Tuesday, 1 July 2025
NEWS

นครพนม: ทหารไทย-ลาว เปิดการลาดตระเวน ร่วมทางน้ำ เพื่อสะกัดกั้นกระทำผิดกฏหมายตามแนวลำน้ำโขง

เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.68) เวลา 09.30 น. ที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 พลเรือตรีณรงค์ เอมดี ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่นาโขง, เป็นประธานเปิดการลาดตระเวน ร่วมกันทางน้ำ ไทย-ลาว โดยมี พันเอกบุนเลิด  บุบผาวัน หัวหน้าการทหารกองบัญชาการทหาร แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (หน.การทหาร กบช. ข.คำม่วน สปป.ลาว) และคณะ ฝ่ายทหารไทย โดยมี  พันเอกศิวดล  ยาคล้าย ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/ผู้อำนวยการส่วนอำนวยการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมด้วยหน่วยงานด้านความมั่นคง ประกอบไปด้วย หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม และ ฝ่ายปกครอง  ร่วมพิธีการลาดตระเวนร่วมไทย- ลาว เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือ จากชุดประสานงานประจำพื้นที่ของทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งได้ร่วมกันวางแผนและกรอบแนวทางตามลำดับขั้น โดยในวันนี้จะเป็นการลาดตระเวน ร่วมไทย-ลาว จังหวัดนครพนม-แขวงคำม่วน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือในการสกัดกั้นและการกระทำผิดกฎหมาย ตามแนวชายแดนร่วมกัน ตลอดจนสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นระหว่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่สันติภาพและ  ความเจริญรุ่งเรืองทั้ง 2 ประเทศในระยะยาว  ซึ่งวันนี้ทั้ง 2 ฝ่ายได้จัดตั้งการลาดตระเวนทางน้ำร่วมกัน จุดประสงค์เพื่อสะกัดกั้นกรั่นกรองอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศทำงานร่วมกัน มีการพัฒนาชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และพบปะแลกเปลี่ยนสร้างความสนิทสนมระหว่างไทย-ลาว ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ร่วมกัน 

โดยในวันนี้ในช่วงก่อนลาดลาดตระเวน ทางน้ำ ฝ่ายไทย-ลาว ทางด้านพลโท ณรงค์  สวนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  (ผอ.ศปป.2 กอ.รมน.) พร้อมคณะได้ร่วมในการลาดตระเวน ร่วมทางน้ำ เพื่อสกัดกั้นกระทำผิดกฎหมายตามแนวลำน้ำโขงในครั้งนี้ ซึ่งท่านเคยเป็นอดีตผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี มาก่อนและในวันนี้ทางด้านศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดนครพนม 

พลโท ณรงค์  สวนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  (ผอ.ศปป.2 กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าว ภายหลังจากการลาดลาดตระเวน ทางน้ำร่วมไทย-ลาว ว่า จังหวัดนครพนม เป็นพื้นที่ดูแลของ นรข. กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือตามแนวชายแดนของทั้ง สองประเทศ  ซึ่งผลการปฏิบัติการในวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกส่วนมีความเข้าใจถึงภัยคุกคามภายนอกมีหลายปัจจัย ในฐานะกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) จึงได้ลงพื้นที่ เพื่อทำงานร่วมกันในพื้นที่   

พลเรือตรีณรงค์  เอมดี ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่นาโขงกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็น การลาดตระเวนทางน้ำร่วมกัน 3 เดือนต่อครั้ง และจัดการประชุมพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร 6 เดือนต่อครั้ง โดยผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ ทั้งเห็นควร ประสานงานร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเครือข่ายเป้าหมายยาเสพติด อย่างต่อเนื่อง

ตำรวจภูธรภาค 2 เกาะติดสถานการณ์ไทย – กัมพูชา 'ผบช.ภ.2' ประชุมเข้มกำชับซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ ดูแลประชาชน 3 จังหวัดชายแดน

เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.68) เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 2 (ศปก.ภ.2) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เป็นประธานการประชุมติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา โดยมี พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง ผบช.ภ.2 ผบก.ภ.จว.จันทบุรี ผบก.ภ.จว.ตราด ผบก.ภ.จว.สระแก้ว ผบก.สส.ภ.2 ผบก.อก.ภ.2 และผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 2 มีพื้นที่ติดต่อชายแดนประเทศกัมพูชา 3 จังหวัด คือ จันทบุรี ตราด และสระแก้ว จึงได้เน้นย้ำการเฝ้าระวังเชิงรุก บูรณาการข้อมูล และเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ตำรวจภาค 2 ประชุมเกาะติดสถานการณ์ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 

ผบช.ภ.2 กล่าวด้วยว่า ให้ฝ่ายอำนวยการเตรียมความพร้อมตรวจสอบอัตรากำลัง เกาะติดข่าวสารประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เตรียมสนับสนุนการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง กำชับตรวจสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งาน จัดเตรียมกำลังพลพร้อมปฏิบัติทุกด้าน ให้ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดอย่างเคร่งครัด พร้อมจัดทำข้อมูลบุคคลเข้า-ออก ประเทศ ให้สอดคล้องตามมาตรการและแผนยุทธการของกองทัพ สำหรับให้หน่วยพื้นที่ สภ. ที่ติดแนวชายแดน เตรียมพร้อมซักซ้อมแผนเผชิญเหตุทุกสถานการณ์ เน้นการดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

‘ไอซ์ รักชนก’ ขยี้ซ้ำผลสอบ ‘ก.มหาดไทย’ ชัดเป็นไปตามที่เคยพูดราคาตึก SKYY9 แค่ 3 พันล้าน แต่ ‘ประกันสังคม’ ทุ่มซื้อ 7 พันล้าน ถามผู้เกี่ยวข้องจะรับผิดชอบอย่างไร เชียร์ ‘อนุทิน’ ทำให้ดูหน่อยฟันให้เด็ดขาด

เมื่อวันที่ (10 มิ.ย.68) น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน แชร์ข่าวเปิดผลสอบ กระทรวงมหาดไทย ศึกษาวิเคราะห์ราคาอาคาร SKYY9 ระบุความมีราคาซื้อขายในขณะนั้น ประมาณ 3.4-3.8 พันล้านบาทพร้อมระบุข้อความว่า สุดท้ายผลสอบก็จะออกมายืนยันสิ่งที่ไอซ์และเนมพูดมาตลอด ว่าราคาซื้อขายของตึกควรอยู่ที่ 3,000 ล้าน แต่ประกันสังคม ทุ่มเงิน 7,000ล้าน ซื้อของราคา 3,000ล้าน

ทีนี้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด รับผิดชอบยังไง? 

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน MFC ตัวตั้งตัวตีเสนอตึกและหาคนมาตีราคา พร้อมตั้งทรัสต์ ดูแลจนจบกระบวนการ จะลอยตัวเนียน ๆ ไปแบบนี้ไหม?

