Sunday, 27 April 2025
NEWS FEED

นราธิวาส-รองนายกฯ ควง ทักษิณ ทปษ.ประธานอาเซียน ลงพื้นที่ปลายด้ามขวาน ย้ำพัฒนา แก้ปัญหา ในมิติคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษา เพื่อความมั่นคงพื้นที่ในพื้นที่ และขอชาวไทยมุสลิม สู่รอมฎอนสร้างสันติ

(23 ก.พ. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี / ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พร้อมด้วย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน และพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายมิติ ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านศาสนา และด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส รวมถึงประชาชนมารอต้อนรับ ณ สนามบินนราธิวาส

การลงพื้นที่ครั้งนี้ คณะฯ ได้เปิดเวทีรับฟังข้อเสนอแนะจากภาคประชาชน ผู้นำศาสนา ข้าราชการ นักวิชาการ ภาคธุรกิจ และองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหา อุปสรรค รวมถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยจะนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลผลและผลักดันแนวทางการแก้ไขในระดับพื้นที่และระดับอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความร่วมมือกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาพื้นที่      รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยที่ปรึกษาประธานอาเซียน ถึงสนามบินนราธิวาสแล้วเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในมิติด้านความมั่นคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ 

รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยที่ปรึกษาประธานอาเซียน ถึงสนามบินนราธิวาสแล้วเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในมิติด้านความมั่นคง ด้านศาสนา ด้านการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ (เวลา 10.00 น.) พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พา ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี/ที่ปรึกษาประธานอาเซียน และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้ากราบนมัสการพระธรรมวัชรจริยาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา/ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 18 ณ วัดประชุมชลธารา (วัดสุไหงปาดี) ตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส โดยมีประชาชนในพื้นที่เดินทางมาต้อนรับ กว่า 2 พัน คน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพระภิกษุสงฆ์และพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทั้ง 13 อำเภอของจังหวัดนราธิวาส โดยก่อนการพบปะพูดคุยกับประชาชน คณะฯ ได้ร่วมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน อาทิ การแสดงรำหมอลำจากกลุ่มสตรีในพื้นที่ สะท้อนถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นและความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

ภายหลังการเยี่ยมเยียนและพบปะประชาชน ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ได้กล่าวถึงแนวทางในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และการร่วมมือกันแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เป็นภัยต่อสังคม โดยระบุว่า "ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ผมเห็นว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ควบคู่ไปกับการจัดการปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ ซึ่งหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาคือ การเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้หันหน้าเข้าหากัน พูดคุย และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขอย่างสันติ การสื่อสารและความร่วมมือคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ"

จากนั้น คณะฯ มีกำหนดการเดินทางไปยังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เพื่อพบปะผู้บริหารสถานศึกษาและหารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่เพื่อวางแนวทางพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนพร้อมทั้งรับประทานอาหารเที่ยง

รองนายกรัฐมนตรีนำคณะเยี่ยมโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส หารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่

ต่อมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พร้อมด้วย ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เพื่อพบปะผู้บริหารสถานศึกษาและหารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่เพื่อวางแนวทางพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนพร้อมทั้งรับประทานอาหารเที่ยง โดยมี ผู้บริหารโรงเรียน คณะครูอาจารย์ ตลอดจนนักเรียน และบัณฑิตอาสา ร่วมให้การต้อนรับ
โอกาสนี้คณะฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานนักเรียนและกิจกรรมแต่ละระดับชั้นที่ให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้พร้อมต่อยอดในการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น จากนั้นคณะได้เข้ารับฟังข้อเสนอแนะ ปัญหาอุปสรรคจากผู้แทนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ผู้นำศาสนา ข้าราชการ เพื่อเดินหน้าแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาในพื้นที่พร้อมกันนี้ผู้แทนสถานศึกษาได้ให้ข้อเสนอแนะในด้านการพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มค่าตอบแทนครู บุคลากรทางศึกษา ซึ่งครูถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาศักยภาพเด็กนักเรียน

ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวตอนหนึ่งว่า จังหวัดนราธิวาสมีหลายอย่าง ซึ่งควรที่จะได้รับการผลักดัน เลยลงมาดู เพื่อนำข้อมูลไปหารือกับ นายอันวา อิบรอฮิม นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย  และกลุ่มประเทศอาเซียน  เพื่อเตรียมที่จะนำของดีเหล่านี้กลับมาพัฒนาและส่งเสริมอีกรอบหนึ่ง “เด็กเปรียบเหมือนผ้าขาวขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมของผู้ใหญ่อยากให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาของพื้นที่ส่วนเรื่องการศึกษาคือหัวใจของการพัฒนาในปัจจุบัน  การสร้างแรงจูงใจให้เด็กคือสิ่งที่เราต้องทำผมอยากเห็นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีศักยภาพสูงในด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ และได้รับการพัฒนาในทุกด้าน”

