Sunday, 27 April 2025
NEWS FEED

“อุทาหรณ์” หมายถึง “สิ่ง หรือเรื่องราวที่ยกขึ้นมาอ้าง หรือเทียบเคียงให้เห็นเป็นตัวอย่าง”

(19 ก.พ. 68) อ.ไชยันต์ โพสต์เฟซบุ๊ก ยกเป็น อุทาหรณ์ บุคคลที่ใส่ร้ายคนอื่นด้วยข้อมูลเท็จ หลัง 2 นักวิชาการ ‘ชัยพงษ์ สำเนียง’ และ ‘รศ.ดร.กุลดา เกษบุญชู’ ใส่ความด้วยเรื่องไม่จริง จนต้องออกมาโพสต์ข้อความขอโทษ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมงานแถลงข่าวการประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ

(19 ก.พ. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และประธานอนุกรรมการบริหารกองทุน ดร.อุเทน เตชะไพบูลย์ พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการมูลนิธิฯ นางสาวพิมพ์ณภัท สุนทรฐิติวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรมูลนิธิฯ และคณะมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ร่วมงานแถลงข่าวการประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ กองทุน ดร.อุเทน เตชะไพบูลย์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผู้ว่าราชการจังหวัด และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยมี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และเครือข่ายสถานศึกษาต่าง ๆ ร่วมพิธี  ณ ห้องประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ

การประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา วันที่ 2 เมษายน 2568 และเพื่อกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน และประชาชน เห็นคุณค่าความสำคัญของอัตลักษณ์ไทยในเรื่องมารยาทไทย มารยาทในสังคม และสามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี นับเป็นจุดเริ่มต้นขวบปีแรกที่กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดการประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคมขึ้น เพื่อรณรงค์ สร้างกระแสและความตระหนักในการสืบสานและสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านมารยาทไทย

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
#สายด่วนและแอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน ชี้แจงคนยิวเที่ยวปายเพียง 2,000-3,000 คน/เดือน มาแล้วกลับ ส่วนยอด 30,000 คนสะสมทั้งปี

(19 ก.พ. 68) ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนออกมายืนยันว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่เดินทางมาเยือนอำเภอปาย อยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 คนต่อเดือน โดยนักท่องเที่ยวเหล่านี้มาท่องเที่ยวและเดินทางกลับประเทศหลังจากพักผ่อน ส่วนยอด 30,000 คนที่ถูกกล่าวถึงเป็นยอดสะสมตลอดทั้งปี ไม่ใช่จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาในช่วงเวลาเดียวกัน

นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในพื้นที่ปายว่า ข้อเท็จจริงคืออำเภอปายมีประชากรประมาณ 38,000 คน ซึ่งนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรเป็นกลุ่มที่มาเยือนมากที่สุด ส่วนชาวอิสราเอลนั้นมาเป็นอันดับที่สอง จำนวนประมาณ 2,000-3,000 คนต่อเดือน

ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังชี้แจงว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้ดำเนินการตรวจสอบและกวดขันการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีที่พบว่ามีนักท่องเที่ยวบางรายแย่งอาชีพคนไทย เช่น การเล่นดนตรีในพื้นที่ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด รวมถึงกรณีที่มีพฤติกรรมรุนแรง ซึ่งได้มีการเพิกถอนวีซ่าและผลักดันนักท่องเที่ยวเหล่านั้นออกนอกประเทศไปแล้ว

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังกล่าวถึงการมีมาตรการตรวจสอบการเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการแย่งอาชีพคนไทยและการกระทำความผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งหน่วยงานความมั่นคง, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจภูธรได้ดำเนินการตามมาตรฐานและตามขั้นตอนทุกเรื่องอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ด้วยอากาศดีและธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการพักผ่อน ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งที่เดินทางมาแล้วกลับไปและมาใหม่อีกครั้ง รวมถึงบางคนที่ติดใจและเข้ามาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งนี้มีส่วนช่วยในการสร้างรายได้ให้กับชุมชน อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบการเข้า-ออกตามกฎหมายยังคงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าการท่องเที่ยวในพื้นที่เป็นไปอย่างถูกต้องและไม่เกิดปัญหาขึ้น

'สมศักดิ์' มอบ 7 นโยบายขับเคลื่อน Medical & Wellness Hub พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วม 4 คณะแพทย์วิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ATMPs

