสดิการ ตร.และตามนโยบายของสมาคมแม่บ้านตำรวจ โดยคุณกนกวรรณ  พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้ดำเนินโครงการ “ครอบครัวตำรวจ เราไม่ทิ้งกัน” (ด้านตำรวจทุพพลภาพ) ประจำปี 2568โดยให้ตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญกำลังใจ ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ จากการปฏิบัติหน้าที่ 

โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.,พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร.(บร)มอบหมายให้ ตน พร้อมด้วยคุณนภัสนันท์ วุฒิจรัสธำรงค์กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ ระดับ ตร./ประธานที่ปรึกษาโครงการฯเดินทางไปตรวจเยี่ยม ด.ต. เกษม บัวเทศ ผบ.หมู่ กก.ปฏิบัติการพิเศษ ภ.จว.ปัตตานี ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ จากเหตุระเบิดที่อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 15 เม.ย.65

พร้อมด้วย พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์  เฉลิมศรี ผบช.ภ.9,พล.ต.ท.หญิง อาภาพรรณ ชลศึกษ์ ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 9,พ.ต.อ.มนัส รุ่งนาค หน.สนง.สมาคมแม่บ้านตำรวจ ,ดร.นุชประวีณ์  ลิขิตศรัณย์ ผู้ช่วยเลขานุการสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมคณะ

โดยในการนี้ ตนพร้อมคณะได้เป็นตัวแทน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มอบกระเช้าผลไม้ และเงินช่วยเหลือ จำนวน 20,000 บาท, คุณนภัสนันท์ วุฒิจรัสธำรงค์ กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ ระดับ ตร. ได้เป็นตัวแทนของสมาคมแม่บ้านตำรวจ มอบเงินจำนวน  5,000 บาท และได้มอบเงินส่วนตัว 10,000 บาทและเงินช่วยเหลือของ ผบช.ภ.9 จำนวน 10,000 บาท เพื่อช่วยเหลือครอบครัวข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และส่งเสริมขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจ ที่ได้อุทิศตนเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่

ในนามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสมาคมแม่บ้านตำรวจ ขอขอบคุณและชื่นชม ผบช.ภ.9 และประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 9 ที่เป็นแบบอย่างที่ดี ในการดูแลขวัญและกำลังใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างดีและขอให้รักษาความดีนี้ไว้สืบต่อไป

หนุ่มใหญ่ได้หัวใจใหม่ ตามหาครอบครัวผู้บริจาคจนพบ หอบพานไปกราบพ่อ ซาบซึ้งที่ให้โอกาสได้ใช้ชีวิตต่อ

หนุ่มใหญ่ได้หัวใจใหม่ ตามหา 'เจ้าของ' หัวใจดวงที่ 110 จนพบกับครอบครัวของผู้บริจาคหัวใจ 'ซาบซึ้งที่ให้โอกาสได้ใช้ชีวิตต่อไป'

(21 มี.ค. 68) โลกออนไลน์ได้แชร์ เรื่องราวจากผู้ใช้ TikTok ชื่อ 'pu.somchai ปูฟร้องซ์โฟน มหาชัย' ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ได้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ โดยได้รับหัวใจบริจาคมา ซึ่งเจ้าตัว ได้ติดตามสืบหาจนทราบว่า หัวใจดวงใหม่ที่เต้นอยู่ในร่างกายของตัวเองตอนนี้ เป็นของน้องผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า 'น้องอู๋'

โดยคลิปที่เป็นไวรัลคือคลิปที่เจ้าตัวเดินทางไปที่บ้านของน้องอู๋ นำพานไปกราบคุณพ่อของน้องอู๋ ผู้ที่ช่วยส่งต่อชีวิตให้กับผู้โพสต์ ได้ใช้ชีวิตต่อไป มีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นคลิปนี้เป็นจำนวนมาก หลายคนสงสัยว่า ปกติการบริจาคอวัยวะน่าจะเป็นความลับ ว่าเจ้าของเดิมเป็นใคร บริจาคให้ใคร บางคน บอกว่าสามารถทำได้ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงกันได้  ขณะที่เจ้าของโพสต์ยืนยันว่า ตนสืบทราบจนรู้ด้วยตัวเอง เพื่ออยากจะมาขอบคุณครอบครัวของคนที่มอบชีวิตที่สองให้กับเขา