สำหรับอยากโรงเรียนสัมพันธ์วิทยาเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควบคู่สามัญ มีนักเรียนทั้ง 3 ระดับ ระดับอนุบาล ระดับประถามศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งสิ้น 2,020 คน มีบุคลากรทั้งหมด 150 คน เป็นโรงเรียนที่มุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพเพื่อให้เยาวชนเป็นคนดี คนเก่ง กล้าคิด กล้าแสดงออกและเป็นการเรียนรู้ที่พร้อมปลูกฝังด้านคุณธรรมจริยธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของอิสลามและมีความเจริญก้าวหน้าทันต่อยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะโรงเรียนเชื่อมั่นว่าการศึกษาเท่านั้นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนให้มีอนาคตที่ดี เพื่อไปพัฒนาตนเองและประเทศชาติให้มีความเจริญยิ่งขึ้นต่อไป

ทักษิณลงปัตตานีหารือผู้นำศาสนาหาแนวทางใหม่ดับไฟใต้  นิรโทษกรรม VS คืนศักดิ์ศรี หรือแก้มาตรา 21 พ.ร.บ.ความมั่นคง

วันเดียวกัน 13.30 น. ที่ร.ร.สายบุรีอิสลามวิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี  ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาปธ.อาเซียน พร้อมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รมต.ว่าการกระทรวงกลาโหมและพัน ต.อ ทวี สอดส่อง รมต.ว่าการยุติธรรม พร้อมคณะ ในโอกาสเป็นตัวแทนรัฐบาลเดินหน้าหาแนวทางแก้ปัญหาและการพัฒนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งมีนางพาตีเมาะ สะดียามู ผวจ.ปัตตานี หัวหน้าส่วนราชการ นายนิเดร์ วาบา บริหารสถานศึกษา ผู้นำศาสนา  ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ภาคประชาสังคมและประชาชน นักเรียนให้การต้อนรับ กว่า1,000 คน  บรรยากาศเต็มไปด้วยความยิ้มแย้ม เด็กๆ นักเรียนทั้งหญิงและชายต่างขอถ่ายรูปเซลฟี่กันอย่างคับคั่ง

โดยการลงมาเยือนชายแดนใต้ครั้งนี้ มีวาระประเด็นสำคัญว่า มีแนวคิดอ้างอิงจาก "โมเดล 66/2523" ซึ่งเคยใช้แนวทาง "นิรโทษกรรม" ต่ออดีตผู้ก่อความไม่สงบในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จะกลับมาใช้อีกครั้ง หรือไม่ ซึ่งกำลังดำเนินการทำรายละเอียด ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ย้ำว่าแนวทางใหม่นี้จะไม่ใช่การนิรโทษกรรมโดยตรง แต่จะมีหลักเกณฑ์ชัดเจน และใช้แนวคิด "การเมืองนำการทหาร" ในการดำเนินการ

โดยล่าสุด นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้แต่งตั้ง นายทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาประธานเลขาธิการอาเซียน ซึ่งส่งผลต่อยุทธศาสตร์ทางการเมืองในพื้นที่ตอนเหนือของมาเลเซียที่ติดกับจังหวัดชายแดนใต้ของไทย คือปัญหาความไม่สงบ นายอันวาร์ อิบริฮิม หวังใช้โอกาสนี้ขยายฐานเสียงในพื้นที่พรรคอิสลามแห่งมาเลเซีย (PAS) ซึ่งมีอิทธิพลในรัฐที่ติดกับชายแดนไทยด้วยเช่นกัน

ครั้งนี้ยังถูกจับตาว่า นายทักษิณ อดีตนายกฯ ต้องการรักษาฐานเสียงของพรรคประชาชาติ ซึ่งเป็นพันธมิตรของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ชายแดนใต้ด้วย ท่านได้พบปะหารือกัน มีการแลกเปลี่ยน พูดคุยก่อนรับฟังข้อเสนอ และได้กล่าวว่า

ดร.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า วันนี้ยินดีมากที่ได้กลับมา พบกับท่านนิเดร วาบา เพื่อนเก่า ผมเคยมาที่นี้ 20 กว่าปีที่แล้ว และออกไปอยู่ในตะวันออกกลางและในหลายประเทศ เข้าใจพี่น้องมุสลิมเป็นอย่างดี ผมได้โอกาสได้ฟังความคิดเห็นิหารือจากเพื่อนๆต่างประเทศมานานแล้วต้องการให้ช่วยแก้ปัญหาพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจ แก้ปัญหาอื่นๆ ทั้งความรุนแรง ผมสมัยเคยเป็นนายกรัฐมนตรี เคยทำงานอาจจะใจร้อน มีข้อผิดพลาดบ้าง ก็ขอกราบขอโทษทุกๆท่านมา ณที่นี้

ตอนนี้เหตุการณ์สถานการณ์ดีขึ้นมากแล้ว เราคุยกันรู้เรื่องมากขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีทรัพยากร และมีศักยภาพพัฒนาไปข้างหน้าให้ดีกว่านี้ การพูดคุยสันติสุข สมัยนายกปู นายกยิ่งลักษณ์   ผมมีโอกาสได้ช่วยเหลือและริเริ่ม เข้าลงไปช่วยอยู่บ้าง ซึ่งได้คุยกับคนที่อยู่ต่างประเทศ ว่าทุกคนอยากกลับบ้านของตนเอง ตอนนี้ผมกลับบ้านได้แล้ว แต่อีกหลายๆคนยังไม่ได้กลับ ต้องถึงเวลสที่ผมมาช่วยให้ทุกคนได้กลับบ้านด้วยเช่นกัน และในโอกาสอีกไม่กี่วัน พี่น้องมุสลิมจะเข้าสู่เดือนรอมฎอนแล้ว ขอให้ทุกคนได้ทำบุญ ทำกุศล เข้าทำความดีสู่เดือนรอมฎอนด้วยสันติ พระเจ้าทรงรับผลงามความดีของทุกๆท่าน ผมขอสันติสุขแก่พี่น่องมุสลิม ณที่นี่ และทั่วประเทศด้วยขอบคุณครับ