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบ 7 นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub จ่อตั้งสำนักงานดูแลโดยเฉพาะ ยกระดับหมอนวดไทยให้เชี่ยวชาญพิศษ 7 กลุ่มอาการ รวมทั้ง 'สมุนไพร-ยา-อาหาร' ของไทย รุกส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ยกระดับมาตรฐานเสริมความงาม อุ้มบุญ ผ่าตัดแปลงเพศกลุ่มต่างชาติ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง หรือ ATMPs พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วม 4 คณะแพทย์ส่งเสริมวิจัยและพัฒนาเพิ่มการเข้าถึงยา ATMPs ของประชาชน

(19 ก.พ.68) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub โดยได้มอบนโยบายต่อผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และการประกาศเจตนารมณ์เรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medical Products, ATMPs) ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.)

นายสมศักดิ์กล่าวว่า การเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจและสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงสาธารณสุขปี 2568 เพื่อยกระดับให้เป็นกระทรวงด้านสังคมควบคู่เศรษฐกิจ โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจสุขภาพของประเทศ เพิ่มโอกาสสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนและประเทศ ผ่านการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านการแพทย์ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย ภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ นวดสปา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไปจนถึงเทคโนโลยีนวัตกรรมสุขภาพและชีวการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดต้องมีมาตรฐานและความปลอดภัย เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และบริการสุขภาพระดับโลก โดยจะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายดังกล่าวผ่าน 7 นโยบายสำคัญ คือ 1.การจัดตั้ง 'สำนักงานนโยบายและเศรษฐกิจสาธารณสุข (สนศส.)' เป็นหน่วยงานระดับกรม ทำหน้าที่วิเคราะห์ วิจัย และกำหนดนโยบายด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพและการคลังสุขภาพ เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้คุ้มค่า สนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย และสร้างระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและยั่งยืน

2.ยกระดับภูมิปัญญาไทย คือ นวดไทย โดยพัฒนาหมอนวดไทยให้เชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ คือ กลุ่มปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Office syndrome), โรคหัวไหล่ติด, โรคนิ้วล็อก, ภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (ปวดสลักเพชร), หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท, อัมพฤกษ์อัมพาต และกลุ่มระบบสืบพันธุ์ 3.ยกระดับสมุนไพรไทย/ยาไทย อาหารไทย ภายใต้แนวคิด "เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทย ก่อนไปหาหมอ" โดยผลักดันการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพ เพิ่มรายการยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติรวม 106 รายการ ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกเพื่อส่งเสริมให้แพทย์สั่งจ่ายยาสมุนไพร 32 รายการใน 10 กลุ่มอาการโรคที่พบบ่อยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย ร้อยละ 10 ส่งเสริมสมุนไพรไทยและอาหารไทยต่างๆ เช่น กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน ไพล ปลาส้ม/แหนมที่มีโพรไบโอติกส์-พรีไบโอติกส์ 4.ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพราว 1.42 ล้านล้านบาท โดยเน้นประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ เช่น สปา บ่อน้ำพุร้อน แหล่งน้ำแร่ จับคู่โรงแรมกับโรงพยาบาลในการให้บริการแพคเกจสุขภาพ พัฒนาระบบเอเยนซีขายแพคเกจสุขภาพ เพิ่มคลินิก Wellness การแพทย์และแพทย์ไทยในโรงแรม ซึ่งมีการนำร่องแล้วคือโมเดล Wellcation ของเขตสุขภาพที่ 5 และ Phuket Wellness Sandbox

