Sunday, 27 April 2025
NEWS FEED

‘ผอ.พีซ สตรีศรีสุริโยทัย’ โพสต์เฟซ!! ขอบคุณทุกคน ที่ให้ความสนใจ เผย!! ได้พลังบวก ความรักจากนักเรียน ทำให้อยากทำอะไรมากมาย

(24 ก.พ. 68) ดร.ศรประภา สิริภัทรวิช ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ย่านถนนเจริญกรุง เขตสาทร กทม. ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ขออนุญาต ขอบคุณทุกท่านผ่านทางนี้นะคะ  

ขอบคุณทุกคนที่ชื่นชอบคลิปที่เป็นไวรัลในขณะนี้ และส่งกำลังใจมาให้ในทุกๆช่องทาง รวมถึงมาติดตามกันทางนี้นะคะ  

ขอบคุณเพื่อน พี่ น้อง ลูกศิษย์ และคนรู้จักทุกคนที่ช่วยแชร์ข่าวต่างๆ วันนี้เต็มหน้าฟีดเลย และที่สำคัญพูดถึงพีซในแง่บวกทั้งนั้นเลย ใจฟูมากจริงๆ ขอบคุณจริงๆนะ  

ขอบคุณทีมบริหาร ครูและบุคลากรโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ที่เป็นเบื้องหลังไวรัลในครั้งนี้ ตั้งแต่การคิดกิจกรรม ฝึกซ้อม ดูแลเสื้อผ้า หน้า ผม และปล่อยคลิปด้วย (ซึ่งมีมากกว่า 1 คลิปนะคะ) ขอบคุณมากๆเลย  

ขอบคุณลูกๆสภานักเรียนที่ทำคลิปต่างๆของโรงเรียนและผอ. และนักเรียนโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยทุกคน ที่ทำให้มีความสุขทุกวันที่ไปโรงเรียน ได้พลังบวก ได้กำลังใจ ได้ความรักจากนักเรียน ทำให้ผอ.ยิ้มมีความสุข และอยากทำอะไรๆมากมายให้กับนักเรียน  

ขอบคุณนักข่าวช่องต่างๆที่ติดต่อมา และทำข่าวให้แบบน่ารัก ทำให้โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยเป็นที่รู้จักมากขึ้นไปอีกนะคะ  

ขอบคุณเฟสปลอม tiktok ปลอมที่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วยนะคะ แต่ตัวจริง เล่นช่องทางนี้ทางเดียว และไม่ยืมเงิน ไม่ทักส่วนตัวนะคะ ฝากให้ระวังกันค่ะ  

ฝากติดตามผลงานโรงเรียน 2 ช่องทางนะคะ

Tiktok : ssyt_council67

Facebook : โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย

ปล.วันนี้อาจจะตามตอบไม่หมด แต่อ่านของทุกคน ขอบคุณจากใจจริงๆค่ะ  

ผบ.ตร.สั่งคุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้า ย้ำกลุ่มเสี่ยงเด็ก เยาวชน ใกล้โรงเรียน สถานศึกษา ต้องไม่มีเด็ดขาด หากจับกุมได้ สั่งขยายผลทุกมิติ พร้อมลงดาบหากพบตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องผลประโยชน์ ปล่อยปละละเลยจนกลายแหล่งมอมเมาเยาวชน 

(24 ก.พ. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลสั่งการให้ทุกหน่วยคุมเข้มบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย หลังพบว่ามีข้อมูลในหลายพื้นที่มีร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเปิดขายผิดกฎหมายนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รับทราบข้อมูล ขานรับนโยบาย พร้อมปฏิบัติทันที ได้สั่งการให้ทุกหน่วยกำหนดมาตรการคุมเข้มปราบปรามการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเฝ้าระวัง เด็กและเยาวชนตามโรงเรียน สถานศึกษา หรือที่มีแหล่งข่าวว่ามีสถานที่พัก ลักลอบเก็บอุปกรณ์ สิ่งของ และนำออกไปจำหน่ายให้เด็ก เยาวชน นักศึกษา หรือใกล้สถานประกอบกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ จะต้องไม่มีโดยเด็ดขาด รวมทั้งตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าตามแนวชายแดน สนามบิน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น ศุลกากร นอกจากนี้ ให้หน่วยประสานงานกับหน่วยงานเกี่ยวข้องในพื้นที่ ประสานข้อมูลบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อบูรณาการร่วมปฏิบัติในการเข้าตรวจสอบ ปราบปรามจับกุม 

