Sunday, 11 May 2025
NEWS

ให้ทำงานที่บ้าน แต่นัดเพื่อน 'ไปกินข้าว-ช้อปปิ้ง' ผลติดเชื้อทั้งหมด ซ้ำบริษัทงดจ่ายเงิน เพราะผิดข้อตกลง WFH

นักแต่งเพลงเล่าเรื่องรุ่นน้องทำงานบริษัท ให้หยุดทำงานที่บ้าน 2 สัปดาห์ ยินดีจ่ายเต็มจำนวน มีกติกาห้ามออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น ปรากฏว่านัดเพื่อนไปกินข้าวห้างฯ สุดท้ายติดโควิดทุกคน ลามถึงลูก เมีย และคนใช้ หาโรงพยาบาลวุ่นวาย แถมบริษัทฯ ไม่จ่ายเงิน เพราะผิดข้อตกลง 1 ใน 4 อาการหนัก

เฟซบุ๊ก Thawichaya Tungsaharangsee ของนายทวิษย์ชญะ ตั้งสหะรังษี หรือ แจ็ค รัสเซล นักแต่งเพลง เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่รุ่นน้องคนหนึ่งเป็นพนักงานบริษัทติดโควิด-19 และทำให้สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนร่วมงานแย่ลงไปด้วย โดยกล่าวว่า...

เรื่องจริงที่อยากเล่า รุ่นน้องของผมคนหนึ่ง บริษัทให้หยุดทำงานอยู่ที่บ้าน 2 สัปดาห์ และยินดีจะจ่ายค่าทำงานให้เต็มจำนวน โดยมีกติกาว่าห้ามออกไปนอกบ้านถ้าไม่จำเป็น เช่น เที่ยวเตร่ ดื่ม สังสรรค์ หรือเดินช้อปปิ้ง

แต่หยุดได้แค่สามวัน คนหนึ่งก็นัดกันกับเพื่อนในบริษัท อีก 3 คน รวมเป็นผู้ชาย 4 คน ออกไปกินข้าวที่ห้างฯ และตามด้วยไปเดินซื้อของ ไม่ได้บอกว่าห้างอะไร และกินข้าวกันที่ร้านไหน และก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ไทม์ไลน์ที่สังคมรับรู้มีเพียงเท่านี้

ทั้ง 4 คน แต่งงาน และมีลูกกันหมดแล้ว

ผ่านไป 6-7 วัน คนที่ไป 4 คน เริ่มมีอาการ ทยอยไปตรวจกันคนละที่ พบว่าติดเชื้อกันทุกคน

ที่หนักกว่านั้น ลูก เมีย คนรับใช้ในบ้านของบางคนติดไปด้วย

หาโรงพยาบาล หาที่รักษากันวุ่นวายไปหมด ต่างคนต่างโทษกันไปมา ก็ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเพราะอะไร ติดจากอะไร

บริษัทเมื่อทราบเรื่องก็ไม่ขอชดใช้ค่าทำงาน เพราะผิดข้อตกลงที่ว่าต้องหยุดอยู่ที่บ้าน

ตอนนี้ต่างแยกย้ายกันไปรักษาตัวอยู่ และความสัมพันธ์ของแต่ละคนก็เริ่มไม่เหมือนเดิม เพราะโรคที่ตามมาพร้อมโควิด-19 คือ โรคเครียด

วันนี้ 1 ใน 4 อาการหนัก ปอดไม่แข็งแรง หายใจลำบาก ทั้ง ๆ ที่อายุแค่ 30 กลาง ๆ

คนที่เจ็บหนักสุดพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า ฝากทุกคน ไม่จำเป็นอย่าออกจากบ้าน ใจแข็ง ๆ เข้าไว้ เพราะถึงวันนี้ก็ไม่รู้ว่าติดจากใคร นี่ขนาดใส่มาสก์ตลอดเวลา ยกเว้นตอนกินข้าวเท่านั้นเอง

เล่าสู่กันฟังครับ


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4399452703401697&id=100000110337117

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000039824

อัพเดท! 54 จังหวัด ไม่ใส่แมสก์ออกจากบ้านมีโทษ บวกเพิ่ม 2 จังหวัด ‘นครนายก-กาฬสินธุ์’

อัพเดท 54 จังหวัด/พื้นที่ (53 จังหวัด + กทม.) ที่มีบทลงโทษ กรณีประชาชนไม่ใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า เมื่ออยู่นอกเคหสถาน/สถานที่สาธารณะ

 

ภาคกลางและภาคตะวันออก

1.) กาญจนบุรี (เฉพาะตลาด ตลาดนัด ตลาดน้ำ)

2.) ปราจีนบุรี

3.) เพชรบุรี

4.) สุพรรณบุรี

5.) อยุธยา

6.) สมุทรสาคร

7.) ลพบุรี

8.) สมุทรปราการ

9.) ประจวบคีรีขันธ์

10.) ชลบุรี

11.) สระบุรี

12.) ตราด

13.) นนทบุรี

14.) นครปฐม

15.) จันทบุรี

16.) กรุงเทพมหานคร

17.) ปทุมธานี

18.) ฉะเชิงเทรา

19.) อ่างทอง

20.) สระแก้ว

21.) นครนายก

 

ภาคใต้

1.) สุราษฎร์ธานี

2.) ตรัง

3.) นครศรีธรรมราช

4.) นราธิวาส

5.) ปัตตานี

6.) พังงา

7.) ภูเก็ต

8.) ระนอง

9.) สตูล

10.) สงขลา

11.) ยะลา

 

ภาคเหนือ

1.) สุโขทัย

2.) ตาก

3.) เพชรบูรณ์

4.) อุตรดิตถ์

5.) ลำพูน

6.) พิษณุโลก

7.) เชียงใหม่

 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

1.) ยโสธร

2.) หนองคาย

3.) อุบลราชธานี

4.) ชัยภูมิ

5.) มหาสารคาม

6.) มุกดาหาร

7.) ศรีสะเกษ

8.) สุรินทร์

9.) อุดรธานี

10.) เลย

11.) อำนาจเจริญ

12.) บุรีรัมย์

13.) นครพนม

14.) ขอนแก่น

15.) กาฬสินธุ์

 

ศบค.มท.

ข้อมูล ณ 27 เม.ย.64 เวลา 09.55 น.