ตำรวจไซเบอร์ระดับนายพล บุก!! ค้นบ้าน ‘ผู้ประกาศข่าว’ แค่!! เชิญตัวไปเป็นพยานคดีหมิ่นฯ ทำเกินกว่าเหตุหรือไม่

(23 ก.พ. 68) น่าเศร้าใจยิ่งนัก เมื่อตำรวจไซเบอร์กว่า 10 นาย บุกไปยังบ้านในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งย่านพุทธมณฑล พร้อมหมายค้นจากศาล

ที่บอกว่า เศร้าใจเพราะกองกำลังชุดนี้นำโดยนายพล ระดับ พล.ต.ท.(ผู้บัญชาการ) เพียงเพื่อนำหมายไปตรวจค้น และเชิญบุคคลไปเป็นพยานในคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ย้ำว่า ‘เชิญไปเป็นพยาน’ เท่านั้น ไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ

‘ตำรวจไซเบอร์’ ชุดนี้ นำโดยพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. พ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ อ่อนตา รองผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 4 (ผบก.สอท.4) นำกำลังตรวจค้นพร้อมหมายค้นศาลอาญาที่ 110/2568 ลงวันที่ 19 ก.พ. เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง บนถนนชัยพฤกษ์ แขวงและเขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ก่อนควบคุมตัว น.ส.ไญยิกา (ขอสงวนนามสกุล) ‘ผู้ประกาศข่าว สำนักข่าวเดอะครีติก (The Critics)’ ไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้การในฐานะพยานที่กองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ เมืองทองธานี

เราจะเห็นว่า มีตำรวจระดับ พล.ต.ท. และ พล.ต.ต.อีกสองนาย และระดับนายพันก็ร่วมปฏิบัติการด้วย ซึ่งโดยปกติการที่ตำรวจจะเรียกใครไปเป็นพยานในคดีหมิ่นประมาท ก็จะออกหมายเรียก และต้องจ่ายค่าเดินทาง ค่าป่วยการให้กับพยานด้วย

แต่ไม่เข้าใจว่า ตำรวจไซเบอร์ ที่ปฏิบัติการครั้งนี้นำโดยผู้บัญชาการไซเบอร์ คิดอะไรอยู่ถึงได้ ‘ฮึกเหิม’ ถึงขนาดนี้ มีอะไรอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่

คดีนี้เกิดจากการที่ ‘ทักษิณ’ ให้ทนายความไปแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่หมิ่นประมาทเขา โดยไปแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ ซึ่งผิดปกติ เพราะคดีหมิ่นประมาท ถ้าจะนำความขึ้นศาล สามารถกระทำได้สองวิธี คือ

แจ้งความกับตำรวจเพื่อดำเนินคดี และปกติเขาจะไปแจ้งความที่โรงพักใดโรงพักหนึ่ง เพื่อให้ตำรวจสอบสวน แต่ทนายความของทักษิณเลือกไปแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ 

อีกช่องทางหนึ่งคือ ให้ทนายความเขียนสำนวน และฟ้องเอง ซึ่งจะเป็นการลัดขั้นตอนตำรวจ และอัยการไป ก็สามารถดำเนินการได้ทั้งสองทาง

“เป้าหมายเขาคงจะอยู่ที่พี่มากกว่า”

‘ต้อย-สนธิญาณ’ กล่าว เพราะสำนักข่าว the critics อยู่ภายใต้โครงสร้างของทิศทางไทย ที่มีสนธิญาณบริหารอยู่ และมีสำนักข่าวอยู่ด้วย นำเสนอเนื้อหาเชิงสกู๊ปลงเสียงโดยผู้ประกาศข่าว สีหน้า และท่าทางเอาจริงเอาจัง และข่าวที่เป็นต้นเรื่องนำมาสู่การฟ้องร้อง คือการนำข้อมูลข่าวการจัดอันดับผู้นำของทักษิณ โดยเวบไซต์ข่าวต่างประเทศไปในทางลบมากๆ จึงนำมาสู่การฟ้องร้องหมิ่นประมาท แต่จริงๆข่าวชิ้นนี้สื่อในบ้านเราหลายสำนักก็แปลมาเล่นอยู่ แต่ทักษิณเลือกที่จะเล่นงาน the critics ของสนธิญาณ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สนธิญาณจะบอกว่า เป้าหมายเขาอยู่ที่พี่มากกว่า 

ตำรวจนำตัว ‘ไญยิกา’ ไปสอบสวนยัง ‘สำนักงานของตำรวจไซเบอร์’ ย่านเมืองทองธานี สอบสวนเสร็จก็ปล่อยตัวกลับมา โดยไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ

“ก็ดีเหมือนกัน เราจะได้ไปร้องต่อองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจะได้นำข้อมูลไปให้กับองค์กรเหล่านี้ แต่ขอเวลาปรึกษากับผู้หลักผู้ใหญ่ และทนายความนิด” สนธิญาณ กล่าว

