Thursday, 24 April 2025
NEWS

‘รถถัง’ น็อก ‘ทาเครุ’ ดับฝันเจ้าถิ่น ประกาศแบ่งโบนัสช่วยชาวมุสลิมที่ยากไร้

(24 มี.ค. 68) รถถัง จิตรเมืองนนท์ นักชกชาวไทย วัย 27 ปี สร้างผลงานยอดเยี่ยมในศึก ONE 172 ที่ไซตามะ ซูเปอร์ อารีนา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 โดยสามารถเอาชนะน็อก ทาเครุ เซกาวา นักชกเจ้าถิ่น วัย 33 ปี ในกติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวต ซูเปอร์ไฟต์

การชกเริ่มขึ้นเพียงไม่นาน รถถังได้ปล่อยหมัดซ้ายเข้าเต็มหน้าของทาเครุ ส่งผลให้นักชกญี่ปุ่นล้มลงไปนั่ง กรรมการจึงยุติการชกทันที ทำให้รถถังชนะน็อกในเวลาเพียง 1 นาที 14 วินาทีของยกแรก

ชัยชนะครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความประทับใจให้กับแฟนมวยชาวไทยและญี่ปุ่น แต่ยังทำให้รถถังได้รับโบนัสพิเศษจาก ชาตรี ศิษย์ยอดธง ประธาน ONE Championship เป็นจำนวนเงิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.7 ล้านบาท)

โดยเงินโบนัสส่วนหนึ่ง ‘รถถัง’ ประกาศจะมอบให้กับพี่ชาวมุสลิมที่ยากไร้ “ต้องขอบคุณพี่ชาตรี (ศิษย์ยอดธง) มาก เขาไม่ใช่แค่บอส เขาคือพี่ชายของผม ส่วนเงินโบนัสที่ได้ในครั้งนี้ แบ่งสัดส่วนแล้ว ผมจะเอาส่วนหนึ่งมอบให้พี่น้องชาวมุสลิมที่ยากไร้ แล้วก็ขาดแคลนครับผม”

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ‘บอสชาตรี’ ชาตรี ศิษย์ยอดธง ซีอีโอ วัน แชมเปียนชิพ เตรียมให้รถถังขึ้นชกกับ โจนาธาน แฮกเกอร์ตี นักชกชาวอังกฤษ ซึ่งคาดกันว่าจะชกกันที่รุ่นแบนตัมเวต เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่แฮกเกอร์ตีจะทำน้ำหนักลงมาเล่นในรุ่นฟลายเวต

‘หมอเดชา’ สูญที่ดิน 6 ไร่ ดับฝัน!! รพ.ทางเลือก ถาม ‘แอ๊ด คาราบาว’ เงินบริจาค 5 ล้าน อยู่ไหน

(23 มี.ค. 68)  เฟซบุ๊ก Deycha Siripatra ของ อาจารย์เดชา ศิริภัทร หมอพื้นบ้านจังหวัดสุพรรณบุรี ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) เพื่อใช้ทางการแพทย์ โพสต์ข้อความระบุว่า เมื่อวันที่ 21 มี.ค. ผมและตัวแทนผู้บริจาคฯ ได้ไปทำพิธีอำลา ที่ดิน 6 ไร่ ที่ดินผืนนี้ (มีรั้ว ระบบน้ำ อาคารสำนักงาน) ใช้เงินบริจาค 5 ล้านบาท แต่ถูกยืดครองไปโดยใช้กระบวนการกฏหมาย และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น จนกลายเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล ผมทำได้เพียงแจ้งความจริงให้ผู้บริจาค ผู้ป่วย และผู้รอคอยโรงพยาบาลฯ ได้รับทราบ และขอโทษที่มีส่วนทำให้ผู้บริจาคคาดหวัง และเชื่อมั่นว่าเงินบริจาคจะใช้เป็นประโยชน์ แต่กลับถูกคนกลุ่มหนึ่งยักย้ายเอาสิ่งที่เกิดจากเงินบริจาคไปเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล จึงต้องยอมรับถึงความไม่รู้เท่าทัน ความไว้วางใจนำคนกลุ่มนี้มาร่วมงานด้วยตั้งแต่แรก

วันนี้ ผมขอแสดงความเสียใจ และขอโทษเป็นอย่างยิ่ง ต่อคุณ สมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอเชี่ยน ซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้บริจาคเงินร่วมสร้างโรงพยาบาลทางเลือก ที่อำเภอด่านช้าง จำนวนเงิน 5 ล้านบาท คุณรสนา โตสิตระกูล ได้แนะนำให้คุณสมศักดิ์ฯ บริจาคในครั้งนี้ และร่วมกันถ่ายภาพไว้ ในภาพจะเห็นคุณ รสนาฯ ผม คุณสมศักดิ์ฯ และคุณแอ๊ดฯ (นายยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว) ยืนอยู่ด้วยกัน โดยคุณสมศักดิ์ฯ ได้ให้สัมภาษณ์ลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯธุรกิจ

ที่ผมต้องแสดงความเสียใจ และขอโทษคุณสมศักดิ์ฯ (และคุณรสนาฯ) เป็นอย่างยิ่ง เพราะเงินบริจาคของคุณสมศักดิ์ฯ 5 ล้านบาทนั้น ผมนำมาใช้ตามความประสงค์ฯ ไม่ได้ เนื่องจากเงินบริจาคนี้ คุณสมศักดิ์ฯ ได้มอบให้คุณแอ๊ดฯ โดยตรง ผมไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด อาจจะไม่ได้นำเข้าบัญชีธนาคารฯ ที่ผมเปิดร่วมกับคุณแอ๊ดฯ ก็ได้ (ยังตรวจสอบไม่ได้) หรือนำเข้าบัญชีธนาคารฯ นั้นจริง ก็ถูกนำมาใช้ในที่ดิน 6 ไร่ (ที่ถูกยึดครอง) ไปหมดแล้ว เงินบริจาคที่คุณสมศักดิ์ฯ ตั้งใจมอบให้ใช้สร้างโรงพยาบาลทางเลือกจึงไม่เกิดขึ้นจริง

