Saturday, 10 May 2025
NEWS

"กานต์" เชื่อยังมีหวัง "เสก โลโซ” ไม่ต้องนอนคุก เผยล่าสุดเจ้าตัวยังปกติดี เตรียมใจไว้แล้ว

ภายหลังฟังคำสั่ง นางวิภากานต์ ศุขพิมาย หรือ กานต์ ภรรยา นายเสกสรรค์ ศุภพิมาย หรือ เสก โลโซ ศิลปินชื่อดัง เปิดเผยเกี่ยวกับคำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ฎีกาคดีของนายเสกสรรค์ ว่า เบื้องต้น ก็ขอให้เป็นไปตามความเห็นของศาล ซึ่งตนเองอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการในส่วนของคดีอยู่ ซึ่งตนเองยังมีความหวังว่า สามี อาจจะไม่ต้องถูกจำคุก โดยก่อนหน้านี้ ตนเองกับสามีได้มีการพูดคุย เตรียมการไว้ในเบื้องต้นแล้ว 

ซึ่งหลังจากที่ศาลมีสั่งแล้ว จากการพูดคุยกับสามี พบว่า เจ้าตัวยังมีน้ำเสียงปกติ เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการเตรียมการไว้แล้วหากผลการตัดสินออกมาในรูปแบบนี้ ซึ่งก็เคารพการตัดสินยอมรับในดุลยพินิจของศาล ซึ่งคดีดังกล่าวถือว่ามีอัตราโทษไม่สูง เป็นเพียงการเสพยาเสพติดไม่มีของกลาง ไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวภายในเรือนจำ แต่ก็ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของศาล คาดว่าจะทราบผลในช่วงบ่ายวันนี้ โดยตนเองได้บอกสามีว่าไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวก็เจอกัน ส่วนการแถลงข่าวอาจจะมีในช่วงเย็นวันนี้ ใกล้ๆบ้าน 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลใจในการใช้ชีวิตภายในเรือนจำของสามีหรือไม่ เจ้าตัวก็ตอบทันควันว่า ยังไม่ได้ถูกควบคุมตัวในเรือนจำเลยพูดจาไม่เป็นมงคล ยังไม่เสร็จกระบวนการ ก่อนที่จะเดินออกจากวงสัมภาษณ์ไป

วัดเสาธงทอง เพชรบูรณ์ ไอเดียบรรเจิด เปิดร้าน ‘ป่าช้า-คาเฟ่’ มิติใหม่แห่งการดื่มกาแฟ กับหลากหลายเมนูผี ท่ามกลางบรรยากาศสุดหลอน เผยเปิดเพียง 3 สัปดาห์ ลูกค้าตอบรับดีเกินคาด

เรียกได้ว่าเป็นมิติใหม่แห่งการนั่งจิบกาแฟสายหลอน กับหลากหลายเมนูผี ท่ามกลางบรรยากาศที่ สงบ ร่มรื่น เย็นสบาย แต่แฝงไว้ด้วยความวังเวง ต้องมาสัมผัสด้วยตนเองได้ที่ ป่าช้า-คาเฟ่ ตั้งอยู่ภายในวัดเสาธงทอง หมู่ 4 ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์

ทั้งนี้ จากการเปิดให้บริการมาได้เพียงแค่ 3 สัปดาห์ ปรากฎว่า ผลตอบรับดีเกินคาด มีประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยว ทั้งในจังหวัดและใกล้เคียง ต่างเดินทางมาชิมเมนูผี พร้อมสัมผัสความหลอนกันเป็นจำนวนมาก

สำหรับร้านกาแฟ ป่าช้า-คาเฟ่ เปิดให้บริการอยู่ตรงซุ้มประตูทางเข้าหน้าวัดเสาธงทอง ตั้งแต่ 08.30 - 17.00 น.โดยมีประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยว ต่างพากันเดินทางมาชิมเมนูผีสุดหลอน อาทิ กระหังโบยบิน(เอสเปรสโซ่) , ผีน้อยน่ารัก(คาปูชิโน่) , ผีผ้าอ้อม(ลาเต้) ,ผีเล่นตม(ม็อคค่า),ปีศาสทมิฬ(อเมริกาโน่),ซอมบี้ ฉวีวี้วี(โกโก้),ตานีตองอ่อน(ชาเขียว),ตานีมรกต(เขียวผึ้งนาว),กระสือวิบวับ(ผึ้งนาวโซดา),ตะเคียนแสนหวาน(ชาไทย),ตะเคียนแพ้ท้อง(ชามะนาว),แวมไพร์หลายใจ(แดงผึ้งนาวโซดา),แดกคูล่าซ่าสุดๆ(แดงโซดา),สางสาวพราวเสน่ห์(นมเย็น) เป็นต้น

ซึ่งแต่ละเมนู ทางป่าช้า-คาเฟ่ จะขายในราคาเพียงแก้วละ 30 บาทเท่านั้น โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ก็จะนำถวายวัดเพื่อใช้ทำนุบำรุงศาสนา ซึ่งผู้ที่มาอุดหนุนป่าช้า-คาเฟ่

จากการ สอบถาม พระมหาจักรพันธ์ เมตติโก เลขานุการ เจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง เปิดเผยว่า แรกเริ่มเดิมที ทางวัดต้องการจัดสวน เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ด้านหน้าวัด เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของญาติโยมในชุมชนและญาติโยมที่ผ่านไปผ่านมา เมื่อมีการจัดสวนเสร็จแล้ว ก็เกิดแนวคิดอยากมีเครื่องดื่มไว้ให้บริการญาติโยม จึงเกิดไอเดียทำร้านกาแฟขึ้น โดยมีชาวบ้านในพื้นที่มาช่วยกันคิดค้น ร่วมกันทดลองชง ชิม จนได้สูตรเด็ดที่ลงตัว

และในตอนแรกนั้น ก็ไม่ได้ตั้งชื่ออะไร แต่ระหว่างที่ยืนพูดคุยกันอยู่นั้น ได้หันไปมองเห็นบริเวณด้านหลังของพื้นที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นที่เก็บกระดูกตั้งเรียงรายอยู่ จึงนึกถึงคำว่า ป่าช้า ขึ้นมา จึงนำมาตั้งชื่อร้าน เพื่อต้องการให้สื่อถึงร้านกาแฟที่อยู่ในวัด เลยได้ชื่อว่า ป่าช้า-คาเฟ่ จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์และฟังแล้วสะดุดหู ทำให้มีผู้ที่สนใจแวะเวียนมาชิมเมนูคาเฟ่สุดหลอนกันเป็นจำนวนมาก โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ก็จะนำถวายวัดเพื่อใช้ทำนุบำรุงศาสนา สืบต่อไป

ด้าน นางสางวิไล หลงใจคอย ผอ.โรงเรียนบ้านนายม เป็นผู้ที่ช่วยคิดไอเดีย เมนูผี เผยว่า ตอนแรกชื่อเมนูต่างๆ ในร้านป่าช้า-คาเฟ่ ยังคงมีชื่อเรียกปกติทั่วไป แต่เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปกับทางชื่อร้าน ก็เลยช่วยออกไอเดีย ตั้งชื่อเมนูขึ้นมาใหม่ โดยนำลักษณะของผีต่าง ๆ มาตั้งให้สอดคล้องกับรสชาติและจุดเด่นของเครื่องดื่มนั้นๆ เช่น กระหังโบยบิน(เอสเปรสโซ่) , ผีน้อยน่ารัก(คาปูชิโน่) , ผีผ้าอ้อม(ลาเต้) ,ผีเล่นตม(ม็อคค่า) เป็นต้น ซึ่งเมนูแนะนำของที่นี่ ก็ต้องบอกได้เลยว่า อร่อยทุกอย่าง ต้องมาลองชิม ลองสัมผัสความหลอนกันด้วยตัวเอง

