Sunday, 27 April 2025
NEWS FEED

ศูนย์ฝึกทหารใหม่ จัดพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรทหารใหม่ ภาคสาธารณศึกษา ผลัดที่ 4/67 มุ่งหวังสร้างทหารกองประจำการที่มีคุณค่าต่อประเทศชาติ และกองทัพเรือ

น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรทหารใหม่ฯ โดยมีคณะผู้บังคับบัญชา , ข้าราชการ , ครูฝึก และครูหมวดวิชา เข้าร่วมพิธี ณ ลานสวนสนาม ศฝท.ยศ.ทร. ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

กองทัพเรือ โดยกรมยุทธศึกษาทหารเรือ มอบหมายให้ ศฝท.ยศ.ทร. รับการรายตัวทหารใหม่ ผลัดที่ 4/67  ระหว่างวันที่ 1 - 2 ก.พ.68  เพื่อเข้าสู่การฝึกอบรมฯ เป็นเวลาทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ นั้น บัดนี้ทหารใหม่ จำนวน 2,894 นาย ผ่านขั้นตอนทางธุรการ การคัดกรองสุขภาพด้านร่างกายและจิตใจ เรียบร้อยแล้ว มีความพร้อมในการรับการฝึกอบรมฯ เพื่อหล่อหลอมให้เป็นทหารกองประจำการที่เป็น “สุภาพบุรุษทหารเรือ” ที่เข้มแข็ง องอาจ ก่อนเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของกองทัพเรือ โดยมีหัวข้อการฝึก ประกอบด้วย
- การฝึกบุคคลท่ามือเปล่า และบุคคลท่าอาวุธ
- การฝึกสวนสนาม
- การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
- การอบรมวิชาการเรือ , วิชาการอาวุธ , วิชาข้อบังคับ , วิชาสังคมและมนุษยศาสตร์ และการป้องกันความเสียหาย

โอกาสนี้ ผบ.ศฝท.ยศ.ทร. ได้มอบธงอันเป็นสัญลักษณ์ประจำหลักสูตร และให้โอวาทเพื่อเป็นแนวทางในการฝึกอบรมฯ ความว่า “...การที่ท่านได้เข้ามารับราชการทหารเรือ นั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของลูกผู้ชาย ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ประการหนึ่งแล้ว ยังถือว่าท่านเป็นผู้ที่มีความเสียสละอย่างยิ่ง ที่ต้องห่างจากบ้าน และครอบครัวอันเป็นที่รัก เพื่อมารับใช้ประเทศชาติ ในห้วงการฝึกหลักสูตรทหารใหม่ ภาคสาธารณศึกษา 2 เดือนนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับสถานะ จากพลเรือนให้เป็นทหารเรือ ที่เข้มแข็ง องอาจ สง่างาม มีเกียรติ และศักดิ์ศรี มีความพร้อมที่การปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ตลอดระยะเวลาการฝึกจะมีความเข้มงวด จริงจัง แต่จะอยู่ภายใต้กรอบของความเมตตา ความปรารถนาดี โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย  ดังนั้นจึงขอให้ท่านอุทิศตน อดทน ตั้งใจฝึกหัดศึกษาหาความรู้ ในส่วนของครูที่ทำหน้าที่ฝึก ก็จะเป็นผู้ที่สร้างความเชื่อมั่นดูแลทุกท่านด้วยความมุ่งมั่นเเละตั้งใจเป็นอย่างดี ดังนั้น ขอให้ทุกท่านแจ้งกับครอบครัวได้เลยว่า ไม่ต้องห่วงกังวล ตราบใดที่ท่านอยู่ในรั้วของ “ศูนย์ฝึกทหารใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง” และเราจะดูแลท่านอย่างดีที่สุด ผมขอยืนยันว่า ศูนย์ฝึกทหารใหม่ จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ เเละคุ้มค่ามากที่สุด เพื่อสร้างทหารกองประจำการ ผลัดที่ 4/67 ที่มีคุณค่าต่อประเทศชาติ และกองทัพเรือ"

ทั้งนี้การฝึกฯ ของ ศฝท.ยศ.ทร. มีการเตรียมพร้อมทั้งครูฝึก สิ่งอำนวยความสะดวก และมาตรการด้านต่างๆ โดยอยู่ภายใต้กรอบความปลอดภัยสูงสุด เป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือที่กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ 'Navy-Safety 2025'

พยาบาลสาวถูกญาติคนไข้ตบ ยัน ไม่ยอมความจะเอาเรื่องถึงที่สุด หลังผู้ก่อเหตุเย้ยบนโรงพัก “พลาดที่ทำในเวลาทำการ”

(18 ก.พ.68) เพจ ‘ชมรมพนักงานกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดระยอง’ โพสต์กรณี พยาบาลถูกญาติคนไข้ทำร้าย โดยโพสต์แรกเป็นข้อความระบุว่า ญาติคนไข้ตบพยาบาลศูนย์ แต่ฝ่ายกฎหมายของโรงพยาบาลกลับพยายามไกล่เกลี่ย และไม่ให้วงจรปิด เพื่อที่จะเป็นหลักฐานดำเนินคดี จริงหรือไม่ ความปลอดภัยของบุคลากรอยู่ที่ใด