ผมคงไม่ทราบได้เลยว่า เงินบริจาค 5 ล้านบาทของคุณสมศักดิ์ฯ นั้น ไปอยู่ที่ใหนกันแน่ ผู้ที่จะให้คำตอบได้ คือ คุณแอ๊ด คาราบาว ผู้รับมอบเงินก้อนนี้ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งผมพยายามติดต่ออย่างไรก็ไม่สำเร็จ (เช่น ขอให้มาปิดบัญชีธนาคารฯ ที่เปิดร่วมกัน) ดังนั้น คุณสมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ในฐานะผู้บริจาคเงิน 5 ล้านบาทนี้ จึงควรเป็นผู้ถาม หรือ คุณรสนา โตสิตระกูล ผู้แนะนำให้คุณสมศักดิ์ฯ บริจาคเงินครั้งนี้ ก็มีสิทธิ์เป็นผู้ถาม เชื่อว่าผู้บริจาครายอื่นๆ อีกนับหมื่นราย คงอยากทราบคำตอบนี้ ... จากคุณ แอ็ดฯ ด้วย"

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2567 อาจารย์เดชาโพสต์ข้อความพาดพิงถึงนายยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว นักร้องเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง ว่า ขาดการติดต่อจากแอ๊ด คาราบาว หลังจากมีข่าวว่านายยืนยงไม่สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ และไม่สนับสนุนการสร้างโรงพยาบาลทางเลือก ที่ทำร่วมกันตั้งแต่ปี 2562 โดยยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยและโปร่งใสอยู่อีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องบัญชีธนาคารที่เปิดร่วมกันกับอาจารย์เดชาเพื่อรับเงินบริจาค (ในลักษณะบัญชี "และ") โดยได้เรียกร้องให้นายยืนยงไปปิดบัญชี และนำเงินทั้งหมดมอบให้คณะกรรมการฯ แต่ถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า

‘ดร.พิริยะ’ มอง!! ไม่ควรใส่ใจ กับการจัดอันดับของ World Population Review ชี้!! เป็นเรื่องของ ‘การรับรู้’ มากกว่าการใช้ ‘ข้อมูลทางสถิติ’ ที่เชื่อถือได้

(23 มี.ค. 68) ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การจัดอันดับของ World Population Review โดยมีใจความว่า ...

‘อย่าไปซีเรียสมากกับการจัดอันดับของ World Population Review’

ทุกครั้งที่มีหน่วยงานไหนจัดอันดับการศึกษาของโลกออกมา และพบว่าประเทศไทยเราอยู่ในอันดับต่ำ (หรือต่ำกว่าประเทศที่เราคิดว่าเราน่าจะสูงกว่า) ก็จะมีสื่อต่างๆ ออกมาประกาศและซ้ำเติมระบบการศึกษา (โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาไทย) เราอยู่บ่อยครั้ง ล่าสุดจากการที่นักข่าวไปขุดผลการจัดอันดับการศึกษาของ World Population Review ที่รายงานว่าประเทศไทยเรามีอันดับการศึกษาที่อันดับ 107 (จาก 203 ประเทศ) โดยต่ำเป็นอันดับ 8 ของอาเซียน (และทีี่ข่าวเอามาขยี้ที่สุดคือต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านเราอย่าง สปป.ลาว และเหนือกว่าพม่าและกัมพูชาแต่เล็กน้อยเท่านั้น) https://worldpopulationreview.com/.../education-rankings...
แต่เพื่อความแฟร์แล้ว ในฐานะของนักวิจัย เราควรที่จะต้องไปหาดูก่อนว่า ตัดชี้วัดที่จัดอันดับดังกล่าวนั้นมาจากไหน มันเป็นวิธีการวัดที่น่าเชื่อถือและถูกต้องเพียงใด และมันมี "ความคลาดเคลื่อน (Error) ที่อาจจะเกิดขึ้นในประเด็นใดได้บ้าง 

เท่าที่พยายามเข้าไปดูถึงวิธีการคำนวณอันดับคร่าวๆ พบว่า World Population Review "ไม่ได้เป็นหน่วยงาน"ที่ทำการคำนวณอันดับดังกล่าว แต่จะไปเอาข้อมูลจากสองแหล่งได้แก่ 1) US News Best Countries report และ 2) the nonprofit organization World Top 20 (หรือพูดง่ายๆ ก็คือ World Population Review ก็เหมือนกับสำนักข่าวเราดีๆ นี่แหละ ไม่ได้ทำเอง แค่เอาที่เขาประกาศมาทำเป็น graphic สวยๆ และเขียนวิเคราะห์คร่าวๆ เฉยๆ)

โดยถ้าเข้าไปดูในส่วนของ US News Best Countries Report (ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลหลัก) เป็นรายงานที่ทำในปี 2024 https://www.usnews.com/.../best-countries-for-education ซึ่งเป็นการสำรวจมิติของประเทศในด้านต่างๆ ได้แก่ Quality of Life, Heritage, Adventure, Citizenship, Open for Business, Entrepreneurship, Social Purpose, และ Cultural Influence (คล้ายๆ กับการสำรวจ Soft Power Index ของ Brandfinance) โดยข้อมูลที่ได้มาจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้คน 17000 คนจากประเทศต่างๆ ใน 78 ประเทศ จากนั้นจัดอันดับประเทศเหล่านั้นตามการตอบแบบสำรวจ ส่วนในด้านการศึกษาของแบบสำรวจนั้น ผู้ตอบแบบสำรวจจะถูกถามคำถามที่ประเมินปัจจัยต่างๆ เช่น

1) คุณภาพของระบบการศึกษาของรัฐ: ผู้ตอบแบบสำรวจจะประเมินว่าระบบการศึกษาของรัฐในแต่ละประเทศนั้นพัฒนาและมีประสิทธิภาพเพียงใด