5.ศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ โดยปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดราว 2 แสนล้านบาท เป็นการนำเข้า 9 หมื่นล้านบาทและส่งออก 1.18 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ไม่ซับซ้อน ได้แก่ วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น ถุงมือยางทางการแพทย์ หลอดสวน หลอดฉีดยา และกลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น เตียงผู้ป่วย เตียงตรวจ รถเข็นผู้ป่วย เบื้องต้นจะส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องมือแพทย์ฝีมือคนไทย เร่งรัดกระบวนการอนุมัติอนุญาตและทดสอบมาตรฐานเครื่องมือแพทย์เพื่อขึ้นทะเบียนให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ที่มีความซับซ้อน และใช้วิธีจับคู่ระหว่างผู้วิจัยและผู้ที่จะผลิตต่อ 6.ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง (ATMPs) ซึ่งทั่วโลกมีมูลค่าถึง 4.19 แสนล้านบาท คาดว่าปี 2573 จะเติบโตถึง 1.25 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลกำลังผลักดันศูนย์กลาง ATMPs ตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำด้านการแพทย์สมัยใหม่ในระดับโลก ภายในปี 2570 เนื่องจากเอกชนมีความสนใจและต้องการผลักดันอุตสาหกรรม และจะหาทางออกเพื่อลดข้อกังวลของสภาวิชาชีพในการใช้ผลิตภัณฑ์ ATMPs และ 7.การดูแลบุคคลและความงาม (Personal Care and Beauty) โดยจะขับเคลื่อน 4 เรื่อง คือ เวชศาสตร์ความงาม เน้นตรวจสอบแพทย์ต่างชาติที่เข้ามาประกอบเวชกรรมในไทย รวมถึงแพทย์เถื่อน คลินิกเถื่อน ยกระดับคลินิกความงามให้มีมาตรฐานระดับสากล เปิดหลักสูตรอบรมแพทย์เวชปฏิบัติความงามเป็นหลักสูตรกลางของประเทศ ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับหัตถการเสริมความงาม และพัฒนาระบบเอเยนซีให้สามารถโฆษณาเชิญชวนชาวต่างชาติมารับบริการได้, จิตเวชและพฤติกรรมบำบัดสำหรับชาวต่างชาติ, การอุ้มบุญและการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว การทำ ICSI และการผ่าตัดยืนยันเพศสภาพ ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ

"วันนี้หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ยังได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ทั้ง 4 สถาบัน ประกาศเจตนารมณ์เพื่อร่วมมือกันทางวิชาการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ATMPs ซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ยา" ที่ออกฤทธิ์เป็นยีน เซลล์ หรือเนื้อเยื่อ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยพัฒนาจำนวนมาก เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงของผู้ป่วย โดยปี 2568 มีเป้าหมายให้คนไทยและชาวต่างชาติสามารถเข้าถึงยา ATMPs ในไทยที่ได้มาตรฐานอย่างเหมาะสมผ่านกลไกการอนุญาตวิจัยในพื้นที่ทดลอง 5 แห่งในสังกัดกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ควบคู่ไปกับการจัดตั้งศูนย์บริการผลิตภัณฑ์ยา ATMPs แบบเบ็ดเสร็จ รวมถึงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” นายสมศักดิ์กล่าว 

จเรตำรวจแห่งชาติเปิดโครงการอบรมไซเบอร์ เพื่อต่อกรกับกลุ่มแก๊งอาชญากรรมในรูปแบบใหม่ 

(19 ก.พ.68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วานนี้ได้เป็นประธานโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เร่งรัดสำนวนคดีออนไลน์และสร้างมาตรฐานระบบการสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เพื่อทบทวนและเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในวิธีการใช้งานระบบริหารจัดการ สืบสวน สอบสวน ตรวจสอบวิเคราะห์รายละเอียดของคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โดยมีกำหนดการจัดโครงการดังกล่าว ระหว่างวันที่ 16-21 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โรงแรมมัสดีฟส์ บีช รีสอร์ท อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี 

ด้วยปัจจุบันเกิดปรากฏการณ์ New paradigm (กระบวนทัศน์) ทางอาชญากรรมขึ้นมาใหม่ เนื่องจากขณะนี้ คดีอาชญากรรมออนไลน์ , คดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นคดีรูปแบบใหม่ New Normal  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากรูปแบบเดิม ๆ เป็นรูปแบบการทำงานแบบใหม่ทั้งหมด เพราะคดีเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว คนร้ายสามารถใช้โทรศัพท์หลอกลวงคนเป็นร้อยล้านครั้งในเวลาอันสั้น เป็นการทำลายรูปแบบการทำงานแบบเดิมทั้งหมดในกระบวนการยุติธรรม ไม่เหมือนกับการวิ่งราวทรัพย์ หรือคดีพื้นฐานอื่น ๆ ซึ่งคดีรูปแบบใหม่นี้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วมาก ทำให้ต้องหาข้อมูลอย่างรวดเร็วจากธนาคารต่าง ๆ หรือการปิดกั้น ยับยั้ง ระงับข้อมูลในเชิง AI ต้องทำอย่างรวดเร็ว 