ขณะที่ นางเยาวถา โตสงวน วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า วัดเสาธงทอง เป็นหนึ่งในสถานที่ของ บ-ว-ร ออนทัวร์ เป็นชุมชนคุณธรรม ที่มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวและสินค้าชุมชน เกิดจากความร่วมมือของบ้าน วัด ราชการ อย่างร้านกาแฟ ป่าช้า-คาเฟ่ แห่งนี้ เกิดจากแนวคิดของทางวัด ในการรวมตัวกันระหว่างชาวบ้าน คนขายก็เป็นชาวบ้าน ซึ่งใครที่มาเที่ยวชุมชนคุณธรรมวัดเสาธงทองแห่งนี้ ก็สามารถแวะมาชิมกาแฟก่อนได้ และหากอยากเข้าไปชมโบราณวัตถุ โบราณสถาน ก็สามารถเข้าไปกราบไหว้ ชมความสวยงาม ภายในวัดได้อีกทางหนึ่งด้วย

สำหรับ ผู้ที่สนใจ อยากเดินทางมาชิมเมนูผี สุดหลอน สามารถมาได้ที่ วัดเสาธงทอง หมู่4 ตำบลนายม อำเภอเมือง จ.เพชรบูรณ์ ห่างจากทางหลวงหมายเลข21 สายสระบุรี - หล่มสัก เข้ามาทางบ้านนายม ขับมาตามถนนสายเพชรบูรณ์ - นายม จากปากทางมาราว 2 กม.

เพชรบูรณ์ : มนสิชา คล้ายแก้ว


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม มีการประท้วงรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Silent Strike กล่าวคือ ให้ประชาชนทุกคนอยู่แต่ในที่พักไม่ต้องออกไปทำงาน จนทำให้สาวกสามนิ้วบางคนถึงขั้นเชียร์อย่างออกนอกหน้าว่า "เนี่ยเขามี Energy ในการทำกันจริง ๆ นะ"

วันนี้ เอย่า เลยอยากมาชำแหละ และจะมาวิเคราะห์กันว่า สรุปแล้วการทำแบบนี้มัน Success หรือ Failure ต่อประชาชนเขากันแน่!!

ก่อนอื่นเลยการนัดแนะกันทำ Silent Strike นั้นใครเป็นตัวตั้งตัวตี 'ไม่สามารถบอกได้' แต่ภาพที่ออกมาจากสื่อในพม่าทั้งสื่อหลักและสื่อในเฟซบุ๊กก็ดี คือแบบ “โอ้โห….นี่มันสงบกันทั้งเมืองเลยนะนี่”

เอย่าไม่รอช้าค่ะ เพราะเราจะไม่เชื่ออะไรแค่สิ่งที่เขาป้อนให้เราเชื่อถูกไหมค่ะ เอย่าเลยได้ออกไปข้างนอกเก็บภาพมาให้ชมกันซะเลย

และนี่คือสิ่งที่เอย่าเห็นนะคะ รถมันก็ยังมี แต่มันอาจจะน้อยลง (ทีหลังอย่าเอารูปตอนเช้าๆ หรือเพิ่งหลังไฟแดงหมาดมาลงสิค่ะ มันบิดเบือนนะเจ้าคะ)

(ภาพทั้งหมดถ่ายจริง ณ วันที่ 24 มีนาคม เวลา 9.00 น. และ 15.00 น.)

นอกจากในโซเชียลที่มีการนำเสนอภาพแนวนั้นแล้ว ชาวโซเชียลรวมถึงดารานักแสดงบางคนยังแสดงภาพตนเองในสภาพที่ปิดปาก โดยมีการ Live ลงโซเชียลกันในวันดังกล่าว (24 มีนาคม 64)

สำหรับการทำ Silent Strike ครั้งนี้อ้างว่าเพื่อเป็นการรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากการปราบจราจลโดยใช้อาวุธ ส่งผลให้ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร รวมถึง โรงงานและบริษัทหลายแห่ง ต้องปิดบริการในวันดังกล่าว

ถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนพร้อมใจกันอยู่บ้านจริงไหม?

คงจะไม่ใช่สักทีเดียว!!

...เพราะมีทั้งคนอยากจะหยุด เนื่องจากทำตามประกาศ

...คนอยากหยุด เพราะไม่อยากทำงาน แต่ได้เงิน

...คนไม่อยากหยุด แต่ที่ทำงานปิด

แต่ยังไงซะ สำหรับคนทำงานที่แม้อยากจะหยุดงานหรือไม่หยุดงานก็ดี หากต้องหยุดงานแบบโดนบังคับเช่นนี้ ในมุมพนักงานกินเงินเดือนที่ได้รับผลกระทบเรื่องเงินเดือนจากหลายธนาคารได้ออกมาแจ้งแล้วว่าเดือนนี้จะจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน 25% ของเงินเดือนทั้งหมด ย่อมไม่ทำให้เขารู้สึกกระทบอะไรมากหรอก

แต่สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ พนักงานรายวัน คนขายของรายทางแล้วนั้น หากวันนี้เป็นวัน Silent Strike ที่ประกาศกันเพียงข้ามวัน นั่นหมายถึงครอบครัวจะขาดรายได้ไปทันที

แล้วถามกลับว่าคนเหล่านี้ จะสู้เพื่อคุณได้กี่วัน?

ใครก็ตามที่คิดการประท้วงครั้งนี้ ได้เห็นหัว เห็นค่าของ 'คนหาเช้ากินค่ำ' บ้างหรือไม่?

หากการทำ Silent Strike เพื่อต้องการจะรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจริงๆ หรือต้องการจะเช็คเรทติ้งว่าเรายังมีคนเข้าข้างเราอีกมากแค่ไหนก็ดี...เอย่าแนะนำให้ไปรวมตัวสวดมนต์ที่เจดีย์ชเวดากองหรือเจดีย์ประจำของแต่ละเมืองนะคะ

อย่างน้อยคนหาเช้ากินค่ำ เขาจะได้ออกมาขายน้ำ ขายอาหารว่าง มีรายได้บ้าง คนทำงานรับจ้างจะได้มีงานบ้าง

ไม่ใช่คิดกลยุทธ์ประท้วงอะไร ที่เหมือนเกือบจะดีแต่พังทุกทีแบบนี้...


ที่มา: AYA IRRAWADEE

‘หมอเหรียญทอง’ โพสต์ประจาน สปสช. เบี้ยวหนี้ผู้ป่วยคลินิกคู่สัญญาอ่วม 13 ล้าน ซ้ำร้ายเจอสรรพากรคิดภาษีตรงนี้อีก 2 ล้าน รวมความเสียหายมูลค่ากว่า 15 ล้าน ลั่นจากนับจากวันที่ 1 ต.ค. 64 ยกเลิกรับผู้ป่วยส่งต่อจากคลินิกแล้ว

วันที่ 25 มีนาคม 2564 นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เหรียญทอง แน่นหนา โดยระบุว่า

ประจาน

ตั้งแต่ 1 ต.ค.64 เป็นต้นไป รพ.มงกฎวัฒนะ ไม่รับส่งต่อผู้ป่วยจากคลินิกคู่สัญญาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เพราะสาเหตุ สปสช.เบี้ยวหนี้ครับ...