2) ความน่าสนใจในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย: ผู้ตอบแบบสำรวจจะประเมินว่าประเทศนั้นๆ มีความน่าสนใจในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยมากน้อยเพียงใด

3) คุณภาพของการศึกษาโดยรวม: ผู้ตอบแบบสำรวจจะประเมินว่าประเทศนั้นๆ มีการให้การศึกษาที่มีคุณภาพสูงเพียงใด
หลังจากนั้นรายงานได้รวบรวมข้อมูลจากการสำรวจและนำมาถูกนำมาวิเคราะห์และประมวลผลและทำการใส่น้ำหนักของแต่ละปัจจัย เพื่อให้ได้คะแนนรวมสำหรับแต่ละประเทศ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การจัดอันดับที่ได้นั้นจึงเป็นการจัดอันดับที่เกิดจาก "การรับรู้ (Perception)" ของคนประเทศต่างๆ เกี่ยวกับระบบการศึกษาของประเทศนั้น โดยอาศัยคำถามที่เจาะจงเกี่ยวกับคุณภาพและความน่าสนใจของการศึกษาในแต่ละประเทศ โดยการสำรวจได้จัดทำขึ้นระหว่างเดือน มีนาคม-พฤษภาคมปี 2023

จากข้อมูลคร่าวๆ นี้ก็พอสรุปได้ว่า "เราไม่ควรจะต้องไปใส่ใจกับอันดับที่ World Population Review นี้รายงานออกมา" เพราะมันเป็นเรื่องของ Perception มากกว่าการใช้ข้อมูลทางสถิติที่เชื่อถือได้

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าคุณภาพการศึกษาของเรา ‘ยังไม่ดี’ จริงๆ ซึ่งปัญหามันก็เหี่ยวกับกระทรวงศึกษาเพียงส่วนหนึ่ง แต่ยังมีอีกหลายบริบทมากๆๆๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งถ้าให้เขียนต่อมันก็จะยาวมากๆ

‘เอ็ม บี เค’ ออกจดหมายแจง!! เหตุทะเลาะวิวาท ยัน!! มีมาตรการตรวจสอบอาวุธ อย่างเข้มงวด

(23 มี.ค. 68) ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ได้ออกจดหมายแถลงการณ์ มีใจความว่า ...

ตามที่เกิดเหตุการณ์นักศึกษาสองสถาบันทะเลาะวิวาท เมื่อวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 19.15 น. 

ทางศูนย์การค้าฯ ขอยืนยันว่า ได้มีมาตรการตรวจสอบอาวุธอย่างเข้มงวด และจากกรณีมีข่าวว่ามีเสียงดังคล้ายอาวุธปืนนั้น ไม่เป็นความจริง โดยเสียงดังกล่าวเกิดจากป้ายโฆษณาโครงเหล็กกระทบพื้น

ขออภัยในความไม่สะดวก!! 

‘อุ๊งอิ๊ง’ อวยพร!! ‘วู้ดดี้ วุฒิธร-โอ๊ต อัครพล’ ในงานแต่งงาน บรรยากาศชื่นมื่น หลังจดทะเบียนสมรสอย่างเป็นทางการ ถูกต้องตามกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’

เมื่อวานนี้ (22 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พร้อมคู่สมรส ร่วมงานมงคลสมรสของ ‘วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา และ โอ๊ต อัครพล จับจิตรใจดล’ หลังจดทะเบียนสมรสอย่างเป็นทางการ และถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีนายทะเบียนจากสำนักงานเขตปทุมวัน ดำเนินการจดทะเบียนสมรสตาม พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา 

สำหรับงานมงคลสมรสของ ‘วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา และ โอ๊ต อัครพล จับจิตรใจดล’ วันนี้บรรยากาศเป็นด้วยความชื่นมื่น มีรัฐมนตรี เพื่อนๆ และผู้มีชื่อเสียงในหลากหลายวงการร่วมงานด้วยความยินดี

‘อ.เจษฎา’ โพสต์ข้อความ!! วอน ‘ท่านนายกฯ’ สั่งย้าย อุเทนถวาย ชี้!! มันจบทุกขั้นตอนแล้ว ก็ยังดื้อ ไม่ยอมไปซักที ทำชาวบ้านเดือดร้อน

(23 มี.ค. 68) รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า …

ขอท่านนายกฯ อิงค์ กรุณาลงนามคำสั่งย้ายอุเทนถวาย เถอะครับ มันจบทุกขั้นตอนแล้ว ก็ยังดื้อ ไม่ยอมไปซักที ชาวบ้านเดือดร้อน

‘เกลือ เป็นต่อ’ โพสต์เฟซ!! หลังทัวร์ลง!! จากเหตุ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ มอบ ‘คอร์สปรับพฤติกรรม’ ให้เกรียนคีย์บอร์ด พร้อมอนุโมทนาให้เจริญขึ้น

(23 มี.ค. 68) จากกรณีที่นายกิตติ เชี่ยววงศ์กุล หรือที่รู้จักในชื่อ ‘เกลือ เป็นต่อ’ ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลว่า “ทีนี้เด็กๆ เห็นความสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกันรึยังลูก?” จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยมีสื่อและเพจบางเพจนำข้อความดังกล่าวไปเผยแพร่ เรียกกระแสทัวร์จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยเข้ามาคอมเมนต์โจมตีอย่างดุเดือด ถึงขั้นมีการใช้ถ้อยคำหยาบคาย

ความคืบหน้าล่าสุด นายกิตติ ได้ออกมาตอบกลับผ่านคอมเมนต์ใต้โพสต์ของตัวเอง โดยระบุว่า…

“ผ่านเวลามาประมาณสองวันแล้วคิดว่าคนที่อยากจะเข้ามาแสดงความคิดเห็นคงจะหมดลงแล้ว บางท่านเห็นด้วย บางท่านไม่เห็นด้วย ผมก็ได้อ่านบ้าง แต่ข้อความทั้งหมดส่วนใหญ่ก็จะมีอีกทีมอ่าน ผมจึงมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับทุกท่านโดยแบ่งเป็นสามกลุ่มดังนี้ 