‘พีระพันธุ์’ โพสต์ภาพคู่ ‘ลุงตู่’ ในโอกาสวันคล้ายวันเกิด ยกเป็นแรงใจในการทำงานด้วยความรักและศรัทธา

(21 มี.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กว่า วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ‘ลุงตู่’ ของพวกเรา ซึ่งสำหรับผมแล้ว ‘ลุงตู่’ ถือเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจที่สำคัญในการทำงานการเมืองของผม แม้ผมจะได้ทำงานใกล้ชิดกับท่านเพียงระยะหนึ่ง แต่ผมก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความรักชาติบ้านเมืองอย่างเข้มข้นของ ‘ลุงตู่’ 

‘ลุงตู่’ ในมุมของผม ท่านมีทั้งความเข้มแข็งและความอ่อนโยน ท่านเป็นคนที่มีความเมตตากรุณาสูง และคิดถึงแต่ประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ซึ่งตลอดชีวิตการทำงานการเมืองกว่า 30 ปีของผม ผมศรัทธาในความมุ่งมั่นทำงานเพื่อบ้านเมืองและปกป้องสถาบันหลักของชาติยิ่งชีวิต และสิ่งนี้เป็นแรงใจให้ผมทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทำในสิ่งที่ต้องทำ และทำให้ถึงที่สุดเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง 

ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของท่านปีนี้ ผมขอน้อมอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก อีกทั้งพระบารมีแห่งพระมหาบูรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ จงโปรดดลบันดาลประทานพรและคุ้มครอง ‘ลุงตู่’ ของเรา ให้มีแต่ความสุขกาย สุขใจ มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง และเป็นมิ่งขวัญกำลังใจให้กับพวกเราชาวไทยเช่นนี้ตลอดไปครับ

‘ผู้บริหาร SPUTNIK’ ชี้ AI เป็นความท้าทายใหญ่ในศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางอุตสาหกรรมสื่อที่ต้องปรับตัวตอบโจทย์ผู้บริโภค

นายวาซิลี พุชคอฟ ผู้อำนวยการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศของสำนักข่าว SPUTNIK กล่าวในงานสัมมนา THE FUTURE JOURNALISM 2025 'AI กับ สื่อสารศาสตร์ยุคใหม่' ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือของสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES จากประเทศไทย, สำนักข่าว SPUTNIK ของรัสเซีย และวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนของทั้ง 2 ประเทศ ว่า ปัจจุบัน บริบทของอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน กำลังเข้าสู่ยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  สิ่งที่สื่อยักษ์ใหญ่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ กำลังจะกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยในอนาคตอันใกล้นี้ 

อีกทั้ง อยู่ที่ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมสื่อ ที่จะกำหนดทิศทางว่าจะเป็นไปอย่างไร เพราะไม่ว่าประเทศไหนในโลกไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย หรือสหรัฐ อเมริกา ล้วนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

อย่างที่ทราบกันดีว่า ในอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนในยุคที่ผ่านมานั้น จะใช้วิธีให้ผู้สื่อข่าวส่งข่าวเข้ามาสู่ถังข่าว หรือการซื้อข่าวจากสำนักข่าวต่าง เพื่อนำมาเสนอต่อ ซึ่งปัจจุบันวิธีการแบบนี้เริ่มไม่เป็นที่นิยม เพราะขาดทุน จากต้นทุนที่ซื้อขึ้น และไม่มีใครอยากจะซื้อข่าวกันแล้ว ดังนั้นการจะจ้างบุคลากรผลิตข่าวจากทั่วโลกจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไปและแน่นอนว่า วิชาชีพสื่อสารมวลชนจึงไม่มีความมั่นคงอีกต่อไป โดยเห็นได้จากการที่สำนักข่าวหลายแห่งในระดับโลกที่ปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ SPUTNIK เป็นสำนักข่าวที่รัฐให้เงินทุนสนับสนุน เพราะต้องยอมรับว่า ในศตวรรษที่ 21 นี้ เป็นเรื่องยากที่จะหาเงินทุนสนับสนุนจากภาคเอกชน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งเงินสนับสนุนจากรัฐ ในขณะเดียวกัน ก็มีเทคโนโลยีใหม่ในการติดตามข่าวไม่ว่าจะเป็นทางเว็บไซต์หรือโทรศัพท์มือถือ 