เบี้ยวหนี้อย่างไร ผมสรุปให้เข้าใจกันง่ายๆว่า เมื่อเดือนก.ค.-ก.ย.63 สปสช.ยกเลิกคลินิกคู่สัญญา เพราะมีการทุจริตกัน แล้วสปสช.ก็ให้ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองจำนวนมากจากคลินิกที่สปสช. เลิกสัญญามารับการรักษาที่ รพ.มงกฎวัฒนะโดยตรง โดยสปสช.จะทำหน้าที่เคลียร์ค่าใช้จ่ายแก่รพ.มงกุฎวัฒนะ...

แต่พอถึงเดือน ต.ค.63 สปสช. ก็เป็นซามูไรชักดาบเบี้ยวหนี้หน้าตาเฉย โดยแจ้งให้รพ.มงกุฎวัฒนะ ทราบว่าไม่มีเงินเคลียร์ให้รพ.มงกุฎวัฒนะ...

ค่ารักษาพยาบาลจำนวนมากเป็นเงิน 13,207,774.42 บาท ที่สปสช.เบี้ยวหนี้นั้น รพ.มงกุฎวัฒนะได้รับรู้เป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่สรรพากรที่จะถึงในปีนี้ในอัตรา 20% คิดเป็นเงินมากกว่า 2,600,000 บาทครับ...

หมายความว่า นอกจาก รพ.มงกุฎวัฒนะ จะไม่ได้เงินจากการรักษาผู้ป่วยของคลินิกคู่สัญญาสปสช. ที่ทุจริตจำนวนมากกว่า 13.2 ล้านบาทจากสปสช.แล้ว รพ.มงกุฎวัฒนะ ยังจะต้องเสียภาษีให้สรรพากรอีกกว่า 2.6 ล้านบาทครับ...

เบ็ดเสร็จ รพ.มงกุฎวัฒนะ เสียหายมากกว่า 15.8 ล้านบาทครับ

สปสช. มันซี้ซั๊วอย่างนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะจะไปรับส่งต่อผู้ป่วยจากคลินิกคู่สัญญาสปสช.ได้อย่างไรกันล่ะครับ...

แถมคลินิกทั้งหลายมันก็ ‘เหล้าเก่าในขวดใหม่’ ทั้งนั้น (ไม่เชื่อตรวจสอบดูก็ได้ครับ)...นี่หรือธรรมาภิบาล


ที่มา : https://www.facebook.com/100000491468200/posts/5952669601426030/?_rdc=1&_rdr

ม.มหิดล คิดค้น ‘วัคซีนกรดไรโบนิวคลีอิกโควิด-19’ และ ‘วัคซีนซับยูนิตโควิด-19 แบบเฮกซะโปร’ เล็งต่อยอดวิจัยวัคซีนป้องกันมะเร็ง - โรคอุบัติใหม่

มหาวิทยาลัยมหิดล คิดค้นนวัตกรรมใหม่ "วัคซีนกรดไรโบนิวคลีอิกโควิด-19" และ "วัคซีนซับยูนิตโควิด-19 แบบเฮกซะโปร" โดยผศ.ดร.ปฐมพล วงศ์ตระกูลเกตุ อาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ นายโชติวัฒน์ ศรีเพชรดีนักศึกษาปริญญาเอก ประจำภาควิชาฯ ได้ร่วมกับ ศ.นพ. สุรเดช หงส์อิง ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัย หัวหน้าสาขาโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งในเด็ก และ รศ.พญ.อรุณี ธิติธัญญานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้กลุ่มวิจัยโควิด-19 มหาวิทยาลัยมหิดล

ร่วมคิดค้นนวัตกรรม "วัคซีนกรดไรโบนิวคลีอิกโควิด-19" โดยได้ยื่นขอรับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแล้วเป็นครั้งแรก ผ่านการดำเนินการโดยสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล และ "วัคซีนซับยูนิตโควิด-19 แบบเฮกซะโปร" ซึ่งได้นำเสนอในฐานข้อมูลงานวิจัย bioRxiv แล้ว

ผศ.ดร.ปฐม ได้อธิบายถึงผลงานซึ่งได้รับการยื่นจดสิทธิบัตรแล้วว่า จะต้องมีความใหม่ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีการสร้างวัคซีนจาก กรดไรโบนิวคลีอิก(Ribonucleic Acid) หรือ RNA สู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ โดยศึกษาร่วมกับโปรตีนอีก 2 ชนิด ได้แก่ เมมเบรนไกลโคโปรตีน (Membrane Glycoproteins) และ เอวีโลปโปรตีน (Envelope Protiens) หรือ โปรตีนซึ่งเป็นเยื่อหุ้มของเชื้อไวรัส ซึ่งเมมเบรนไกลโคโปรตีน ประกอบด้วยน้ำตาล หรือ Glyco ซึ่งมีโครงสร้างที่ละลายน้ำได้ จึงคาดว่าน่าจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ด้วย ได้กลายเป็นนวัตกรรมใหม่ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดเคยรายงานมาก่อน และสามารถใช้ยื่นจดสิทธิบัตรได้

ด้านนายโชติวัฒน์ นักศึกษาปริญญาเอก ในฐานะผู้ร่วมวิจัยกล่าวเสริมว่า DNA เป็นข้อมูลรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงเป็น RNA แล้วกลายเป็นโปรตีน ซึ่งเปรียบเหมือนตัวขับเคลื่อนการทำงานภายในร่างกายได้ แต่ในเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น สารพันธุกรรมไม่มี DNA แต่จะเป็น RNA ซึ่งสามารถกลายเป็นโปรตีนได้ทันที ทีมวิจัยจึงได้นำเอา RNA ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นโปรตีนของเชื้อไวรัส COVID-19 มากระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสCOVID-19 ได้เองต่อไป ซึ่งการใช้กรดไรโบนิวคลีอิก หรือ RNA มาพัฒนาเป็นวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น ต่างจาก platform อื่นๆ ตรงที่ไม่มีส่วนประกอบของไวรัส ดังนั้นจึงไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ และไม่ก่อให้เกิดโรค

นอกจากวัคซีนชนิดกรดไรโบนิวคลีอิกแล้ว ทีมวิจัยยังได้พัฒนาวัคซีน COVID-19 ชนิด subunit vaccine หรือการใช้โปรตีนบางส่วนของเชื้อไวรัสมากระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยโปรตีนที่ทีมวิจัยเลือกมาใช้ในการผลิตวัคซีนชนิดนี้ ได้แก่ สไปค์ไกลโคโปรตีน ซึ่งได้รับการดัดแปลงให้มีความเสถียรมากขึ้น และคาดว่ามีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูงกว่าวัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

สไปค์ไกลโคโปรตีน ซึ่งได้รับการดัดแปลงนี้มีชื่อว่า "เฮกซะโปร" (HexaPro) ซึ่งคิดค้นโดยทีมวิจัยจาก University of Texas at Austin ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทีมวิจัยของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปฐมพลวงศ์ตระกูลเกตุ ได้นำเสนอผลการวิจัยของวัคซีนดังกล่าวในห้องปฏิบัติการบนฐานข้อมูลงานวิจัย bioRxiv แล้ว