1.กลุ่มคนที่เห็นคุณค่า และเข้าใจความหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ผมดีใจและชื่นชมเป็นอย่างมากที่ได้เห็นทุกคนมาช่วยกันให้ข้อมูลความรู้นี้ แก่บุคคลที่อาจจะยังไม่เข้าใจให้ได้เข้าใจความหมายและคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียง พวกท่าน่ารักและมีจิตใจดีมากครับ และผมเชื่อว่าในการดำเนินชีวิตต่อไปของท่าน จะเป็นการการันตีได้ว่าท่านจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีในชีวิต และสามารถผลิตและรับความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวได้อย่างแน่นอน

2.กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย และพยายามเข้ามาโต้แย้ง แสดงทัศนคติของท่าน แต่ยังใช้ถ่อยคำสุภาพ ผมก็จะบอกท่านว่าการที่ท่านไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วย ก็แล้วแต่ตัวท่านเช่นกัน เพราะการที่ท่านจะชื่อสิ่งใดหรือไม่เชื่อสิ่งใด ประโยชน์อยู่ที่ตัวท่านไม่ใช่ตัวผม ถ้าทัศนคติแบบนี้ทำให้ท่านมีความสุขในสังคม ไม่ร้อนรุ่มเที่ยวเกลียดชังใคร มองโลกและปัญหาอย่างมีความสุข ก็ตามสบายได้เลย และบุคคลประเภทชอบมาตั้งคำถามให้ผม หรือบุคคลอื่นพยายามตอบ โดยคำถามนั้นท่านไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ(ซึ่งท่านก็รู้อยู่แก่ใจว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่ เราทุกคนก็รู้เช่นกันว่าตอบท่านไปก็เปล่าประโยชน์) ก็ต้องบอกว่า พวกเราไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านควรจะหาความรู้ด้วยตัวเอง ตั้งคำถามและโต้แย้งให้ตัวเองให้เป็นจะได้ไม่เดือดร้อนกับผู้อื่น ฉะนั้นนี้คือเหตุผลที่ผมจะไม่ตอบคำถามใดๆกับท่าน แต่ก็ขอบคุณที่ยังมีความสุภาพครับ

3.เอาล่ะถึงกลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มที่อยากจะคุยด้วยมากที่สุด การที่ท่านไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมเขียนนั้น ความคิดของผมให้ไปอ่านที่ข้อ2. แต่การที่ท่านใช้วาจาสอดเสียด รุนแรงด่าทอ หรือแม้กระทั่งการพยายามทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงนั้น(ใครไม่ได้ทำตามนี้ไม่ต้องร้อนตัวกันนะครับ) เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และผิดกฏหมาย ฉะนั้นผมขอมอบโอกาสนี้ในการมอบคอร์สการปรับพฤติกรรม(ด้วยสิ่งไม่พึงพอใจ) มันจะเป็นอย่างนี้นะครับ เดี๋ยวจะมีซองๆนึงส่งไปหาท่านที่บ้าน เนื้อความคงจะประมาณว่าเชิญท่านมา เพื่อจะให้ท่านมาร่วมทำบุญด้วยกัน เงินนี้ผมจะนำไปทำบุญซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลนสื่อการเรียนการสอน ซึ่งต้องใช้เงินมากประมาณนึงเลยทีเดียวฉะนั้นท่านอ่านจะต้องช่วยเหลือผมมากหน่อยนะครับ หวังว่าการมอบสิ่งไม่พึงพอใจครั้งนี้ จะสามารถปรับพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของท่านได้ หากท่านคิดได้ ผมก็ขออนุโมทนา ให้บุญกุศลนี้ส่งผลให้ท่านเจริญยิ่งขึ้นไป หากท่านยังคิดไม่ได้ถึงแม้ว่าผมได้มอบบทเรียนนี้แก่ท่าน ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะเราทำบุญร่วมกันไปแล้ว ผมก็คงจะได้มอบบทเรียนแก่ท่านได้อีกในชาติถัดไป

ส่วนใครที่กลับตัวกลับใจได้ ก็พิมพ์ข้อความมาขอโทษที่ใต้โพสนี้นะครับ จะถือว่ายกเว้นให้ ส่วนใครที่พยายามจะลบข้อความก็ต้องบอกว่าได้มีทีมพยายามเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้แล้วถ้าท่ารอดได้ ก็ถือว่าแต้มบุญท่านสูงมาก

ส่วนทุกท่านที่อยู่ในที่นี้มีใครอยากจะร่วมทำบุญกับผมครั้งนี้ ก็สามารถทำบุญร่วมกันได้นะครับ เดี๋ยวผมจะแปะข้อมูลทั้งหมดไว้ด้านล่าง เมื่อได้รับข้อความนี้แล้ว เชิญกล่าวอนุโมทนาด้วยกันเทอญ สาธุ!!

‘เอกนัฏ’ ดึง ‘ดีเอสไอ’ ติดดาบคดีพิเศษ กำราบ!! โรงงานตัวแสบ ที่ดื้อด้าน ลั่น!! ถอนรากถอนโคน ทั้งขบวนการ หมายหัวต้นตอ!! นำเข้าขยะอันตราย

(23 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดปฏิบัติการตรวจสุดซอย ในการเข้าตรวจสอบเชิงรุกดูแลโรงงานและผู้ประกอบการเกี่ยวกับการบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม ตลอดจนการผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐาน โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น และต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน แต่ก็ยังพบว่ามีผู้ประกอบการที่ถูกดำเนินคดีแล้ว ยังคงจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ลักลอบประกอบกิจการโรงงานอย่างไม่มีความเกรงกลัว และยำเกรงต่อกฎหมาย จึงได้ประสานความร่วมมือกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ในการยกระดับบางกรณีที่เข้าลักษณะและองค์ประกอบเป็นคดีพิเศษ เพื่อดำเนินคดีและลงโทษกับผู้กระทำความผิด และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด

นายเอกนัฏ เปิดเผยด้วยว่า เบื้องต้นได้ร่วมหารือกับ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว อดีตรองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะที่ปรึกษาดีเอสไอ โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงกรณี บริษัท ทีแอนด์ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ที่จดประกอบกิจการหลายประเภทที่เกี่ยวข้องกับรีไซเคิลจัดการของเสีย และวัตถุอันตราย แต่พบว่าประกอบกิจการที่ฝ่าฝืนกฎหมายโรงงาน และกฎหมายวัตถุอันตรายอย่างร้ายแรงในหลายประการ เช่น มีการจัดการขยะอันตรายไม่ถูกต้อง และปล่อยสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ข้างเคียง และแม้จะถูกสั่งหยุดกิจการ ยึดอายัดของกลาง ดำเนินคดี รวมถึงยึดใบอนุญาต แต่ก็ยังคงมีการลักลอบกระทำผิดอยู่ จนเชื่อว่าคงมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง

“กรณี บริษัท ทีแอนด์ทีฯ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการกระทำความผิดซ้ำซาก โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง จึงต้องยกระดับมาตรการลงโทษ ตลอดจนใช้กลไกของ ดีเอสไอ ในการขยายผลกวาดล้าง ขุดรากถอนโคนไปถึงต้นตอของขบวนการอย่างรัดกุม” นายเอกนัฏ ระบุ

ด้าน น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาได้ร่วมกับ ชุดตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เข้าตรวจจับกุม บริษัท ทีแอนด์ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด หลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็พบว่า ยังคงลักลอบกระทำความผิด ที่สุด กรมโรงงานอุตสาหกรรม จึงมีคำสั่งยึดใบอนุญาต แต่ก็ยังพบว่า มีการลักลอบเคลื่อนย้ายของกลางที่เป็นวัตถุอันตรายไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น ทั้ง จ.ฉะเชิงเทรา หรือ จ.สมุทรสาคร อีก จึงมีความจำเป็นต้องยกระดับเพื่อจัดการกับกรณีบริษัทที่ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายเช่นนี้ โดย รมว.อุตสาหกรรม ได้กำชับและขอให้ทาง ดีเอสไอ ดำเนินการขยายผลให้ถึงต้นตอและจัดการขบวนการนำเข้าพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมให้ถึงที่สุด

“กระทรวงอุตสาหกรรม วางแนวปฏิบัติร่วมกับ ดีเอสไอ หากพบกรณีที่มีของกลางและกากของเสียอุตสาหกรรมในปริมาณที่มาก และมีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษจะเชิญ ดีเอสไอ ร่วมตรวจเพื่อยกระดับการสืบสวนขยายผลหาข้อเท็จจริง และลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดเพื่อให้เข็ดหลาบโดยเร็วที่สุด” น.ส.ฐิติภัสร์ ระบุ

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวด้วยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม เร่งตรวจสอบและขยายผลขบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและเร่งนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมยืนยันจะดำเนินการเชิงรุกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ลดปัญหาการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ประชาชนในทุกพื้นที่

‘ปตท.–GPSC-Solar PPM’ สนับสนุนการติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ณ วัดสระเกศฯ ส่งเสริมการใช้พลังงานจากธรรมชาติ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของทางวัด

(23 มี.ค. 68) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วย นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) และนายกฤษณ์ พรพิไลลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ พีพีเอ็ม จำกัด (Solar PPM) ร่วมถวายระบบ Solar Rooftop ขนาด 100 กิโลวัตต์ แด่พระเดชพระคุณพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) เพื่อปรับปรุงระบบไฟฟ้าของวัดให้เป็นระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับใช้งานภายในอาคารบำเพ็ญกุศล 1-2 และเมรุ โดยสามารถลดค่าไฟฟ้าของวัดได้ถึงร้อยละ 50 ภายใน 1 เดือน นับเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายให้แก่วัดและเป็นการสนับสนุนเพื่อสาธารณประโยชน์ให้แก่วัดและชุมชนในพื้นที่อีกด้วย

‘ดร.หิมาลัย’ ลุย!! แผนการจัดการน้ำ ฝายธงน้อย กางแผนเสริมระบบระบายน้ำ ลดผลกระทบ ‘อุทกภัย’ พร้อมพัฒนา!! โรงไฟฟ้าพลังน้ำธงน้อยเพื่อชุมชน

(23 มี.ค. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการดำเนินงานโครงการฝายธงน้อย จังหวัดน่าน ครั้งที่ 2 โดยมี นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน, นายทรงยศ รามสูต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน, นายมังกร ศรีเจริญกุล สมาชิกวุฒิสภา, นางวาสนา ยศสอน สมาชิกวุฒิสภา, นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดี พพ. รวมถึงผู้แทนจากกรมเจ้าท่า กรมชลประทาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมมาลากุล 1 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568

ดร.หิมาลัย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือแนวทางบริหารจัดการน้ำจากโครงการฝายธงน้อยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมเดินหน้าพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำธงน้อยเพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน “วันนี้ทุกฝ่ายมารวมกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดในการบริหารจัดการน้ำ เราต้องมั่นใจว่า ประชาชนจะได้รับการดูแล และโครงการฝายธงน้อยจะสร้างประโยชน์สูงสุด เราจะทำงานเชิงรุกเพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าไปพร้อมกัน” ดร.หิมาลัย กล่าว

โดยได้จัดทำแผนบรรเทาทุกข์โครงการแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่

แผนระยะสั้น (พ.ศ. 2568–2570) ประกอบด้วยการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ เครื่องสูบน้ำหอยโข่ง การระบายน้ำผ่านทางผ่านปลา และการขุดลอกตะกอนดินทรายในลำน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เหนือฝาย ลดความเสี่ยงต่อปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะสามารถช่วยระบายน้ำในช่วงที่น้ำหลากได้ถึง 50 ลบ.ม /วินาที