เช้านี้กองกำลังกะเหรี่ยง KNU เปิดฉาก บุกตีฐานพม่าฝั่งตรงข้ามบ้านแม่สามแลบ ฝ่ายความมั่นคงปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าพื้นที่หวั่นอันตรายจากการสู้รบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ (27 เม.ย. 64) กองกำลังกะเหรี่ยง KNU บุกตีฐานพม่าซอแลท่า พัน.คร.341 ริมฝั่งน้ำสาละวิน ตรงข้ามบ้านแม่สามแลบ ต.สบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน

ด้านฝ่ายความมั่นคงของไทย ได้ปิดกันพื้นที่ไม่ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าบริเวณบ้านแม่สามแลบริมฝั่งสาละวิน เนื่องจากเสี่ยงอันตรายจากการสู้รบ รวมถึงประสาน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการดูแลประชาชนฝั่งไทยแล้ว

เบื้องต้นมีชาวบ้าน ร้านค้า บางส่วนที่อาศัยอยู่พื้นที่ติดริมน้ำบริเวณท่าเรือแม่สามแลบได้อพยพออกจากพื้นที่ดังกล่าวไปบ้างแล้ว ส่วนความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป


สุกัลยา / ถาวร อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน รายงาน

ทบ.สั่งเตรียมกำลังพลสายแพทย์ช่วยงานสาธารณสุข ส่วน รพ.สนาม ทบ. เปิดแล้ว 7 แห่ง ในกทม.-ประจวบฯ-สงขลา เผยส่งรถพยาบาลและทีมแพทย์เหล่าทัพช่วยงาน รพ.สนาม

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของไทยในปัจจุบันที่ต้องเข้ารับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล โดยศบค.และกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการจัดตั้งรพ.สนามเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรงเข้ามารับการรักษาพยาบาล สำหรับกองทัพบกได้เตรียมการสนับสนุนเกี่ยวกับ รพ.สนาม มาอย่างต่อเนื่อง โดยกองทัพบกได้ใช้อาคาร สถานที่ในหน่วยทหาร และสิ่งอุปกรณ์ที่มีอยู่ดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในขั้นต้นแล้ว จำนวน 19 แห่ง รองรับผู้ติดเชื้อได้ 3,050 เตียง ซึ่ง ปัจจุบัน รพ.สนามของกองทัพกได้เปิดดำเนินการแล้ว 7 แห่ง โดยมอบให้ กระทรวงสาธารณสุข เข้าบริหารจัดการแล้ว 3 แห่ง 

ได้แก่ 1. โรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1) เปิดให้บริการเมื่อ 19 เมษายน 2564 รองรับผู้ป่วยได้ จำนวน 300 เตียง ปัจจุบันมียอดผู้ป่วยพักแล้ว จำนวน 246 ราย (25 เมษายน 2564)  ซึ่ง กระทรวงสาธารณสุขได้มอบให้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะจัดบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาบริหารจัดการ โดยกองทัพบกได้ช่วยอำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัยสถานที่ที่เป็นการทำงานในลักษณะกองอำนวยการร่วม แห่งที่ 2 คือ โรงพยาบาลสนามกองทัพบก (ศูนย์การทหารราบ) จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับผิดชอบการดำเนินงานโดยโรงพยาบาลค่ายธนะรัชต์ รองรับผู้ป่วยได้ จำนวน 100 เตียง เปิดให้บริการเมื่อ 16 เมษายน 2564 ปัจจุบันมียอดผู้ป่วยเข้าใช้บริการ จำนวน 31 ราย (25 เมษายน2564)

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับแห่งที่ 3 คือ คือ โรงพยาบาลสนามกองทัพบก(กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 5) จ.สงขลา รองรับผู้ติดเชื้อได้ 100 ราย ปัจจุบันมีผู้เข้าพักแล้ว 36 ราย ส่วนโรงพยาบาลสนามกองทัพบก(กรมพลาธิการทหารบก) ได้เปิดให้บริการแล้วใน 21 เมษายน 2564 สามารถรองรับผู้ป่วยได้ จำนวน 200 เตียง โดยหลังกระทรวงสาธารณสุขเข้าตรวจสอบพื้นที่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขยายเพื่อรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติม โดยยังไม่มีผู้ป่วยเข้าพัก (25 เมษายน 2564) อยู่ระหว่างการปรับปรุง นอกจากนี้กองทัพบกยังได้จัดเตรียมโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15) จ.กระบี่ สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 280 ราย โรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กองพลทหารราบที่ 15) จ.สงขลา สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 100 ราย และโรงพยาบาลสนามกองทัพบก (กองพันเสนารักษ์ที่ 1) จ.ลพบุรี สามารถรองรับผู้ป่วยได้ 150 ราย 

ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีผู้ป่วยเข้าพัก โดยล่าสุดกองทัพบกเตรียมจัดตั้ง โรงพยาบาลสนามกองทัพบก(มณฑลทหารบกที่ 11) ที่กระทรวงสาธารณสุขเข้าตรวจสอบความคืบหน้า และยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงให้เหมาะสมตามคำแนะนำของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ซึ่งจะจัดบุคลากรทางการแพทย์เข้าบริหารจัดการ โดยมีการแบ่งสัดส่วนชัดเจนเพื่อความปลอดภัย  นอกจากนี้ในส่วนของโรงพยาบาลสนามกองทัพบก(เกียกกาย) ซึ่งกองทัพบกบริหารจัดการเอง ดำเนินการโดย ศบค.19 ทบ. และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า รองรับผู้ติดเชื้อได้ 137 ราย เพื่อรองรับกำลังพลและครอบครัว เป็นการลดภาระของโรงพยาบาลสาธารณสุขและรองรับผู้ป่วยCOVID-19 อาการทุเลาแล้วจากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งขณะนี้มีผู้เข้าพักแล้ว 101 ราย (25 เมษายน 2564)

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวอีกว่า ล่าสุดจากการที่กระทรวงกลาโหมได้จัดชุดแพทย์ผสมเหล่าทัพไปสนับสนุน การบริการด้านการแพทย์ ให้กับรพ.สนามในความรับผิดชอบของกทม.นั้น ในส่วนของกองทัพบกได้มอบหมายให้ กรมแพทย์ทหารบก จัดชุดแพทย์ 2 ชุด จำนวน 10 นาย เข้าสนับสนุนการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลสนาม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ร่วมกับโรงพยาบาลลาดกระบัง ตั้งแต่ 22 เมษายน เป็นต้นไป โดยหมุนเวียนกับชุดแพทย์ของเหล่าทัพอื่น นอกจากนี้ กองทัพบกยังได้สนับสนุนรถพยาบาลเพื่อช่วยเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อCOVID-19 ในกระบวนการรับ- ส่งผู้ป่วยจากที่พัก เพื่อเข้ารับการรักษา ณ รพ.สนามในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้เพิ่มศักยภาพในกระบวนการรับ-ส่ง ผู้ป่วย โดยได้รับการสนับสนุนการจัดยานพาหนะ จากทุกเหล่าทัพ และโดยขณะนี้กองทัพบกสนับสนุนยานพาหนะ 10 คัน จาก กองทัพภาคที่ 1, หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก และกรมการขนส่งทหารบก ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทำงานเป็นวงรอบกับเหล่าทัพอื่นๆ ด้วย 