ผลงานวิจัย "วัคซีนกรดไรโบนิวคลีอิกโควิด-19" และ "วัคซีนซับยูนิตโควิด-19 แบบเฮกซะโปร" เป็นเพียงการทดลองวิจัยในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่ได้มีการทดลองในคน เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงจำเป็นต้องมีความพร้อมทั้งทางด้านอุปกรณ์ สถานที่ และเงินทุนวิจัยโดยเป็นผลงานวิจัยซึ่งเป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่เป็น "ปัญญาของแผ่นดิน" ซึ่งมหาวิทยาลัยมหิดลภาคภูมิใจ และสามารถจุดประกายแห่งความหวังที่จะต่อยอดการผลิตวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โรคมะเร็ง รวมทั้งโรคอุบัติใหม่ต่างๆ ที่อาจแพร่ระบาดในอนาคตได้ต่อไป

ตำรวจกองปราบ บุกรวบ "หลงจู๊สมชาย" เจ้าพ่อบ่อนคนดังภาคตะวันออก คาคฤหาสน์หรู โยงคดีจ้างวานฆ่าวินจักรยานยนต์ แอบถ่ายรูปบ่อนพนันเมืองพัทยา นำไปแฉ พ่วงจับลูกชายข้อหาจัดให้มีการเล่นพนันและฟอกเงิน

กองปราบ - เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 25 มี.ค.2564 พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. , พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. , พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ , พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. , พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.2 บก.ป. , พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. , พ.ต.อ.วิจักข์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.2 และ กก.3 บก.ป.

พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ สนธิกำลังร่วมกับตำรวจ บช.ภ.2 นำหมายค้นศาลอาญากระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 21 จุด ในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.ระยอง จ.จันทบุรี จ.ชลบุรี และ กรุงเทพมหานคร เพื่อจับกุมตัว นายสมชาย จุติกิติ์เดชา หรือหลงจู๊ชาย อายุ 56 ปี เจ้าพ่อบ่อนพนันภาคตะวันออก ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในคดี“จ้างวานฆ่า” พร้อมกับกลุ่มเครือญาติและลูกสมุนในคดี “ร่วมกันฟอกเงิน” ที่ได้มาจากธุรกิจบ่อนพนัน

โดยจุดสำคัญในการเข้าตรวจค้นครั้งนี้ เป็นคฤหาสน์กลางเมืองระยองเนื้อที่ 2 ไร่ เลขที่ 158/28 ถนนราษฎร์บำรุง ต.เนินพระ อ.เมืองระยอง ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายสมชาย หรือ หลงจู๊สมชาย ผู้มีอิทธิพลคนดังเมืองระยอง ทันทีที่เจ้าหน้าทีไ่ปถึงได้แบ่งกำลังออกเป็นหลายส่วน พร้อมกระจายกำลังเข้าปิดล้อมเพื่อป้องกันการหลบหนีรอบทิศทาง ก่อนกดกริ่งประตูหน้าบ้านแสดงตัวขอเข้าตรวจค้น

แต่ผู้ที่อยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าวไม่มีใครยอมออกมาเปิดประตูรั้วให้ ทางเจ้าหน้าที่จึงใช้บันไดปีนรั้วเข้าไป กระทั่งพบตัวนายสมชาย หรือ หลงจู๊สมชาย และนายธนา จุติกิติ์เดชา อายุ 26 ปี ลูกชาย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา จัดให้มีการเล่นพนัน และ ร่วมกันฟอกเงิน อยู่ในบ้านพักหลังดังกล่าวจึงแสดงหมายค้นและหมายจับให้ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนรับทราบ พร้อมกับทำควบคุมตัวจากนั้นจึงเข้าตรวจค้นภายในบ้าน

ทั้งนี้ สำหรับการเข้าจับกุมนายสมชายครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2563 ได้เกิดเหตุคนร้ายจำนวน 2 ราย ขี่รถจักรยานยนต์ใช้อาวุธปืนประกบยิง นายประทุม สะอาดนัก อายุ 47 ปี อาชีพวินจักรยานยนต์รับจ้าง เสียชีวิตด้านหลังโรงเรียนเมืองพัทยา 8 ภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา สามารถจับกุม นายมนัส อิ่มหนำ อายุ 39 ปี และ นายนิพนธ์ ปานทอง อายุ 47 ปี ผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้

ก่อนให้การอ้างว่าสาเหตุมาจากมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน แต่ทางญาติของผู้เสียชีวิตไม่ปักใจเชื่อจึงเข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เพราะเชื่อว่าปมสังหารที่แท้จริงน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้ตายไปมีความขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลเกี่ยวกับเรื่องการพนัน

เนื่องจากก่อนเกิดเหตุ นายประทุม ผู้ตาย ได้แอบเข้าไปถ่ายรูปสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองพัทยา ซึ่งมีการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน ก่อนเรื่องดังกล่าวรู้ถึงหูของกลุ่มนายทุนเจ้าของบ่อนจึงเกิดความไม่พอใจ สั่งการให้นายสุพรรณ ใหม่งาม อายุ 53 ปี นายถาวร สาระกูล อายุ 53 ปี ผู้ดูแลบ่อน จัดหามือปืนมาก่อเหตุฆ่าปิดปาก ด้วยเหตุนี้ทาง พล.ต.อ.สุวัฒน์ จึงมอบหมายให้ทางกองปราบ ในฐานะเลขาศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.)

โดยได้รับโอนสำนวนคดีดังกล่าวมาอยู่ในความดูแล พร้อมกับสืบสวนขยายผลจนสามารถติดตามจับกุมนายสุพรรณ และ นายถาวร ได้เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา จากนั้นจึงขยายผลต่อเนื่องจนกระทั่งพบความเชื่อมโยงถึง นายสมชาย หรือ หลงจู๊สมชาย ผู้ต้องหารายนี้ซึ่งเป็นนายทุนบ่อนดังกล่าวและบ่อนการพนันอีกหลายแห่งในพื้นที่ภาคตะวันออก จึงรวบรวมพยานหลักฐานจนนำมาสู่การจับกุมดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ จะควบคุมตัวนายสมชาย พร้อมพวก ไปทำการสอบปากคำ พร้อมกับแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดทางคดีต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการอีกครั้งที่กองบังคับการปราบปรามต่อไป


ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/crime/462019

ติ่งต่างชาติงง! #LisaApologizeToLiangSen อยู่ ๆ ก็เป็นดราม่าในไทย | News​ มีนิสส​ More​ Minutes Contrast

ไทยดราม่าหนักจนติดเทรนทวิตเตอร์ #LisaApologizeToLiangSen ติ่งต่างชาติถึงกับงงเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไมกลายเป็นดราม่า

.