สนธิญาณ กล่าวอีกว่า จริงๆ ตำรวจก็ใช้วิธี ‘หลอกล่อ’ น้องผู้ประกาศเขา โดยระหว่างตำรวจเข้าไปน้องเขาก็โทรมาปรึกษาผม ผมก็บอกว่า ใจเย็นๆนะ พี่ปรึกษาทนายความก่อน และบอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร ถ้ายังไม่มีทนายความ ระหว่างนั้นตำรวจก็ไปพูดอะไรกับน้องเขาก็ไม่รู้ และพาน้องเขาไปสอบปากคำ โดยยังไม่มีทนายความ

นี้น่าจะเป็นอีกปรากฏการณ์ของ ‘รัฐตำรวจ’ ที่หวนกลับมาอีกครั้ง และเริ่มเห็นร่องรอยของการ ‘คุกคามสื่อ’ จากองค์กร หน่วยงานรัฐที่มีกฎหมาย และอาวุธปืนอยู่ในมือ

คงจำกันได้ว่าเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว รัฐบาลก็ใช้อำนาจที่มีอยู่ตรวจสอบบุคคลที่ทำงานอยู่ในองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) และสื่อมวลชนอาวุโสอีกหลายคน จนเกิดคำขึ้นมาว่า ‘คุกคามสื่อ คุกคามประชาชน’ ปรากฏการณ์ใหม่นี้จะย้อนไปเหมือนในอดีตหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป

พรรคประชาธิปัตย์ จัดเดโมแครต ฟอรัมครั้งที่4 “วาระนโยบายน้ำ ก้าวใหม่ประปาหมู่บ้าน” หวังยกระดับคุณภาพน้ำสะอาดเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชนกว่า6หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศ

“การสุ่มเฝ้าระวังคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน ตั้งแต่ปี 2562-2567 จำนวน 10,271 แห่งพบว่ามีเพียง 420 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 4 เท่านั้นที่ผ่านการรับรองเป็นน้ำประปาหมู่บ้านสะอาด”

รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้ว่าดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์สั่งการให้จัดเดโมแครต ฟอรัมครั้งที่4 หัวข้อ
“วาระนโยบายน้ำ ก้าวใหม่ประปาหมู่บ้าน“โดยตั้งเป้ายกระดับคุณภาพน้ำเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในวันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เวลา 9.00-12.00 น.โดยมีนาย เดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถา

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะประธานจัดงาน เดโมแครต ฟอรัม(Democrat Forum)กล่าวว่า ประเทศไทยมีแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580)แต่ที่ผ่านมายังประสบกับปัญหาคุณภาพน้ำประปาไม่ได้มาตรฐาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของน้ำประปาหมู่บ้าน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ประชาชนใช้มากที่สุด ข้อมูลจากกรมอนามัยในการสุ่มเฝ้าระวังคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน ตั้งแต่ปี 2561-2567 จำนวน 10,271 แห่ง พบว่า มีเพียง 420 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 4 เท่านั้น ที่ผ่านการรับรองเป็นน้ำประปาหมู่บ้านสะอาด ที่มีความปลอดภัยสำหรับนำมาบริโภคในครัวเรือน ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับน้ำประปาในเขตเมือง และปัญหาสำคัญ คือ ยังขาดความครอบคลุมในการตรวจวิเคราะห์เพื่อประเมินคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน อันเนื่องมาจากขาดงบประมาณดำเนินการ ซึ่งทั้งประเทศมีประปาหมู่บ้าน ทั้งหมด 69,028 แห่ง

“ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์และนาย
เดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญใน

การพัฒนายกระดับคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านซึ่งจะทำให้สุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนกว่า6หมื่นหมู่บ้านดีขึ้นและยังเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาชุมชนและประเทศอย่างยั่งยืนสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป้าหมายที่6 (Sustainable Development Goal: SDG6) ขององค์การสหประชาชาติ (UN)กำหนดให้ทุกคนเข้าถึงน้ำดื่มที่ปลอดภัยโดยการสัมมนาครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบายและแผนปฏิบัติการเร่งด่วนของพรรคประชาธิปัตย์จึงขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงานสัมมนาตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าว”

ตำรวจภูธรภาค 2 เตรียมรับ 200 แก๊งคอลเซนเตอร์จากปอยเปต เตรียมพนักงานสอบสวนคัดกรองค้ามนุษย์

เมื่อวันที่ (23 ก.พ. 68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2)  เปิดเผยถึงกรณีทางการกัมพูชาควบคุมตัวแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่ตั้งฐานในปอยเปต ประเทศกัมพูชา ได้กว่า 200 คน และเตรียมส่งตัวให้ไทยเพื่อนำตัวเข้าสู่กระบวนการคัดกรองเหยื่อค้ามนุษย์ ทางชายแดนด้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว ว่า ภายหลัง พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ได้เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อประสานความร่วมมือในการดำเนินการร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศในการดำเนินการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ตั้งฐานในฝั่งปอยเปต และทางการกัมพูชาได้ดำเนินการควบคุมตัวขบวนการคอลเซนเตอร์มากกว่า 200 คนซึ่งในจำนวนนี้มีคนไทยมากกว่า 100 คน ในส่วนของตำรวจภูธรภาค 2 จะดำเนินการใน 2 ส่วน คือ การสอบสวนเพื่อคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ และการประสานข้อมูลการสืบสวนข้อมูลขบวนการคอลเซนเตอร์กับตำรวจกัมพูชา  ขณะนี้ทราบว่าทางการกัมพูชากำลังคัดกรองตามขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมายของกัมพูชาและจะส่งตัวมายังประเทศไทย 