โพสต์ต่อมา ระบุว่า เหตุบุคลากรของโรงพยาบาลในจังหวัดระยอง ถูกญาติคนไข้ทำร้ายร่างกาย ด้วยการตบหน้า เพราะไม่พอใจที่ถูกเตือน ถือเป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรง และไม่ควรจะเกิด ทางชมรมจึงขอประณามการกระทำดังกล่าว และขอให้สำนักงานข่าวช่วยให้ความเป็นธรรม กับบุคลากรรายนี้ด้วย เพราะทราบมาว่า หน่วยงานต้นสังกัด ไม่ให้ความร่วมมือในการเอาผิดกับผู้ก่อเหตุ

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ว่า เหตุที่เกิดขึ้น เพราะพยาบาลให้คำแนะนำว่า ไม่ควรเอาเด็กเข้ามา ภรรยาออกไปบอกสามี สามีเดินเข้ามาเคาน์เตอร์ ทำการตบเจ้าหน้าที่ มีกฎหมายไม่ยอมความมากกว่านี้ไหม ขอทนายด่วน ช่วยแชร์หน่อยค่ำ

ต่อมา โพสต์ที่ 3 ระบุว่า เหตุทำร้ายร่างกายตบหน้าพยาบาล ฝ่ายกฎหมายโรงพยาบาลได้มอบคลิปหลักฐานถึงมือตำรวจแล้ว พบว่า ตบไปถึงสองครั้ง จนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ผู้ก่อเหตุกล่าวทิ้งท้ายเป็นนัยยะว่า "พลาดที่ทำในเวลาทำการ" ส่วนกระแสข่าวว่าทางโรงพยาบาล ไม่อยากให้ผู้เสียหายเอาความนั้น ไม่เป็นความจริง ทางผู้อำนวยการยืนยันเอาเรื่องถึงที่สุด

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายดังกล่าว ได้โพสต์ “ขอบคุณทุกคนค่ะ รพ. เจ้าหน้าที่ รพ. พลังโซเชียล ทางครอบครัวขอไปต่อค่ะ ดำเนินคดีโดยนิติกร รพ.และท่าน ผอ.ก็ช่วยค่ะ ไม่ยอมความและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด”

“กรณีโดนญาติคนไข้ตบหน้า ขอทนายฝีมือเก่งๆหน่อยค่ะ เหตุเพราะให้คำแนะนำว่าไม่ควรเอาเด็กเข้ามา ภรรยาออกไปบอกสามี สามีเดินเข้ามาเคาน์เตอร์ทำการตบเจ้าหน้าที่ มีกฎหมายไม่ยอมความมากกว่านี้ไหม ขอทนายด่วน ช่วยแชร์หน่อยค่ะ ณ สถานีตำรวจทิ้งท้ายที่ว่า พลาดที่ทำในเวลาทำการ ประโยคแบบนี้คือการข่มขู่ไหมคะ จะเอาให้ถึงที่สุดดดด คลิปถึงสถานีตำรวจหล่ะค่ะ

ขอบคุณทุกคนค่ะ รพ เจ้าหน้าที่รพ. พลังโซเชียล ทางครอบครัวขอไปต่อค่ะ ดำเนินคดีโดยนิติกร รพ.และท่าน ผอ.ก็ช่วยค่ะ ไม่ยอมความและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด”

ขณะที่เพจ Drama-addict ได้โพสต์ข้อความที่ระบุว่า เป็นฝั่งญาติคนไข้ ที่ออกมาชี้แจงว่า ครอบครัวมีกัน 6 คน พ่อ แม่ ลูก 3 คน และคุณยาย น้องทั้ง 3 คนไปโรงเรียนและติดไข้หวัดสายพันธุ์ A กันมาแล้ว โดยคุณยายเป็นคนดูแลน้องเลยติดไข้มา เช้าวันเสาร์คุณยายมีอาการไข้ พาไปหาหมอโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ได้ยากลับมากิน เช้าวันอาทิตย์ มีอาการช็อกหายใจไม่ออก เลยส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน โรงพยาบาลเลยส่งต่อมาโรงพยาบาลใหญ่ เพราะไวรัสลงปอดทั้งสองข้างแล้ว มันเร็วมากจนตั้งตัวไม่ติด

ช่วงบ่ายคุณหมอโทรมาบอกว่า คุณแม่อาการหนัก ให้สแตนด์บายรอที่ รพ. ลูกสาวเลยโทรบอกสามีให้มาอยู่ด้วย ก็ต้องเอาลูกมาด้วยอยู่แล้ว เพราะไม่มีคนเลี้ยง พอถึงเวลาเข้าเยี่ยม สามีก็เลยพาหลานรักยายเข้า 1 คน เผื่อถ้าคุณยายเห็นจะได้มีกำลังใจสู้ เจอพี่พยาบาลคนที่ 1 เค้าก็พูดจาน่ารัก บอกเด็กเข้ามาอันตรายนะคะ พ่อเค้าเลยบอกว่า ยายติดจากเด็กครับ เด็กเพิ่งหาย มาให้ยายเห็นหน้าหน่อย ยายจะได้สู้ ๆ พี่พยาบาลคนเดิมบอกว่า ได้ ๆ แต่คนไข้เช็ดตัวอยู่ ค่อยเข้ามาใหม่นะ ก็เดินออกไปจากห้อง