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.เน้นย้ำให้ทุกหน่วยเข้มงวดในการตรวจสอบ กวดขันตามอำนาจหน้าที่ หากจับกุมได้ให้มีการสืบสวนขยายผลดำเนินการทุกมิติ และกำชับทุกหน่วยห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่มิชอบ หรือปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นแหล่งมอมเมาเด็กและเยาวชน หากพบจะมีการดำเนินการทั้งวินัย อาญา และปกครองอย่างเด็ดขาด

เชียงใหม่- คณะแพทยศาสตร์ มช. จัดเสวนา แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน 

(24 ก.พ. 68 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารเรียนรวม คณะแพทยศาสตร์ มช. รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นประธานเปิดการเสวนา แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 เพื่อให้ความรู้และเป็นแนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน 

รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า "ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็น ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและจังหวัดเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มช. ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ และเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับ PM2.5 จึงได้จัดกิจกรรมเสวนา "แนวทางป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงาน" เพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรและประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันฝุ่น PM2. ซึ่งปัญหา มลพิษทางอากาศที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง การป้องกันและลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 จำเป็นเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการให้ความรู้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการลดมลพิษเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนทุกคน"

ซึ่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ตระหนักถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้ผลกระทบต่อสุขภาพ และในครั้งนี้ได้จัดกิจกรรมเสวนาแนวทางป้องกันฝุ่นPM2.5 ในเชิงการจัดการทางกายภาพ และแนวทางการปฏิบัติเชิงพฤติกรรม ที่สามารถนำไปประยุกต์ และปฏิบัติได้ทั้งในสถานที่ทำงานและที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือ และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากฝุ่น PM2.5 

โดยมีหลักที่สำคัญ 2 ส่วนคือ
1. ด้านกายภาพ (กั้น กรอง ดัน) กั้น : ปิดประตูหน้าต่างที่สนิท ชื่อตามขอบหน้าต่าง หรือรูรั่วอื่น ๆ ให้ชิด และเปิดระบาย อากาศบ้าง ช่วงที่ฝุ่นภายนอกน้อย กรอง : ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท เปิดเครื่องพ่อกอากาศ และปิดพัดลมดูดอากาศ(ถ้ามี) ดัน : ติดตั้งเครื่องเติมอากาศสะอาด สร้างแรงดันอากาศภายในห้องให้มากว่าภายนอก เพื่อ
ดันฝุ่นไม่ให้เข้ามาในห้อง

2.พฤติกรรม (3ส 1 ล)
ส.สะสาง คัดแยกสิ่งของที่ไม่จำเป็นหรือไม่ใช้แล้วออกไปเพราะจะเป็นแหล่งสะสมฝุ่น ส.สะอาด ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ และเช็ดถูทำความสะอาดพื้นและตามซอกมุมต่าง ๆ เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่น รวมทั้งล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ เช่น
พัดลม เครื่องปรับอากาศ แผ่นกรองอากาศและมุ้งลวด
สร้าง สร้างสุขนิสัย ในการดูแลและทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะมีฝุ่นละอองสูง อาจจะต้องเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดมากขึ้น รวมถึงสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยปลูกต้นไม้ที่มีลักษณะใบหนา หยาบ มีขน เพื่อช่วยดักฝุ่น ลดหรือเลี่ยง กิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละองเพิ่ม เช่น การจุดธูป-เทียน การเผาขยะ การจุดเตาถ่าน และการสูบบุหรี่