ผบช.ภ.2 กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง ผบช.ภ.2 เตรียมแผนการปฏิบัติและกำกับดูแลการปฏิบัติ พร้อมกำชับ พล.ต.ต.ถาวร  ดุลยวิทย์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว จัดพนักงานสอบสวนรองรับการสอบสวนเพื่อการคัดกรองเหยื่อค้ามนุษย์ตามกระบวนการกลไกส่งต่อระดับชาติ : National Referral Mechanism (NRM) ซึ่งจะมีหน่วยงานอื่น ๆ บูรณาการกำลังในการคัดกรองด้วย โดยย้ำว่าการสอบสวนต้องเป็นไปอย่างครบถ้วน ถูกต้อง รอบด้าน ให้ความเป็นธรรม ในส่วนของการประสานงานข้อมูลด้านการสืบสวนขบวนการคอลเซนเตอร์ กำชับให้ประสานงานกับทางกัมพูชาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้กำหนดการในการส่งตัวขบวนการคอลเซนเตอร์เข้ามานั้นยังอยู่ระหว่างการประสานงาน

‘อ.อุ๋ย’ ยัน!! ‘ชาวยิว’ ที่ปาย มีสิทธินับถือ ประกอบพิธีศาสนา อันเป็นสิทธิตาม ‘รธน.’ แต่ต้อง!! เคารพกฎหมาย และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ของประเทศไทยด้วย

(22 ก.พ. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า “กรณีข่าวชุมชนชาวยิวที่ปาย ซึ่งมีชาวบ้านออกมาร้องเรียนว่ามีจำนวนมากและก่อความเดือดร้อนรำคาญให้กับชุมชนนั้น ผมเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 31 บัญญัติว่า ‘บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน’

อีกทั้งในมาตรา 67 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติอีกว่า ‘รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น’ และมาตรา 27 วรรคสาม กำหนดว่า ‘การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทํามิได้’

ดังนั้นไม่ว่าชนชาติใด ศาสนาใด จึงมีสิทธิในการอยู่อาศัย พำนัก และนับถือศาสนาของตนโดยเสรีบนผืนแผ่นดินไทย ตราบใดที่เคารพต่อกฎหมายไทย ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อคนไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความมั่นคง และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งกรณีปัญหาชุมชนชาวยิวที่ปาย จึงต้องแยกปลาออกจากน้ำเสียก่อน กล่าวคือ ชาวยิวคนไหนที่เข้ามาท่องเที่ยวตามปกติ อยู่ไม่เกินอายุวีซ่า ก็ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชน ต้องปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงนักท่องเที่ยวทั่วไป 

ส่วนกลุ่มใดที่เข้ามาโดยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ซ่องซุม อยู่เกินอายุวีซ่า ลักลอบทำงาน ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ไม่เคารพกฎหมายและประเพณีอันดีงามของไทย ก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย ลงโทษอย่างเด็ดขาด ส่งกลับประเทศและแบล็กลิสท์ไม่ให้เข้าประเทศไทยอีก รวมถึงพัฒนาระบบไบโอเมตริกซ์ เชื่อมโยงฐานข้อมูลตำรวจตรวจคนเข้าเมืองกับตำรวจสากล เพื่อคัดกรองผู้มีประวัติอาชญากรรม หรือมีประวัติที่เป็นภัยต่อความมั่นคง เพื่อสกัดไม่ให้เข้าประเทศไทยได้ตั้งแต่ต้นทาง  

หรือหากต้องการให้ปายกลับมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สงบและรักษาประเพณีอันดีงามไว้ในระยะยาว ก็ต้องกำหนดโควตาหรือจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนไว้ และเก็บค่าธรรมเนียมท่องเที่ยวในอัตราสูง เช่น ประเทศภูฏานเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวถึงเกือบสี่พันกว่าบาทต่อคืน เพื่อคัดเลือกนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และนำเงินตรงนี้มาพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวในระยะยาวต่อไป ก็ขอฝากผู้ที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาครับ ด้วยความปรารถนาดี”

‘ผู้ว่าฯ นครพนม’ เป็นงง!! เจอ ‘TikTok’ ปลอม ลั่น!! ยังรักกันดีกับภรรยา รบกวนช่วยรายงานให้ด้วย

(22 ก.พ. 68) นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม โพสต์ข้อความระบุว่า ...