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์COVID-19 ที่ผ่านมาทำให้บุคลากรทางการแพทย์แถวหน้าต้องทำงานอย่างหนัก อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ผู้บัญชาการทหารบกมีความห่วงใยในสถานการณ์ดังกล่าว ได้สั่งการให้ ศบค.19 ทบ. และกรมแพทย์ทหารบกได้จัดเตรียมกำลังพลที่เคยปฏิบัติงานสายแพทย์สำรองไว้ เพื่อเป็นกำลังสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยเฉพาะในช่วงที่จะมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจำนวนมากในอนาคต ซึ่งขณะนี้กองทัพบกได้จัดทำบัญชีรายชื่อและแผนการปฏิบัติงานรองรับสถานการณ์ไว้แล้ว พร้อมสนับสนุนเมื่อได้รับการร้องขอ 

โดยมองว่างานด้านการรักษาพยาบาลถือเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลประชาชน ให้ความสำคัญกับการรักษาพยาบาลและดูแลประชาชน เพื่อให้การดูแลประชาชนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และลดภาระบุคลากรทางการแพทย์แถวหน้าที่ทำงานหนักในสถานการณ์ที่ผ่านมา สำหรับการป้องกันการติดเชื้อในหน่วยทหาร เพื่อดำรงสภาพความพร้อมของกองทัพบกในการสนับสนุนภารกิจดูแลประชาชนในสถการณ์COVID-19 ขณะนี้กองทัพบกได้กระชับและดำรงความเข้มงวดใน “มาตรการพิทักษ์พล” และมีการปรับการปฏิบัติในบางภารกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อาทิ ยกระดับกองรักษาการณ์คัดกรองการผ่านเข้า-ออกหน่วยทหาร, การจัดสรรกำลังพลให้ปฏิบัติงานในลักษณะ WFH, หลีกเลี่ยงหรืองดการสังสรรค์แบบหมู่คณะ, การประชุมและจัดการเรียนการสอนออนไลน์, งดการฝึก, การรักษากำลังพลที่ติดเชื้อและกักตัวผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เป็นต้น ส่วนการดูแลประชาชน 

เพื่อลดผลกระทบและบรรเทาความเดือดร้อน ยังคงเดินหน้านโยบาย อาทิ Army Delivery, ช่วยเหลือเกษตรกร, อุดหนุนผลผลิตทางการเกษตร, แจกจ่ายหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ พร้อมลงพื้นที่สร้างความรับรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติตน การสังเกตและเฝ้าระวังอาการผิดปกติ รวมถึงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดCOVID-19 จากแนวโน้มของการแพร่ระบาดที่สูงขึ้นนี้ กองทัพบกได้ติดตามและเตรียมความพร้อมในศักยภาพทั้งบุคลากรสิ่งอุปกรณ์และความร่วมมือ พร้อมให้การสนับสนุนทุกภาคส่วนขับเคลื่อนให้มาตรการป้องกันและการรักษาพยาบาลของภาครัฐ สามารถรองรับและดูแลประชาชนได้อย่างดีที่สุด

ทบ.ชี้ “ทหารเมียนมา” เข้าใจผิด ขอโทษยิงส่งสัญญาณขอให้เรือจอดเทียบท่า นึกว่าเป็นเรือส่งสินค้า บอกไม่ได้มีเจตนาในทางลบ ขณะที่ไทยเตือนให้ระมัดระวัง-ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วม

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ทหารเมียนมายิงเรือไทยว่า กองทัพบกโดยกองกำลังนเรศวร ซึ่งเป็นหน่วยรับผิดชอบพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้านจ.แม่ฮ่องสอน ได้เข้าพบปะพัฒนาสัมพันธ์กับทหารเมียนมาที่รับผิดชอบพื้นที่ตรงข้าม บ.แม่สามแลบ อ.สบเมยจ.แม่ฮ่องสอน โดยทันที จากการพูดคุยถึงข่าวที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องของการเข้าใจผิด โดยทางเมียนมายอมรับว่ากำลังพลของตนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรือขนสินค้า จึงได้ทำการส่งสัญญาณขอให้เรือจอดเทียบท่า เพื่อขอซื้อเวชภัณฑ์และอาหาร โดยไม่ได้มีเจตนาในทางลบ พร้อมกล่าวขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้พูดคุยให้ระมัดระวังและให้ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมที่ได้กำหนดไว้มาก่อนหน้าแล้ว โดยเฉพาะจะต้องไม่มีปฏิบัติการทางทหารหรือใช้อาวุธที่อาจจะส่งผลต่อความรู้สึกหรือการดำเนินชีวิตของประชาชน และการค้าขายชายแดนตามลำน้ำสาละวิน ซึ่งเป็นแนวเขตแดน(ลำน้ำกลาง) 

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในปัจจุบันการสัญจรและค้าขายในบริเวณแม่น้ำสาละวินยังคงดำเนินไปตามปกติ
จากสถานการณ์ปัจจุบัน พื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้านจ.แม่ฮ่องสอน และ จ.ตาก มีความอ่อนไหว ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงและกองทัพบกได้บูรณาการดูแลพื้นที่และประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน, การหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย, การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยยึดตามนโยบายของรัฐบาล ศบค. ภายใต้กลไกคณะกรรมการชายแดนในระดับต่าง ๆ ร่วมแก้ไขและคลี่คลายในทุกปัญหาที่เกิดขึ้น

สมอ. ไฟเขียวคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า 20 รายการกันไฟดูด

นายวันชัย  พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ สมอ. มีมติเห็นชอบให้ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง วีดิทัศน์ และการสื่อสาร ที่มีแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 600 โวลต์ รวม 20 รายการ เป็นสินค้าควบคุมต้องได้มาตรฐาน มอก. 62368-2563 เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้บริโภคหลายรายใช้สินค้าแล้วได้รับอันตรายถูกไฟดูด ไฟช็อต บางรายถึงขนาดเสียชีวิต โดยเฉพาะผู้ใช้อะแดปเตอร์ไม่ได้มาตรฐานชาร์จโทรศัพท์มือถือ 