ผศ.นพ.ธวัชชัย มั่นอ่ำ รองคณบดีด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า"จากข้อมูลที่ผ่านมา พบว่าคนเชียงใหม่ต้องเผชิญกับฝุ่น PM2.5 เป็นระยะเวลานานเกือบครึ่งปี (ประมาณ กุมภาพันธ์ - พฤษภาคม) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ นอกจากนี้ สถิติยังบ่งชี้ว่าจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น การป้องกันฝุ่นจึงไม่ควรจำกัดเพียงแค่การสวมใส่หน้ากากหรือหลีกเลี่ยงพื้นที่โล่งแจ้ง แต่ควรรวมถึงการจัดการฝันในสถานที่ทำงานด้วย ซึ่งการป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญในการลดผลกระทบต่อสุขภาพของบุคลากร การติดตามคุณภาพอากาศ ปรับปรุงระบบระบายอากาศสวมหน้ากากที่เหมาะสม และดูแลสุขภาพของพนักงาน เป็นมาตรการที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

กิจกรรมในครั้งนี้มีการบรรยายใน 6 หัวข้อหลัก ได้แก่ สถิติคุณภาพอากาศตัวเมืองเชียงใหม่ ป้องกันฝุ่น PM2.5 ในสถานที่ทำงานอย่างไร การเลือกขนาดเครื่องฟอกอากาศ การเฝ้าระวังและติดตาม การปรับปรุงด้าน PM2.5 คณะแพทยศาสตร์ การติดตั้งแผ่นกรองฝุ่น เครื่องปรับอากาศ และพัดลม โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ คือ รศ.ดร.ยศธนา คุณาทร อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มช. , ผู้แทนพิเศษ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มช. , ผศ.นพ.ธวัชชัย มั่นอ่ำ รองคณบดีด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม คณะแพทยศาสตร์ มช. , คุณวิชชากร จามีกร หัวหน้าศูนย์บริหารจัดการระบบสนับสนุนคณะแพทยศาสตร์ มช. และคุณณัฐพล ไชยแก้ว วิศวกร สังกัดงานอาคารสถานที่ บรรยายใน 6 หัวข้อในการเตรียมความพร้อมและเสริมความรู้แก่บุคลากร ให้ทราบถึงแนวทางในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ใช้ในหน่วยงานช่วงที่เกิดภาวะฝุ่น PM2.5 เพื่อลดดผลกระทบด้านสุขภาพของบุคลากรและผู้ที่มารับบริการของคณะแพทยศาสตร์ มช.

นายกรัฐมนตรีไทยจับมือนายกกัมพูชาเดินหน้ากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

(24 ก.พ. 68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้รับมอบหมายจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้รับผิดชอบในการปราบปราม กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศพดส.ตร.) ตามสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปประชุมร่วมกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา เพื่อร่วมมือกันในการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเป็นไปตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา ซึ่งในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางตำรวจกัมพูชาได้มีการระดมกวาดล้าง ตรวจค้น จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนหลายจุด ซึ่งข้อมูลขณะนี้พบว่ามีจำนวนทั้งหมด 215 คน ในจำนวนนี้มีคนไทย จำนวน 125 คน และชาวต่างชาติจำนวน 90 คน โดยยังมีการดำเนินการปราบปรามจับกุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนจุดที่กวาดล้าง จำนวนของผู้ที่ถูกจับกุม และผู้ที่รับการช่วยเหลือ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลการปฏิบัติ และขณะนี้ พ.ต.อ.ปิยวัฒน์ เกียรติก้อง ผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่เพื่อทำหน้าที่ในการประสานงานระหว่างตำรวจไทยและตำรวจกัมพูชา

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การดำเนินการในครั้งนี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะนำไปสู่การกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความต้องการของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ได้มีการไปหลอกลวงไม่ใช่แต่คนไทยเพียงฝ่ายเดียว ยังมีการไปหลอกลวงคนทั่วโลก ซึ่งการค้นหาและการตรวจค้น จับกุม ยังมีปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องจนกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดไป

ขอนแก่น-กรมชลประทานขุดพื้นที่แก้มลิง พบแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาอายุราว 500 ปี 