รอบใหม่ ลูกสาวบอกเดี๋ยวพาน้องไปดูแม่เอง (เพราะสามีต้องเฝ้าลูกอีก 2 คน ที่ต้องหอบมาด้วย) ลูกสาวก็พาน้องเข้าไป พยาบาลที่เช็ดตัวยายอยู่ เดินออกมาจากห้อง ปิดประตูดัง ดึงแมสลงจากปาก ชักสีหน้าแล้วพูดเสียงดังแบบตะคอก ว่า สูญเสียแม่อีกคนยังไม่พอ อยากจะสูญเสียลูกอีกคน ยอมรับได้ใช้ไหม พาเด็กออกไปเดี๋ยวนี้

ลูกสาวก็ตกใจ พูดแต่ว่า โอเคได้ค่ะ แล้วเดินออกไป ยังไม่ทันได้ดูแม่เลย พอออกไปข้างนอก ก็บอกสามีว่า เธอเข้าไปดูแม่คนเดียวเลย เดี๋ยวพาลูกลงไปรอข้างล่าง โดนพี่เค้าว่ามา แล้วลูกก็เล่าพ่อเค้าว่า ปาป๊า พยาบาลด่าหนู แล้วพี่เค้าก็ไม่ขอโทษหนูเลย เค้าตะคอกใส่หนู พร้อมพ่อถามด่าเรื่องอะไรลูก เมียเลยเล่า แล้วร้องไห้หนักมาก ไม่ได้ร้องไห้เพราะโดนด่ามา แต่งงว่า สรุปแม่ตายแล้วเหรอ คือแม่จะไม่รอดเหรอ มันรวดเร็วไปหมดในความรู้สึกนั้นมาก สามีเค้าเลยโมโห แต่เข้าไปแล้วดูแม่ยาย ก็พยายามอดทนคำพูดที่ได้ยินมา แต่ไม่ไหวจริง ๆ เลยถามเมื่อกี้ใครด่าลูกเมียผม และตบที่หน้าไป 2 ครั้ง ก็สอนไปว่าเวลาพูดกับใครก็ให้รู้จักให้เกียรติคนไข้และญาติคนไข้บ้าง ทำร้ายความรู้สึกกันทำไม คุณเป็นพยาบาล ไม่มีจรรยาบรรณบ้างเหรอ แล้วก็เดินมาบอกเมียว่า เดี๋ยวรอพบตำรวจ และก็ยอมรับกับตำรวจว่า ทำจริงครับ ผมบันดาลโทสะ ไปจริง ๆ ทางครอบครัวเราไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง และยอมรับว่าทำจริง จากการบันดาลโทสะ และถ้าทางคู่กรณีจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดก็ยินดีน้อมรับ

ทีมข่าวสอบถามไปที่ผู้โพสต์ ซึ่งเป็นญาติของพยาบาลที่ถูกทำร้าย โดยการคุยทาง Inbox บอกว่า ได้นำคลิปไปยื่นที่สถานีตำรวจแล้ว และตอนที่ถูกทำร้าย รุนแรงจนเซ ญาติคนอื่นเห็น คนไข้ที่นอนใส่ท่อเห็น ส่วนน้องสาว หลังถูกทำร้ายก็ยังมีอาการปวดกกหู เวียนหัวไม่หาย รวมถึงปวดที่ต้นคอด้วย ยืนยันว่าจะเอาเรื่องผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด หาก รพ.พร้อม พวกหนูก็พร้อม กลัวเรื่องจะเงียบ และกลัวว่าน้องจะถูกรังแกอีก

(สุรินทร์) กกล.สุรนารี ทำหนังสือเตือนทหารฝ่ายกัมพูชา ฉบับที่ 2 หลังมีเหตุการณ์ ผบ.พลน้อย.ร.42นำคณะแม่บ้าน จำนวน 25 คน ขึ้นมาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม พร้อมร่วมร้องเพลงปลุกใจชาติ

พลตรีสมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ลงพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือน โดยตรวจเข้มบริเวณโดยรอบตัวปราสาท พร้อมย้ำกำลังพลในพื้นที่ ห้ามมิให้เกิดเหตุการณ์ เช่น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ที่มีทหารชาวกัมพูชาพาคณะแม่บ้าน จำนวนกว่า 25 คน ขึ้นมาเยี่ยมชมตัวปราสาทตาเมือน แล้วร่วมกันร้องเพลงชาติ หรือเพลงปลุกใจของชาวกัมพูชา ใดๆ ทั้งสิ้น 