กลต. จะทำอะไรกับ บริษัทที่ประเมินตัวเลขเวอร์ ๆ ไร้ธรรมาภิบาลหรือไม่? ต้องให้ไปชี้นิ้วบอกทีละเจ้าอีกไหม? บริษัทรับประเมินถ้าทำงานตรงไปตรงมาจริง อย่ากลัว ออกมาแถลงทีละบริษัทแมน ๆ ไปเลย ว่ายืนยันความบริสุทธิ์ ทำงานตรงไปตรงมา และพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่จะขอข้อมูล ส่วนบริษัทไหนที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ กลต. รออะไร?

น.ส.รักชนก ระบุต่อว่า บอร์ดลงทุนประกันสังคม วันนั้นที่ตัดสินใจลงทุนไม่มีใครขัดขวางสักคนเลยหรอ มันตั้งใจ จงใจเกินไปไหม? เปิดออกมาให้หมดบันทึกการประชุม ใครพูดอะไร ลากชื่อมันออกมา

สุดท้ายนี้* ท่านอนุทิน ท่านปลัดมหาดไทย อย่าให้ใครครหาว่าทำเป็นเล่นขายของ ทำไปอย่างงั้นไม่ทำจริงจัง เอกสารที่บอกว่าขอจากเอกชนไม่ได้ อย่ามาตลกค่ะ กมธ.ติดตามงบยังขอได้เลย แล้วถ้าขอเอกชนไม่ได้ ขอประกันสังคมเลย วันนั้นอ่านอะไรกันบ้างถึงตัดสินใจซื้อตึกเปิดมาให้หมด คณะกรรมการนี้มีอำนาจเข้าถึงเอกสารที่อยากจะอ่านได้ทั้งหมดอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเอาจริงหรือป่าว 

“ทำให้ดูหน่อยค่ะท่านอนุทิน เอาให้เด็ดขาด ฟันมาให้ชัดอย่ากำกวม ดิฉันอยากเห็นคนถูกดำเนินคดีข้อหาทุจริต ดิฉันอยากเห็นคนที่ตอดกินเงินของผู้ประกันตนออกจากราชการ ดิฉันอยากเห็นคนติดคุก ถ้าท่านเอาจริงไม่มีอะไรเกินอำนาจบารมีที่ท่านจะจัดการได้ แล้วดิฉัน รักชนก ศรีนอก จะจดจำคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะคนจริงที่น่านับถือ” น.ส.รักชนก ระบุ 

น.ส.รักชนก ระบุต่อว่า ปล. บอกไปทุกคนอาจจะไม่เชื่อนะคะ แต่ถ้าเราไม่มาเปิดเผยเรื่องตึก SKYY9 ป่านนี้ผู้ประกันตนคงได้เป็นเจ้าของตึกเพิ่มอีกหนึ่งถึงสองตึกไปแล้ว เพราะมีคนเค้าเตรียมกันไว้แล้วค่ะ

'เชียงราย' นบ.ยส.35 เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย 'SEAL - STOP - SAFE' ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.68) ที่ผ่านมา พลโท กิตติพงศ์ ชื่นใจชน ผบ.นบ.ยส.35 พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยในพื้นที่ภายใต้โครงสร้าง นบ.ยส.35 โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนตามแผนปฏิบัติการ 'SEAL - STOP - SAFE' ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเชิงรุก

การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายในจังหวัดเชียงราย พะเยา และน่าน โดยมีรายละเอียดการลงพื้นที่ดังนี้:

ในช่วงเช้า ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย ณ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อประเมินผลการสกัดกั้นยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายตามแนวลำน้ำโขง ภายใต้ยุทธศาสตร์ 'SEAL'

ต่อมา ได้เดินทางไปยังด่านศุลกากรแม่สาย เพื่อติดตามมาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าผ่านแดน และสารเคมีที่อาจใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด พร้อมตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของหน่วย ณ จุดผ่านแดนแม่สาย 2 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ 'STOP' และ ได้ลงพื้นที่บ้านวังน้ำริน ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย เพื่อตรวจเยี่ยมและรับฟังการบรรยายสรุปการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งในการป้องกันยาเสพติด และการปฏิบัติงานของชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ภายใต้ยุทธศาสตร์ 'SAFE'

ภาคบ่าย พลโท กิตติพงศ์ฯ เป็นประธานในการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงานของ นบ.ยส.35 โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานด้านความมั่นคง หน่วยงานพลเรือน สำนักงาน ป.ป.ส. และตำรวจเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อบูรณาการแนวทางปฏิบัติทั้งในระดับยุทธศาสตร์และภาคสนามให้มีเอกภาพ

ภายในงานมีการจัด กิจกรรม Workshop เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ และร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ในพื้นที่จริง พร้อมระดมความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาและพัฒนามาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งหวังให้เกิดการปฏิบัติที่ตอบโจทย์สภาพพื้นที่และนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม

ปัจจุบัน นบ.ยส.35 มีผลการดำเนินงาน ตั้งแต่ 1 ต.ค. 67 – 8 มิ.ย. 68 มีเหตุการณ์สำคัญ 165 ครั้ง เหตุการณ์  (ปะทะ 35 ครั้ง ตรวจยึด/จับกุม 129 ครั้ง)  จับกุมยาบ้า 238 ล้านเม็ดเศษ, ไอซ์ 14,049 กก., เฮโรอีน 376 กก., คีตามีน 1454 กก., Happy Water 4.8 กก., เคมีภัณฑ์  819 ตัน ผู้ต้องหา 174 คน เสียชีวิต 18 ศพ

ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ -เอกชน ต้อนรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ไลอ้อนแอร์ อุดรธานี-อู่ตะเภา (UTP)

(11 มิ.ย. 68) ณ อาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (UTP) การท่าอากาศยานอู่ตะเภา ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ และภาคธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรีและระยอง จัดกิจกรรมต้อนรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ของสายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ เที่ยวบินที่ SL588 เส้นทางบินจาก ทำอากาศยานนานาชาติอุดรธานี (UTH) มายัง ทำอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (UTP) 

โดยมี พล.ร.ท.เกียรติกูล สุวรรณ รองผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา พร้อมด้วย พลตำรวจตรี ภูมินทร์ สิงหสุต ผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดระยอง นางอำไพ ศักดานุกูลจิต สไลวินสกี้ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดชลบุรี และ นางปาณรดา อัตโตหิ รองปลัดเมืองพัทยา ร่วมให้การต้อนรับพร้อมมอบพวงมาลัยดอกไม้ ให้กับผู้โดยสารเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่น จากผู้บริหารท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาและผู้บริหารของสายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ ผู้แทนภาครัฐ และผู้แทนภาคท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีและระยอง โดยท่าอากาศยานอู่ตะเภา ได้จัดพิธีต้อนรับแบบ Airplane welcome หรือ การทำอุโมงค์น้ำ สร้างความประทับใจให้กับผู้โดยสาร ซึ่งนั่งอยู่ในเครื่องบินเป็นอย่างมาก

สำหรับสายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ เริ่มให้บริการในเส้นทาง อู่ตะเภา – อุดรธานี ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป หนุนมาตรการส่งเสริมเปิดเส้นทางบินสู่เมืองรอง  โดยจะมีให้บริการในวันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ และวันอาทิตย์ โดยเที่ยวบินขาไปจะออกเดินทางจากอู่ตะเภา เวลา 13.30 น. ถึงอุดรธานี เวลา 14.50 น. และเที่ยวบินขากลับออกเดินทางจากอุดรธานี เวลา 11.20 น. มาถึงอู่ตะเภาเวลา 12.40 น. ใช้เวลาในการบินเพียง 1 ชั่วโมง 20 นาที ในราคาบัตรโดยสารพิเศษ เริ่มต้นที่ 995 บาทต่อเที่ยวบิน พร้อมจัดส่วนลดพิเศษสำหรับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในพื้นที่ชลบุรีและระยอง อีกด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

(สุรินทร์)นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำยึดสันติวิธี ไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสีย

(11 มิ.ย. 68) เวลา 11.05 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพื่อประชุมติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และวางมาตรการช่วยเหลือประชาชนใน 7 จังหวัดชายแดน ได้แก่ สุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์, สระแก้ว, จันทบุรี และตราด ณ ห้องประชุมอัมพรพิมาน โรงพยาบาลกาบเชิง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์

สำหรับจ.สุรินทร์ มีพื้นที่ชายแดนยาว 125 กิโลเมตร ครอบคลุม 4 อำเภอ ได้แก่ บัวเชด สังขะ กาบเชิง และพนมดงรัก มีจุดผ่านแดนถาวร 1 แห่ง คือ ช่องจอม และช่องทางธรรมชาติ 54 ช่อง โดยพื้นที่เสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ ได้แก่ บริเวณปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาเมือนโต๊จ

จากการประเมิน หากเกิดเหตุสู้รบ อาจส่งผลกระทบต่อ 287 หมู่บ้าน ใน 22 ตำบล 4 อำเภอ มีประชาชนกว่า 144,000 คนอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ปัจจุบันมีหลุมหลบภัย 224 แห่ง แต่บางส่วนชำรุดและไม่เพียงพอ รัฐบาลจึงเร่งซ่อมแซมและจัดสร้างเพิ่มเติม พร้อมขอความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนร่วมบริจาควัสดุจำเป็น เช่น ท่อกลม กระสอบทราย และปูน โดยสามารถนำส่งได้ที่ที่ว่าการอำเภอทั้ง 4 แห่ง หรือในหมู่บ้านเป้าหมาย

ด้านแผนอพยพ จังหวัดสุรินทร์ได้เตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราว 65 แห่ง ในโรงเรียน วัด เทศบาล และ อบต. สำหรับรองรับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งมีจำนวนรวม 746 ราย ใน 4 อำเภอ พร้อมเตรียมย้ายโรงพยาบาลพนมดงรัก และโรงพยาบาลกาบเชิง เป็นโรงพยาบาลสนามหากเกิดเหตุฉุกเฉิน

ในส่วนของงบประมาณ สามารถใช้งบ อปท. และเงินทดรองราชการช่วยเหลือได้ทันที แบ่งเป็นงบเชิงป้องกัน 10 ล้านบาท และกรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน 20 ล้านบาท สำหรับใช้ในด้านอาหาร วัสดุอุปกรณ์ ค่าเจ้าหน้าที่ และค่าดำเนินการอื่น หากไม่เพียงพอจะของบสนับสนุนเพิ่มเติมจากส่วนกลางต่อไป

ก.มหาดไทย เผยผลสอบ สปส.ซื้อตึก 7 พันล้าน พบราคาซื้อขายควรอยู่ในช่วง 3.4 – 3.8 พันล.เท่านั้น

(10 มิ.ย. 68) เปิดผลสอบ ก.มหาดไทย ศึกษา-วิเคราะห์ราคาอาคาร SKYY9 หลัง สปส.ควักเงินจ่าย 7 พันล้าน พบราคาซื้อขายขณะนั้น ควรมีค่า ในช่วงประมาณ 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท

จากกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 มูลค่า 3 พันล้านบาทในราคา 7 พันล้านบาท โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน

ล่าสุด จากการรายงานของสำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลว่า คณะกรรมการฯ ชุดนี้ ได้จัดทำรายงานผลตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 เสร็จสิ้นแล้ว 

โดยมีข้อสรุปผลการศึกษาและวิเคราะห์ราคาอาคาร SKYY9 เห็นว่า มูลค่าตลาดของอาคาร SKYY9 ในขณะที่ทำการซื้อขายควรมีค่าในช่วงประมาณ 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท ใช้วิธีคิดจากกระแสเงินสดคิดลด 

ผลการศึกษาดังกล่าว ระบุว่า "จากการศึกษาการประเมินมูลค่าทรัพย์สินโดยวิธีคิดจากกระแสเงินสดคิดลดข้างต้น พร้อมกับการตรวจสอบความสมเหตุสมผลของมูลค่าด้วยวิธีคิดจากต้นทุนและวิธีเปรียบเทียบข้อมูลราคาซื้อขาย มีความเห็นว่าผลการศึกษาการประเมินมูลค่าอาคาร SKYY9 ที่ได้จากวิธีคิดจากกระแสเงินสดคิดลดเป็นผลที่สอดคล้องกับข้อกำหนดในมาตรฐานวิชาชีพการประเมินมูลค่าทรัพย์สินในประเทศไทย ทั้งยังเป็นแนวคิดที่เหมาะสม สอดคล้องกับธรรมชาติของทรัพย์สิน จึงสามารถสะท้อนมูลค่าตลาดของทรัพย์สินได้ดีกว่า จึงมีความเห็นว่ามูลค่าตลาดของอาคาร SKYY9 ในขณะที่ทำการซื้อขายควรมีค่าในช่วงประมาณ 3,428,000,000 บาท - 3,863,000,000 บาท"

อย่างไรก็ดี ในการศึกษาดังกล่าวมีข้อจำกัด ได้แก่ คณะทำงานไม่ได้รับข้อมูลจากบริษัทประเมินและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสำรวจทรัพย์สิน  

ส่วนสรุปผลการศึกษาผ่านวิธีการประเมินราคาแบบต่าง ๆ ดังนี้

การประเมินมูลค่าอาคารสำนักงาน SKYY9 โดยวิธีรายได้ : 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท

การประเมินมูลค่าอาคารสำนักงาน SKYY9 โดยวิธีคิดจากต้นทุน

มูลค่าที่ดิน (1,392 ตารางวา ละ 700,000-800,000 บาท) : 998,340,000-1,140,960,000 บาท

มูลค่าอาคารสุทธิ : 2,469,000,000 บาท

มูลค่าตลาดโดยวิธีคิดจากต้นทุน : 3,467,340,000-3,609,960,000 บาท หรือประมาณ : 3,467,000,000-3,610,000,000 บาท

มูลค่าอาคารสำนักงาน SKYY9 โดยวิธีเปรียบเทียบราคาตลาด : 3,554,000,000 บาท

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันว่า เป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยังไม่มีการลงโทษอะไร เมื่อทราบข้อเท็จจริง เห็นความผิดปกติ ค่อยพิจารณาดำเนินการต่อไป

นครพนม​ -​ทหารไทย-ลาว ร่วมประชุมสานความร่วมมือชายแดน(นครพนม-คำม่วน) ยกระดับมาตรการปราบปรามยาเสพติดโดยใชัโดรน - ดูดทรายในแม่น้ำโขง