(24 ก.พ. 68) ที่บริเวณโนนหนองเทา บ้านสำโรง ต.บ้านขาม อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่นนายธนนพพงษ์ เฉลิมศรีกร ครูโรงเรียนบ้านสำโรง ได้พาผู้สื่อข่าวเข้าตรวจสอบเศษหม้อ เศษไห ดินเผา ที่ถูกรถแบคโฮ ขุดเปิดหน้าดิน เพื่อเตรียมพื้นที่สร้างแหล่งกักเก็บน้ำ (แก้มลิง) ของกรมชลประทานที่ 6 พบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดอนกว้างประมาณ 50 เมตร อยู่กลางแหล่งน้ำหนองบึงสำโรง ชาวบ้านเรียกว่า “โนนหนองเทา”  ตรงข้างเนินดินมีหลุมจากการขุดของรถแบคโฮ ลึกประมาณ 3 เมตร ช่วงความลึกราว 1.5 เมตร พบชั้นดินที่มีเศษเครื่องปั้นดินเผา เกาะตัวกัน พร้อมเถ้าดินเผา หนาประมาณ 30 เซนติเมตร เศษหม้อบางชิ้นสามารถดึงออกมาได้ โดยได้นำมามาทำความสะอาด พบว่ามีลวดลายเขียนด้วยสีธรรมชาติ สีแดง เป็นลายเส้น ลักษณะคล้ายกับลายเส้นของเครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง จ.อุดรธานี 

นายธนนพพงษ์ เผยว่า เดิมทีที่ตรงนี้อยู่ในบริเวณโครงการขุดรอกบึงสำโรง เพื่อจัดทำแก้มลิง ซึ่งผู้รับเหมาได้มาขุดดินตรงเนินหนองเทา เพื่อนำดินแห้งไปปูเป็นเส้นทางให้รถบรรทุกวิ่งในช่วงที่ดินในหนองน้ำมีแต่น้ำ จากการขุดลงไปประมาณ 3 เมตร พบเศษ ซากหม้อไห โบราณ ตรงบริเวณนี้ ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่า ผู้แก่ ในหมู่บ้านว่า สมัยก่อนแถวบ้านสำโรงจะมีโนนที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ เรียกว่าโนนหนองเทา โนนพันชาด โนนหนองส้ง โนนหัวชิงไค ซึ่งบริเวณนี้มีการปั้นดินเผา ปั้นหม้อ เชื่อมโยงกับประศาสตร์ของปรางค์กู่ประภาชัย บ้านนาคำน้อย ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งช่วงนั้นชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสมัยคนแปดศอก (มนุษย์ที่มีความสูง 8 ศอก) ซึ่งเป็นจุดสังเกตว่าหาว่ามีปรางค์กู่ฯ ที่ไหน ก็จะมีแหล่งผลิตหม้อ ไห ไม่ห่างกันด้วย ตรวจสอบอย่างละเอียดจะพบเศษ ซาก หม้อ ไห กองทับถมกัน ซึ่งจะต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือกรมศิลปากร เข้ามาตรวจสอบอายุให้แน่ชัดอีกครั้ง ซึ่งในโอกาสต่อไปจะได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนด้วย

ขณะที่ นางเคน เตินเตือน อายุ 80 ปี ชาวบ้านสำโรง เล่าว่า สมัยก่อนปู่ย่าตายายพ่อแม่เล่าสืบต่อกันมาว่า บริเวณดังกล่าว มีไทยตีหม้อมาตีหม้ออยู่ตรงนั้น (ตีหม้อ คือ ปั้นหม้อ) สมัยเป็นเด็กจำได้ว่าตอนไปเลี้ยงควายได้นำเศษหม้อ เศษไห มาโยนเล่น แต่ไม่เคยได้เห็น หรือใช้หม้อไหที่มีลายแบบนี้เลย 
อย่างไรก็ตาม สำหรับบริเวณโนนหนองเทา ทางชาวบ้านได้มีการอนุรักษ์ไว้ไม่ให้มีการขัดดินตรงนั้นออกเพื่อทำแก้มลิง ซึ่งจะปรับปรุงให้เป็นเกากลางน้ำ พร้อมกับได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ และหาอายุของเศษหม้อไห เหล่านั้นต่อไป

‘กลุ่มก่อความไม่สงบ’ สร้างสถานการณ์!! ต้อนรับ ‘ทักษิณ’ ‘แยม ฐปณีย์’ หวิดโดนไปด้วย เผย!! เพิ่งออกมา แค่แป๊บเดียว

(23 ก.พ. 68) เจ้าหน้าที่สภ.เมืองนราธิวาส ได้รับแจ้งเกิดเหตุระเบิด บริเวณในพื้นที่ท่าอากาศยานนราธิวาส ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส 