โดยกองกำลังสุรนารีเผยว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการทำหนังสือประท้วงการกระทำที่ไม่เหมาะสมไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหาร ที่ 4 ประเทศกัมพูชา และถือว่าเป็นหนังสือประท้วงถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมเป็นฉบับที่ 2 เนื่องจากเคยมีเหตุการณ์คล้ายลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 โดยทางกองทัพก็ได้ทำหนังสือประท้วงไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหาร ที่ 4 ประเทศกัมพูชา แล้วครั้งที่ 1 และนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์เดิมๆ เป็นครั้งที่ 2

โดยหนังสือประท้วงมีเนื้อหาดังนี้ “ด้วยเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 กองกำลังสุรนารี ได้ตรวจพบว่ามีประชาชน ทหารกัมพูชา ทำการรวมกลุ่มยืนร้องเพลงบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้เข้าห้ามปรามไม่ให้กระทำในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงเดิม ที่ทั้งสองฝ่ายได้กำหนดถึงการปฏิบัติของทั้งสองฝ่ายในการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม “กองกำลังสุรนารี จึงขอแสดงความไม่สบายใจต่อการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีในระดับพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงขึ้นในอนาคต 

จึงขอให้ท่านแจ้งเจ้าหน้าที่ ให้ชี้แจงถึงการปฏิบัติในการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม ให้กับประชาชน หรือนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังปราสาทตาเมือนธม ไม่ให้กระทำการในลักษณะดังกล่าวอีก ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงความจริงใจ และความพยายามในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทั้งเป็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศต่อไป 

ทั้งนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ยังได้กล่าวถึงกรณีมีชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่งขึ้นไปร้องเพลงปลุกใจ บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ว่า จริงๆ พื้นที่ตรงนี้อยู่ในประเทศไทย แต่ยังมีเส้นที่ยังแบ่งกันไม่ชัดเจน ยังเป็นเรื่องค้างคาอยู่ ซึ่งเราก็เปิดให้ฝ่ายกัมพูชา ประชาชนขึ้นไปสักการะสิ่งต่างๆ ได้เป็นปกติ แต่การขึ้นไปร้องเพลง หรือแสดงเชิงสัญลักษณ์แบบนี้ เราไม่สบายใจ ทางผู้บัญชาการทหารที่เกี่ยวข้องทำเรื่องประท้วงไปแล้ว
โดยล่าสุดสถานการณ์ในพื้นที่โดยรอบบริเวณปราสาทตาเมือนธม ยังคงมีการเฝ้าระวังของทหารทั้งสองฝ่าย โดยล่าสุดจะมีการหารือพูดคุยระหว่างผู้นำทหารทั้งสองฝ่ายอีกครั้งในเร็วๆนี้
 

สตูล ผู้บังคับบัญชาห่วงใยหน่วยที่ห่างไกล สร้างขวัญและกำลังใจได้เดินทางไปเยี่ยมเยือน

(17 ก.พ. 68) ที่ผ่านมา นาวาเอก จรัญ  ดิศอรุณ ผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 พร้อมด้วยนาวาเอก รุ่งโรจน์ อินตรา รองผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 (1) นาวาเอก ชุติกร วงศ์ปรีดี รองผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 (2)และนาวาโท น้ำน่าน บุนนาค เสนาธิการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 เดินทางมาตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ หน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 ได้ตรวจเยี่ยมสถานีเรดาร์ตรวจการณ์ทางทะเลเกาะปูยู ตำบลเกาะปูยู อำเภอเมือง จังหวัดสตูล โดยมี นาวาโท ธนภูมิ ประทีป ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 ,พร้อมด้วย เรือโท สุโภชน์ ทองย้อย รองผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศและรักษาฝั่งที่ 452 และกำลังพล ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปการปฏิบัติภารกิจของหน่วย พร้อมทั้งนำตรวจอาคารสถานที่ภายในหน่วย ในการนี้ผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 ได้กล่าวโอวาทและมอบนโยบายแก่กำลังพลถึงแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้การปฏิบัติสัมฤทธิ์ผลบรรลุตามวัตถุประสงค์ของหน่วยเหนือและกองทัพเรือ หลังจากนั้นได้เดินตรวจแถวทักทายกำลังพลสอบถามความเป็นอยู่ด้วยความห่วงใยใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลทั้งขอขอบคุณกำลังพลที่ได้ตั้งใจปฏิบัติงานและในการต้อนรับ พร้อมทั้งรับทราบอุปสรรคข้อขัดข้องเพื่อแก้ไขต่อไป

นิตยา  แสงมณี  //  ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

'ดร.เฉลิมชัย รมว.ทส.' มอบสมุดที่ดินทำกินป่าสงวนแห่งชาติ ใน 5 อำเภอ จ.ปัตตานี

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เดินทางไปโรงเรียนดรุณศาสน์วิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับสิทธิที่ดินทำกินในป่าสงวนแห่งชาติ ลุ่มน้ำชั้น 1 และ 2 ให้ประชาชน 454 ราย รวมพื้นที่ 2,300 ไร่  ได้อยู่อาศัยทำกินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ครอบคลุม 5 อำเภอ ในจังหวัดปัตตานี (สายบุรี  โคกโพธิ์ อำเภอทุ่งยางแดง ยะรัง อำเภอกะพ้อ)