โดยจะเร่งประกาศบังคับใช้มมอก. ภาคบังคับภายในกลางปีนี้ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยแก่ประชาชนจากอันตรายที่เกิดจากไฟฟ้า  โดยข้อกำหนดในมาตรฐานจะควบคุมด้านความปลอดภัย  มีการทดสอบเกี่ยวกับการบาดเจ็บที่เกิดจากไฟฟ้า การทดสอบเกี่ยวกับไฟไหม้ที่เกิดจากไฟฟ้า การทดสอบความร้อน การทดสอบการแผ่รังสี และการทดสอบเกี่ยวกับสารอันตราย เป็นต้น
 
สำหรับสินค้าที่เตรียมยกระดับเป็นมอก. ภาคบังคับ 20 รายการ  ได้แก่ เครื่องจ่ายไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่และแท็บเล็ต   (อะแดปเตอร์) เครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องขยายสัญญาณ เครื่องเล่นแผ่นดิสก์ เครื่องเล่นวีดีโอเกมส์ เครื่องรับสัญญาณไมโครโฟนไร้สาย เครื่องรับสัญญาณวิทยุ เครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ เครื่องรับสัญญาณดาวเทียม ลำโพงพร้อมขยายสัญญาณ เครื่องแปลงสัญญาณ เครื่องปรับแต่งสัญญาณ เครื่องผสมสัญญาณเสียง เครื่องจ่ายไฟฟ้าสำหรับเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเล่นเสียงและภาพ เครื่องรับสัญญาณภาพและเสียงผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เครื่องรับสัญญาณเคเบิลทีวี และเครื่องแปลงสัญญาณเสียง

ซีอีโอข้ามเพศชื่อดัง 'แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์' หรือ แอน JKN ร่วมบริจาคอาหารและน้ำดื่ม จำนวน 1 ล้านชุด ให้บุคลากรทางการแพทย์ มูลนิธิคนยากไร้และผู้ป่วยโควิด เป็นเวลา 5 เดือน

โดยเธอได้แจกอาหารให้บุคลากรทางการแพทย์ มูลนิธิคนยากไร้และผู้ป่วยโควิด 1,000,000 กล่อง ตลอดจนแคปซูลวิตามินรวมให้กับหมอ และพยาบาล ร่วมถึงคุกกี้ และน้ำดื่มอีก 1,000,000 ชุดตลอดระยะเวลาห้าเดือนจากนี้ไป

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า “ศูนย์รวมการสื่อสารทุกอย่างในการรับของ ส่งของและการมอบคำแนะนำทั้งหมด แอนขอให้ทุกคนส่งข้อความไปที่ Facebook ชื่อ JKN 18 ตลอดจนช่องทีวีดิจิตอล JKN 18 เช่นเดียวกันจะมีข่าวรายงานให้ฟังตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลาห้าเดือนจากนี้ไปเราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันค่ะ #แอนจักรพงษ์ #annejakrajutatip #jkn18 #ข้ามเพศพันล้าน”

 

ที่มา: https://www.posttoday.com/ent/news/651319


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘ทัพบก’ สั่งกำลังพลสายแพทย์ช่วยงานสาธารณสุข จัดทีมแพทย์รับส่งผู้ป่วย ผ่อนแรงบุคลากรทางการแพทย์

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ทางกระทรวงกลาโหมได้จัดชุดแพทย์ผสมเหล่าทัพไปสนับสนุนการบริการด้านการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสนามในความรับผิดชอบของกรุงเทพฯ โดยในส่วนของกองทัพบกได้มอบหมายให้ กรมแพทย์ทหารบก จัดชุดแพทย์ 2 ชุด จำนวน 10 นาย เข้าสนับสนุนการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลสนาม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ร่วมกับโรงพยาบาลลาดกระบัง ตั้งแต่ 22 เมษายน เป็นต้นไป โดยหมุนเวียนกับชุดแพทย์ของเหล่าทัพอื่น

นอกจากนี้ กองทัพบกยังได้สนับสนุนรถพยาบาลเพื่อช่วยเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อCOVID-19 ในกระบวนการรับ-ส่งผู้ป่วยจากที่พัก เพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้เพิ่มศักยภาพในกระบวนการรับ-ส่งผู้ป่วย โดยได้รับการสนับสนุนการจัดยานพาหนะจากทุกเหล่าทัพ และโดยขณะนี้กองทัพบกสนับสนุนยานพาหนะ 10 คัน จาก กองทัพภาคที่ 1, หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก และกรมการขนส่งทหารบก ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทำงานเป็นวงรอบกับเหล่าทัพอื่น ๆ ด้วย

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมาทำให้บุคลากรทางการแพทย์แถวหน้าต้องทำงานอย่างหนัก อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้สั่งการให้ ศบค.19 ทบ. และกรมแพทย์ทหารบก จัดเตรียมกำลังพลที่เคยปฏิบัติงานสายแพทย์สำรองไว้ เพื่อเป็นกำลังสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยเฉพาะในช่วงที่จะมีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจำนวนมากในอนาคต ซึ่งขณะนี้กองทัพบกได้จัดทำบัญชีรายชื่อและแผนการปฏิบัติงานรองรับสถานการณ์ไว้แล้ว

สำหรับการป้องกันการติดเชื้อในหน่วยทหาร เพื่อดำรงสภาพความพร้อมของกองทัพบกในการสนับสนุนภารกิจดูแลประชาชนในสถานการณ์ COVID-19 ขณะนี้กองทัพบกได้กระชับและดำรงความเข้มงวดใน “มาตรการพิทักษ์พล” และมีการปรับการปฏิบัติในบางภารกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อาทิ ยกระดับกองรักษาการณ์คัดกรองการผ่านเข้า-ออกหน่วยทหาร, การจัดสรรกำลังพลให้ปฏิบัติงานในลักษณะ WFH, หลีกเลี่ยงหรืองดการสังสรรค์แบบหมู่คณะ, การประชุมและจัดการเรียนการสอนออนไลน์, งดการฝึก, การรักษากำลังพลที่ติดเชื้อและกักตัวผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เป็นต้น

ส่วนการดูแลประชาชน เพื่อลดผลกระทบและบรรเทาความเดือดร้อน ยังคงเดินหน้านโยบาย อาทิ Army Delivery, ช่วยเหลือเกษตรกร, อุดหนุนผลผลิตทางการเกษตร, แจกจ่ายหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ พร้อมลงพื้นที่สร้างความรับรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติตน การสังเกตและเฝ้าระวังอาการผิดปกติ รวมถึงหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด COVID-19 จากแนวโน้มของการแพร่ระบาดที่สูงขึ้นนี้