จากการตรวจสอบเบื่องต้นทราบว่า พบเป็นรถยนต์กระบะ ดีแม็ก สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 6955 นราธิวาส ของ เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงประจำสนามบินนานาชาตินราธิวาส ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ 

ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างปิดกั้นจุดเกิดเหตุเพื่อทำพื้นที่ให้ปลอดภยก่อน นำกำลังเจ้าหน้าที่และหน่วยที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบอีกครั้ง 

ส่วนประเด็นและสาเหตุเจ้าหน้าที่เชื่อว่ากลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่สร้างสถานการณ์เพื่อต้อนรับดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษาประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จะเดินทางลงมาในพื้นที่ ท่าอากาศยานนราธิวาส ในเวลา 09.50 น. 

ซึ่งงานนี้ก็ได้มีคณะสื่อมวลชน เดินทางติดตาม ลงพื้นที่ไปทำข่าวกันหลายสำนัก รวมทั้ง ‘แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว ‘The Reporters TV’ 

งานนี้เรียกได้ว่า ‘เฉียดตาย’ เพราะระเบิดได้ดังสนั่นขึ้น หลังจากที่ แยม ฐปณีย์ นั้น ได้ออกมาจากจุดเกิดเหตุ ‘แค่แป๊บเดียว’ 

ล่าสุดอัพเดทแล้ว แยม ฐปณีย์ นั้น ‘ปลอดภัย’

‘ดร.อานนท์’ โพสต์เฟซ!! นศ.รามคำแหง มีทุกระดับ ทั้ง ‘ลำบาก-ยากจน’ แต่ก็มีมานะ เผย!! ได้สอนที่นี่เหมือนได้ทำบุญ ‘ให้ความรู้-คำปรึกษา-การช่วยเหลือ’ แก่เด็กที่ใฝ่ดี

(23 ก.พ. 68) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า …

ผมเห็นข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรีที่เป็นมหาวิทยาลัยเปิดอย่างหนึ่งนะครับ คือเป็นโอกาสที่จะได้ทำบุญใหญ่มาก
เด็กที่มาเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง มาจากทุกระดับจริง ๆ มาจากที่ยากจนและลำบากมากก็มี มีมานะอุตสาหพยายามเพื่อการศึกษา แม้จะมีอุปสรรคเพียงใดก็ตาม

เมื่อกี้ได้ช่วยสมทบทุนช่วยเหลือบัณฑิตรามคำแหงที่เพิ่งจบ ไฟไหม้บ้านบนที่เช่าวอดทั้งหลัง พ่อเสียชีวิตในกองเพลิง แม่ยังอยู่โรงพยาบาล ตัวน้องเอาชีวิตรอดออกมาได้ แต่ไม่มีที่อยู่

ต้องยอมรับว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมาจากพื้นฐานฐานะทางสังคมเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน มหาวิทยาลัยปิดที่โด่งดังมีชื่อ นักศึกษามักจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะดีหรือมีสถานะทางสังคมเศรษฐกิจดีอยู่แล้วพอสมควร มันเกิด self selection

แต่สำหรับมหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้น ผมมั่นใจว่ามีนักศึกษาทุกระดับ ทำให้อาจารย์ประจำหรืออาจารย์พิเศษได้มีโอกาสทำบุญ ให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ให้การช่วยเหลือแก่เด็กนักศึกษาที่ลำบากแต่ใฝ่ดี ผมว่านับเป็นโอกาสอันดีและเป็นกุศลยิ่ง 

เมื่อกี้อานนท์เลยโอนเงินให้อาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยรามคำแหงไปช่วยบัณฑิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหงครับ ไม่ได้มาก เพราะอานนท์นั้นมีไม่มาก 
แต่อยากจะพูดว่า นี่คือ ความงดงาม ของการเป็นอาจารย์สอนระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยเปิดจริง ๆ ครับ

‘พยาบาล ICU’ เผย!! วิชาชีพนี้ ต้องทำงานหนัก พักน้อย วอน!! ให้เกียรติกันบ้าง ถูกทำร้ายทั้งร่างกาย และจิตใจ

(23 ก.พ. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘C Kanittha Kapunya’ โพสต์ข้อความ โดยระบุว่า ...