โดยมี นายยูนัยดี วาบา สส.ปัตตานี พลตำรวจตรี สุรินทร์ ปาลาเร่ สส.สงขลา  นาวาตรี สุธรรม ระหงษ์  เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม   เเละรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ และผู้บริหารกรมป่าไม้ ร่วมเดินทางไปด้วย

ดร.เฉลิมชัย ย้ำถึงความสำคัญของการเร่งรัดกระบวนการช่วยเหลือที่ดินทำกินเพื่อความเป็นธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

“ที่ดินทำกินเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับประชาชน กระทรวงทรัพยากรฯ จึงมุ่งมั่นในการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนให้เร็วที่สุด ผมมอบนโยบายให้กรมป่าไม้เร่งดำเนินการ เพราะความล่าช้าคือความอยุติธรรมอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราจะช่วยเหลือประชาชนได้ ก็คือทำให้เร็วขึ้นให้ถึงมือประชาชนมากที่สุดและเร็วที่สุด เพราะที่ดินทำกินจะเป็นขวัญและกำลังใจที่ดีให้กับประชาชน” ดร.เฉลิมชัย กล่าว

ดร.เฉลิมชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อที่ดินถูกต้องตามกฎหมายแล้ว หน่วยงานต่างๆ จะสามารถเข้าไปพัฒนาสาธารณูปโภคได้ ทำให้พี่น้องประชาชน ได้มีถนน ไฟฟ้า และมีน้ำประปาใช้ ซึ่งส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

ในโอกาสนี้ กรมป่าไม้ยังแจกจ่ายกล้าไม้มีค่าให้ประชาชนปลูกเพิ่มพื้นที่สีเขียวและช่วยฟื้นฟูป่าไม้ในพื้นที่ต้นน้ำ โดยขอความร่วมมือประชาชนร่วมดูแลรักษาป่าไม่ให้ถูกบุกรุก 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขีดเส้น 7 วันตรวจสอบคนต่างด้าวใน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เตรียมเปิดปฏิบัติการเชิงรุกให้เห็นผลเป็นรูปธรรม สั่งทุกหน่วยคุมเข้มมาตรการคนต่างด้าว

(18 ก.พ.68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการเข้มให้หน่วยเร่งตรวจสอบ พฤติกรรมกลุ่มคนต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบ เนื่องจากปรากฎข้อมูลข่าวสารว่ามีกลุ่มคนต่างด้าวในหลายพื้นที่มีพฤติกรรมที่อาจขัดต่อความสงบของสังคม ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองก่อความวุ่นวายหรือความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะต่อพี่น้องประชาชน ตลอดจนการรวมกลุ่มแสดงออกหรือจัดกิจกรรมในลักษณะที่กระทบภาพลักษณ์และความมั่นคงของประเทศ 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงสั่งการให้หน่วยต่าง ๆ ดำเนินการ โดยให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 เป็นหน่วยปฏิบัติหลักร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จัดทำข้อมูลท้องถิ่น ตรวจสอบกลุ่มคนต่างด้าวสัญชาติต่าง ๆ ที่มีพฤติกรรมในการรวมกลุ่มในพื้นที่รับผิดชอบ แกนนำต่างด้าวที่มีพฤติกรรมในการแสดงออกที่ไม่เหมาะสม หรือฝ่าฝืนกฎหมาย หรือมีการกระทำใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ แล้วรายงานข้อมูลให้ ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปชก.ตร.) เพื่อกำหนดแผนระดมกวาดล้างและเปิดปฏิบัติการในภาพรวม 

กรณีที่พบเหตุคนต่างด้าวฝ่าฝืนกฎหมาย หรือกระทำกรณีที่ไม่เหมาะสม ให้เข้าเผชิญเหตุ ระงับ ยับยั้ง บังคับใช้กฎหมายโดยทันที อย่าให้เหตุลุกลามหรือส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในภาพรวม และกรณีที่มีการดำเนินคดีกับคนต่างด้าวให้ทุกสถานีตำรวจดำเนินการสืบสวนทุกมิติ รวมทั้งการขยายผลดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้อง 

ส่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้ตรวจสอบสถานะของคนต่างด้าว พฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนหรือไม่ตรวจอนุญาตต่อไป ในกรณีที่พบว่าคนต่างด้าวที่เข้ามามีพฤติการณ์ในลักษณะที่แอบแฝงกระทำความผิดในลักษณะที่เป็นภัยต่อสังคม กระทบต่อความสงบสุข ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน  ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือมีพฤติการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายและพิจารณาเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรอย่างเคร่งครัด 