แจ้งข่าว TikTok ปลอม  

ผมกับภรรยายังรักกันดีอยู่ ยังไม่ได้เลิกกันนะครับ

เคยเจอแต่ Facebook และ Line ปลอม คราวนี้เจอ TikTok ปลอม รบกวนเพื่อน ๆ ช่วยรายงานให้ด้วยครับ

จเรตำรวจแห่งชาติบินด่วนวางแผนร่วมปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา

ตามมาตรการเด็ดขาดของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำมัน ที่ส่งไปยังเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์แตกกระจาย สามารถจับกุมกลุ่มคนร้าย และช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อซึ่งมีหลายเชื้อชาติ ได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติทั่วโลก รวมทั้งประเทศจีน เป็นอย่างมาก

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สั่งการให้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปอย่างเร่งด่วนในวันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2568) เพื่อประชุมวางแผนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติประเทศกัมพูชา ในการปฏิบัติในครั้งนี้

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ เปิดเผยว่า ในการประชุมวางแผนการปฏิบัติ ได้ข้อสรุปทั้งหมด 3 ข้อ ได้แก่

1. ร่วมกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป โดยมีเป้าหมายเข้าไปกวาดล้าง ตรวจค้น จับกุม ในจุดต่างๆ ที่เป็นที่ตั้งของแก๊ง โดยทางตำรวจไทยขอนำตัวคนไทยกลับมาลงโทษตามกฎหมายที่ประเทศไทย

2. ร่วมกันช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ ให้กลับคืนสู่ครอบครัวอย่างรวดเร็ว 

3. จัดตั้งศูนย์ประสานงานร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อความรวดเร็วในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ทางตำรวจกัมพูชาจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการร่วมปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในครั้งนี้ ซึ่งกลุ่มคนร้ายส่วนใหญ่เป็นคนจีน โดยมีคนไทยร่วมอยู่ด้วย และยังเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ดี ในโอกาสครบรอบ 75 ปี ของความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศในปีนี้ด้วย

‘ฮุนได’ ประกาศ!! แคมเปญสำหรับ IONIQ 5 ราคาเริ่มต้น 1.399 ลบ. ตอกย้ำ!! ความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัล ‘World Car of the Year’

(22 ก.พ. 68) ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนอนาคตแห่งยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับ IONIQ 5 รุ่นปี 2024 ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.399 ล้านบาท ตอบรับกระแส EV ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย IONIQ 5 ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของยนตรกรรมพลังงานสะอาดที่ผสานนวัตกรรมล้ำสมัย สมรรถนะทรงพลัง และการขับขี่ที่สะดวกสบายในการขับขี่ไว้อย่างลงตัว ตอกย้ำความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัล World Car of the Year ในปี 2022

IONIQ 5 ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม E-GMP (Electric Global Modular Platform) ที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ช่วยให้พื้นที่ภายในกว้างขึ้น พร้อมยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่ โดยมีตัวเลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น Premium Standard Range ใช้แบตเตอรี่ขนาด 58 kWh ขับเคลื่อนล้อหลัง (RWD) ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า และระยะทางขับขี่สูงสุด 384 กม. ตามมาตรฐาน WLTP ส่วน รุ่น Exclusive Long Range ใช้แบตเตอรี่ขนาด 72.6 kWh กำลังสูงสุด 217 แรงม้า สามารถวิ่งได้ไกลถึง 481 กม. พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 7.4 วินาที

IONIQ 5 มาพร้อมเทคโนโลยี Ultra-Fast Charging รองรับกำลังชาร์จสูงสุด 350 kW ทำให้สามารถชาร์จจาก 10-80% ได้ภายในเวลาเพียง 18 นาที และยังมีระบบ V2L (Vehicle-to-Load) ที่ช่วยให้รถสามารถจ่ายไฟให้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกได้ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

ในด้านดีไซน์ IONIQ 5 โดดเด่นด้วย Parametric Pixel Design ที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของ Hyundai Pony ผสานความทันสมัยอย่างลงตัว ไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์พิกเซลสุดล้ำ กันชนหน้า V-Shape ล้อขนาด 19 นิ้ว พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto และระบบเสียง BOSE Premium Sound

เพื่อให้ทุกการเดินทางปลอดภัยยิ่งขึ้น IONIQ 5 มาพร้อม Hyundai SmartSense ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ อาทิ Smart Cruise Control with Stop & Go ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Blind-Spot Collision Warning ระบบเตือนมุมอับสายตา Forward Collision-Avoidance Assist ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ และ Lane Keeping Assist ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน

IONIQ 5 คือเจ้าของรางวัลระดับโลก ได้แก่ World Car of The Year, World EV of The Year และ World Car Design of The Year จากงาน World Car Awards 2022 ตอกย้ำความสำเร็จและมาตรฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากฮุนได

ฮุนได โมบิลิตี้ ประเทศไทย ขอเชิญทุกท่านมาสัมผัสประสบการณ์ขับขี่สุดล้ำของ IONIQ 5 ได้แล้ววันนี้ที่ IONIQ Agency ทั่วประเทศ

'อลงกรณ์-เอฟเคไอไอ.' เปิดเวที 'ก้าวต่อไปไทยแลนด์' เชิญ 'ท็อป-จิรายุส' เจาะลึกเทรนด์ใหม่ปัจจัยเสี่ยงจากการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก(WEF)

รายงานข่าวจากสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์(FKII Thailand) เปิดเผยวันนี้ว่า สถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์(FKII Thailand) ร่วมกับสถาบันทิวา(TIVA:Transformation Valley Institute) จัดงานเอฟเคไอไอ. ฟอรั่ม ในหัวข้อ “ก้าวต่อไปไทยแลนด์ เทรนด์ใหม่จากสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum 2025)“