ในฐานะที่เป็นพยาบาล ICU และต้องดูแลลูกน้องที่ต้องเข้าเวร ในอีกมุมมองที่อยากแบ่งปันเรื่องราวให้ได้รับรู้นะคะ 

พยาบาลเป็นวิชาชีพค่ะ ทำงานหนัก พักน้อย กินข้าวเเบบรีบเร่ง ในหลายครั้งที่เจ็บป่วยก็ต้องให้น้ำเกลือ ให้ยาและกลับไปดูแลคนไข้ต่อ ถ้าคิดภาพไม่ออกก็ย้อนกลับไปมองถึงช่วงโควิดนะคะ 

สิ่งที่ตัวเราได้พบเห็นจากการทำงาน ที่อยากจะมาแบ่งปันให้รับทราบ ในบางประเด็น คือ

1. เราเคยเจอคนไข้ถีบติดผนังห้องแบบฟ้าเหลือง
ขณะที่ไปเปิดเส้นให้ยา เนื่องจากคนไข้สับสนจากภาวะพิษสุราเรื้อรัง

2.เราเคยเจอคนไข้ปาอุจจาระใส่แต่หลบทัน

3.เคยยกพลิกคว่ำคนไข้ชายน้ำหนัก 150 กิโลกรัม
เพื่อรักษาภาวะ ARDS โดยใช้พยาบาลผู้หญิงทั้งหมด 3 คน

4. เคยเจอลูกน้องคนหนึ่งท้องแก่ เดินทั้งเวรเพื่อรักษาคนไข้ที่อาการวิกฤต แล้วน้องเลือดออกจนเกือบแท้ง 

5. เคยเจอลูกน้องคนหนึ่งมีเนื้องอกในมดลูกเดินทำงานจนเป็นลม 

6.เคยเจอลูกน้องคนหนึ่งมีซีสในรังไข่ เดินทำงานจนซีสแตก

7. ลูกน้องคนหนึ่งลาคลอด 3 เดือน ต้องกลับมาทำงาน คนไข้ก็ต้อง CPR นมก็ต้องปั๊ม กลับบ้านไปเลี้ยงลูกไม่ได้นอนจนเป็น bell 's palsy 

8.บางคนพ่อแม่ป่วยก็ไม่ได้กลับบ้านไปดูแล ทำงานอยู่กับความรู้สึกผิดเหล่านี้

9.เคยเจอคนไข้และญาติที่ไม่มีเงินกลับบ้าน พยาบาลต้องช่วยสนับสนุนค่าเดินทางในหลายครั้ง

10.เคยเจอคนไข้ที่เป็นคนเร่ร่อน มารับการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิตใน ICU พยาบาลคือญาติกลุ่มเดียวที่เขามีอยู่ในขณะนั้น ช่วยดูแลทางกายและเยียวยาจิตใจจนเขาจากไปอย่างสงบ ภายหลังการจากไปของคนไข้ พยาบาลได้ติดต่อทั้งสถานีตำรวจ สืบทะเบียนราษฎร์ ติดต่อหน่วยงานราชการท้องถิ่นด้วยตนเองจนได้พบญาติที่แท้จริงและได้นำศพคนไข้กลับไปบำเพ็ญกุศล

จริงๆ ในหลายๆ เรื่องที่พยาบาลได้ทำไม่ใช่แค่เพราะหน้าที่ที่ทำแล้วรับเงินเดือนแล้วจบ 
แต่คือสามัญสำนึกของการได้เกิดมาเป็นเพื่อนร่วมโลกกันค่ะ 

หลายอย่างเรามีสิทธิ์ที่จะไม่พึงพอใจในบริการที่ได้รับ มีการด่าทอสนุกปากในสื่อออนไลน์ต่างๆ มีการทำร้ายร่างกายและจิตใจพยาบาลในหลายครั้ง และในหลายๆครั้งบางองค์กรมีการพูดคุยเจรจาให้ยอมความ เลยทำให้ผู้รับบริการหลายท่านไม่รู้ในสิทธิและหน้าที่ที่ควรให้เกียรติแก่กัน 