ทั้งนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทาง SPUTNIK ได้ทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากในการลงทุนพัฒนาสื่อในช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือโทรศัพท์มือถือ ในรูปแบบ Mobile Application เพื่อให้บริการถึง 30 ภาษา

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้พัฒนาสื่อช่องทางออนไลน์มาหลายปี จึงได้พบข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครที่จะติดตามสื่อออนไลน์ รวมถึงการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันสำนักข่าวไว้ในมือถือ ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกันทั่วโลกที่ไม่พึ่งการหาข่าวจากช่องทางนี้ช่องทางเดียวอีกแล้ว

“กล่าวได้ว่า เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเลยสำหรับ SPUTNIK ที่ลงทุนไปกับการพัฒนา Mobile Application และการพัฒนาเว็บไซต์ เพราะไม่มีใครใช้ตามที่ประเมินไว้ ส่วนช่องทางโซเชียลมีเดีย กลายเป็นช่องทางที่ไม่ต้องเสียเงิน แต่ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า โซเชียลมีเดียก็มีเจ้าของแพลตฟอร์มซึ่งก็เป็นเรื่องของธุรกิจ จึงไม่มีความเป็นอิสระในการนำเสนอข่าวสาร เพราะต้องยึดตามกฎที่เจ้าของแพลตฟอร์มนั้นๆ ตั้งไว้”

นอกจากนี้ ในศตวรรษที่ 21 นี้ เทคโนโลยี AI ยังได้สร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มช่างภาพ ดีไซน์ และแปลข่าว ซึ่งเทคโนโลยี AI สามารถทำหน้าที่แทนได้แล้วในระดับหนึ่ง 

และหากมองถึงในแง่การพัฒนาอุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสาร เทียบประเทศไทยกับรัสเซีย จะเห็นว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้า แต่ก็ยังมีความเป็นอนุรักษ์นิยมอยู่บ้าง ดังที่เห็นได้จากการยังคงมีหนังสือพิมพ์อยู่ ในขณะที่ในมอสโกแทบจะไม่มีหนังสือพิมพ์วางขายแล้ว โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โควิดที่สำนักพิมพ์เกือบทั้งหมดยุติการพิมพ์ไปแล้ว

หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์ก็แทบจะไม่ดูกันแล้วในรัสเซีย อาจจะมีเพียงกลุ่มผู้สูงวัยเท่านั้นที่ยังคงดูข่าวผ่านโทรทัศน์อยู่ โดยหันมาใช้โปรแกรม Telegram ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างแพร่หลาย ซึ่งสื่อในประเทศรัสเซียทุกรายจะต้องมีช่องทาง Telegram ไม่เช่นนั้นจะไม่มีตัวตนอยู่บนสารบบสื่อ 

เพราะฉะนั้น ในวงการสื่อสารมวลชนแทบจะไม่มีอะไรแน่นอน และอาจจะไม่คุ้มค่าในการลงทุนใหม่ๆ ในวงการสื่อ หรือแม้แต่การลงทุนด้าน Ai ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตจะสามารถตอบโจทย์ในแง่ของการนำเสนอข่าวได้หรือ ไม่อีกทั้งยังพบว่า AI เป็นความท้าทายและมีปัญหาอยู่พอสมควร โดยเฉพาะการใช้ทำข่าวปลอม ซึ่งหลาย ๆ ประเทศกำลังเผชิญอยู่ ถ้ามองโลกในแง่ดีก็คือการเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งใหม่ ๆ แต่หากมองในแง่ร้าย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งนี้กำลังจะทำลายวงการสื่อสารมวลชนได้เช่นเดียวกัน