โดยมีวิทยากรที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนประเด็นแนวโน้มโลกในมิติเศรษฐกิจการเมืองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเทคโนโลยีกับแนวทางการรับมือของประเทศไทย ได้แก่อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailandและอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ นายชยดิฐ หุตานุวัชร ประธานสถาบันทิวาและนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (ท็อป-จิรายุส)ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัดจะมาอินไซด์และตีโจทย์สาระสำคัญของการประชุมประจำปี 2025 ของเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม (World Economic Forum) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

อลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์(FKII Thailand)กล่าวว่า ฟอรัมนี้จะอัพเดทเทรนด์ของโลกปี2025ในมิติต่างๆและปัจจัยความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมกับประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นสงครามภาษีศุลกากร(Tariff War)ที่จะนำไปสู่สงครามการค้ารอบใหม่ สงครามเอไอ(AI War)ที่จะเปลี่ยนโลกแบบดิสรัปรุนแรงเหมือนที่อินเตอร์เน็ตเคยเปลี่ยนโลกมาแล้วพร้อมกับการเกิดสงครามเทคโนโลยีครั้งใหญ่ ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายใหม่ที่มาเร็วและแรง

ภายใต้สถานการณ์ที่ยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามของภาวะโลกร้อนและโลกรวนรวมทั้งปัญหาภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomics) และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitics)
สงครามสู้รบและการเผชิญหน้าในภูมิภาคต่างๆ 

คำถามที่ต้องร่วมกันหาคำตอบคือ ประเทศไทยจะมีทางออกอย่างไรและต้องปรับตัวรับมืออย่างไรทั้งในมุมของภัยคุกคามและโอกาสในวิกฤต  “เราช้าไม่ได้อีกแล้ว กระสุนนัดแรกถูกยิงออกมาแล้ว สัญญาณอันตรายที่WEFกังวลใจอย่างยิ่งคือกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐออกคำสั่งขึ้นภาษีศุลกากรทันทีที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 21 มกราคมที่ผ่านมาโดยหลายประเทศเริ่มตอบโต้สหรัฐเช่น แคนาดา เม็กซิโกและจีน

นอกจากนี้ผู้นำสหรัฐยังสั่งให้ทีมเศรษฐกิจศึกษาเพื่อวางแผนการเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนหรือแบบตอบโต้ (Reprocical Tariff) กับประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยการบังคับใช้ภาษีอาจมีผลเร็วที่สุดวันที่ 1 เมษายนนี้ซึ่งประเทศไทยและอาเซียนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐ มีการคาดการณ์ว่าการค้าที่อิงกับกลุ่มภูมิรัฐศาสตร์อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกได้มากถึง 6.75 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 226 ล้านล้านบาท) นี่คือตัวอย่างของผลกระทบที่ประเทศไทยยากจะหลีกเลี่ยงและยังมีภาษีคาร์บอนหรือCBAMของอียูที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีนี้ย่อมส่งผลต่อการส่งออกของไทยโดยตรง เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องระดมวิสัยทัศน์ความรู้และประสบการณ์ของทุกภาคส่วนมาช่วยประเทศของเรา จึงขอเชิญมาร่วมแสดงความคิดเห็นและมุมมองในการสัมมนาของเอฟเคไอไอ. ในวันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.30 – 13.00 น. ณ TVA Hall สวนเสียงไผ่ ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานคร“

สำรองที่นั่งด่วน รับจำนวนจำกัด
ที่ LineOA FKII Thailand: https://lin.ee/BgPCPvd
ติดต่อสอบถาม คุณวรวุฒิ 091-1805459
ติดตาม FKII Thailand
Facebook : www.facebook.com/FKIIThailand
Youtube : www.youtube.com/@FKIITHAILAND
TikTok : www.tiktok.com/@fkiithailand
X : https://x.com/FKIITHAILAND
LineOA : https://lin.ee/BgPCPvd
Line Voom : https://shorturl.at/FdqZs

ผบช.ภ.2 เตือนโรงแรม – โชเฟอร์ อย่าหากินกับบัญชีม้า แก๊งคอลเซนเตอร์ เชือดจริง! จับโรงแรมเถื่อน ศาลสั่งปรับอ่วม 5.5 ล้าน

ตำรวจภูธรภาค 2 เอาจริง!! เชือดโรงแรมเถื่อน ให้ที่พักบัญชีม้า - แก๊งคอลเซนเตอร์ เอื้อขบวนการพาข้ามแดน ศาลพิพากษาแล้วปรับอ่วม 5.5 ล้านบาท ลุยกวาดล้างโชเฟอร์เถื่อนนำพาบัญชีม้า 'ผบช.ภ.2' เตือนอย่าทำ โทษหนัก 

(22 ก.พ.68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เปิดเผยว่า ตำรวจภูธรภาค 2 เดินหน้ายุทธการ 'อรัญ 68 Seal Border' อย่างต่อเนื่อง ตาม 7 มาตรการเข้มปราบปรามต่างด้าวทำผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซนเตอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีปฏิบัติการกวาดล้างกดดันขบวนการพาคนข้ามแดนเพื่อไปเป็นบัญชีม้า ทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์ ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านฝั่งชายแดน จว.สระแก้ว จันทบุรี และตราด อย่างเข้มข้น ช่วยเหลือเหยื่อ จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนมาก และขอเตือนผู้ประกอบการโรงแรม ที่พักทุกรูปแบบ โดยเฉพาะโรงแรมเถื่อนที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ห้ามให้ที่พักพิงแก่บุคคลที่ครอบครองและใช้บัญชีฝากของบุคคลอื่น (บัญชีม้า) แก๊งอาชญากรคอลเซนเตอร์ รวมทั้งผู้ขับขี่ รถรับจ้าง ห้ามรับงานนำพาบัญชีม้า - แก๊งคอลเซนเตอร์ไปส่งยังชายแดน เพราะเท่ากับให้การสนับสนุน ช่วยเหลือขบวนการคอลเซนเตอร์เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายข้อ มีโทษตามกฎหมายทั้งจำคุก และปรับ โดยมีคดีตัวอย่างที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับมากกว่า 5 ล้านบาท 