กองทัพบกได้ติดตามและเตรียมความพร้อมในศักยภาพทั้งบุคลากรสิ่งอุปกรณ์และความร่วมมือ พร้อมให้การสนับสนุนทุกภาคส่วนขับเคลื่อนให้มาตรการป้องกันและการรักษาพยาบาลของภาครัฐ สามารถรองรับและดูแลประชาชนได้อย่างดีที่สุด

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวอีกว่า กองทัพบกได้เตรียมการสนับสนุนเกี่ยวกับโรงพยาบาลสนาม มาอย่างต่อเนื่อง โดยกองทัพบกได้ใช้อาคาร สถานที่ในหน่วยทหาร และสิ่งอุปกรณ์ที่มีอยู่ดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในขั้นต้นแล้ว จำนวน 19 แห่ง รองรับผู้ติดเชื้อได้ 3,050 เตียง ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลสนามของกองทัพได้เปิดดำเนินการแล้ว 7 แห่ง โดยมอบให้ กระทรวงสาธารณสุข เข้าบริหารจัดการแล้ว 3 แห่ง


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ผู้ว่าฯ ปทุมธานีงัดยาแรง ประกาศสั่งปิดสถานที่เสี่ยง พร้อมขอความร่วมมืองดออกจากบ้าน 3 ทุ่ม-ตี 4 บังคับประชาชนก่อนออกจากบ้านต้องสวมหน้ากาก ฝ่าฝืนปรับ 2 หมื่นบาท

นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัดปทุมธานี ผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จังหวัดปทุมธานี ออกคำสั่งปิดสถานที่ชั่วคราวและกำหนดมาตรการควบคุมป้องกันโรคเพิ่มเติม ป้องกันการเเพร่ระบาดโควิด-19 โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.) การปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคดังต่อไปนี้ เป็นการชั่วคราว

(1) สนามชนโค สนามชนไก่ สถานที่ซ้อมประลองไก่ สนามกัดปลา รวมทั้งสนามซ้อมหรือสนามประกวด แข่งขัน ฝึกซ้อมสัตว์ หรือกิจกรรมอื่นในทำนองเดียวกัน

(2) สถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานประกอบกิจการอาบน้ำ สถานประกอบกิจการอาบอบนวด หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน

(3) สถานที่เล่นตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม สวนน้ำและสวนสนุก ทั้งในและนอก ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน

(4) ศูนย์พระเครื่อง พระบูชา และสนามพระเครื่อง พระบูชา

(5) สระว่ายน้ำสาธารณะ รวมถึงสระว่ายน้ำของหมู่บ้านหรืออาคารชุดพักอาศัย

 

2.) การห้ามการดำเนินการหรือจัดกิจกรรมหรือที่เสี่ยงต่อการแพร่โรค

(1) ห้ามการใช้อาคารหรือสถานที่ของโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ทุกประเภทเพื่อการจัดการเรียนการสอน การสอบ การฝึกอบรม หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ที่มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ทำให้เสี่ยงต่อการแพร่โรค เว้นแต่การใช้เป็นที่เอกเทศตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ หรือการใช้เป็นสถานที่เพื่อให้ความช่วยเหลืออุปการะ หรือการใช้สถานที่ตามข้อยกเว้นที่กำหนดไว้ในข้อ 1 ของข้อกำหนด (ฉบับที่ 16) ลงวันที่ 3 มกราคม พ.ศ.2564 ดังนี้

ก. เป็นการเรียนการสอนหรือกิจกรรมเพื่อการสื่อสารแบบทางไกลหรือด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์

ข. เป็นการใช้อาคารหรือสถานที่เพื่อให้ความช่วยเหลือ สงเคราะห์ อุปถัมภ์ หรือให้การอุปการะแก่บุคคล

ค. เป็นการจัดกิจกรรมของทางราชการหรือกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด

(2) ห้ามการจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 10 คน เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือจัดกิจกรรมในพื้นที่ ที่กำหนดให้เป็นสถานที่กักกันโรค โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด

 

3.) มาตรการควบคุมแบบบูรณาการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุด กำหนดมาตรการควบคุม ที่จำเป็นอย่างเร่งด่วน สำหรับสถานที่ กิจการ หรือกิจกรรม เพื่อให้สามารถเปิดดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบและระเบียบ รวมทั้งมาตรการป้องกันโรคที่ทางราซการกำหนด ดังนี้

(1) การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ให้บริโภคอาหารและเครื่องดื่มในร้านได้ไม่เกินเวลา 21.00 น. และให้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มได้จนถึงเวลา 23.00 น. ในลักษณะของการนำไปบริโภคที่อื่น

(2) ห้ามการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้านอาหารหรือสถานที่จำหน่ายสุราตลอดเวลา

(3) ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ หรือสถานประกอบการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้น ๆ จนถึงเวลา 21.00น. โดยให้จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ และงดเว้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย

(4) ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่นั้น ๆ แต่ไม่เกินเวลา 23.00 น. สำหรับร้านหรือสถานที่ซึ่งตามปกติเปิดให้บริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ให้เริ่มเปิดดำเนินการได้ในเวลา 04.00 น.

(5.) ตลาดนัดกลางคืน ตลาดโต้รุ่ง ถนนคนเดิน ให้เปิดดำเนินการได้ตามเวลาปกติของสถานที่ นั้น ๆ แต่ไม่เกินเวลา 21.00 น.

(6.) สนามกีฬาหรือสถานที่เพื่อการออกกำลังกาย ยิม ฟิตเนส สามารถเปิดให้บริการได้ไม่เกินเวลา 21.00 น.และสามารถจัดการแข่งขันกีฬาได้โดยไม่มีผู้ชมในสนาม ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการ ดังกล่าว ให้เปิดดำเนินการได้โดยจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการ และงดการเล่นแบบรวมกลุ่ม การอบตัวหรืออบไอน้ำแบบรวม

 

4.) กำหนดมาตรการควบคุมป้องกันโรคเพิ่มเติม

(1) ให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีทุกคน ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าอย่างถูกวิธีทุกครั้งก่อนออกจากเคหสถานหรือสถานที่ทำงาน หรือเดินทางไปในสถานที่สาธารณะ หรือสถานที่ใด ๆ สำหรับบุคคลซึ่งอยู่ในร้านค้า ร้านอาหาร ตลาด สถานที่ทำงาน หรือสถานที่ใด ๆ ที่ต้องติดต่อกับบุคคลอื่น หรืออยู่รวมกันของคนหมู่มาก ต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าด้วยทุกครั้ง ตลอดเวลาผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