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.68) ที่ห้องประชุมแขวงทางหลวงนครพนม บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม–คำม่วน) มีการจัดประชุมแลกเปลี่ยนการปฏิบัติงานร่วมกัน ครั้งที่ 5 ประจำปี 2568 ระหว่างคณะชุดประสานงานชายแดนไทย-ลาว โดยมี พันเอกศิวดล ยาคล้าย ผบ.กองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และหน่วยงานความมั่นคงไทย ให้การต้อนรับ พันเอกบุนเลิด บุบผาวัน หน.การทหาร แขวงคำม่วน สปป.ลาว พร้อมคณะผู้แทนจาก สปป.ลาว

โดยทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในการดำเนินการเพิ่มมาตรการเฝ้าตรวจอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และหน่วยจะร่วมกันประสานการปฏิบัติหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ตามสายบังคับบัญชา สนับสนุนการปฏิบัติเพิ่มมาตรการเฝ้าระวัง เนื่องจากอาจเป็นอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ของกลุ่มขบวนการลำเลียงยาเสพติด หรือกลุ่มแอบแฝงการกระทำผิดกฎหมายพระราชบัญญัติอื่นๆ และอาชญากรรมต่างๆ ตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ และจะส่งผลการตรวจสอบให้กันและกันทราบ เมื่อตรวจสอบทราบข้อเท็จจริงแล้ว 

ทั้งนี้ สองฝ่ายเห็นควรข้อตกลง ดำเนินการลาดตระเวนร่วมอย่างเป็นทางการ 3 เดือน/ครั้ง และจัดการประชุมพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร 6 เดือน/ครั้ง โดยผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ ทั้งเห็นควร ประสานงานร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเครือข่ายเป้าหมายยาเสพติด อย่างต่อเนื่อง กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีแผนการติดตามเป้าหมายบางรายคดียาเสพติด อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมมืออย่างรวดเร็วทันกับสถานการณ์

ให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการตรวจสอบกิจการท่าทรายของผู้ประกอบ หรือการจัดตั้งของบริษัทเหมืองแร่ (ดูดทราย)ตามแนวชายแดนแม่น้ำโขง ที่เห็นว่าดำเนินการไม่ถูกต้องตามระเบียบกฎหมายของแต่ละประเทศ รวมทั้งได้ส่งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้กันและกันทั้งสองฝ่าย เมื่อมีการประสานขอรับทราบ และกรณีมีการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย เห็นชอบร่วมกันตรวจสอบพื้นที่จริงบริเวณเขตแนวชายแดน ร่วมมือกันยุติปัญหาไว้ ณ แนวชายแดนที่ปรากฏภาพข่าว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเป็นวงกว้างในพื้นที่ จ.นครพนม - แขวงคำม่วน 

ส่วนในข้อสุดท้ายของการประชุม คือสองฝ่ายเห็นควร ประสานการปฏิบัติผ่านกลไกชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดน หากมีการส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน โดยบันทึกการประชุมฉบับนี้จัดทำขึ้น 4 ฉบับ เป็น 2 ภาษา ทั้งภาษาไทย และภาษาลาว แต่ละฝ่ายจัดเก็บไว้ 2 ฉบับ เพื่อเป็นนโยบายในการปฏิบัติต่อไป

ภายหลังการประชุม คณะทหารทั้งสองประเทศได้เดินทางไปร่วมกิจกรรมโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน” ณ วัดพระบาทเวินปลา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยมีการมอบพันธุ์ปลานิลจิตรดา 3,000 ตัว พร้อมพันธุ์ไม้พยูง ไม้สัก และไม้มะฮอกกานี รวม 400 ต้น และร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อสร้างชุมชนชายแดนที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืน

ทูตจีนกล่าวอำลาไทย ยกเป็น 4 ปีแห่งมิตรภาพ ขอบคุณน้ำใจช่วงวิกฤต ย้ำ ‘จีนไทยพี่น้องกัน’

(11 มิ.ย. 68) นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่บทความ 'จีนไทยพี่น้องกัน ร่วมกันมุ่งสู่อนาคต' ในหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับ โดยกล่าวถึงความประทับใจตลอด 4 ปีของการทำหน้าที่ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นในอนาคตอันสดใสของความสัมพันธ์จีน-ไทย

ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 เอกอัครราชทูตหานยกย่องน้ำใจของคนไทยและความช่วยเหลือที่สองประเทศมีให้กัน พร้อมระบุว่า “ความร่วมมือในยามยาก” ได้ทำให้มิตรภาพระหว่างประชาชนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพลังของความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง

นายหาน จื้อเฉียง ยังเน้นย้ำถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เช่น การจ้างงานในนิคมอุตสาหกรรม WHA และการส่งออกทุเรียนไทยไปจีน ซึ่งล้วนสะท้อนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและสร้างประโยชน์ให้กับทั้งสองประเทศ

ในด้านวัฒนธรรม นายหานชื่นชมการแลกเปลี่ยนที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งยุคฟรีวีซ่า ความนิยมของภาพยนตร์ไทยในจีน และการเรียนภาษาจีนในไทย ซึ่งมีนักเรียนกว่า 1 ล้านคน ถือเป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจและความผูกพันของประชาชนทั้งสองชาติ

ทั้งนี้ ในวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต หาน จื้อเฉียง ย้ำว่าจีน-ไทยยังคงเคารพ ไว้วางใจ และสนับสนุนกันอย่างมั่นคง พร้อมเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์นี้จะเดินหน้าสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืน ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เชียงใหม่- 'วีระศักดิ์' อดีต รมว. ท่องเที่ยวและกีฬา บรรยายพิเศษ 'ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่'

สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ จัดบรรยายพิเศษ 'ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่' เพื่อนำคำชี้แนะมาพัฒนาต่อยอด และยกระดับ ของสมาคม และการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.68) ณ โรงแรมศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ท แอนด์ สปา เชียงใหม่  นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ในวาระสมัย ปี 2568-2570 , ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพ,อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา บรรยายพิเศษ “ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่”โดยมีนายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ พร้อมทั้งเจ้าภิคินัย ณ เชียงใหม่ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่, นายกสมาคมและตัวแทนสมาคมพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่, พะเยา ส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมรับฟังบรรยาย นำคำชี้แนะ ไปพัฒนาต่อยอด และยกระดับของสมาคมในจังหวัดเชียงใหม่

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง เป็นปกติที่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนไปค้นหาที่เที่ยวใหม่ๆ ประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ๆ ส่วนนักท่องเที่ยวที่ยังเข้ามาเยือนประเทศไทยอยู่นั้นเป็นกลุ่มสำคัญที่เราจะต้องทำความเข้าใจกับเขาให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน  อย่างไรก็ตามไม่ฝากความหวังไว้กับตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยจะต้องมีการค้นหาตลาดใหม่เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของการท่องเที่ยวไทยให้มั่นคงมากขึ้น 