ให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ประชาสัมพันธ์เชิงรุก ชี้แจงนักท่องเที่ยวในพื้นที่ สร้างการรับรู้ภาพลักษณ์ที่ดีในการท่องเที่ยว ส่วนกองบัญชาการตำรวจสันติบาล รับผิดชอบด้านการข่าวความมั่นคง ข้อมูลคนต่างด้าวและสัญชาติที่มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง และให้วิเคราะห์สถานการณ์คนต่างด้าวในระดับพื้นที่จังหวัด กำหนดพื้นที่เฝ้าระวัง พร้อมยังสั่งการให้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สนับสนุนการปฏิบัติภายในอำนาจและหน้าที่ ประสานและบูรณาการกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่ปรากฏข้อมูลข่าวสารกลุ่มคนต่างด้าวในพื้นที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการให้ดำเนินการตรวจสอบและรายงานผลการปฏิบัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบ ภายใน 7 วัน มอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติ โดยให้เปิดปฏิบัติการบูรณาการกำลังทุกหน่วยร่วมปฏิบัติดำเนินการเชิงรุกให้ปรากฎผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวทันที

‘ชาวเน็ต’ เปิดข้อมูลแจงปมชาวอิสราเอล 31,735 คน ยึด 'ปาย' ชี้ เป็นตัวเลข นทท.ตลอดทั้งปี 67 ส่วนที่ยังมีอยู่มีเพียง 1,800 เท่านั้น

(18 ก.พ. 68) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Nitipat Bhandhumachinda ว่า ตามกระแสข่าวที่ว่ามีชาวอิสราเอลมาพำนักกันอยู่ที่อำเภอปาย ที่ว่ากันว่ามีจำนวนถึงสามหมื่นกว่าคน จนสร้างความหวาดกลัวกันในสังคมไทยนั้น

ตัวเลขดังกล่าวจริงๆ แล้ว เป็นตัวเลขผู้มาท่องเที่ยวชาวอิสราเอลทั้งหมด ตลอดปี พ.ศ. 2567 ซึ่งเดินทางมาพักเที่ยวเมืองปาย เป็นจำนวนทั้งสิ้น 31,735 คน 

ซึ่งก็หมายความว่า เมืองปายเป็นที่เที่ยวยอดฮิตของชาวอิสราเอลจริง

แต่ไม่ได้หมายความว่า ณ ปัจจุบัน มีคนอิสราเอลอาศัยกันเต็มเมืองปาย ร่วม ๆ สามหมื่นกว่าคนอย่างที่เข้าใจ

เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นการมาเที่ยวแล้วก็เดินทางกลับภูมิลำเนาบ้านเขาตามเดิม และเท่าที่ทราบนั้น มีชาวอิสราเอลขอพำนักชั่วคราวที่ อำเภอปาย ณ วันนี้จำนวนทั้งสิ้น 1,857 ราย และมีนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลเดินทางมาเที่ยวไปกลับเหมือนนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจำนวนทั้งสิ้น 4,446 คน

และที่มีพวกเกเรเกตุงสร้างความวุ่นวาย จนโดนไล่กลับประเทศนั้นก็เป็นเรื่องจริง

แต่จะเอารูปถ่ายการร่วมพิธีกรรมทางศาสนาของเขา ซึ่งน่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องใดๆ กับพฤติกรรมเกเรเหล่านั้น ผมก็มองว่าเป็นการตั้งแง่ ด้วยการเจาะจงที่เชื้อชาติของเขาแบบเหมารวมอย่างไม่ยุติธรรมนัก

ที่นำมาเล่าก็ด้วยเห็นเพื่อนๆ หวั่นวิตกกันมาก ก็เลยไปหาข้อเท็จจริง มาอธิบายให้ฟัง

ก็น่าจะเฝ้าสังเกตสักนิดว่าแนวโน้มจะเป็นเช่นไร เพราะเหมือนเขาจะชื่นชมการมาเที่ยวเมืองปายกันมาก

แต่ก็ไม่ควรจะไปตื่นตระหนกจนเกินเหตุไปจากเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ นะครับ

จำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา ‘เอกลาภ ยิ้มวิไล’ อดีตผู้บริหาร ‘ซิปเม็กซ์ ฐานฉ้อโกงประชาชน เสียหายกว่า 1 พันล้านบาท

ศาลสั่งจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา ‘เอกลาภ ยิ้มวิไล’ อดีตผู้บริหาร ‘ซิปเม็กซ์’  ฐานฉ้อโกงประชาชน เสียหายกว่า 1 พันล้านบาท

เมื่อวันที่ (17 ก.พ. 68) ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษาคดีที่มีผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด ซึ่งเคยเป็นผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลที่โด่งดังและเป็นที่นิยมมากที่สุดรายหนึ่งของประเทศไทย และ นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นอดีตกรรมการและผู้บริหารบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ เป็นจำเลยที่ 1-2

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พิพากษาลงโทษปรับบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ เป็นเงิน 100,000 บาท และ ลงโทษจำคุกนายเอกลาภ ยิ้มวิไล เป็นเวลา 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง

ต่อมา จำเลยที่ 2 ยื่นขอประกันตนเองในชั้นอุทธรณ์คดี โดยเสนอหลักประกันเดิมชั้นพิจารณา จำนวน 10,000,000 บาท และขอวางหลักประกันเพิ่มอีกในวันนี้ จำนวน 5,000,000 บาท รวมหลักประกันยื่นขอปล่อยชั่วคราวชั้นอุทธรณ์คดี จำนวน 15,000,000 บาท โดยศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้ส่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวดังกล่าว ให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณา

ภายหลัง นายกิจจา จงขวัญยืน ตัวแทนผู้เสียหายกลุ่ม ‘ร่วมสู้ Zipmex’ ซึ่งได้ส่งทีมกฎหมายเข้าสังเกตการณ์ฟังคำพิพากษาวันนี้ เปิดเผยว่า ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมต่อประชาชนตัวเล็กๆ ที่ลุกขึ้นสู้กับคนที่พวกพ้องมีอำนาจใหญ่โต และต้องขอบคุณเพื่อนผู้เสียหายและทีมทนายของผู้เสียหายที่เสียสละเดินหน้าฟ้องคดีอาญาไปก่อนจนทำให้เกิดความคืบหน้าวันนี้ โดยปัจจุบันมีผู้เสียหายรวมตัวกันแล้ว กว่า 700 ราย มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และทางกลุ่มได้ร่วมมือกันยื่นฟ้องคดีผู้บริโภคแบบกลุ่ม (consumer class action) โดยฟ้องจำเลย 23 ราย ทั้งในไทยและนอกประเทศเพื่อเรียกค่าเสียหายเพื่อการลงโทษรวมไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท

ด้านนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ผู้ก่อตั้งสำนักกฎหมาย VLA ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ตัวแทนกลุ่มร่วมสู้ Zipmex ที่ยื่นฟ้องคดีแพ่งแบบกลุ่มเปิดเผยว่า คดีนี้มีประชาชนเสียหายเป็นหมื่นราย แต่เรื่องผ่านมาเกือบสามปีกลับต้องให้ประชาชนไปแบกภาระฟ้องคดีอาญาเองจนชนะคดีในที่สุด แต่ก็เป็นผลคดีเฉพาะราย จึงขอให้ภาครัฐโดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ เร่งดำเนินคดีอาญาแผ่นดินเอาผิดผู้เกี่ยวข้องซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่สองราย และเรียกความเป็นธรรมให้ผู้เสียหายทุกคนโดยเร็วที่สุด

“เรามีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีผู้เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศร่วมมือกันหลอกลวงประชาชนให้หลงเข้าใจว่าสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้าซิปเม็กซ์ได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย และไม่มีการนำไปใช้ในทางที่เสี่ยง แต่แท้จริงกลับนำสินทรัพย์ของผู้เสียหายไปใช้ในการกู้ยืมเงินในต่างประเทศโดยผิดกฎหมายเพื่อหวังกอบโกยประโยชน์ทางธุรกิจของพวกพ้อง จนลูกค้ากว่าหมื่นรายเสียหายร้ายแรง ผู้เกี่ยวข้องรายใดที่สำนึกผิด ขอให้รีบแสดงความจริงใจช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายให้เร็วที่สุด” นายวีรพัฒน์ กล่าว

จเรตำรวจแห่งชาติมอบนโยบายงานจเรตำรวจ เน้นย้ำชื่นชมตำรวจทำดี ลงโทษตำรวจนอกรีต ทำผิด ลงโทษ ไม่มีซูเอี๋ย เพื่อสร้างวัฒนธรรม “culture of lawfulness”

(18 ก.พ. 68) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายงานจเรตำรวจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ และ พล.ต.ท.ธนพล ศรีโสภา รองจเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย จตร.(หน.จต.) , จตร. , รอง จตร. และผู้บังคับการในสังกัดสำนักงานจเรตำรวจ ร่วมประชุมรับมอบนโยบาย ณ ห้องประชุม ชั้น 4 สำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จเรตำรวจแห่งชาติมอบนโยบายเข้มงวดในการสร้างขวัญกำลังใจ ให้รางวัลแก่ตำรวจน้ำดี และพิจารณาลงโทษตำรวจที่ทำไม่ดีอย่างเด็ดขาด ตามนโยบายการบริหารราชการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เน้นย้ำข้าราชการตำรวจรายใดทำผิด จะต้องลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา ไม่มีซูเอี๋ย เข้าข้าง หรือให้ความช่วยเหลืออย่างเด็ดขาด ส่วนข้าราชการตำรวจที่ทำดี เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม ต้องได้รับคำชมเชยหรือรางวัลอย่างเหมาะสมเพื่อเป็นขวัญกำลังใจการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีต่อไป ทั้งนี้ เพื่อมุ่งแก้ปัญหาข้าราชการตำรวจในเรื่องของระบบงาน รวมทั้งเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่เรียกว่า culture of lawfulness หรือวัฒนธรรมแห่งการเคารพกติกาและกฎหมาย

ผบช.ทท. ประชุมขับเคลื่อน ศปทท.ภ.2 ยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่น รองรับสถานการณ์ในทุกมิติ 

ตามนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการส่งเสริมให้ทุกเมืองในประเทศไทยเป็นเมืองน่าเที่ยว มุ่งหวังให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวระดับโลก และเป็นการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน และความปลอดภัยของการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้ยกระดับการดูแลรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและโดยเฉพาะชาวต่างชาติ เพื่อสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล จึงได้จัดตั้ง "ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" (ศปทท.ตร.) ประสานการปฏิบัติร่วมกันระหว่างกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องรวมถึงการบูรณาการขอความร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กรภาครัฐและเอกชนจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับการดูแลรักษาความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว

ล่าสุดวันนี้ (17 ก.พ.68 ) พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท.ในฐานะหัวหน้าส่วนอำนวยการ ศปทท.ตร. เป็นประธานการประชุม ขับเคลื่อนศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ตำรวจภูธรภาค 2 (ศปทท.ภ.2) ณ ห้องประชุม สภ.เมืองพัทยา โดย ผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบไปด้วย พล.ต.ต.มล.สันธิกร วรวรรณ รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.นันทวุฒิ สุวรรณละออง รอง ผบช.ภ.2 ในฐานะหัวหน้า ศปทท.ภ.2 , พล.ต.ต.นรเศรษฐ์ สุวรรณนิกขะ ผบก.ทท.1 , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี  , พ.ต.อ.พาติกรณ์ ศรชัย รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี/หน.ศปทท.ภ.จว.ชลบุรี พร้อมด้วย รอง ผบก.ในสังกัด ภ.2 ผ่านระบบทางไกลผ่านจอภาพ และผู้แทนคณะทำงานหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท.ในฐานะหัวหน้าส่วนอำนวยการ ศปทท.ตร. เปิดเผยหลังประชุม ว่า ด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีการจัดตั้ง 'ศูนย์ปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ' (ศปทท.ตร.) เพื่อดูแลยกระดับการรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวแบบครบวงจร ซึ่งอาศัยการบูณาการความร่วมมือ ระหว่าง ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจภูธร ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจน้ำ กรมการปกครอง กรมเจ้าท่า ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยว และภาคเอกชน อาทิ เช่น สมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ประธานชุมชนวอล์คกิ้งสตรีท นายกสมาคมผู้ประกอบการสถานบันเทิงเมืองพัทยา และประธานผู้ประกอบการกลางคืนเมืองพัทยา โดยได้จัดทำข้อมูลท้องถิ่นในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญตามวงจรการท่องเที่ยว เพื่อนำมากำหนดจุดตรวจ เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการดูเเลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว รองรับกับสถานการณ์ในทุกรูปแบบต่อไป

โดยวันนี้ได้ลงพื้นมาที่กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 2 เพื่อประสานจ้อมูลท้องถิ่นด้านวงจรการท่องเที่ยว ไม่จะเป็นที่กิน ที่พัก แหล่งท่องเที่ยว และแหล่งจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว รวมถึงจุดเสี่ยงและจุดที่เกิดปัญหาอาชญากรรมขึ้นบ่อย เพื่อบูรณาการร่วมกันภายใต้ Police 4.0 ในจุดตรวจ และการรับแจ้งเหตุในการติดตามช่วยเหลือกับนักท่องเที่ยว ซึ่งมีศูนย์ 1155 ส่วนของภูธรจังหวัดชลบุรีจะเป็น ศูนย์ 191 ซึ่งขณะนี้สามารถลิ้งเข้าร่วมกันทั้ง 3 สาย จากผู้แจ้งที่เป็นชาวต่างชาติเมื่อโทรมาที่ 191 ของจังหวัดสามารถติดต่อตามภาษาของนักท่องเที่ยวมาที่ ศูนย์ 1155 ก็จะติดต่อประสานการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้ ทั้งหมดถือเป็นความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาการจับเคลื่อนศูนย์ดังกล่าวในพื้นพัทยาถือว่าได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้ปัญหาการก่อเหตุการ์ดทำร้ายนักท่องเที่ยวลดลง ปัญหาอาชญากรรมในแหล่งท่องเที่ยวลดลงจากความร่วมมือ แต่จะมีในส่วนเหตุที่นักท่องเที่ยวกับนักท่องเที่ยวด้วยกัน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น รวมถึงกรณีที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วเข้าหลักกเกณฑ์การพิกถอนวีซ่า จากนี้จะให้คณะทำงานภูธรจังหวัดชลบุรีในการพิจารณาพิกถอนวีซ่ากับนักท่องเที่ยวที่เข้าก่อเหตุและเข้าหลักเกณฑ์

ซึ่งหลังจากนั้นเสร็จสิ้นการประชุม ตำรวจท่องเที่ยว ได้มีการบูรณาการร่วมกับ สภ.เมืองพัทยา และ ตม.ชลบุรี ออกตรวจสอบ กวาดล้างบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายและทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ในพื้นที่เมืองพัทยา ซึ่งผลการปฏิบัติสามารถจับกุม บุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง โอเวอร์สเตย์ และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต รวม 26 ราย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top