ผบช.ภ.2 กล่าวว่า ล่าสุดกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว สืบสวนพบเกสต์เฮ้าส์ใน อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว ให้ที่พักพิงแก่ บัญชีม้า แก๊งคอลเซนเตอร์ จึงเข้าจับกุมดำเนินคดี เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งล่าสุดศาลจังหวัดสระแก้ว ตัดสินลงโทษ เจ้าของโรงแรมเถื่อนใน อ.อรัญประเทศ ที่ให้ที่พักพิง ศาลพิพากษาลงโทษ นาย เอ (นามสมมุติ) อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาในคดีโรงแรมเถื่อน ดังนี้ จำคุก 3 เดือน (รอลงอาญา 2 ปี) ปรับ 5,000 บาท และปรับเพิ่มวันละ 1,000 บาท ตั้งแต่วันฝ่าฝืนจนถึงวันฟ้อง (5,528 วัน) เป็นเงินรวม 5,528,000 บาท ยังต้องปรับอีกวันละ 1,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ 

“ดำเนินคดีกับที่พักโรงแรมเกสต์เฮ้าส์ ต่าง ๆ ที่ให้พักพิงบัญชีม้า แก๊งคอลเซนเตอร์ 2 คดี ดำเนินคดีกับผู้ขับรถรับจ้างนำพาบัญชีม้า 5 ราย เบื้องต้นฐานขับรถสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นบทเรียนราคาแพง ให้กับผู้ประกอบการโรงแรมเถื่อน ให้ที่พัก ที่ซ่อนของอาชญากรที่ครอบครองใช้บัญชีเงินฝากของผู้อื่น (บัญชีม้า) แก๊งคอลเซนเตอร์ เสี่ยงโทษหนัก หากเจ้าของโรงแรมที่รู้เห็นเป็นใจ หรือ เพิกเฉย ให้ที่พักแก่บัญชีม้า อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย” ผบช.ภ.2 กล่าว

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า โรงแรม เกสต์เฮ้าส์ที่ให้ที่พักพิงมิจฉาชีพออนไลน์ อาจเข้าข่ายความผิด “พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ. 2547” ม.15 ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบกิจการโรงแรม เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน ม.59 ผู้ใดฝ่าฝืน ม.15 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน  ม.35 ผู้จัดการต้องจัดให้มีการบันทึกรายการต่าง ๆ เกี่ยวกับผู้พักและจำนวนผู้พักในแต่ละห้อง ลงในบัตรทะเบียนผู้พัก  ม.56 ผู้จัดการไม่ปฏิบัติตาม ม.35 ต้องระวางโทษปรับทางปกครอง ตั้งแต่ 20,000 - 100,000 บาท  “พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542”  ม.7 ในความผิดฐานฟอกเงิน ผู้ใดสนับสนุนการกระทำผิด หรือช่วยเหลือผู้กระทำผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด จัดหาหรือให้เงินหรือทรัพย์สิน ยานพาหนะ สถานที่ เพื่อช่วยเหลือให้ผู้กระทำผิดหลบหนี หรือเพื่อมิให้ผู้กระทำผิดถูกลงโทษ ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ  ม.60 ผู้ใดกระทำผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี ปรับ 20,000 ถึง 200,000 บาท  ม.61 นิติบุคคล กระทำผิดตาม ม.7 ต้องระวางโทษ ปรับ ตั้งแต่ 200,000 ถึง 1,000,000 บาท

“ขอเตือนผู้ประกอบการอย่าปล่อยให้โรงแรมหรือที่พักของคุณ กลายเป็นแหล่งซ่อนตัวของอาชญากร เจ้าของกิจการต้องตรวจสอบผู้เข้าพัก ป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของขบวนการมิจฉาชีพ พบเห็นพฤติกรรมต้องสงสัย แจ้งตำรวจทันที ขออย่าทำมาหากินกับขบวนการเหล่านี้ ที่สร้างความเดือดร้อนให้คนจำนวนมาก และย้ำว่าตำรวจภูธรภาค 2 ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ปราบแก๊งคอลเซนเตอร์อย่างเด็ดขาด จริงจัง ไม่ยอมให้ใช้พื้นที่จังหวัดชายแดนในความรับผิดชอบของ ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นที่พัก เส้นทางผ่านของขบวนการมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนโดยเด็ดขาด” ผบช.ภ.2 กล่าว

ทั้งนี้หากผู้ใดมีข้อมูล เบาะแส สามารถแจ้งแก่ตำรวจภูธรภาค 2 ได้ทาง สายด่วน 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทางเพจเฟซบุ๊กตำรวจภูธรภาค 2


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top