ดังนั้น จึงตัองมีการระดมความเห็นเพื่อหาวิธืการรับมือให้สอดคล้องกับรูปแบบอาชญากรรมรูปแบบใหม่ New paradigm ซึ่งขณะนี้ตำรวจและทางการไทยกำลังต่อกรกับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการตรวจสอบพบความเชื่อมโยงของคดีเป็นจำนวนมาก แต่คดีอาจจะเหลือน้อยลงเพราะเป็นคดีเรื่องเดียวกัน จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสามารถนำตัวคนร้ายมาลงโทษได้อย่างรวดเร็ว ในส่วนนี้จะดำเนินการเป็นไกด์ไลน์เพื่อสร้างวิธีการทำงานในรูปแบบใหม่ แล้วนำรูปแบบนี้ไปใช้กับตำรวจทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือแก้ไขปัญหาประชาชนได้ทั้งในเรื่องการจับกุมคนร้าย และในเรื่องของการติดตามทรัพย์สินกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม่ทัพภาค 2 เผยเคลียร์ใจเขมรแล้ว ย้ำต้องเลี่ยงขัดแย้งหลังเหตุทหารกัมพูชาบุกร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม

(18 ก.พ. 68) แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ไทยและกัมพูชาต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หลังเกิดเหตุคณะชาวกัมพูชาร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม ระบุว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันแล้ว แต่ขอให้เหตุการณ์เช่นนี้อย่าเกิดขึ้นอีก หวั่นกระทบความสัมพันธ์และเสถียรภาพตามแนวชายแดน

จากกรณีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ คณะสตรีชาวกัมพูชาจำนวน 25 คน ได้เดินทางมายังปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และร้องเพลงปลุกใจเป็นภาษากัมพูชาเพื่อให้กำลังใจทหารของตนที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ ทหารไทยที่เฝ้าพื้นที่ดังกล่าวจึงเข้าไปขอให้ยุติการกระทำดังกล่าว เพราะถือเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่เหมาะสมตามข้อตกลงของทั้งสองประเทศ ส่งผลให้เกิดการโต้เถียงระหว่างทหารของทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกเป็นคลิปวิดีโอและเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย นำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ล่าสุด 18 กุมภาพันธ์ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ให้สัมภาษณ์ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา โดยระบุว่า การขึ้นมากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปราสาทตาเมือนธมเป็นกิจกรรมที่ทางไทยอนุโลมให้ชาวกัมพูชาสามารถทำได้ในช่วงเวลา 09.00-15.00 น. ตามข้อตกลงร่วมกัน อย่างไรก็ตาม การร้องเพลงปลุกใจดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องเข้าระงับเหตุ

แม่ทัพภาคที่ 2 เผยว่าหลังเกิดเหตุการณ์ กองกำลังสุรนารีได้ทำหนังสือประท้วงไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา โดยเน้นย้ำว่าการกระทำดังกล่าวไม่สมควรเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย ด้านกัมพูชาเองก็ยอมรับว่าการกระทำดังกล่าวไม่เหมาะสม และได้มีการโทรศัพท์ขอโทษแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันดี แต่ไทยขอให้มั่นใจว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต

แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฝากถึงประชาชนไทยว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังคงเป็นไปในทางที่ดี ผู้นำทหารของทั้งสองฝ่ายพยายามพูดคุยและรักษาความสงบเรียบร้อยเสมอ พร้อมย้ำว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงหรืออาวุธต่อกัน เพราะจะส่งผลเสียต่อทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ความขัดแย้งอาจกระทบต่อการค้าขายตามแนวชายแดน ซึ่งประชาชนทั้งสองฝ่ายอาจได้รับผลกระทบโดยตรง

ท้ายที่สุด กองกำลังทหารของทั้งสองประเทศจะใช้ความอดทนอดกลั้น และเลือกใช้แนวทางการพูดคุยเจรจาเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน เพื่อให้ทั้งไทยและกัมพูชามีสันติสุขร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

ผู้บัญชาการทหารเรือตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง

(18 ก.พ. 68) พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมผู้บังคับบัญชา และกำลังพลหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การต้อนรับ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาส ตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง โดยได้เข้าตรวจเยี่ยมเพื่อ รับทราบการปฏิบัติงาน ตลอดจนอุปสรรค ข้อเสนอแนะของหน่วย เพื่อให้มีความพร้อม และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้กับกองทัพเรือ ณ กองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