(2) ให้ประชาชนงดการรวมกลุ่มดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทุกสถานที่ เว้นแต่การดื่มของสมาชิกภายในครอบครัวภายในที่พักอาศัยเท่านั้น

 

5.) การขอความร่วมมือประชาชน ภาครัฐและภาคเอกชน ดังนี้

(1) งดออกนอกเคหสถานหรือที่พำนักภายหลังเวลา 21.00-04.00 น.ของวันถัดไป เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้

(2) จัดให้มีการดำเนินการรูปแบบปฏิบัติงานของบุคลากรในความรับผิดชอบโดยอาจเป็นการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) การสลับวันทำงาน หรือวิธีการอื่นใดที่เหมาะสมเพื่อลดโอกาสเสี่ยงจากการติดเชื้อ หรืองดการรับประทานร่วมกันเป็นหมู่คณะ ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมีความผิดตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีความผิดตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือ ปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจมีความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องในบรรดาประกาศและคำสั่งที่ได้ออกไว้ก่อนหน้านี้ให้มีผลบังคับใช้ได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำสั่ง ฉบับนี้

อนึ่ง เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงแก่สาธารณชนหรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ จึงไม่อาจให้คู่กรณีใช้สิทธิโต้แย้ง ตามมาตรา 30 วรรคสอง (1) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป

 

ที่มา: https://www.naewna.com/local/568592


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รองโฆษก ทบ.เผย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ ทรงมีรับสั่งให้นำนักเรียนนายร้อยจิตอาสาที่ร่างกายพร้อมบริจาคเลือดเพื่อเป็นโลหิตสำรองช่วงโควิดระบาด

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบถึงการสำรองโลหิตของสภากาชาดไทย ที่มีความจำเป็นต่อการรักษาพยาบาล ในการนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงมีรับสั่งให้ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า นำนักเรียนนายร้อย จิตอาสาที่ร่างกายมีความพร้อม เข้าบริจาคโลหิต เพื่อเป็นโลหิตสำรองให้สภากาชาดไทย สามารถนำไปใช้ในการรักษาผู้ที่มีความจำเป็น เป็นกรณีเร่งด่วนต่อไป

โดยหน่วยบริการเคลื่อนที่ภาคบริการโลหิตฯ 2 สภากาชาดไทย ได้เดินทางมารับบริจาคโลหิต ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จ.นครนายก โดยมีนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 1 จำนวน 206 นาย เข้าร่วมบริจาคโลหิต และได้ปริมาณโลหิตจำนวน 70,200 ซีซี สำรองให้สภากาชาดไทย นำไปมอบให้สถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อการรักษาผู้เจ็บป่วยต่อไป

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กองทัพบก ได้มอบหมายให้ หน่วยทหารนำกำลังพลจิตอาสาและครอบครัวที่มีความพร้อม เข้าร่วมบริจาคโลหิตกับศูนย์รับบริจาคโลหิตสภากาชาดไทยในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัด ตามโครงการ “ทบ.บริจาคโลหิต จิตอาสาเพื่อชาติ” ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 34,023 นาย โดยมีการประสานการบริจาคโลหิตกับสถานพยาบาลในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดทำรายชื่อและวงรอบในการบริจาค ได้ปริมาณโลหิตเป็นคลังสำรองแล้วรวม 13,237,790 มิลลิลิตร ถือเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนอีกทางหนึ่ง

"สำหรับในสัปดาห์หน้าระหว่าง 29 เมษายน-3 พฤษภาคม 64 กองทัพบกโดยโรงเรียนนายสิบทหารบก จะนำนักเรียนนายสิบทหารบกและกำลังพลจิตอาสา จำนวน 470 นาย ร่วมบริจาคโลหิต โดยมี สถานีกาชาดหัวหิน เฉลิมพระเกียรติ มารับบริจาค ณ โรงเรียนนายสิบทหารบก จ.ประจวบคีรีขันธ์"

 

ที่มา: https://www.posttoday.com/social/general/651240


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

‘พรรคกล้า’ เสนอ รัฐบาล เสริมความพร้อมให้อาสากู้ภัย จัดชุดป้องกัน-วัคซีนเพิ่ม ปลดล็อคปัญหาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด

นายธันวา ไกรฤกษ์ โฆษกพรรคกล้า เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดสรรชุดป้องกัน (PPE) และวัคซีน ให้อาสากู้ภัยที่สนใจจะเข้าร่วม ซึ่งปัจจุบันมูลนิธิต่าง ๆ ได้รับชุดและโควตาฉีดวัคซีนน้อยมาก ทั้งที่เป็นบุคลากรด่านหน้าที่ช่วยขนย้ายผู้ป่วยนำไปส่งโรงพยาบาล จึงไม่สามารถปฏิบัติงานตามศักยภาพที่มีอยู่ได้

โฆษกพรรคกล้าย้ำว่า กลุ่มอาสากู้ภัย เป็นหนึ่งในกลุ่มมีความพร้อมมากที่สุด ที่จะช่วยรัฐบาล แก้ปัญหาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทุกจังหวัด ทุกเขต รวมแล้วกว่าสองแสนคน พร้อมด้วยรถอีกกว่าหลายพันคัน ทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเคลื่อนย้ายคนเจ็บคนป่วยอยู่แล้วด้วย หากคนกลุ่มนี้ได้รับชุดป้องกันรวมถึงวัคซีนอย่างทั่วถึง เชื่อว่าการขนย้ายผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และไม่เกิดกรณีต้องรออยู่ที่บ้านจนอาการทรุดหนักตามที่ปรากฏเป็นข่าว

"หากดูจากสถิติผู้ติดเชื้อที่นับวันยิ่งพุ่งสูงแบบก้าวกระโดด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐต้องเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หากยังปล่อยให้ผู้ติดเชื้อเดินทางด้วยรถสาธารณะ จะยิ่งเร่งอัตราการแพร่เชื้อให้ลุกลามมากขึ้นไปอีก และทำให้มาตราการอื่น ๆ ที่รัฐบาลวางไว้ไม่บรรลุผลไปด้วย ลองนึกภาพแท็กซี่รับผู้ติดเชื้อหนึ่งรายไปส่งโรงพยาบาล และหากแท็กซี่คันดังกล่าวติดเชื้อ แล้วไปรับผู้โดยสารอีกยี่สิบราย เราคงไม่มีทางควบคุมการระบาดได้ในเร็ว ๆ นี้แน่นอน" นายธันวากล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ประกาศยกเลิก และระงับการออกหนังสือรับรอง สำหรับผู้ที่ไม่ใช่คนไทย ซึ่งจะเดินทางจากอินเดียเข้าไทย ตั้งแต่ 1 พ.ค.64 เป็นต้นไป