โดยจะต้องบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งส่วนราชการ ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ รวมถึงผู้ประกอบการในพื้นที่ในการจัดทำศูนย์ข้อมูลกลางรวบรวมจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ แบ่งบทบาท แบ่งหน้าที่ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวตามกลุ่มเป้าหมาย หรือภาคธุรกิจอื่นๆ ที่อยากเชื่อมโยงธุรกิจท่องเที่ยวกับเราอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่แข่งแย่งกัน

นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ รายได้ของจังหวัดเชียงใหม่70% มาจากการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่มีความสำคัญ เป็นหน้าที่ที่เรามาจับมือคนรอบข้างแล้วเข้าไปมีส่วนร่วมกับสังคม เข้าไปมีส่วนร่วมกับหลายๆภาคส่วนที่จะร่วมกัน เพื่อที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือการทำให้เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญด้านการท่องเที่ยว

นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ จัดบรรยายพิเศษ“ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่” โดยผู้ทรงคุณวุฒิ คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ในหัวข้อ การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ของการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับ Soft Power (5Fs),แนวทางการยกระดับผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานและแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย เพื่อรองรับกลุ่มนักเดินทางเชิงสุขภาพ และกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก Destination Marketing  พร้อมทั้งมีการหารือร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน ด้านการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย

การจัดงานบรรยายพิเศษ "ทิศทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่"ในวันนี้ เพื่อรับฟังวิสัยทัศน์จากผู้เชี่ยวชาญ และร่วมหารือ ในประเด็น การสร้างอัตลัษณ์ใหม่ของการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับ Soft Power (5Fs) โดยให้ความสำคัญกับ Food-Festival-Fun ที่โดดเด่นของเชียงใหม่
- Food (อาหารพื้นถิ่น/ เทศกาลอาหารฮาลาล/ สตรีทฟู๊ด/ ผักผลไม้ GI/ มิชลิน)
- Festival (Big 5: งานไม้ดอก/ สงกรานต์/ pride and mu month/ ยี่เป็ง/ design week)
- Family & Fun (กลุ่มครอบครัว/ csr/ team building)

แนวทางการยกระดับสินค้า และผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่มีมาตรฐานและแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัย และกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก Destination Marketing การเข้าร่วมงาน Trade Show เช่น ITB, WTM , TTM+ รวมถึงออกแบบแพคเก็จการท่องเที่ยวแบบครบวงจรสำหรับกลุ่มนักเดินทางต่างประเทศ เช่น Chiang Mai Pass, TAGTHAi Pass เป็นต้น สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในเรื่องของการยกระดับสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้านการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยทั้งในการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง
          
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการบรรยายในวันนี้ จะได้รับคำชี้แนะ การพัฒนาต่อยอด และยกระดับของสมาคมในจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งจะเกิดประโยชน์กับทุกท่าน และ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมให้การสนับสนุนทางจังหวัด  สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่, สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ อย่างเต็มที่

นางพัศลินทร์ เศวตรัตน์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ นักท่องเที่ยวชาวไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างเช่น นักท่องเที่ยวจีนมีลดลงบ้างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับภาพรวมของประเทศที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยลดน้อยลง 

อย่างไรก็ตามทาง ททท. ยังดำเนินการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องผ่านการจัดแคมเปญ “สวัสดีหนีห่าว” ซึ่งเป็นการเชิญบริษัทนำเที่ยวรวมถึงอินฟลูเอ็นเซอร์จากจีนเข้ามาสำรวจบรรยากาศการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น

‘หมอแอร์’ ใช้ชื่อคนตาย 370 คน รับยานอนหลับ คาดมี 6 หมอเอี่ยว พบเงินหมุนเวียนกว่า 400 ล้าน

(10 มิ.ย. 68) ‘หมอแอร์’ งานเข้าซ้ำ ชื่อคนตาย 370 คน โผล่รับยานอนหลับ คาดมี 6 หมอเอี่ยวด้วย อึ้งเงินหมุนเพิ่ม 400 ล้าน ลุยตรวจสอบคลินิก 11 แห่งพรุ่งนี้

จากกรณีตำรวจและ อย.เข้าตรวจสอบคลินิกสั่งซื้อยานอนหลับ ก่อนเชื่อมโยงถึง หมอแอร์ พ.ต.อ.พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล พร้อมจับกุมชายรายหนึ่ง ซึ่งรับเป็นผู้ดูแลห้องพักภายในแฟลตตำรวจ พร้อมยึดของกลางกลุ่มยานอนหลับ ที่บรรจุอยู่ในกล่องลังกว่า 10 กล่อง เบื้องต้นพบเงินหมุนเงินกว่า 80 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลตำรวจมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน

ล่าสุดวันที่ 10 มิ.ย.68 ที่กระทรวงสาธารณสุข ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วย รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาลตำรวจ เพียงแต่ หมอแอร์ เป็นหมอประจำโรงพยาบาลตำรวจ โดยโรงพยาบาลตำรวจมีคำสั่งให้ออกจากราชการแล้ว

ดร.ธนกฤต กล่าวว่า จากการตรวจสอบได้รับการรายงานว่า ผู้ป่วยที่มารับยาที่คลินิก มีสถานะเสียชีวิต ตามข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ก่อนที่จะรับยาตั้งแต่ปี 2567 จำนวน 250 คน และปี 2568 จำนวน 120 คน ช่วง 2 ปีนี้พบคนถูกสวมเอกสาร 370 คน

นอกจากนี้คาดว่าจะมีหมอที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 5-6 ราย โดยในวันที่ 11 มิ.ย. จะเข้าตรวจค้นคลินิกเพิ่มเติมอีก 11 แห่ง ที่อาจเชื่อมโยง โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะดำเนินการตรวจสอบ และจะแถลงข่าวการจับกุมเวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)

ดร.ธนกฤต กล่าวว่า สำหรับแพทย์หญิงคนนี้ถูกจับกุมตัวแล้วที่บ้านพักย่านราชดำริ กรุงเทพฯ เมื่อตรวจสอบพบเส้นทางการเงินพบมีความผิดปกติ โดยมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 80 ล้านบาทและไม่พบแหล่งที่มาชัดเจน อีกทั้งยังมีเส้นทางการเงินร่วมกับบุคคลอื่นอีกกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินและยาเสพติด

“เบื้องต้นพบว่าอาจมีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประเภท 2 และ 4 ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรง และได้มีการประสานไปยังแพทยสภาเพื่อสอบสวนและดำเนินการตามขั้นตอน หากพบความผิดชัดเจน อาจนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์”

‘ฮุน เซน’ โพสต์เดือด!..ท้าทายไทยจับกุมนักเคลื่อนไหว สวมชุดเครื่องแบบทหารเขมร ปลุกปั่นสถานการณ์ชายแดน

(10 มิ.ย. 68) สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์ข้อความรุนแรงผ่านเฟซบุ๊ก Samdech Hun Sen of Cambodia เรียกร้องให้ทางการไทยจับกุมนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในไทย โดยกล่าวหาว่าเป็น “คนทรยศชาติ” ที่สมคบคิดกับศัตรูเพื่อทำลายประเทศตัวเอง และท้าทายว่าหากไทยไม่มีส่วนรู้เห็น ก็ควรกล้าหาญจับกุมส่งกลับกัมพูชา