ออฟฟิศเมท พลัส ประกาศรับผู้ประกอบการท้องถิ่นทั่วไทย ร่วมลงทุนแฟรสไชส์ การันตีกำไร 1 แสนบาท/เดือน งบลงทุนเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท

ออฟฟิศเมท พลัส ในเครือเซ็นทรัลรีเทล ธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้ออุปกรณ์สำนักงานเพื่อธุรกิจ เดินหน้าเปิดสาขาเพิ่มในไตรมาสแรก 2564 อีก 3 สาขา และวางแผนเปิดสาขาเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่องตลอดปี สำหรับสาขาที่เปิดเพิ่มในไตรมาสแรกนี้ ได้แก่ ออฟฟิศเมท พลัส สาขาเลย (แยกบิ๊กโฮม), สาขาศรีสะเกษ (คิงส์วัสดุ) และ สาขานครสวรรค์ (เยื้องซอยสวรรค์วิถี 18) ทำให้ปัจจุบันมีร้านแฟรนไชส์ออฟฟิศเมท พลัส รวม 11 สาขา หากรวมสาขาของออฟฟิศเมททั้งหมด จะเป็น 86 สาขาทั่วไทย

พร้อมกันนี้ ออฟฟิศเมท พลัส ยังได้ประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการท้องถิ่นทุกภูมิภาคทั่วประเทศ มาเป็นเจ้าของร้านแฟรนไชส์เพื่อต่อยอดธุรกิจและฐานลูกค้า B2B ด้วยโมเดลการขายเชิงรุกแบบ ออมนิแชแนลแฟรนไชส์ #การันตีกำไร 1 แสนบาท/เดือน* ซึ่งเป็นตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด สามารถเปิดร้าน พร้อมระบบการขายและการบริหารสต๊อค และสามารถจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์สำนักงาน ไอที เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์โรงงาน และสินค้าเพื่อธุรกิจครบครันมากกว่า 60,000 รายการได้เท่าเทียมกับ ร้านออฟฟิศเมท ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท

สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนที่สนใจแฟรนไชส์ ออฟฟิศเมท พลัส ที่มีทำเลเปิดร้านได้ ในพื้นที่หัวเมืองหลักและรองที่มีศักยภาพสูงจะได้รับการพิจารณาอนุมัติเป็นแฟรนไชส์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น จังหวัดชลบุรี สมุทรสาคร อยุธยา ระยอง ฉะเชิงเทรา นครปฐม นครราชสีมา เชียงใหม่ สงขลา ภูเก็ต สระบุรี ปราจีนบุรี ราชบุรี ขอนแก่น อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช และอุดรธานี เป็นต้น

บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า ทางบริษัทจะเปิดเผยผลการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ฉบับใหม่ภายในเวลา 48 ชั่วโมง โดยใช้ข้อมูลใหม่ล่าสุด

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ทางการสหรัฐได้วิพากษ์วิจารณ์แอสตร้าเซนเนก้าต่อการที่บริษัทใช้ข้อมูลเก่าในการเปิดเผยผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 ก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ แอสตร้าเซนเนก้า เปิดเผยผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 โดยระบุว่า จากการทดสอบวัคซีนในสหรัฐซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก พบว่าวัคซีนที่แอสตร้าเซนเนก้าพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดมีประสิทธิภาพ 79% ในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการ และมากถึง 100% ในการป้องกันอาการติดเชื้อรุนแรงหรือต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

แต่อย่างไรก็ตาม สถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ (NIAID) แถลงในวันเดียวกันว่า แอสตร้าเซนเนก้าอาจให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19

“คณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลความปลอดภัย (DSMB) ได้แสดงความกังวลว่า แอสตร้าเซนเนก้าอาจรวมเอาข้อมูลเก่าจากการทดลอง ซึ่งอาจเป็นการให้ข้อมูลด้านประสิทธิภาพที่ไม่สมบูรณ์ เราขอให้แอสตร้าเซนเนก้าร่วมมือกับ DSMB ในการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพวัคซีน และสร้างความมั่นใจว่าจะมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นข้อมูลปัจจุบันเพื่อให้สาธารณชนได้ทราบโดยเร็ว” NIAID ระบุ

ทางด้านแอสตร้าเซนเนก้า ชี้แจงว่า ข้อมูลที่มีการตีพิมพ์ก่อนหน้านี้ ได้อ้างอิงจากข้อมูลเบื้องต้นที่มีการวิเคราะห์จนถึงวันที่ 17 ก.พ. และทางบริษัทจะร่วมมือกับ DSMB ในการแบ่งปันผลการวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลประสิทธิภาพที่มีการปรับปรุงล่าสุด


ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/73031

หลังจากที่เราสังเกตการรัฐประหารตั้งแต่ Day 1 จนถึงวันนี้นั้น ฉันว่าการต่อสู้ในเมียนมามีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจอยู่และทำให้เหตุการณ์ไม่สงบยืดเยื้อ ซึ่งนั่นเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Fake News ที่มากมายในเมียนมา

ขณะนี้ หลาย ๆ ข่าวหลายเรื่องราวที่ปรากฎออกมาบนเฟซบุ๊กก็ดี หรือข่าวออกสื่อหลักในไทยหรือพม่าก็ดี บางข่าวเป็นข่าวที่พูดออกมาจากคนโดยปราศจากหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด ซึ่งฉันขอเรียกสิ่งที่นำเสนอออกมาว่ามันคือ Fake News ประเภทหนึ่งที่เรียกว่า โฆษณาชวนเชื่อ หรือ Propaganda นั่นเอง

ในเมียนมานับจากที่ทางทหารทำการรัฐประหารสิ่งที่ฉันเห็นมา คือ ข่าวทั้งจากฝั่งไทยก็ดี ฝั่งพม่าก็ดี ฝั่งชนกลุ่มน้อยก็ดี หลายข่าวหากไม่สืบหาข้อมูลดี ๆ ย่อมคล้อยตามได้ง่าย

แรก ๆ โฆษณาชวนเชื่อที่ออกมาเป็นการปลุกระดมให้ประชาชนออกมาต่อต้าน พอได้จำนวนคนมาก็เริ่มดำเนินการหรือจะเรียกได้ว่า ม็อบสูตรประเทศไทย คือ การพยายามสร้างภาพว่าม็อบที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวนางอองซานซูจีนั้นเป็นสิ่งสวยงาม

ตามต่อมาด้วยภาพที่ทำให้เราต้องคิดว่า เฮ้ย…ผู้กำกับเดียวกันนี่หว่า…

แต่หลังจากทางกองทัพไม่ได้ให้ราคากับคนพวกนี้ ก็มีกลุ่มที่พยายามจะบิดเบือนด้วยประกาศปลอม แต่สุดท้ายก็มีคนจับโป๊ะได้ว่าประกาศนั้นเป็นประกาศปลอม

หลังจากที่มีคนชุมนุมมากพอจนทำให้ฝ่ายตำรวจต้องจับอาวุธมาสลายผู้ชุมนุม จนทำให้มะแจซินถึงแก่ความตาย แต่ความตายของมะแจซินเต็มไปด้วยเงื่อนงำ ไม่ว่าจะเป็นรูปที่โพสต์ไว้มากมายก่อนตายทั้งภาพและคลิปในเหตุการณ์ที่มะแจซินเป็นทั้งผู้บริจาคให้ผู้ชุมนุมและมะแจซินเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ชุมนุมก็ดี

หลายคนที่พยายามมองทั้งสองด้านคงมองแบบผมว่า มะแจซิน คือ ศพที่ถูกสั่งให้ตายด้วยมือที่สาม เพราะเห็นได้ว่าหลังจากการตายของมะแจซิน มีฝ่ายหนึ่งการนำการตายของมะแจซินออกมาโหนอย่างชัดเจน จนฝั่งทหารพม่าต้องเข้ามาตรวจสอบหัวกระสุนที่ยิงใส่มะแจซิน

แม้ทางฝ่ายทหารจะแถลงมาว่ากระสุนสังหารของมะแจซินไม่ใช่กระสุนสไนเปอร์เพราะลักษณะของแผลเป็นกระสุน .22 แต่อย่างไรก็ดีก็อย่างที่ทราบกันในประเทศที่ไม่มีมุมมองเป็นกลาง ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าการตายของมะแจซินเกิดจากมือที่สาม