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในอินเดีย ซึ่งพบผู้ป่วยติดเชื้อรายวันมากกว่า 3.5 แสนคน และมีกระแสข่าวการเช่าเหมาลำของคนอินเดียไปประเทศอื่น ตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้

ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2564 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Royal Thai Embassy, New Delhi ประกาศยกเลิกและระงับการออก COE (Certificate of Entry หรือ หนังสือรับรองการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย) สําหรับ Non-Thai Nationals ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2021 ระบุว่า

เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (CCSA) จึงได้มีข้อจํากัดสําหรับชาวไทยที่ประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศไทยในเที่ยวบินถัดไปดังนี้ :

1.) COE ทั้งหมดที่ได้ออกให้ไม่ใช่คนไทยเข้าไทยจากอินเดียโดยวันที่ถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2021 จะถูกยกเลิก

2.) การประกาศ COEs สําหรับชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวไทยที่จะเดินทางมาถึงประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2021 เป็นต้นไปจะถูกระงับจนกว่าจะมีการแจ้งต่อไป

ดังนั้นสถานเอกอัครราชทูตฯจะไม่รองรับผู้โดยสารที่ไม่ใช่คนไทยในเที่ยวบินวันที่ 1, 15 และ 22 พฤษภาคม 2021

 

ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2267771793355122&id=659731067492544


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

'สหรัฐฯ' เดินหน้าฉีดวัคซีนจอห์นสันต่อ​ แม้มีผลข้างเคียง ยัน!! ยอมรับความเสี่ยงได้ เช่นเดียวกับวัคซีนอื่นทั่วโลก

หลังจากที่ กรมควบคุมโรคระบาด และองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกคำสั่งระงับวัคซีน Covid-19 จากบริษัท Johnson & Johnson ชั่วคราว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2021​ เพราะพบเคสผู้รับวัคซีนเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน 15 ราย และเสียชีวิต 1 ราย เมื่อได้รับวัคซีนไปแล้ว ตั้งแต่ 2 วัน ถึง 1 สัปดาห์

แต่เมื่อมีการตรวจสอบวัคซีนว่ามีความเชื่อมโยงกับอาการลิ่มเลือดอุดตัน และประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียดแล้ว ก็กลับมาอนุมัติให้ฉีดวัคซีน J&J ได้อีกครั้ง หลังจากที่ระงับไปนานถึง 10 วัน

ถึงกระนั้น​ ก็จะมีการแจ้งคำเตือนให้กับผู้รับวัคซีนว่าอาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ ซึ่งทางหน่วยงานสาธารณสุขของสหรัฐย้ำว่า มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันน้อยมาก ๆ หากดูจากตัวเลขการฉีดวัคซีนเฉพาะของ J&J ไปแล้วถึง 15 ล้านโดส แต่พบผู้ที่มีอาการลิ่มเลือดอุดตัน เพียง 15 ราย

การตัดสินใจครั้งนี้มาจากการโหวตของคณะกรรมการภายในหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐ ที่มองว่าการเดินหน้าฉีดวัคซีนมีความจำเป็นมากที่สุดในขณะนี้ เมื่อเทียบกับอาการข้างเคียงจากวัคซีนที่พบ​ นับว่าเกิดได้น้อยมาก

ส่วนการเกิดลิ่มเลือดอุดตันอย่างรุนแรงพบเฉพาะกลุ่มผู้หญิง อายุระหว่าง 18-49 ปี โดย ดร.อาชิห์ จาห์ คณบดี คณะสาธารณสุขศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยบราวน์ ได้แนะนำว่าควรหยุดการใช้วัคซีน J&J เฉพาะกลุ่มนี้ แล้วฉีดให้กลุ่มอื่นๆ แทนที่จะระงับการใช้วัคซีนทั้งหมดไปเลย

เพราะการสั่งระงับการฉีดวัคซีนแบบไม่มีกำหนด จะมีผลต่อคิวที่นัดไว้ของผู้ที่จะเข้ารับวัคซีน แม้ว่าจะไม่ได้ใช้วัคซีนของ J&J ก็ตาม ที่จะทำให้โครงการวัคซีนล่าช้าออกไปโดยไม่จำเป็น

และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในวัคซีนของประชาชน จนหลายคนเปลี่ยนใจไม่ยอมไปฉีดวัคซีนก็มีไม่น้อย

ล่าสุดจากการสำรวจของ สื่อ YouGov/Economist พบว่าข่าวการระงับการใช้วัคซีนของ J&J มีผลต่อความเชื่อมั่นของชาวอเมริกันอย่างชัดเจน ก่อนหน้าที่จะมีข่าว ชาวอเมริกันส่วนใหญ่กว่า 52% เชื่อมั่นถึงประสิทธิภาพของวัคซีนของ J&J แต่หลังจากที่มีคำสั่งให้ระงับวัคซีน ความเชื่อมั่นลดลงเหลือเพียง 37% ส่วนผลสำรวจของสำนักข่าว Axios-Ipsos พบว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะระงับโปรแกรมฉีดวัคซีนของ J&J

เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงอย่างมากในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของสหรัฐว่าคำสั่งเดี๋ยวฉีด เดี๋ยวหยุด เมื่อพบผู้ที่มีอาการข้างเคียงเพียง 6 รายหลังจากที่ฉีดไปแล้วนับล้านโดส อาจสร้างผลเสียต่อโครงการวัคซีนในเรื่องความเชื่อมั่น มากกว่าข้อดีที่ได้จากการฉีดวัคซีนให้ครบตามเป้าหมาย

และมีการหยิบยกกรณีศึกษาของ AstraZeneca ที่พบอาการลิ่มเลือดอุดตันเช่นเดียวกันในยุโรป ที่ทำให้รัฐบาลหลายประเทศในยุโรปลังเล และบางประเทศมีคำสั่งให้ระงับการใช้วัคซีนไป

โดยมีการยกตัวอย่างเปรียบเทียบผลสำรวจจากประเทศที่ใช้วัคซีน AstraZeneca ไปแล้วอย่าง อังกฤษ และ เยอรมัน และมีการระงับใช้เพราะพบเคสที่เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันเหมือนกัน

ในขณะที่รัฐบาลอังกฤษยังคนเดินหน้าโครงการวัคซีน AstraZeneca ต่อเนื่อง แต่ระงับเฉพาะกลุ่มผู้รับวัคซีนที่มีรายงานว่าเกิดผลข้างเคียง ส่วนเยอรมันสั่งระงับการใช้วัคซีนทั้งหมดเป็นการชั่วคราว ก่อนจะตัดสินใจให้กลับมาใช้ได้อีกครั้งหลังวันที่ 4 มีนาคม ก็พบว่าชาวอังกฤษมีค่าความเชื่อมั่นในวัคซีน AstraZeneca สูงถึง 72% สูงกว่าเยอรมันที่มีคะแนนความเชื่อมั่นที่ 68%

พอรัฐบาลเยอรมันได้มีคำสั่งให้ระงับการใช้วัคซีน AstraZeneca ชั่วคราวยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นลดลงมาก แม้จะให้กลับมาฉีดวัคซีนได้อีกครั้ง ก็ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาได้ดังเดิม

แต่สิ่งที่น่ากังวลสำหรับ AstraZeneca คือ จำเป็นต้องฉีด 2 เข็ม ทำให้ "ความเชื่อมั่น" ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเริ่มสั่นคลอน​ เพราะมีหลายเคสที่ขอเลื่อนการฉีดวัคซีนเข็มที่สองออกไป หลังจากมีการระงับการฉีดวัคซีน และมีหลายคนที่ไม่ยอมมาฉีดต่ออีกเลย

เมื่อการสร้างภูมิคุ้มกันไม่สมบูรณ์ ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้เชื้อ COVID-19 ยังคงแพร่กระจายต่อ ไม่ยอมหยุดง่าย ๆ

หลายฝ่ายจึงลงความเห็นว่า เมื่อมีการเดินหน้าโครงการวัคซีนแล้ว ควรทำอย่างต่อเนื่อง หากพบอาการข้างเคียงก็ควรพิจารณาเป็นรายเคส หรือเฉพาะกลุ่มที่พบอาการจะดีกว่า ส่วนทางรัฐบาลต้องมีการบริหารจัดการข้อมูลที่ดี สร้างความเข้าใจ และเชื่อมั่นให้กับประชาชน ให้ตระหนัก แต่อย่าตระหนก และสนับสนุนให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนตามโปรแกรม จะเป็นผลดีที่สุด

 

อ้างอิง:

https://abcnews.go.com/Politics/cdc-advisory-panel-jj-vaccine-resume/story?id=77254140

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/jj-covid-19-vaccine-pause-reviewed-us-officials-hope-resume-shots-2021-04-23/

https://time.com/5956221/johnson-covid-19-trust-europe/?utm_campaign=editorial&utm_source=line_app&utm_medium=social&ldtag_cl=m_loKVwRSTCgRA_BLJmpKwAA_oa

https://www.npr.org/sections/coronavirus-live-updates/2021/04/23/990001856/whats-next-for-the-j-j-vaccine-u-s-health-authorities-discuss-resuming-shots


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ผช.โฆษกทร. เผย มูลนิธิสมเด็จพระปิ่นเกล้า ขอเชิญร่วมบริจาคสมทบทุนเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ “เพื่อผู้ป่วยไวรัสโควิด-19”

นางสาว ปรียาดา บัวสมบุญ (หมอพลอย) ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า มูลนิธิสมเด็จพระปิ่นเกล้า โดย โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ ได้เร่งเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการรักษาผู้ป่วยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน 
      
"ตั้งแต่เริ่มมีการระบาด บุคลากรทางการแพทย์ ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และได้อุทิศตนทำงานอย่างหนักเพื่อฝ่าภาวะวิกฤตในครั้งนี้ นอกจากนี้เรายังคงต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพเป็นจำนวนมาก จึงขอเชิญชวนทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาชนร่วมบริจาคสมทบทุนเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์เพื่อผู้ป่วยไวรัสโควิด-19" 
    
ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือกล่าวต่อไปว่า เงินที่ได้รับจากการบริจาค จะนำไปจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ ได้แก่ 

1.) Hi flow oxygen ผู้ใหญ่ จำนวน 10 เครื่อง
2.) เครื่อง end tidal co2 จำนวน 4 เครื่อง 
3.) สาย collugate ของ hi flow จำนวน 100 ชุด

โดยอุปกรณ์ดังที่กล่าวมาข้างต้นเป็นสิ่งที่ทางโรงพยาบาลต้องการเป็นการเร่งด่วน ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ตามรายการที่แจ้งไว้ หรือบริจาคเงินผ่านมูลนิธิสมเด็จพระปิ่นเกล้า “เพื่อผู้ป่วยไวรัสโควิด-19”   ทั้งนี้สามารถร่วมบริจาคได้ที่ ศูนย์รับบริจาค โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ 02 475 2576 และ 06 3442 2614 หรือบริจาคผ่านบัญชีธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อบัญชี “มูลนิธิสมเด็จพระปิ่นเกล้า” เลขที่บัญชี 040-2-00002-0 มูลนิธิสมเด็จพระปิ่นเกล้า โดย โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้กับแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกท่านด้วยดีตลอดมา

อเมริกัน แอร์ไลน์ กรุ๊ป อิงค์ เปิดเผยยอดขาดทุนสุทธิ 1.3 พ้นล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมีรายได้อยู่ที่ 4 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 53% เมื่อเทียบรายปี และความสามารถในการบรรทุกผู้โดยสาร (available seat miles - ASMs) ทั้งหมด ลดลง 39% เมื่อเทียบรายปี

รายงานระบุว่า ณ สิ้นไตรมาสแรก อเมริกัน แอร์ไลน์มีสภาพคล่องทั้งสิ้นอยู่ที่ราว 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์ และทางสายการบินคาดว่า ในไตรมาส 2 จะมีสภาพคล่องทั้งสิ้นราว 1.95 หมื่นล้านดอลลาร์

เมื่อประเมินจากแนวโน้มปัจจุบัน อเมริกัน แอร์ไลน์คาดว่า ความสามารถในการบรรทุกผู้โดยสารในไตรมาส 2 จะลดลง 20-25% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2562 ขณะที่รายได้รวมจะลดลงราว 40% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2562

นายดั๊ก พาร์กเกอร์ ประธานกรรมการบริหารของอเมริกัน แอร์ไลน์กล่าวว่า “หากมองไปข้างหน้าโดยประเมินจากสถานการณ์ในช่วงไตรมาสแรก เราจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของอุปสงค์ ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นว่า การเพิ่มเครือข่าย การพัฒนาบริการที่มุ่งเน้นความต้องการของลูกค้า และมาตรการที่มีประสิทธิภาพซึ่งเรานำมาปฏิบัตินั้น จะเป็นสิ่งที่สร้างหลักประกันว่า อเมริกัน แอร์ไลน์ จะฟื้นตัวขึ้นอย่างแน่นอน”

ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2021/80430


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top