สมเด็จฯ ฮุน เซน อ้างอิงแถลงการณ์จากคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ที่ชี้เป้าบัญชีโซเชียลมีเดีย TikTok "Amy Richard310" และเฟซบุ๊ก "Piseth P G EM" ว่าเผยแพร่ข้อมูลเท็จและวิดีโอโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อบ่อนทำลายกองทัพและสร้างความเข้าใจผิดให้สาธารณชน โดยระบุว่าบุคคลเบื้องหลังคือ นายเอม พิเศฐ (Em Piseth) อายุ 37 ปี หัวหน้าเครือข่ายเยาวชนกัมพูชาทั่วโลกในประเทศไทย

ทางการกัมพูชากล่าวหาว่า นายเอม พิเศฐ ซึ่งเดิมเป็นชาวจังหวัดพระวิหารและปัจจุบันอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีการสวมเครื่องแบบทหารปลอมอย่างผิดกฎหมาย และใช้โซเชียลมีเดียโพสต์เนื้อหาเชิงลบ กุเรื่องขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐบาลกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง 

ขณะเดียวกัน พลเอกเตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ปฏิเสธข่าวลือที่ถูกเผยแพร่ในคลิปดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง โดยยืนยันว่ากัมพูชาไม่ได้ถอนทหารออก และเตือนนายเอมให้หยุดการกระทำดังกล่าว พร้อมกล่าวว่า “คุณไม่ใช่ทหาร คุณไม่ได้อยู่ในกัมพูชา อย่าสร้างปัญหาให้มากนัก... ไม่มีใครเชื่อคุณอีกแล้ว” โดยโฆษกตำรวจกรุงพนมเปญจึงเตือนประชาชนให้ใช้วิจารณญาณรอบคอบ ไม่หลงเชื่อข้อมูลที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงชัดเจน และงดแสดงความคิดเห็นที่อาจสร้างความสับสน

ขณะนี้ทางการกัมพูชาอยู่ระหว่างสอบสวนและจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย พร้อมขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น และขอให้อยู่ในความสงบเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของรัฐบาล กรณีนี้สะท้อนความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกัมพูชากับกลุ่มนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านที่หลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศ

‘เอกนัฏ’ ข้องใจ 21 สส. รทสช. ปมร่อนเอกสารบีบปรับครม. ไล่เช็กรายตัว จริงหรือมั่ว!! ขณะที่ ‘เฮ้ง’ เมินรับสาย ซัด คนเสียประโยชน์ ป่วนให้แตกแยก

เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ (10 มิ.ย. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงปัญหาภายในพรรคว่า ในพรรคไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ยังเหมือนยังเดิม

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีมีเอกสารรายชื่อ 21 สส.ส่งถึงนายกฯ ขอปรับครม. เป็นเพราะคุยกันในพรรคไม่รู้เรื่องหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในข้อเท็จจริงทั้งตนและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน รู้ดีว่าในภารกิจการทำงานที่กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องเจออะไรบ้าง แต่เราต้องมุ่งมั่นภารกิจของเรา

ส่วนข่าวเรื่องเอกสารที่ออกมา ขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ และยังไม่ทราบว่ามีการยื่นเอกสารให้กับนายกฯจริงหรือไม่ เพราะมีข้อพิรุธหลังจากมีเอกสารออกมาแล้ว พบว่าสส.หลายคนออกมาปฏิเสธ เช่น สส.ชุมพร 3 คนที่ออกมาพูดเพราะเอกสารออกไปแล้วทำให้คนเข้าใจผิด

นอกจากนั้นยังเห็นสิ่งผิดปกติของลายเซ็น ที่บางคนออกมาปฏิเสธ รวมถึงในเนื้อความเขียนว่า รัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีความรู้ความสามารถ ขาดจริยธรรม และลงชื่อนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีของพรรค ลำดับแรก รับรอง จึงไม่ทราบข้อเท็จจริงว่านายสุชาติได้เห็นและลงนามในเอกสารจริงหรือไม่

ถ้าลงลายมือชื่อก็เท่ากับรับรองและด่าตัวเองว่าไม่มีความรู้ ความสามารถ และต้องไปถามนายสุชาติว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เท่าที่ดูหลายลายเซ็นไม่ตรงกับเอกสารที่ใช้ในราชการ สส.คนอื่นที่สมัครสมาชิกพรรคลายเซ็นไม่ตรงบางคนเซ็นแค่ตัวอักษรนำ ซึ่งผิดวิสัยเอกสารสำคัญ เช่น เขียนตัวพีตัวเดียว

ทั้งนี้ ตนยังไม่เห็นเอกสารตัวจริง และเรื่องในพรรคต้องไปจัดการในพรรค ไม่เกี่ยวกับเสถียรภาพ แต่ไม่เคยเห็นมีการไปเซ็นเอกสารที่ต่อว่าหัวหน้าพรรค เลขาฯ ที่ท้าทายกดดันนายกฯ ให้ปรับครม.ที่มีใจความในลักษณะนี้

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ได้พูดคุยกับนายพีระพันธุ์ หรือยัง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตอนนี้ให้โอกาสและขอสื่อสารผ่านสื่อว่าขอให้ทำให้โปร่งใส ใครที่มีรายชื่อปรากฏในเอกสารดังกล่าว ที่ไม่ได้มีเจตนากดดันนายกฯ ไม่ได้มีเจตนาด่ารัฐมนตรีของพรรค ไม่มีความรู้ความสามารถจริยธรรม ก็ต้องออกมาชี้แจง

โดยตนได้พูดคุยกับสส.ทีละคนตั้งแต่มีภาพปรากฏไปรวมตัวกัน และมีข่าวจะย้ายพรรคขณะที่ส.ส. ก็ออกมาประกาศว่าไม่เป็นความจริง และวงที่คุยไม่ใช่เรื่องการย้ายพรรค เหตุการณ์ครั้งนี้ที่มีรายชื่อก็เช่นเดียวกัน ที่ขอตั้งข้อสังเกตและชวนสื่อไปดูว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเอกสารดังกล่าว วันนี้เมื่อมีคนออกมาปฏิเสธไม่ต่ำกว่า 3-4 รายชื่อ จาก 21 รายชื่ออย่างนี้เรียกว่าเป็นเอกสารเถื่อน

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองว่าใครเป็นคนดำเนินการเอกสารดังกล่าว เลขาฯรทสช.กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนรวบรวมรายชื่อ แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการทำงานของทั้งตนและนายพีระพันธุ์ เราไปสร้างศัตรูไว้เยอะ ก่อนหน้านี้มีการไปลงขันกันด้วยเงินหลายร้อยล้านบาท หลังจากโรงงานที่ตนไปยกเลิกและปิดโรงงาน ซึ่งการลงทุนฆ่าหรือย้ายตนง่ายกว่าไปปรับคุณภาพโรงงาน เพราะภารกิจของเขา คือต้องการเอาตนเอาออกตำแหน่งให้ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่ากระแสข่าวที่ทำเช่นนี้เพื่อขอให้ขับออกจากพรรคหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ถ้าใครเห็นว่าจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรค ไม่เป็นไปตามอุดมการของเขาก็มีสิทธิ์ลาออก แต่ตราบใดที่เป็นสมาชิกของพรรค ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของพรรค

เมื่อถามย้ำว่าคนที่ลาออก อาจจะขาดสมาชิกภาพ จึงต้องการให้พรรคขับออก นายเอกนัฏ กล่าวว่า ต้องย้อนดูว่าการกระทำที่มีความผิดต่อพรรคร้ายแรง เช่น การผิดจริยธรรมร้ายแรงและการบิดเบือนเอกสาร การปลุกปั่นทำให้เกิดความแตกแยกภายในพรรคเพื่อหวังผลใดๆ และสิ่งเหล่านี้อาจมีผลทำให้ขาดสมาชิก และขอให้กลับไปอ่านข้อบังคับพรรคดูดีๆ

คนที่ปรากฏลงลายมือชื่อ ให้ไปถามสส.ว่าได้ลงลายมือชื่อจริงๆหรือไม่ ส่วนที่มีชื่อของนายสุชาติ ก็ต้องไปถามนายสุชาติ เพราะตนโทรไปไม่รับ แต่สส.คนอื่นที่ตนโทรไปรับและระบุว่าไม่มีอะไร เช่นนายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี ยังระบุว่ารักพรรคเหมือนเดิม ไม่น่าจะมีอะไร แต่หากทำอะไร ไม่ถูกต้องก็อาจขาดสมาชิกภาพที่ขัดข้อบังคับพรรค โดยไม่ต้องใช้มติกรรมการบริหารพรรคขับออกได้

“ขอตั้งข้อสังเกตว่าแปลกหรือไม่ ที่ใครจะเซ็นชื่อตัวเองมาปลดตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าตัวเองขาดคุณสมบัติ ถามว่าใครจะไปเซ็นรับรองข้อความนั้น” นายเอกนัฏ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯเปิดโอกาสให้แต่ละพรรคเสนอชื่อปรับครมในส่วนของพรรค จะปรับหรือไม่ไหน นายเอกนัฏ กล่าวว่า ปรับหรือไม่ปรับ ต้องรอสัญญาณจากนายกฯก่อนเพราะนายกฯจะเป็นคนลงนามภายใต้สัญญาที่มีให้กัน ส่วนจะปรับหรือไม่ปรับอย่างไรเป็นกลไกของแต่ละพรรค ขอให้เป็นไปตามการตัดสินใจของกรรมการบริหารพรรค เพราะบ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมืองทุกอย่างมีกติกาอยู่

เมื่อถามว่าใน 21 รายชื่อ มีใครที่ไม่ได้เซ็นชื่อจริงได้ตรวจสอบหรือยัง นายเอกนัฏ กล่าวว่า มีทยอยมาชี้แจง แต่ยังไม่ได้พูดคุยในเรื่องนี้ จึงเกิดข้อสงสัยว่าได้ยื่นเอกสารจริงหรือไม่ และที่ตนได้พบกับนายกฯ เมื่อตอนเช้า ก็พูดถึงเรื่องของเกษตรกรชาวไร่อ้อย ซึ่งนายกฯ ให้กำลังใจในทุกเรื่องและที่ผ่านมาก็สนับสนุนการทำงานของตนตลอดมา

เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่มีปรากฏการณ์ความแตกแยกภายในพรรค มาเป็นระยะ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ได้เตรียมใจไว้แล้ว ตนเป็นคนยอมหัก ไม่ยอมงอ การทำงานของตนอาจจะไปเหยียบเท้าใครก็ได้ จึงทำทุกวิธีการในการจัดการ คนแทงจากข้างนอกอาจเห็นว่าไม่เจ็บเท่าข้างใน จึงต้องมาป่วนข้างใน

เชื่อว่าคนที่ขัดผลประโยชน์สร้างเรื่องเพื่อให้เกิดความแตกแยก ตนเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น ที่ผ่านมากรรมการบริหารพรรคได้สื่อสารพูดคุยกับสส.ที่มีการประชุมมาตลอดไม่มีปัญหา

นักศึกษา มจธ.เจ๋ง!! คิดค้นโครงสร้างต้านทานแผ่นดินไหว นวัตกรรมลดความเสียหายโครงสร้างหลัก

(10 มิ.ย.68) เมื่อแผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวคนไทยอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูดในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ถึง 24 จังหวัดของไทย รวมถึงกรุงเทพฯ จนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่าประเทศไทยไม่ได้ปลอดภัยจากภัยแผ่นดินไหวอีกต่อไป และในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะบริเวณใกล้แนวรอยเลื่อนหลัก กำลังเผชิญความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน การเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างอาคารจึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ

จากโจทย์ระดับประเทศนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้แก่ นายศิรวิทย์ เทียนทอง (นัท) นายนภัสกร วงษ์หิรัญ (ฟาโรห์) และนายปาณทัช ทองอู๋ (ทัช) ได้ร่วมกันพัฒนาโครงการวิจัย “Seismic Performance of Self-Centering Column-Foundation Connections with Energy Dissipating Bolts” หรือ การศึกษาพฤติกรรมการต้านทานแผ่นดินไหวของรอยต่อเสา-ฐานราก ระบบคืนศูนย์ด้วยตนเองทำงานร่วมกับสลักเกลียวสลายพลังงาน” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อจำกัดความเสียหายให้อยู่เฉพาะจุดเชื่อมต่อของโครงสร้างระบบสำเร็จรูป (Precast system) แทนที่จะกระจายไปสู่โครงสร้างหลักอย่างเสาและคาน ซึ่งซ่อมแซมได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า โดยได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจาก ผศ. ดร.เอกชัย อยู่ประเสริฐชัย อาจารย์ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้าง

งานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาระบบเชื่อมต่อระหว่างเสากับฐานรากแบบใหม่ เรียกว่า Hybrid Column Shoe Connection (HYSC) ซึ่งสามารถสลายพลังงานจากแผ่นดินไหว ลดความเสียหายของโครงสร้างหลัก และคืนตัวกลับสู่ตำแหน่งเดิมหลังการสั่นไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การเชื่อมต่อแบบแห้ง (dry connection) ร่วมกับลวดอัดแรงแบบดึงทีหลัง (post-tensioned tendons) และสลักเกลียวช่วยในการสลายพลังงาน (energy-dissipating bolts) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ปลอดภัย และลดต้นทุนรวมถึงระยะเวลาก่อสร้าง

“ระบบ HYSC ได้รับการออกแบบให้สามารถควบคุมความเสียหายให้อยู่เฉพาะบริเวณรอยต่อระหว่างเสากับฐานรากเท่านั้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบโครงสร้างหลัก เช่น ตัวเสาหรือฐานราก การใช้ลวดอัดแรงแบบดึงทีหลังประมาณ 50% ของกำลังประลัยจะช่วยเพิ่มความสามารถในการคืนรูปของโครงสร้างหลังจากได้รับแรงแผ่นดินไหว เช่นเดียวกับการออกแบบสลักเกลียว (bolts) ให้มีขนาดหน้าตัดลดลงอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถสลายพลังงานจากการสั่นไหวได้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อเสา โครงสร้างจึงสามารถฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องรื้อถอนหรือซ่อมแซมในวงกว้าง ซึ่งเป็นการลดทั้งต้นทุนและเวลาสำหรับการก่อสร้างและการบำรุงรักษาในระยะยาว” นายปาณทัช ทองอู๋ เล่าถึงแนวคิดหลักของงานวิจัย