ต่อมาแม้จะมีเฟคนิวส์มากมาย แต่ทางทหารก็ไม่ได้ตอบโต้อันใดทางโซเชียล แม้บางเฟคนิวส์ที่ฉันทราบจะทำให้ฉันขำจนถึงขั้นตกเก้าอี้อย่างเช่น การที่ทหารนำศพผู้เสียชีวิตที่ถูกสังหารไปผ่าพิสูจน์แล้วมีคนบอกว่าทหารนำเครื่องในคนตายไปขาย คือ เอิ่ม…เครื่องในคนนะ เอาไปต่อชีวิตนะ ไม่ใช่เอาไปต้มตือฮวน มันมีเวลาในการเก็บอวัยวะ ไม่ใช่ตายกันมาครึ่งวันหรือรอข้ามวันแล้วมาเอาเครื่องในตอนผ่าพิสูจน์

และล่าสุดที่ฉันทราบข่าวคือ การจับตัวหลวงพ่อ บะมอสะยาดอว์ก็ดี หรือ การที่ทหารไปลอกทองชเวดากองก็ดี คือเฮ้ย...พวกคุณรู้ไหม 'มิน อ่อง ลาย' เขาทำบุญเยอะมากนะ ถ้ามีใครตามข่าว 'มิน อ่อง ลาย' ในช่วงที่เกิดรัฐประหาร เหมือนรู้ว่าตัวเองทำบาป เลยพยายามทำบุญเยอะมากเพื่อลบล้างบาป

สุดท้ายที่ฉันเจอคือข่าวหญิงสาวตกตึกตายก็ดี หรือ ข่าวตำรวจแบกกล้วยก็ดี ก็มีการตีข่าวว่า ตำรวจผลักคนตกตึก ตำรวจ ทหาร ปล้นกล้วยเพราะไม่มีอะไรจะกิน นี่คือเฮ้ยแค่รูปเดียวรู้ดีกันขนาดนี้เลยเหรอ ฉันว่าภาพๆเดียวมันสื่ออะไรไม่ได้มั้ง

สุดท้ายเราแค่อยากจะสื่อว่าในสถานการณ์ที่ยังไม่มีอะไรชัดเจน การเสพข่าวอะไรก็ตามไม่ควรจะอินตามกระแส แต่ควรหาข้อมูลมาสนับสนุนหรือหักล้างว่าสิ่งที่เราได้ทราบมานั้นจริงหรือไม่จริง เหมือนกับการมองภาพๆ หนึ่ง สื่อบางรายอาจจะเลือกมุมที่จะนำเสนอ แต่หากคุณเป็นคนที่มีเหตุมีผล คุณควรจะมองภาพทั้งภาพไม่ใช่ภาพในมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น


ที่มา: AYA IRRAWADEE

สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และหลายประเทศในสหภาพยุโรปผนึกกำลังลงดาบร่วมคว่ำบาตรจีน ในประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ ในมณฑลซินเจียงของจีน โดยจะเล็งเป้าที่นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน

โดยจะเล็งเป้าที่นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ที่รับผิดชอบในเขตซินเจียง เบื้องต้น มีการเปิดเผยรายชื่อบัญชีดำบางส่วนแล้วดังนี้

1.) นาย เฉิน หมิงกัว ผู้อำนวยการสำนักงานตำรวจในท้องที่เขตซินเจียง

2.) นาย หวัง หมิงชาน หนึ่งในคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ในเขตซินเจียง ที่แหล่งข่าวสายตะวันตกระบุว่า เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบโครงการค่ายกักกันชาวอุยกูร์โดยเฉพาะ

3.) นายหวัง จุนเจิ้ง เลขาธิการ บริษัทซินเจียง โปรดักชั่น แอนด์ คอนสตรั๊กชั่น หรือ XPCC

4.) นาย จู ไห่หลุน อดีตรองหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์สาขาซินเจียง ที่ถูกระบุว่าเป็นคีย์แมนคนสำคัญในนโยบายการสร้างค่ายกักกันชาวอุยกูร์

5.) บริษัท บริษัทซินเจียง โปรดักชั่น แอนด์ คอนสตรั๊กชั่น (XPCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล กึ่งกองทัพ ที่รัฐบาลจีนบอกว่าเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมวิชาชีพ และพัฒนาพื้นที่การเกษตรในเขตชนบท แต่ถูกฝ่ายตะวันตกระบุว่า เป็นหน่วยงานสำคัญที่ผลักดันให้เกิดนโยบาย "ปรับทัศนคติ" ชาวมุสลิม ซินเจียง-อุยกูร์

ซึ่งการคว่ำบาตรนี้ จะรวมถึงการแบนทั้ง หน่วยงาน และบุคคลที่ระบุในบัญชีดำไม่ให้เข้าประเทศ เพิกถอนวีซ่า และยังระงับการเข้าถึงบัญชีทรัพย์สินที่ฝากไว้ในประเทศกลุ่มพันธมิตรชาติตะวันตก ที่ร่วมกันคว่ำบาตรจีนในครั้งนี้ด้วย

แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ย้ำชัด กลางที่ประชุมทวิภาคี สหรัฐ - จีน ในอลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า จีนได้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เข้าข่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์ และจะกดดันให้จีนหยุดการกระทำดังกล่าว

ประเด็นเรื่องค่ายกักกันชาวอุยกูร์ ถูกหยิบยกขึ้นโจมตีจีนอย่างหนักในช่วงนี้ ซึ่งจีนถูกกล่าวหาว่าได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง กับชาวอุย กูร์ ในเขตซินเจียงนับล้านคน ที่ถูกต้อนเข้าแคมป์ ที่จีนอ้างว่าเป็นค่ายฝึกอบรมวิชาชีพ และค่านิยมแบบจีน

แต่กลับมีรายงานข่าวการกักกัน คุมขัง ทำร้ายร่างกาย ข่มขืนทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ที่บังคับให้ชาวอุยกูร์ละศาสนาอิสลาม บังคับให้บริโภคเนื้อหมู ใช้แรงงานหนัก และบังคับให้คุมกำเนิด จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก ที่จีนพยายามที่จะปฏิเสธว่า เป็นเรื่องที่กล่าวเกินจริง และบิดเบือน

แต่ก็ถูกชาติตะวันตกกดดันในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง อาทิ รัฐสภาแคนาดาประกาศว่าการกระทำของรัฐบาลจีนต่อชาวอุยกูร์ เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ประเทศในสหภาพยุโรปหลายชาติลงชื่อคว่ำบาตรจีน ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ก็เห็นด้วยกับมาตรการคว่ำบาตรเช่นกัน และน่าจะร่วมขบวนด้วยในเร็วๆนี้

ทางด้านจีน ก็ประกาศว่าพร้อมที่จะตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรทุกชาติตะวันตก ที่ร่วมกับสหรัฐคว่ำบาตรจีนในครั้งนี้

นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน กล่าวว่า นี่คือการแทรกแซงกิจการภายในจีนแบบเหมารวม บิดเบือนข้อเท็จจริง และเผยแพร่ข่าวเท็จ ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และได้ประกาศรายชื่อบุคคล ที่จะถูกขึ้นบัญชีดำของจีนถึง 10 คน ที่เป็นสมาชิกสภา EU เป็นนักสิทธิมนุษยชนแห่งสหภาพยุโรป นักวิชาการเยอรมันที่เผยแพร่ข้อมูลการกดขี่ชนกลุ่มน้อยในทิเบตและซินเจียง รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลชาติตะวันตก เช่น Germany Mercator Institute for China Studies และ Danish Democracy Organization เป็นต้น

คว่ำกันระเน ระนาด ล้มโต๊ะกันหนักมากจริงๆ และนี่แค่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น จากแนวทางการต่อสู้ระหว่าง จีน และสหรัฐ ในยกใหม่ ที่เชื่อว่าน่าจะต้องคว่ำกันอีกหลายบาตรทีเดียว

แหล่งข้อมูล

https://www.bbc.com/news/world-europe-56487162

https://www.dw.com/.../china-sanctions-eu.../a-56948924

https://www.theguardian.com/.../china-responds-to-eu-uk...

https://www.aljazeera.com/.../eu-rolls-out-sanctions-on...