“สำหรับในส่วนของการนำเสนอข่าวของ SPUTNIK นั้น จะมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะนำเสนอข่าวออกไป โดยยึดมั่นในข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญ โดยบรรณาธิการข่าวแต่ละคนจะต้องตระหนักในเรื่องเหล่านี้ เพื่อป้องกันการนำเสนอข่าวปลอมที่อาจจะสร้างความเสียหายให้กับผู้ที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นๆ และจะต้องไม่รับฟังแค่ข่าวด้านเดียว ต้องฟังอย่างรอบด้านก่อนจะนำเสนอออกไป เพราะบางครั้งข่าวที่ได้รับมานั้นก็ไม่ใช่ข่าวปลอมไปทั้งหมด แต่เป็นการหยิบเอามานำเสนอในมุมของสื่อนั้นๆ มากกว่า เช่น สื่อรัสเซียนำเสนอในแง่มุมนี้ ส่วนสื่อตะวันตกหรือสหรัฐฯ อาจจะเสนอในมุมที่แตกต่างกันไป ในข่าวชิ้นเดียวกันนั้น เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่า เทคโนโลยี AI อาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่ออย่างหนัก แต่เชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์เหนือกว่า ก็คือการปรับตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้เป็นอย่างดีมาตลอดนั่นเอง”

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงนามคำสั่งแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และคณะทำงานโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

(21 มี.ค.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 177/2568 แต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และคณะทำงานโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ดังนี้

พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล เป็น โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 เป็น รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (1) 
พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เป็น รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2)

ทั้งนี้ เพื่อให้การประชาสัมพันธ์ เผยแพร่การปฏิบัติหน้าที่ราชการในภาพรามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและพี่น้องประชาชน

THE STATES TIMES EARTH ร่วมแชร์การทำสื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม ให้แก่น้องๆ จากโครงการเยาวชนรักษ์โลก ‘We think for the Earth ปี 2’

THE STATES TIMES EARTH ร่วมถ่ายทอดความรู้เรื่อง Climate Change และภาวะโลกร้อน ให้แก่น้อง ๆ ในโครงการเยาวชนรักษ์โลก ‘We think for the Earth ปี 2’ หวังสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการรับมือและแก้ไข พร้อมนำทีมทำกิจกรรม Workshops คิด-ถ่าย-แชร์ ระดมความคิดของเยาวชนเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ TikTok 

เมื่อวานนี้ (20 มี.ค. 68) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน พร้อมด้วย กองส่งเสริมการพัฒนาและสวัสดิการเด็ก เยาวชน และครอบครัว จัดพิธีเปิดโครงการเยาวชนรักษ์โลก ‘We think for the Earth ปี 2’ กิจกรรมส่งเสริมศักยภาพเยาวชนสู่ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ 19-21 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมตรัง กรุงเทพฯ

นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน มอบหมายให้ นางศิริลักษณ์ มีมาก รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน เป็นประธานเปิดโครงการ โดยมีนางสาวอรนุชา มงคลรัตนชาติ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการพัฒนาและสวัสดิการเด็ก เยาวชน และครอบครัว กล่าวรายงานวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนและเครือข่ายเด็กและเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อม ได้เรียนรู้สถานการณ์โลกด้านสิ่งแวดล้อม Climate Change และสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้กับการทำกิจกรรมสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตน 

รวมถึงนำไปถ่ายทอดต่อชุมชน ในฐานะ Youth Ambassador For The Earth : YAE โดยการสร้างยุวฑูตด้านสิ่งแวดล้อมในการขับเคลื่อนกิจกรรมพัฒนาสิ่งแวดล้อมในสังคมไทย และสังคมโลก 

โดยกิจกรรมภายในงานมีการเยี่ยมชมบูธนิทรรศการ ‘มือน้อยรัก(ษ์)โลก Child save the word’ โดย สภาเด็กและเยาวชน ทั้ง 4 ภาค (77 จังหวัด) รวมถึง สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย แกนนำเครือข่ายด้านเด็กและเยาวชน