แผนระยะยาว (เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2570 เป็นต้นไป) ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารระบายน้ำฉุกเฉิน จำนวน 2 ช่อง พร้อมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอขอรับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2569 โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำธงน้อยมีเป้าหมายในการผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาดประมาณ 11.10 ล้านหน่วยต่อปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 6,438 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี และมีความสามารถในการช่วยระบายในช่วงน้ำหลากได้ถึง 220 ลบ.ม/วินาที  พร้อมทั้งสามารถจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าได้อีกด้วย

ดร.หิมาลัย ได้กล่าวอีกว่า ถึงแม้จากผลการวิเคราะห์ทางอุทกวิทยา โครงการฝายธงน้อยมิใช่สาเหตุของน้ำท่วมในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองน่าน  ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจและร่วมบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน ได้บูรณาการความช่วยเหลือร่วมกับทุกภาคส่วน และขอยืนยันเจตนารมณ์ในการดำเนินโครงการภายใต้หลักความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจะดำเนินการควบคู่กับมาตรการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน และสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

ทีมงานแอนิเมชัน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โพสต์!!ขอบคุณ ‘พี่เกลือ เป็นต่อ’ ให้เกียรติพากย์บท ‘พระยาทรงฯ’ ชี้!! ‘ห้าว-ปากแจ๋ว’ สมใจ ยินดีมากที่ได้ร่วมงาน

(23 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘2475 Dawn of Revolution’ ได้โพสต์ข้อความประทับใจ เกี่ยวกับ ‘พี่เกลือ เป็นต่อ’ โดยมีใจความว่า ...

พี่เกลือ กับ แอนิเมชัน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ

ตอนเราคิดจะหาคนพากย์ งานแอนิเมชัน๒๔๗๕ เรามีพี่นกสินจัยและฉัตรชัย ที่วางไว้ตั้งแต่ต้น รวมทั้ง พี่ดี้และพี่สุเมธ ที่ยินดีร่วมงานอย่างมาก ซึ่งพี่ๆเหล่านี้ เราได้คุยไว้ตั้งแต่ตอนทำงานเพลงในหลวงครับ 

พี่เกลือล่ะมาไง?

งานหินของแอนิเมชันคือ เราต้องหาคนพากย์เป็น “ลุงดอน” ซึ่งเป็นผู้ดำเนินเรื่อง และมีบทพูดเยอะมาก สุดท้ายเราได้อาวอ มาพากย์และช่วยคุมงานพากย์ทั้งหมดครับ 

ระหว่างพากย์กันอยู่ อาวอแกก็อยากได้ดารามาเพิ่ม จึงลองโทรหาพี่เกลือ ถามว่าว่างมั้ย มาพากย์การ์ตูนกันหน่อย ปกติพี่เกลือจะไม่ค่อยว่าง งานเยอะ แต่วันนั้นพี่เกลือว่างพอดี และบ้านก็อยู่ไม่ไกล พี่เกลือเลยแวะมาแจม 

มาถึงห้องอัดก็นั่งเลือกว่าจะให้พากย์เป็นอะไร (เลือกกันสดๆหน้างาน) เราก็เห็นบทพระยาทรงฯ คู่ปรับปรีดีที่เป็นคนห้าวๆ และปากแจ๋ว ก็เลยให้พี่เกลือพากย์บทพระยาทรงฯ ซึ่งก็ออกมาปากแจ๋วสมใจครับ  (และพี่เกลือยังพากย์เป็นทหารหนวดที่ชอบชักปืนขู่ด้วยครับ) 

พากย์เสร็จผมก็ใส่ซองให้พี่เกลือ แกยังถามว่า ได้เงินด้วยเหรอ ผมก็บอกว่าต้องให้สิครับ (ถึงจะมีไม่มาก แต่ต้องให้) และผมไม่กล้ารบกวนมาก เลยขอถ่ายรูปเก็บไว้รูปเดียว 

หลังจาก แอนิเมชัน ออก ดูพี่เกลือจะประทับใจมาก คอยแชร์คอยติดตามผลงานเราตลอด และถ้ามีการทำภาคต่อหรือเรื่องใหม่ พี่เกลือบอกว่ายินดีมาร่วมงานกันอีก 

ขอขอบคุณพี่เกลือมาอีกครั้งครับ 

ปล.พี่เกลือได้ค่าพากย์เท่าพี่ดี้เลยครับ

‘สตม.’ แกะรอยรวบ!! หนุ่มจีนแปลงกาย เปลี่ยนชื่อสกุล สวมสัญชาติวานูอาตู ท้าทายระบบไบโอเมตริกซ์ สุดท้ายพบเป็นผู้ร้ายหนีคดียักยอกเงิน 1.1 หมื่นล้าน

(22 มี.ค. 68) จากกรณีที่ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สตม. สั่งการให้หน่วยงานในสังกัด ยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิด ที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง และชาวต่างชาติที่มีลักษณะเป็นอาชญากร หรือเป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยสั่งการและกำชับให้เพิ่มความเข้มในการ ตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย  โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่รับผิดชอบงานสืบสวนเน้นลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวอย่างต่อเนื่อง

โดยตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา สตม. มีการเรียกประชุมชุดสืบสวนในการลงพื้นที่สืบสวน หาข่าว หลังได้รับข้อมูลจากสายลับว่ามีเป้าหมาย บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนชื่อนายจางเหว่ย (นามสมมติ) ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง หรือกระทำความผิดอื่นๆ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ และมาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน หลังได้รับสั่งการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองชุดสืบสวน ได้นำข้อมูลโดยเฉพาะใบหน้าของเป้าหมายมาตรวจสอบกับฐานข้อมูลไบโอเมตริกซ์ พบความน่าสงสัยคือข้อมูลเชิงไบโอเมตริกซ์ของ features ต่างๆ ในใบหน้าของนายจางเหว่ย ไปสอดคล้องตรงกันกับ บุคคลต่างด้าวอีกคนหนึ่ง คือนายตู้หนาน สัญชาติวานูอาตู ซึ่งเป็นประเทศหมู่เกาะเล็กๆในแถบโอเชียเนีย ชุดสืบสวนลงความเห็น ร่วมกันว่า นายจางเหว่ย กับนายตู้หนาน เป็นบุคคลคนเดียวกัน จึงได้แบ่งหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์และมอนิเตอร์ระบบการแจ้งที่พักอาศัย และระบบการขอต่อวีซ่าของคนต่างด้าว ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดอนุญาต ของนายตู้หนาน ไม่พบว่ามีการยื่นคำร้องขออยู่ต่อ ในราชอาณาจักรแต่อย่างใด นอกจากนี้ชุดสืบสวนยังพบ ความเคลื่อนไหวโดยมีการเช็คอินโรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์ จึงนำกำลังไปตรวจสอบและเฝ้าสังเกตการณ์โดยกระจายกำลังบริเวณ โถงล็อบบี้และหน้าลิฟต์ของโรงแรม แต่คนต่างด้าวระมัดระวังตัว และไม่ยอมลงจากห้องดังกล่าว แต่จะใช้วิธีสั่งอาหารขึ้นไป เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องมีการสับเปลี่ยนกำลังในการเฝ้าสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา

จนกระทั่งวันที่ 21 มี.ค. เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่พบบุคคลต่างด้าวรายหนึ่ง มีตำหนิรูปพรรณตรงกับที่สายลับให้ข้อมูล จึงแสดงตัวขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง คนต่างด้าวซึ่งพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ด้วยภาษาจีน ให้การในเบื้องต้นว่าตนไม่ใช่คนจีน และหนังสือเดินทางของตนหาย ต่อมาให้การกลับไปมาว่าจริงๆแล้วตนเป็นคนสัญชาติวานูอาตู พร้อมแสดงรูปถ่ายหนังสือเดินทางวานูอาตู เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลพบว่าผู้ถูกจับชื่อ นาย ตู้หนาน อายุ 30 ปี สัญชาติวานูอาตู ประเภทวีซ่านักท่องเที่ยว (60 วัน) ปัจจุบันการอนุญาตสิ้นสุดลงแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกจับว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิ์ของผู้ถูกจับให้ทราบแล้ว และได้แจ้งให้ทราบถึงการถูกจับกุมแล้ว จากนั้นจึงควบคุมตัวผู้ถูกจับทำบันทึกจับกุมส่ง พงส.ดำเนินคดีตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อเกี่ยวกับหนังสือเดินทางวานูอาตูที่นายจางเหว่ย อ้างว่าทำหายไป เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานข้อมูลกับองค์กรบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ จนได้ข้อมูลยืนยันว่า บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว เป็นบุคคลเดียวกับนายจางเหว่ย (นามสมมติ) บุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ที่ก่อนหน้านี้ช่วงปี 2567 ได้ร่วมกับพวก ก่อคดียักยอกเงินจากบริษัทก่อสร้างชื่อดังในมณฑลซานตง ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,400 ล้านหยวน หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท จึงได้ใช้ระบบตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ไบโอเมตริกซ์ ตรวจเปรียบเทียบ ผลการตรวจสอบพบเป็นบุคคลเดียวกันจริง ซึ่ง สตม.จะได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปเพื่อนำตัวนายจางเหว่ยไปดำเนินคดีตามกฎหมาย

ด้าน พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.สตม. บอกว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่อง มาจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง และระบบไบโอเมตริกซ์ เป็นเครื่องมือช่วยเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน รวมไปถึงเบาะแสสำคัญ จากการแจ้งของพี่ประชาชน จนนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลในการจับกุม คนร้ายข้ามชาติรายสำคัญที่หลบหนีคดี และใช้ประเทศไทยเป็นที่ซ่อนตัวในครั้งนี้

‘ผบ.ตร.’ สั่งทบทวน!! ‘ส.ต.อ.’ ใส่ขาเทียม สอบติด ‘นายร้อย’ ถูกปัดตก ชี้!! ต้องคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมา ความตั้งใจในการรับราชการ

(22 มี.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการในการประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา ให้ฝ่ายบริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , กองบัญชาการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาทบทวนผลการสอบเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ของ ‘ส.ต.อ.’ นายหนึ่ง ใส่ขาเทียม ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างระยะเวลาที่ยื่นอุทธรณ์ได้ ขอให้พิจารณาด้วยความละเอียด รอบคอบ มีความเหมาะสมตามสายงาน เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย

ให้คำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมา ความตั้งใจในการรับราชการ แล้วรายงานให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทราบโดยด่วน

‘ครูธัญ’ พรรคประชาชน หนุน!! ทบทวนกฎหมาย หลัง ‘ผู้หญิงข้ามเพศ’ ที่ภูเก็ต ถูกตำรวจรวบ!! แจ้งข้อหา สร้างความเดือดร้อนรำคาญ ในที่สาธารณะ

(22 มี.ค. 68) นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงเหตุการณ์การจับกุมผู้หญิงข้ามเพศจำนวน 37 รายในจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2568 ว่าได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมต่อการใช้กฎหมายมาตรา 397 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกำหนดโทษต่อการกระทำที่ก่อให้เกิด 'ความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ' โดยเฉพาะในกรณีที่ส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศ

จากรายงานข่าวสื่อมวลชน ตำรวจภูเก็ตเข้าควบคุมตัวกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศในย่านซอยบางลา โดยอ้างว่าพฤติกรรมของกลุ่มดังกล่าวรบกวนและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัด อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหานี้ก่อให้เกิดคำถามต่อสังคมว่า “อะไร” คือความเดือดร้อนรำคาญตามนิยามของกฎหมาย และการกระทำของกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศเข้าข่ายความผิดจริงหรือไม่