โดย หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้จัดเตรียมแถวทหารกองเกียรติยศ ยุทโธปกรณ์ การนำเสนอภารกิจต่าง ๆ ของหน่วยที่ได้รับมอบหมาย และการสาธิตการช่วยเหลือคนในเขตเมืองของทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR) ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เพื่อแสดงถึงศักยภาพขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ 

#กองทัพเรือ
#เทิดทูนสถาบันป้องกันรัฐพัฒนาชาติราษฏร์ศรัทธา 
#MONARCHY_COUNTRY_GOVERNMENT_PEOPLE 
#หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
#จงรักภักดี_มีวินัย_พร้อมรับใช้ชาติ_ราชนาวี_และประชาชน
#ฝ่ายกิจการพลเรือนกองบัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง

ปราบพนันออนไลน์-คอลเซ็นเตอร์ไม่ยั้ง ทูตจีนแถลงขยายความร่วมมือยับยั้งอาชญากรรมข้ามชาติ

สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (18 ก.พ.68) ระบุว่า เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง ได้หารือเชิงลึกกับฝ่ายไทยเกี่ยวกับความร่วมมือในการปราบปรามการพนันออนไลน์และอาชญากรรมฉ้อโกง แถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของสถานทูตจีนระบุว่า

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเข้าพบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย และมีการติดต่อประสานงานกับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และหารือเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือในการปราบปรามการพนันออนไลน์และอาชญากรรมฉ้อโกงในเมืองเมียวดีและสถานที่อื่น ๆ รวมถึงการช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ติดอยู่ที่เมียวดี

เอกอัครราชทูตหานระบุว่า การเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรเมื่อไม่กี่วันก่อน ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ผู้นำทั้งสองประเทศแสดงความมุ่งมั่นในการปราบปรามการฉ้อโกง การพนันออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของทั้งสองประเทศดำเนินการอย่างรวดเร็วและบรรลุผลเบื้องต้น หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะให้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นในขั้นต่อไป และทำงานร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างกลไกความร่วมมือ เร่งดำเนินการ และขจัดอาชญากรรมข้ามพรมแดนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทรัพย์สินและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอย่างร้ายแรงให้หมดสิ้นไป

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขอบคุณฝ่ายจีนที่ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรอย่างอบอุ่น และกล่าวชื่นชมบทบาทสำคัญของการเยือนครั้งนี้ในการส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-จีนในทุก ๆ มิติ เน้นย้ำว่าไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกง และได้ดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพหลายประการ และยินดีที่จะเสริมสร้างความร่วมมือกับจีนต่อไปบนพื้นฐานของความร่วมมือที่ดีที่มีอยู่ และร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยสำหรับประชาชนของทุกประเทศในภูมิภาค”

ผบ.ตร.เยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจทุ่งลุง สงขลา เน้นย้ำประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ เข้าถึงประชาชนสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธา

(18 ก.พ. 68) พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า วานนี้ เวลา 16.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจ สภ.ทุ่งลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธเรศ แก้วละเอียด รอง ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.สาธิต พลพินิจ รอง ผบช ภ.9 และ พ.ต.อ.เอกชัย พราหมณกุล หน.อกส.ศปก.ตร.สน. โดยมี พ.ต.อ.วีระศักดิ์ เดชประมวลพล ผกก.สภ.ทุ่งลุง และข้าราชการตำรวจในสังกัด สภ.ทุ่งลุง ให้การต้อนรับ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำ สภ.ทุ่งลุง และมอบนโยบายการปฏิบัติราชการแก่กำลังพล เน้นย้ำปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมกำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม บำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้กับประชาชน และต้องปฏิบัติด้วยความถูกต้องรอบคอบ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด  อีกทั้งยังต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ทุกมิติของการปฏิบัติงาน รวมทั้งให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นดูแลทุกข์สุขและสวัสดิการของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี และเหมาะสม

พร้อมกันนี้ขอให้ตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชน ปรับปรุงการให้บริการ การอำนวยความสะดวกในหน้าที่ของตำรวจทุกด้าน พัฒนางานสถานีตำรวจ สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธา และขอให้สามัคคี ร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชนและสังคมโดยรวม

นอกจากนี้ ผู้บังคับการกองสารนิเทศ กล่าวว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญผู้ใต้บังคับบัญชาในหน่วยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อกำชับการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นขวัญกำลังใจแก่กำลังพล ตามนโยบายการบริหารราชการที่ให้ไว้ เน้นย้ำการเปลี่ยนแนวคิด (MINDSET) ปรับองค์กร เร่งปราบปรามอาชญากรรม เพิ่มขีดความสามารถสถานีตำรวจ ดูแลสวัสดิการตำรวจและครอบครัว สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับพี่น้องประชาชน

มหันตภัย...บุหรี่ไฟฟ้า #2 ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มีสารที่เป็นพิษ ส่งผลทำให้เสพติด และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

(18 ก.พ. 68) บทความ “E-cigarettes contain hazardous substances, addictive and harmful” โดย ดร. Jos Vandelaer ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศไทย ได้สรุปถึงพิษภัยของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เอาไว้ดังนี้

ข้อเท็จจริง 5 ประการของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’
1. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่ปลอดภัย! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ยังคงเป็นบุหรี่ แม้ว่า ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่มีส่วนผสมของยาสูบ แต่ยังมีนิโคตินและสารเคมี สารเติมแต่ง และสารปรุงแต่งรสต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นสารเคมีชนิดใดบ้าง และเราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า สารเคมีชนิดต่าง ๆ เหล่านั้น มีผลต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่ แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งกลับสูดดมเข้าไป ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อาจดูไม่เป็นอันตราย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เมื่อเราใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เราได้สูดดมไอระเหยที่มีพิษ เป็นไอระเหยที่มีอนุภาคและสารเคมีที่เข้าสู่ทางเดินหายใจที่เล็กที่สุด และร่างกายสามารถดูดซึมเข้าไปได้ สารเคมี สารเติมแต่ง และนิโคตินนั้นล้วนแต่เป็นพิษและเป็นอันตราย ไม่เพียงแต่สำหรับผู้สูบบุหรี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้อื่นด้วย เนื่องจากพวกเขาสามารถสูดดมไอระเหยได้เช่นกัน เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่มือสอง 

ตัวอย่าง : ในสหรัฐอเมริกา มีหลักฐานที่บันทึกไว้ว่าเกิดการระบาดของอาการป่วยที่ปอดและการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการสูบ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) ยืนยันกรณีการบาดเจ็บที่ปอดที่เกี่ยวข้องกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าหรือการใช้บุหรี่ไฟฟ้า (EVALI) จำนวน 2,807 กรณี และเสียชีวิตจากภาวะดังกล่าว 68 ราย

2. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มีนิโคติน นิโคตินเป็นสารหลักในบุหรี่ทั่วไปและ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ และเป็นสารที่เสพติดได้ง่าย ทำให้อยากสูบบุหรี่และทำให้มีอาการหงุดหงิดหากเพิกเฉยต่อความอยาก นิโคตินเป็นสารพิษ ซึ่งจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและร่างกายหลั่งอะดรีนาลีนทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหัวใจวาย การบริโภคนิโคตินในเด็กและวัยรุ่นมีผลกระทบสำคัญต่อการพัฒนาสมองและอาจนำไปสู่ความผิดปกติของการเรียนรู้และความวิตกกังวล อย่างไรก็ตาม เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะของอุตสาหกรรม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ การได้รับนิโคตินในหญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ได้เช่นเดียวกัน นิโคตินยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้อีกด้วย ดังนั้น นิโคตินจึงไม่เพียงแต่ทำให้เสพติดเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอีกด้วย และนิโคตินเป็นส่วนประกอบหลักของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’

3. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ทำให้เสพติดได้เช่นเดียวกับบุหรี่ยาสูบแบบดั้งเดิม เนื่องจากทั้ง ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ และบุหรี่ยาสูบต่างก็มีนิโคติน บุหรี่ทั้งสองชนิดจึงทำให้ผู้สูบเสพติดได้ ดังนั้น การใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เพื่อเลิกบุหรี่ยาสูบ จึงไม่ใช่ความคิดที่ดี เนื่องจากบุหรี่ทั้งสองชนิดมีสารเติมแต่งชนิดเดียวกัน คือ นิโคติน ผู้สูบบุหรี่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีในการรับสารที่มีพิษแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น และดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ จึงไม่ใช่ทางเลือกในการเลิกบุหรี่ยาสูบที่ปลอดภัย แคมเปญต่อต้านบุหรี่ประสบความสำเร็จค่อนข้างมากในการโน้มน้าวให้ผู้คนเลิกบุหรี่ แต่ปัจจุบัน ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มักได้รับการโฆษณาว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ "ลดความเสี่ยง" "ปลอดบุหรี่" และ "เป็นที่ยอมรับในสังคม" โดยใช้ความรู้สึกในลักษณะ "เท่" ทำการตลาด แต่ความเป็นจริงแล้ว ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่ได้ "เท่" แต่อย่างใด เพราะยังคงทำให้เสพติดได้ ไม่ดีต่อสุขภาพ และทำให้เกิดการสูบบุหรี่มือสอง ด้วยกลยุทธ์ส่งเสริมการขายเหล่านี้มีศักยภาพที่จะทำให้การสูบบุหรี่เป็นเรื่องปกติอีกครั้ง และกระตุ้นให้ผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินที่ทำให้เสพติดได้ในระยะยาว

4. คนรุ่นใหม่กำลังติด ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อุตสาหกรรม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ได้เปิดตัวแคมเปญการตลาดที่เข้มข้นมูลค่าหลายล้านเหรียญสหรัฐ โดยเน้นที่โซเชียลมีเดีย คอนเสิร์ต และงานกีฬาเป็นหลัก เพื่อกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาสูบบุหรี่ที่อันตราย โปรดอย่าลืมว่า ยาสูบคร่าชีวิตผู้คนไป 8 ล้านคนต่อปีทั่วโลก สื่อต่าง ๆ สามารถช่วยเปิดโปงกลวิธีเหล่านี้ได้ กลวิธีที่พยายามทำให้คนเข้าใจผิด โดยเฉพาะเยาวชน และพยายามโน้มน้าวพวกเขาว่า หากต้องการ “เท่” ก็ต้องสูบ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เช่นเดียวกับที่อุตสาหกรรมยาสูบทำเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน สื่อสามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้กับสาธารณชนเกี่ยวกับอันตรายของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ได้ จากการสำรวจสุขภาพนักเรียนในโรงเรียนทั่วโลกในประเทศไทย พบว่าการใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ในหมู่เด็กนักเรียนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จาก 3.3% ในปี 2015 เป็น 8.1% ในปี 2021 โดยเป็นในกลุ่มเด็กอายุ 13 - 15 ปี! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เป็นภัยคุกคามต่อความพยายามควบคุมยาสูบของประเทศไทย และสามารถพลิกกลับความสำเร็จที่ได้รับจากการควบคุมยาสูบมาหลายทศวรรษ ไม่เพียงแต่เด็กที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะติดนิโคตินเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าในอนาคตอีกด้วย

5. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ต้องได้รับการควบคุม ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าถูกห้ามจำหน่ายในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศไทย ในประเทศอื่นๆ บุหรี่ไฟฟ้าถูกควบคุมในฐานะสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์ยา ผลิตภัณฑ์ยาสูบ หรือสินค้าประเภทอื่นๆ หรือไม่ได้รับการควบคุมเลย ในขณะเดียวกัน สังคมไทยต้องติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการขายออนไลน์และช่องทางจำหน่ายอื่น ๆ และต้องเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อตอกย้ำว่า มีกฎหมายอยู่จริง การผ่อนปรนไม่ได้ช่วยให้การห้าม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไปได้ถึงไหน

องค์การอนามัยโลกสนับสนุนความพยายามของประเทศไทยในการห้ามนำเข้าหรือจำหน่าย ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อย่างแข็งขัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของประเทศไทยที่จะปกป้องประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะเยาวชนจากอันตรายของการใช้ยาสูบ ตลอดจนปฏิบัติตามพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก และองค์การอนามัยโลกยังคงมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความพยายามของประเทศไทยในการยับยั้งการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท และปกป้องคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตจากการใช้ยาสูบและโรคไม่ติดต่ออื่น ๆ

ร่วมเป็น 1 เสียง ปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมลงชื่อที่ https://shorturl.at/ADMRJ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top