ที่มา : เพจ หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://www.facebook.com/HunsaraByJeansAroonrat/photos/a.104144281210799/267660561525836/

บุ๋ม - ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ดารานักแสดงชื่อดัง ในฐานะประธานองค์กรทำความดี โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านไอจี เกี่ยวกับเรื่องราวของเยาวชน ชั้นอนุบาลไปจนถึงชั้นป.5 ถึง 9 รายซึ่งเกิดเหตุมานานเกือบ 10 ปี แต่ผู้กระทำความผิดยังไม่มีใครทำอะไรได้

โดย บุ๋ม ปนัดดา ระบุว่า ...

เคสนี้ล่าสุด! แล้วคุณจะตกใจเหมือนบุ๋มถ้าคุณรู้ว่า

1.) เด็กน้อย 9 คนนี้ โดนกระทำโดยผู้ชายคนๆเดียวกัน

2.) เด็ก2คนในนี้แจ้งความแล้ว ขึ้นศาล แต่ศาลให้ประกันตัว

3.) เมียที่เป็นสมาชิก อบต. ให้ความช่วยเหลือผัว จนเด็กๆคนอื่นไม่กล้าแจ้งความ

4.) เรื่องที่เกิดขึ้น มันเกิดมานานเกือบ 10 ปี แต่ไม่มีใครทำอะไรมันได้เลย จนมันย่ามใจทำเด็กมากมายขนาดนี้

5.) มีเด็กผู้ชายอีก 3 คนมาร้องเรียนกับบุ๋ม ถูกละเมิดและลวนลามจากคนนี้เช่นกัน

ทีนี้คุณเข้าใจรึยังว่าทำไมบุ๋มยอมชื่อเสียงของตัวเองเข้าแลกในแต่ละคดีเพราะเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นในแต่ละท้องที่เป็น 10 ปี แต่ไม่มีใครเคยรับฟังพวกเค้าเลย คุณต้องเห็นน้ำตาของพ่อแม่เด็ก แล้วเด็กบางคนไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ถ้าคุณได้เห็นเหมือนอย่างที่บุ๋มเจอ คุณจะลุยและสู้กับคนเลวๆเหมือนบุ๋ม #บุ๋มเชื่อแบบนั้น #องค์กรทำดี

เกิดเหตุกราดยิงอีกแล้วในสหรัฐอเมริกา คราวนี้ยิงสนั่นกลางซุปเปอร์มาร์เก็ตในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด เมื่อช่วงบ่าย 2 โมงของวันจันทร์ที่ 22 มีนาคม ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ ล่าสุดยืนยันผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุมากถึง 10 ราย

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับรายงานว่า เกิดเหตุกราดยิงที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต คิง ซูปเปอร์ส ที่อยู่ในย่านชุมชน ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยโคโรลาโดมากนัก จึงรีบส่งทีมจู่โจม และ เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ เข้าประจำการในพื้นที่ทันที

พยานผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า เขาได้ยินเสียงปืนหลายครั้ง และเห็นคนล้มลง 3 คนที่ลานจอดรถ และ ประตูทางเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่แน่ใจว่าเสียชีวิตหรือไม่ เพราะทุกคนต่างหาที่หลบซ่อนตัว

นอกจากนี้ยังมีภาพจากกล้องวงจรปิด ที่พบคนร้ายบุกเข้าไปยิงผู้คนในซุปเปอร์มาร์เก็ต และเจ้าหน้าที่ แอริค แทลลี่ เป็นตำรวจท้องที่กลุ่มแรกที่เข้าพื้นที่ไปปะทะกับคนร้าย จนถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

เจ้าหน้าที่ แครี่ ยามางุจิ ผู้บังคับบัญชาตำรวจท้องถิ่นรายงานว่า จับกุมคนร้ายได้แล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด ชื่อ และเหตุจูงใจของการก่อนเหตุในครั้งนี้

นับเป็นเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญในสหรัฐ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในรอบไม่ถึง 1 สัปดาห์ หลังจากที่เกิดเหตุกราดยิงในร้านสปา 3 แห่ง ของชาวเอเชียในเมืองแอตแลนต้า จนมีผู้เสียชิวิต 8 ราย เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่เกิดเหตุกราดยิงบ่อยครั้ง จากข้อมูลทางสถิติพบว่า ในสหรัฐจะเกิดเหตุ กราดยิงเฉลี่ย 1 คดีในรอบ 64 วัน ซึ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับค่าสถิติเมื่อ 10 ปีก่อนที่พบคดีกราดยิง 1 ครั้งในรอบ 200 วัน

เหตุกราดยิงที่สะเทือนขวัญที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2017 ในงานเทศกาลดนตรีที่เมืองลาส เวกัส ที่มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุถึง 59 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 400 คน

จึงมีชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากเรียกร้องให้สภา คองเกรซพิจารณาร่างกฏหมายการควบคุมการถือครองอาวุธปืนให้มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ แต่ยังไม่เป็นผล เพราะผู้แทนในบางรัฐยังคงมองว่าการครอบครองอาวุธปืนเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลในการการป้องป้องคุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินของตนเอง

แต่ด้วยคดีความรุนแรงที่เกิดจากอาวุธปืนที่เพิ่มสูงขึ้น ชาวอเมริกันที่เรียกร้องให้จำกัดสิทธิ์การถือครองอาวุธปืน จึงได้แต่หวังว่าจะสามารถนำเป็นกรณีตัวอย่างในการผลักดันให้เปลี่ยนกฏหมายได้สักวันหนึ่ง


อ้างอิง:

https://www.theguardian.com/us-news/2021/mar/22/boulder-colorado-active-shooter-supermarket

https://www.usatoday.com/story/news/nation/2021/03/22/boulder-shooting-police-report-active-shooter-colorado-grocery-store/6956943002/

https://edition.cnn.com/us/live-news/colorado-king-soopers-shooting/index.html

'จาง จิง' ล่ามฉับพลันในการเจรจาระดับสูงระหว่างระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีน ที่ อลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นคนดังทั่วโลกออนไลน์

หลังคลิปแปลถ่ายทอดคำแถลงของ หยาง เจี๋ยฉือ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมาธิการกิจการระหว่างประเทศ คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ความยาว 15 นาที ซึ่งมีภาพนิ่งของเธอเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (18 มี.ค.) มีผู้เข้าชมออนไลน์หลายล้านครั้ง