เราคือ หัวหน้าคนหนึ่งที่บอกกับลูกน้องว่าหากโดนทำร้ายร่างกายจากญาติหรือคนไข้ที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนให้ดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด ไม่ต้องยอมความทุกกรณี เพราะหากไม่มีหน่วยงานไหนมาปกป้องสิ่งที่เราได้เสียสละไป เราควรจะถูกปกป้องโดยตัวของเราเอง 

-ขอเป็นกำลังใจให้กับพยาบาลทุกท่านที่ยังอยู่ในวิชาชีพนี้

-ยินดีกับพยาบาลหลายท่านที่ย้ายไปทำงานในประเทศที่วิชาชีพนี้ได้รับการให้เกียรติในการปฏิบัติงาน

-ขอบคุณคนไข้และญาติหลายๆท่านที่เข้าใจ เห็นใจและให้กำลังใจพยาบาลนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ

และท้ายนี้ขอขอบคุณวิชาชีพนี้ที่หล่อหลอมเราให้เป็นคนในมิติที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น ...

Nurse is a work of heart.

‘ดร๊าฟ ดวงฤทธิ์’ ร่วมวงเสวนา!! ร่างพรบ.การศึกษา ชูนโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’การศึกษาที่ตอบโจทย์!! ร่วมกับผู้แทนพรรคการเมืองอื่น ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวานนี้ (22 ก.พ. 68) ณ.ห้องเดอะวัน โรงแรมไอบิส สไตล์ กรุงเทพ รัชดา จะมีการจัดเวทีเสวนา นโยบายสาธารณะ (Public Policy Forum) ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ ‘การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมเพื่อกำหนดทิศทางการศึกษาไทย: ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... ฉบับใหม่’ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พรรคการเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำเสนอวิสัยทัศน์และข้อเสนอเฉพาะเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ให้กับผู้ปกครอง นักเรียน ครู และประชาชนทั่วไปที่สนใจในทิศทางการศึกษาของประเทศไทย

เวทีเสวนาครั้งนี้จัดขึ้นโดย สภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและเสนอแนะนโยบายสาธารณะ โดยมีผู้ร่วมเสวนา รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นายสฤษดิ์ บุตรเนียร พรรคภูมิใจไทย ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ พรรคเพื่อไทย คุณปารมี ไวจงเจริญ พรรคประชาชน นางสาวณัฐิกา นิตยาพร ผู้อำนวยการกลุ่มนิติการ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา 

สำหรับในช่วงของการตอบคำถามได้มีคำถามเกี่ยวกับสายอาชีวศึกษา ดร.ดร๊าฟได้กล่าวว่า 

“ผมเองก็จบอาชีวะมา พวกเราเข้าใจครับ ว่าหัวใจของการเรียนอาชีวะ คือการเป็นนักปฏิบัติที่ทำงานได้จริง ในสาขาความเชี่ยวชาญของตัวเอง ค่าเรียนช่างยนต์ ก็ต้องซ่อมเครื่องยนต์ได้ ทั้งเครื่องยนต์สันดาปและเครื่องยนต์ EV นี่แหละครับถึงเป็นส่วนสำคัญ ที่เราจะต้องแก้ในมาตรา 7 วงเล็บ 8 วงเล็บ 9 และมาตรา 8 ที่จะต้องให้ภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการทำหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้น้องๆที่จบในสายอาชีวะได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการและสังคม”

เวทีเสวนาครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการร่วมกำหนดทิศทางการศึกษาของประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลต่ออนาคตของเด็กและเยาวชนไทยทุกคน

‘พีระพันธุ์‘ ผู้ยื่นมือฉุดครอบครัว ’เรณู เนียนเถ้อ‘ จากฝันร้าย ช่วยพลิกคดีคืนอิสรภาพให้กับลูกชายของเธอที่ถูกกล่าวหาฆ่าคนตาย

เรื่องราวของ นางเรณู เนียนเถ้อ ชาวบ้าน จ.สุราษฎร์ธานี ผู้เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของลูกชายวัย 17 ปี ที่ถูกกล่าวหาในคดีฆ่าคนตายและถูกตัดสินประหารชีวิต เธอได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จนสามารถพลิกคดีและคืนอิสรภาพให้กับบุตรชายของเธอได้ในที่สุด