นายธัญวัจน์ กล่าวว่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 วรรคสอง ระบุถึงโทษสำหรับการกระทำในที่สาธารณะหรือลักษณะที่ส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศ แต่เมื่อพิจารณาจากกรณีนี้ การตีความว่าการแต่งกายหรือการยืนในพื้นที่สาธารณะของผู้หญิงข้ามเพศเป็นการ 'เดือดร้อนรำคาญ' กลับสะท้อนถึงอคติทางเพศมากกว่าการกระทำผิดจริงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นในพื้นที่เดียวกันที่ไม่ได้ถูกดำเนินคดี

นายธัญวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่าสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในพื้นที่สาธารณะ ตามรัฐธรรมนูญไทยมาตรา 28 ให้ความคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกาย รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกทางเพศและการแต่งกายในพื้นที่สาธารณะ ตราบใดที่การกระทำไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นหรือผิดกฎหมายอย่างชัดเจน การใช้มาตรา 397 ในกรณีของผู้หญิงข้ามเพศที่เพียงแค่ยืนหรือเดินในพื้นที่สาธารณะ ย่อมเป็นการจำกัดเสรีภาพเกินสมควร

“การเลือกใช้กฎหมายกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยไม่มีฐานจากพฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิดอย่างแท้จริง เป็นการตอกย้ำอคติที่ฝังรากลึกในสังคมมากกว่าการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม การเหมารวมว่ากลุ่มผู้หญิงข้ามเพศคือ “ต้นเหตุของความเดือดร้อน” หรือ “ปัญหาภาพลักษณ์” จึงเป็นการใช้อำนาจรัฐที่สืบทอดมาจากทัศนคติอคติ ไม่ใช่การคุ้มครองสาธารณะตามหลักสิทธิมนุษยชน“ นายธัญวัจน์กล่าว

นายธัญวัจน์ ได้เสนอว่ากรณีนี้ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนการใช้มาตรา 397 ให้มีความชัดเจน เป็นกลาง และปราศจากการเลือกปฏิบัติ รวมถึงการพัฒนาความรู้และทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศและสิทธิมนุษยชน เพื่อไม่ให้กฎหมายกลายเป็นเครื่องมือของการกดทับกลุ่มเปราะบาง

“หากมีความกังวลเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศ การขจัดอคติในกระบวนการยุติธรรม และส่งเสริมความเท่าเทียมในพื้นที่สาธารณะต่างหาก ที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกของประเทศไทยได้มากกว่า” นายธัญวัจน์ กล่าวทิ้งท้าย

ทีมงาน 'วีโอเอไทย' เปิดใจครั้งแรก หลัง 'ทรัมป์' พักงาน ยุติออกอากาศ ลั่น!! ทำงานเต็มที่ แม้มีอุปสรรค จากการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง

(22 มี.ค. 68) ทีมงานวีโอเอไทย ซึ่งเป็นสื่อภายใต้ Voice of America ที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เผยแพร่จดหมายเปิดใจครั้งแรกในวันนี้ (22 มี.ค.) หลังผ่านไปราว 1 สัปดาห์ ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งตัดงบประมาณ พักงานพนักงาน จนทำให้ต้องยุติออกอากาศ รวมทั้งภาคภาษาไทยด้วย โดยเนื้อหาในจดหมายระบุว่า

เรียนเพื่อน ๆ สื่อมวลชน และผู้ติดตามวีโอเอไทย 

ทีมงานวีโอเอไทยเขียนจดหมายฉบับนี้เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะทางการที่เป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน 

เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มที่ทีมงานวีโอเอไทยไม่สามารถออกอากาศได้ หลังจากมีคำสั่งพักงานเจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดราว 1,300 คนภายในองค์กร

เราตกใจและเสียใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

ภาคภาษาไทยเป็นหนึ่งในภาคภาษาแรก ๆ ของวีโอเอในช่วงเริ่มการก่อตั้งเมื่อ 83 ปีก่อน และมีประวัติการทำงานเคียงคู่กับความเป็นไปในสังคมไทยและเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกมายาวนาน

จุดเริ่มต้นนั้น คือต้นทางแห่งบรรทัดฐานหน้าที่การเสนอข่าวสารตามข้อเท็จจริง ตลอดเวลาอันยาวนาน ทีมงานปัจจุบันรับไม้ต่อจากรุ่นก่อน ๆ ด้วยเจตจำนงเดียวกัน คือให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ตรงไปตรงมา ช่วยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนไทยในสหรัฐฯ กับพี่น้องในประเทศไทย และไม่อยู่ภายใต้การแทรกแซงหรือปิดกั้น 

เราทำงานตามหน้าที่แม้มีอุปสรรค โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยที่นำมาซึ่งการเซนเซอร์เนื้อหาที่อ่อนไหวแต่มีความสำคัญ เราพยายามทำให้เสียงของคนที่ถูกกดทับได้ดังก้องขึ้น เพื่อให้สังคมรับรู้และพยายามเข้าใจพวกเขามากขึ้น

ในประวัติศาสตร์ของวีโอเอ เราเคยต้องทำงานในชั่วโมงที่ข่าวสารโดนปิดกั้นเกือบเบ็ดเสร็จในประเทศไทย แต่เรายังสามารถทำหน้าที่เป็นช่องเล็ก ๆ นำทางให้แสงลอดไปท้าทายความมืดมิด

จึงเป็นที่น่าเสียดายและเสียใจยิ่งที่เราไม่สามารถทำงานได้ ในเวลานี้ ที่ไทยเพิ่งถูกลดอันดับลงมาเป็น "ไม่เสรี" ในดัชนีเสรีภาพของ Freedom House เราเชื่อเสมอว่าสื่อเสรีเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของประชาธิปไตย และการหายไปอย่างฉับพลันของข่าวสารข้อเท็จจริง เป็นเครื่องชี้ถึงความอ่อนแรงลงของชุมชนสื่อ และโลกเสรีโดยรวม

เราขอขอบพระคุณทุกกำลังใจ และความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของพวกเรา #SaveVOA

ทีมงานวีโอเอไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top