นอกจากนี้ ทีมนักข่าวจาก THE STATES TIMES EARTH สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสิ่งแวดล้อม ยังได้ร่วมให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำสื่อออนไลน์ในหัวข้อ Climate Change และภาวะโลกร้อน เพื่อหวังสร้างความตระหนักรู้ถึงสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการแก้ปัญหา ส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนอย่างถูกต้อง เพื่อให้มีความพร้อมในการปรับตัวและรับมือกับผลกระทบ และสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา โดยเริ่มจากระดับบุคคล ขยายสู่ระดับท้องถิ่น และระดับประเทศ 

พร้อมทั้งยังจัดกิจกรรม Workshops คิด-ถ่าย-แชร์ ระดมความคิดของเยาวชนเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ TikTok เป็นพื้นที่สื่อกลางในการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ เพื่อส่งต่อไอเดียรักษ์โลกให้แก่ผู้ใช้งานรายอื่น ๆ เนื่องจากปัจจุบัน TikTok ถือเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทรงอิทธิพลและมีผู้ใช้งานจำนวนมากทั่วโลก ซึ่งนอกจากจะสร้างความบันเทิง เข้าถึงผู้ใช้งานได้จำนวนมากแล้ว ยังมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนได้ด้วย

ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการฝึกเรือกรรเชียงและการประเมินการฝึกทหารราบ ทหารใหม่ ผลัด 4/67

เมื่อวันที่ (19 มี.ค.68) เวลา 10.00 น. พล.ร.อ.พิจิตต  ศรีรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ และคณะฯ ตรวจเยี่ยมการฝึกเรือกรรเชียงและการประเมินการฝึกทหารราบ โดยมี น.อ.ทิวา  อ่อนลออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) และ น.อ.ยุทธนา  ชูธงชัย ผู้บังคับการโรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.รร.ชุมพลฯ ยศ.ทร.) ให้การต้อนรับ ณ ท่าเรือโรงเรียนชุมพลฯ ยศ.ทร. อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือกล่าวให้โอวาทแก่นักเรียนพลกองประจําการและผู้เข้ารับการฝึกเรือกรรเชียง ณ บริเวณท่าเรือโรงเรียนชุมพลฯ ยศ.ทร. โดยมีใจความสำคัญว่า “…การฝึกความเป็นชาวเรือ ที่ต้องมีความอดทน ความสามัคคี เสมือนการสร้างเหล็กในคน…”  จากนั้น ผช.ผบ.ทร. เดินทางไปตรวจเยี่ยมการประเมินการฝึกทหารราบบริเวณลานสวนสนาม ศฝท.ยศ.ทร. เพื่อตรวจสอบการจัดการฝึกอบรมทหารใหม่ของ ศฝท.ยศ.ทร. ในฐานะหน่วยฝึกทหารกองประจําการสังกัดกองทัพเรือ

พร้อมตรวจดูความเรียบร้อยในการฝึกให้เป็นไปตามมาตรฐานของการฝึกอบรม มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ถูกต้องและสอดคล้องกับนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ประจำปีงบประมาณ 2568 ในเรื่องของ Navy-Safety 2025 ซึ่งครอบคลุมการฝึกอบรมที่เป็นไปตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา และผู้เข้ารับการฝึกต้องไม่ได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสีย 

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สนับสนุนค่าพาหนะ และเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่ผู้รับขาเทียม ช่างและอาสาสมัคร ในโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 173 จังหวัดบุรีรัมย์

(21 มี.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่ มอบค่าพาหนะ พร้อมด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค  ประกอบด้วย ข้าวสำเร็จรูป อาหารสำเร็จรูป ขนม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ครีมอาบน้ำ โลชั่นทากันยุง ทิชชูเปียก ทิชชูแห้ง และถุงขยะ ให้แก่ผู้รับขาเทียม ช่าง อาสาสมัคร และทหารผ่านศึก ที่เข้าร่วมโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่ ครั้งที่ 173 รวมจำนวน 280 คน รวมงบประมาณทั้งสิ้น 285,600 บาท (สองแสนแปดหมื่นห้าพันหกร้อยบาทถ้วน) โดยมี นายจำเริญ แหวนเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายแพทย์ชาญชัย พจมานวิพุธ นายแพทย์ชำนาญการ พลเอก เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ ร่วมในพิธี ณ โดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยเทคนิคบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์

การสนับสนุนโครงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานเคลื่อนที่  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ให้การสนับสนุน อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ตั้งแต่การดำเนินการครั้งที่ 165 รวม 9 จังหวัด คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

‘สาธิต’ ชี้ มือตบพยาบาลระยองได้รับโทษเหมาะสมแล้ว หลังศาล สั่งจำคุก 1 เดือน 15 วัน พร้อมชดใช้ 77,273 บาท

เมื่อวันที่ (20 มี.ค. 68) นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊กว่า เมื่อวานนี้ ศาลแขวงระยองสั่งกักขังมือตบพยาบาล 1 เดือน 15 วัน ชดใช้ 77,273 บาท

พร้อมระบุข้อความว่า  ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ พนักงานอัยการคดีศาลแขวงระยอง เป็นโจทก์ ฟ้อง นายสรรค์พงศ์ เพชรหนุน อายุ 42 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐาน ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือได้กระทำการตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ

กรณีนายสรรค์พงศ์ก่อเหตุตบหน้าพยาบาลผู้เสียหาย 2 ครั้ง ภายในโรงพยาบาลระยอง เนื่องจากโมโหที่พยาบาลบอกแม่เด็กไม่ควรพาลูกเล็กเข้าไปเยี่ยมยายที่ป่วยไข้หวัดใหญ่ติดเชื้อลงปอด ทำให้นายสรรค์พงศ์จำเลยไม่พอใจถึงกับใช้กำลังทำร้ายพยาบาลดังกล่าว จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือได้กระทำการตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ลงโทษจำคุก 3 เดือน รับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน ไม่มีเหตุรอการลงโทษ แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังมีกำหนด 1 เดือน 15 วัน 

พร้อมให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่พยาบาลผู้เสียหาย 77,273 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 5 ของต้นเงิน 19,113 บาท ต้นเงิน 40,000 บาท ต้นเงิน 10,000 บาท และต้นเงิน 8,160 บาท โดยหักออกจากเงินที่จำเลยวางบรรเทาความเสียหาย 40,000 บาท

ส่วนตัวผมเห็นว่าเหมาะสม มีเหตุมีผลแล้ว จากคำพิพากษาของศาลแขวงจังหวัดระยอง ครับ

กองทัพเรือไทย ส่งหมู่เรือฝึก Blue Strike 2025 กระชับความร่วมมือทางทหารกับจีน

พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธีส่งหมู่เรือฝึก Blue Strike 2025 ณ เรือหลวงอ่างทอง ท่าเรือแหลมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี นาวาเอก บุญเกิด มูลละกัน ผู้บังคับหน่วยฝึกนาวิกโยธิน ร่วมให้การต้อนรับ

การฝึกผสม Blue Strike 2025 เป็นการฝึกทวิภาคีระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือจีน จัดขึ้น ณ เมืองจ้านเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 18 มีนาคม ถึง 10 เมษายน พ.ศ. 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกองทัพเรือทั้งสองประเทศ มุ่งเน้นการฝึกปฏิบัติการผสมระดับยุทธวิธีทางเรือและนาวิกโยธิน

หมู่เรือฝึกของไทยประกอบด้วย เรือหลวงอ่างทอง กำลังพลนาวิกโยธิน และนักเรียนนายเรือชั้นใหม่ การฝึกในครั้งนี้จะครอบคลุมการฝึกหลากหลายรูปแบบ อาทิ การฝึกแลกเปลี่ยนประสบการณ์ (Cross Training Exercise: CTX) การฝึกแลกเปลี่ยนผู้ชำนาญการเฉพาะทาง (Subject Matter Expert Exchange: SMEE) และการฝึกปฏิบัติการร่วมในทะเล โดยเฉพาะการบรรเทาสาธารณภัย (Humanitarian Assistance and Disaster Relief: HADR) ทั้งในท่าและในทะเล

การเข้าร่วมการฝึกผสม Blue Strike 2025 เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของกองทัพเรือไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารกับมิตรประเทศ และพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพลให้มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top