จางจิง ได้ขโมยซีน การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งจีนและสหรัฐฯ ในการประชุมสองวัน ก่อนได้ข้อสรุปเมื่อวันศุกร์ (19 มี.ค.) โดยรายงานของสื่อจีนเรียกเธอว่า คือ “ ล่ามที่สวยที่สุดในปฐพี” ชื่อของเธอกลายเป็นหนึ่งในการค้นหาอันดับต้น ๆ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Weibo วิดีโอที่มีรูปถ่ายของเธอได้รับการดูหลายสิบล้านครั้งทางออนไลน์

จางจิง กลายเป็นไอดอลความนิยมของล่ามภาษาจีน ซึ่งเป็นอาชีพที่อยู่ระดับแนวหน้าของผู้มีศักยภาพในจีน ด้วยต้องใช้ทักษะและไหวพริบประกอบกับความรู้ระดับสูง ซึ่งปกติจะเป็นการทำงานในเบื้องหลังเสมือนไม่ปรากฏตนเจ้าหน้าที่แลกเปลี่ยนวิพากษ์วิจารณ์อย่างตึงเครียด ก่อนจบลงด้วยข้อตกลงที่จะร่วมมือกันเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการแลกเปลี่ยนอื่น ๆ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ทั้งสองประเทศยังคง “ ขัดแย้งกันโดยพื้นฐาน” ในประเด็นต่าง ๆ เช่น ซินเจียง ฮ่องกง ทิเบต ไต้หวันและไซเบอร์สเปซ

ด้านนายหยาง เจี๋ยฉือ โน้มน้าวที่ประชุมให้เห็นความสำเร็จของจีนในการแก้ไขปัญหาความยากจนและการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 ในขณะที่สหรัฐฯยังคงต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคนี้

นอกจากนี้เขายังกล่าวหาว่า วอชิงตันใช้อำนาจทางการเงินและการทหารเพื่อบีบประเทศอื่น ๆ และว่านโยบายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐที่ไม่เหมาะสมได้คุกคามอนาคตของการค้าโลก

หยาง ปฏิเสธการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของปักกิ่งในซินเจียง ฮ่องกงและไต้หวัน โดยกล่าวว่าดินแดนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอธิปไตยหนึ่งเดียวของจีน และเป็นกิจการภายในที่ไม่ควรยกมาคุยในที่ประชุม

เขายังเรียกสหรัฐฯว่าเป็น "แชมป์" ของการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตและวิพากษ์วิจารณ์นโยบายภายในประเทศของตน“คนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกามีความเชื่อมั่นเพียงเล็กน้อยต่อประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา” หยาง กล่าวโดยอ้างถึงการสังหารชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาและประชาชนผิวดำ

หยางกล่าวในท้ายคำเปิดการเจรจา หลังจากที่ทั้ง บลิงเคน และเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวนำในเชิงกล่าวหาจีนมาก่อน ว่า “เพราะท่าน (บลิงเคน) และ คุณซัลลิแวนได้กล่าวเปิดงานที่แตกต่างกันออกไป ผมก็เลยต้องกล่าวฯ เช่นกัน”

ผู้เข้าร่วมการประชุมท่านหนึ่ง กล่าวว่าคำกล่าวของ หยาง ที่ยาวต่อเนื่องนับสิบนาที ราว 2,000 คำ นับเป็น "บททดสอบสำหรับล่าม" ด้านบลิงเคน ก็เลยกล่าวว่า “ เราจะต้องขึ้นเงินเดือนให้นักแปลแล้ว” สร้างเสียงหัวเราะผ่อนคลายในสถานการณ์ตึงเครียด

ตามรายงานของสื่อจีน จาง เริ่มทำงานเป็นล่ามในปี 2013 งานแรกคือการประชุมสองสภาประจำปีในปักกิ่ง เธอเป็นที่รู้จักในเรื่องท่าทางประกอบและทักษะการแปลที่ดี จาง เป็นชาวเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนภาษาต่างประเทศหางโจวในปี 2003 ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยการต่างประเทศจีนซึ่งเธอเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ เธอได้รับคัดเลือกจากกระทรวงการต่างประเทศในปี 2007

สื่อท้องถิ่นออนไลน์ China Women News โพสต์ในบัญชีโซเชียลมีเดียว่า จาง เป็น “ภาพลักษณ์ของประเทศจีน” และเป็น“ ตัวแทนของนักแปลที่มีความสามารถและเป็นมืออาชีพมากที่สุดของกระทรวงต่างประเทศของจีน ที่สื่อสารไปทั่วโลก”

โกลบอลไทม์ส กล่าวว่า นี่คือ "ความสง่างามของนักการทูตจีนในยุคใหม่"

สื่อท้องถิ่นออนไลน์ China Women News โพสต์ในบัญชีโซเชียลมีเดียว่า จาง เป็น “ภาพลักษณ์ของประเทศจีน” และเป็น“ ตัวแทนของนักแปลที่มีความสามารถและเป็นมืออาชีพมากที่สุดของกระทรวงต่างประเทศของจีน ที่สื่อสารไปทั่วโลก”

ความหวังใหม่ของโลก 'หมอมนูญ' เผยยารักษาโควิดรูปแบบใหม่ จ่ายยาให้กลับไปกินบ้านได้

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC' โดยระบุข้อความว่า…

นอกจากวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว โลกกำลังฝากความหวังกับยารับประทานตัวใหม่ชื่อ Molnupiravir ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นยาที่คิดค้นมารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ ยาตัวนี้กำลังอยู่ในการทดสอบทางคลินิกในคนระยะที่ 2 คาดว่าจะเข้าการทดสอบระยะะที่ 3 ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

การทดสอบพบว่ายาตัวใหม่นี้ สามารถลดการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสโควิดได้ดี ลดจำนวนเชื้อไวรัสในคนได้รวดเร็ว ลดความรุนแรงของโรค ช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด และมีผลข้างเคียงต่ำ ยาตัวนี้อาจนำมารักษาเชื้อไวรัสโควิด-19 ทุกชนิดทั้งชนิดกลายพันธุ์และไม่กลายพันธุ์

ในการทดลองในสัตว์ เมื่อให้ยาตัวนี้กับสัตว์ทดลองที่ติดเชื้อไวรัสโควิด สามารถป้องกันสัตว์ทดลองตัวอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ชิดไม่รับเชื้อไวรัสโควิด ลักษณะการใช้ยาใหม่ตัวนี้ถ้าผ่านการรับรอง จะเหมือนกับยา Oseltamivir (Tamiflu) และ Baloxavir (Xofluza) ที่เป็นยากินใช้ทั้งรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ และให้กินเพื่อป้องกันการติดเชื้อในกรณีที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยแพทย์จ่ายยาให้ไปกินที่บ้านแบบคนไข้นอก ไม่ต้องรับเข้านอนรักษาในโรงพยาบาล

นอกจากนี้มีการศึกษาในสัตว์ทดลองเมื่อให้ยา Molnupiravir ร่วมกับยา Favipiravir ซึ่งก็เป็นยาที่คิดค้นมารักษาไข้หวัดใหญ่เหมือนกัน ผลการรักษาโรคโควิด-19 ในสัตว์ทดลองยิ่งดีขึ้นกว่าการให้ยาตัวใดตัวหนึ่ง ยา Favipiravir มีในประเทศไทยใช้รักษาโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่แล้ว


ที่มา: https://www.facebook.com/604030819763686/posts/1900214223478666/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top