นายศิรวิทย์ เทียนทอง เสริมอีกว่า ระบบ HYSC ถูกพัฒนาขึ้นโดยอิงจากสถานการณ์จริงของอาคารพาณิชย์ขนาด 3 ชั้นในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยประสบภัยแผ่นดินไหวในปี 2557 โดยในครั้งนั้นพบว่าอาคารส่วนใหญ่เกิดความเสียหายที่จุดต่อและไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ทันที แม้โครงสร้างจะยังคงแข็งแรงอยู่ นวัตกรรมนี้จึงเป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะอาคารที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งอาจไม่สามารถใช้ระบบป้องกันแผ่นดินไหวที่มีต้นทุนสูงเช่นในต่างประเทศได้

“ตอนเราทดลองเทียบกับระบบเดิมที่ใช้อยู่ทั่วไป พบว่าระบบ HYSC ควบคุมความเสียหายให้อยู่แค่ตรงจุดต่อ ไม่ลามไปถึงเสาแบบระบบ Monolithic Shoe Connection (MOSC) ซึ่งเป็นระบบแบบเดิม และโครงสร้างยังสามารถคืนตัวได้หลังจากเกิดการเคลื่อนตัวทางข้างถึง ±4.5% ซึ่งระบบ MOSC ทำไม่ได้ ที่สำคัญคือ HYSC ดูดซับพลังงานได้มากขึ้น จากเดิมสลายพลังงานได้แค่ 12.5% เพิ่มเป็น 22.5% โดยที่ความแข็งแรงโดยรวมไม่ได้ลดลงเลย” นายนภัสกร วงษ์หิรัญ เสริมถึงผลการทดสอบที่เกิดขึ้น

ผศ. ดร.เอกชัย อยู่ประเสริฐชัย อาจารย์ที่ปรึกษา ได้กล่าวถึงอีกความสำคัญของนวัตกรรมนี้ว่า “สิ่งที่นักศึกษาได้เรียนรู้จากโครงการนี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎีในตำรา แต่คือการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาจริง ผ่านกระบวนการคิด ทดลอง และเรียนรู้จากความผิดพลาด ซึ่งนี่คือหัวใจของวิศวกรรมศาสตร์ และเป็นเป้าหมายของภาควิชาที่ต้องการสร้างบัณฑิตที่พร้อมทำงานจริงในภาคอุตสาหกรรม ที่สำคัญคือผลงานนี้แสดงให้เห็นว่า การออกแบบโครงสร้างที่รับแรงแผ่นดินไหวได้ดี ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีราคาแพงจากต่างประเทศเสมอไป แต่วิศวกรไทยควรมีทางเลือกในการออกแบบที่ยืดหยุ่น ใช้วัสดุในประเทศ ต้นทุนไม่สูง และเหมาะกับบริบทของพื้นที่เสี่ยงในประเทศไทย ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่ความปลอดภัยและเป็นหลักประกันของคนไทยในอนาคต”

แม้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในระดับการทดลองเชิงวิชาการ แต่ผลลัพธ์ที่ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการนำไปต่อยอดใช้จริงในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐและเอกชนเริ่มให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยทางโครงสร้างที่สามารถลดความเสียหายและความสูญเสียจากแผ่นดินไหวทั้งในด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของคนไทย นวัตกรรมที่พัฒนาโดยนักศึกษาวิศวกรรมโยธา มจธ. ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การ “ออกแบบจุดเชื่อมต่อ” แต่คือการ “เชื่อมโยงสู่อนาคต” ที่ปลอดภัยของคนไทยจากภัยแผ่นไหวที่อาจเกิดขึ้นอีก

รายงานพิเศษ 'RECON' รบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน พร้อมปฏิบัติภารกิจตลอดเวลา

แม้จะถูกต้านทานอย่างหนักจากศัตรูที่โหดเหี้ยม ภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศจะเลวร้ายสักปานใดก็ตาม ก็หาทำให้ทหารหน่วยนี้เสียขวัญ จนเปลี่ยนความตั้งใจแต่อย่างใดไม่ เพราะเรายึดมั่นอยู่เสมอว่าภารกิจเหนือสิ่งอื่นใด แม้ชีวิต

คำปฏิญาณของ นักเรียนหลักสูตรการรบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบก และจู่โจม นาวิกโยธิน หรือ 'รีคอน' เป็นหลักสูตรการรบพิเศษที่ขึ้นชื่อว่า ทรหดอันดับต้น ๆ ของกองทัพไทย จนมีฉายาเป็นนักรบ 3 มิติ เพราะสามารถปฏิบัติการได้ทั้งน้ำ ฟ้า ฝั่ง และมักจะมีคำพูดอยู่เสมอว่า 'ซีล มีสัปดาห์นรก รีคอน มีนรกทุกสัปดาห์'

อุปสรรคครั้งนี้ คือไฟที่ร้อนระอุ เหล่า รีคอน ต้องฝ่าไป เมื่อในสถานการณ์จริงเกิดมีอุปสรรคแบบนี้ การปฏิบัติหน้าที่จริงจะมีทักษะในการฝ่าไป เพื่อปฏิบัติภาระกิจลุล่วงและปลอดภัย จงขอบคุณทุกช่วงเวลาที่ลำบากและเหนื่อยยาก เพราะเราจะได้รับใช้ชาติและตอบแทนคุณแผ่นดิน เมื่อถึงเวลา

ลักสูตรการรบพิเศษ แขนงการลาดตระเวนสะเทินน้ำสะเทินบกและจู่โจมนาวิกโยธิน หรือที่เรียกว่า 'RECON' จะเป็นหลักสูตรประจำหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ มีระยะเวลาในการฝึก 12 สัปดาห์ หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรเพิ่มขีดความสามารถให้กับกำลังพลของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีชื่อเสียงและขึ้นชื่อว่า 'มีความโหดมาก' ตลอดการฝึกหลักสูตร เรียกได้ว่า 'นรกทุกสัปดาห์' แต่ก็ยังมีกำลังพลจากต่างเหล่าทัพให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ที่จะมาเข้ารับการฝึก เนื้อหาหลักสูตรแบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ ภาคที่ตั้ง ภาคทะเล และภาคป่าภูเขา มีเนื้อหาหลักสูตร เน้นไปทางการลาดตระเวน ทั้งการเดินลาดตระเวนทางบกและการใช้เรือยางในการลาดตระเวนทางน้ำ มีพื้นที่รับผิดชอบในการปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 18 ฟุตขึ้นมาจนถึงชายฝั่ง มีปัญหาการฝึกหนักๆ ที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ปัญหา 60 ชั่วโมง ปัญหาภาคทะเล และปัญหา 72 ชั่วโมง เฉลี่ยผู้สำเร็จการศึกษา อยู่ที่ 50 - 60 เปอร์เซ็นต์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top