กรณีนี้ย้อนไปในปี 2553 เมื่อ ‘พีระพันธุ์’ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ได้รับหนังสือร้องเรียนจากนางเรณู เนียนเถ้อ ชาวบ้านจาก จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อขอความเป็นธรรมให้ นายอนุสรณ์ เนียนเถ้อ ลูกชายของเธอ ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 17 ปี และถูกกล่าวหาในคดีฆ่าคนตายเมื่อปี 2551 ก่อนถูกศาลชั้นต้นพิพากษาตัดสินประหารชีวิตในปี 2553 

เรณูพยายามช่วยลูกชายทุกวิถีทาง เพราะเธอเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของลูก และผิดหวังกับการทำงานของตำรวจที่ไม่ยื่นหลักฐานสำคัญต่าง ๆ ที่จะช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนายอนุสรณ์  

ในช่วงเวลานั้น เธอและครอบครัวมีความทุกข์มาก มีแต่ฝันร้าย เหมือนตายทั้งเป็น อีกทั้งยังถูกทนายความหลอกเงินเอาไปหลายแสนบาทเพื่อวิ่งเต้นคดี แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

แต่ในช่วงเดือนกันยายน 2553 ระหว่างที่คดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์ เรณูก็ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนบ้านให้ยื่นเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ นายพีระพันธุ์ รมว.ยุติธรรม ซึ่งเดินทางมาตรวจราชการที่ จ.สุราษฎร์ธานี และหลังจากนั้นแค่เพียงเดือนเดียว เธอก็ได้รับการติดต่อจากทีมงานของพีระพันธุ์ ซึ่งได้ประสานงานให้ทาง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มาตรวจสอบคดี และร่วมทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐานใหม่ โดยเฉพาะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของจำเลยได้

แต่ระหว่างที่กำลังรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ อยู่นั้น ศาลอุทธรณ์ก็ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคือประหารชีวิต นางเรณูจึงยื่นฎีกาคดีด้วยหลักฐานที่ได้จากการตรวจสอบเพิ่มเติม และในอีก 3 เดือนต่อมา ศาลฎีกาก็พิพากษายกฟ้องให้นายอนุสรณ์เป็นผู้บริสุทธิ์ หลังจากที่ต้องถูกจำคุกเพื่อรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์เป็นเวลาถึง 4 ปี 9 เดือน

“กรณีที่สุราษฎร์ก็คือ ลูกชายถูกกล่าวหาว่าไปฆ่าคน แต่แม่เชื่อว่าลูกตัวเองบริสุทธิ์ เขาก็ต้องดิ้นรน แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน เมื่อเรื่องมาถึงผม ผมก็ตรวจสอบ เราก็พยายามเอาหน่วยงานของเราเข้าไปหาพยานหลักฐาน หาอะไรต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเขา การที่คนคนหนึ่งจะต้องถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำความผิด มันไม่ได้เป็นแค่ความทุกข์ใจของเขาเท่านั้น แต่มันเป็นความทุกข์ใจของครอบครัว มันอาจจะสร้างความเจ็บแค้น ความอาฆาตพยาบาท นำไปสู่การล้างแค้นกัน นำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ อีกหลายอย่าง การที่เราจะช่วยใครสักคนคนหนึ่งนั้น มันไม่ได้เพียงแค่ช่วยใครหนึ่งคน แต่ผลที่ตามมามันจะเป็นการช่วยสังคม ช่วยชุมชนให้เกิดความสามัคคีปรองดอง เกิดความเข้าใจและรู้สึกถึงความเป็นธรรมในสังคมที่เขาอยู่กันได้ ผมถึงให้ความสำคัญกับเรื่องของความเป็นธรรมในสังคม ความเหลื่อมล้ำ และการที่ไม่เท่าเทียมกันในเรื่องของสิทธิต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือการที่ช่วยให้คนออกจากความทุกข์ที่เขาไม่ได้ทำ” 

นี่คือ วิสัยทัศน์ของ ‘พีระพันธุ์’ ในการให้ความช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ยากเดือดร้อนด้วยความเชื่อมั่นว่า การช่วยคนหนึ่งคนก็จะเป็นการช่วยสังคมด้วยเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top