Monday, 12 May 2025
NEWS FEED

อดีตสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ชี้ การต่อสู้ ความรุนแรง ขัดแย้งกับคำสอน ย้ำ!! ถ้าคิดแต่จะต่อต้านรัฐบาล เราจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าว Utusan TV ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ อดีตสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย โดยได้ระบุว่า...

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของประเทศไทยได้ปลูกฝังความเชื่อที่ศาสนาและชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนั้นถูกกดขี่ แต่ความจริงก็คือชาวมุสลิมได้รับอิสระในการเผยแพร่คำสั่งสอนศาสนาและความเชื่อที่แท้จริง AFIQ MOHD SHAH นักข่าว พร้อมด้วยช่างภาพ ABDUL RAZAK AID และช่างวิดีโอ WAN AIZZAT JAIL ANI ได้เข้ามาจัดทำรายงานพิเศษ เรื่อง 'ค้นหาสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย' ออกมาตีแผ่สู่สาธารณะ โดยล้วงลึกถึงเรื่องราวของอดีตสมาชิกของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ 'กลับตัว' สู่เส้นทางที่ถูกต้อง คือ สาและ (ชื่อสมมุติ) ผู้ซึ่งได้ตระหนักว่าความเชื่อและอุดมการณ์ที่ 'ปลูกฝัง' ในสมาชิกทุกคนไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม 

สาและ ปัจจุบันอายุ 54 ปี ได้เล่าให้ทีมข่าว Utusan TV ฟังว่า "ไม่ว่าการต่อสู้ของเราจะเป็นอย่างไร หากเราหนีจากการต่อสู้ของศาสนทูตของอัลลอฮ์นั้นเป็นการต่อสู้ที่ขัดแย้งกับศาสนา ดังนั้นผมจึงเห็นว่าการต่อสู้ของพวกเขาไม่เหมือนกับการต่อสู้ของศาสนทูตของอัลลอฮ์" 

สาและ ได้เข้าร่วมกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในปี 1992 หลังจากจบการศึกษาด้านศาสนาอิสลาม เดิมที เขาสนใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าวที่พยายามต่อสู้เพื่อได้เอกราชให้กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยหลังจากเข้าร่วมกลุ่มเขาได้รับมอบหมายให้ปลูกฝังอุดมการณ์ในหมู่คนหนุ่มสาวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเพื่อยกระดับจิตวิญญาณและการแก้แค้นต่อรัฐบาลไทย 

"ทุกครั้งที่มีการบรรยาย มันจะต้อง เกี่ยวข้อง กับศาสนา จะถูกหรือผิดก็ว่าไปตามอุดมการณ์" อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เริ่มมองหาคนที่มีประสบการณ์และมีความรู้เพื่อเจาะลึกคำสอนที่แท้จริงของ (อิสลาม)

"ตัวอย่าง เช่น ศาสนทูตของอัลลอฮ์เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อออกไปทำสงคราม ห้ามฆ่าเด็ก สตรี นักศาสนา และอย่าทำลายการเกษตร แต่ผมเห็นว่าเมื่อการต่อสู้ของกระบวนนี้ ผู้หญิง เด็ก และผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน จากการต่อสู้ของศาสนทูตของอัลลอฮ์ " จากจุดนั้นผมเริ่มคิดว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ถูกต้องตามคำสั่งสอนของศาสนทูตของอัลลอฮ์ หนึ่งในนั้นคือการฝึกฝนน้อยลง นั่นคือจุดที่ผมคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด" 

สาและ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การต่อสู้ที่จุดประกายโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนนั้นไร้ประโยชน์เพราะศาสนาอิสลามมีอิสระที่จะปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเต็มที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนดังกล่าว

"ถ้าผมต้องการต่อสู้เพื่อศาสนา ผมเห็นว่ารัฐบาลสยามได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างเต็มที่ โรงเรียนสอนศาสนาเกิดขึ้นเหมือนเห็ด" ในแง่ของการศึกษา การเผยแพร่ความรู้ด้านศาสนา และ การชักจูงในการประกอบศาสนกิจนั้น ไม่มีอุปสรรคใด ๆ และแม้แต่สำนักงานใหญ่ของ การเผยแพร่ความรู้ด้านศาสนา และการประกอบศาสนากิจ ก็สามารถเปิดได้ ดังนั้นเราต้องคิดให้รอบคอบ มองโลกให้กว้างขึ้น" สาและ กล่าว 

ในเวลาเดียวกัน สาและได้เน้นว่าการละเว้น 'ญิฮาด' ในการก่อความรุนแรงนั้น ญิฮาดสำหรับตัวคุณเองและครอบครัวของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนรอมฎอนนี้จะดีกว่า เขายังต้องการเห็นคนรุ่นใหม่ในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ มีความรู้ และสามารถนำไปสู่การเป็นสังคมที่ดีที่สุดได้ "เป็นความหวังของเรา ถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับ ศาสนาหรือโลก มีแต่ความคิดต่อต้านรัฐบาล เราจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้"  คนที่ต่อสู้เรื่องนี้จริง ๆ มีไม่มากนัก ในบรรดาคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย มี 3 ประเภทนั่นคือ 1) ที่ไม่รู้อะไรเลย 2) ที่ไม่ชอบกลุ่มแบ่งแยกดินแดน  3) ผู้ที่สนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดน และผมเห็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย และไม่ชอบพวกเขา (กลุ่มแบ่งแยกดินแดน) นั้นมีมากกว่า

ทั้งนี้ หลังจากแยกตัวออกจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดน สาและได้ตัดสินใจ 'ยอมมอบตัว' ต่อรัฐบาลไทย และถูกจัดให้อยู่ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยไม่มีการกดดันหรือถูกทรมานใด ๆ 

ประสบการณ์ เดียวกันนี้ ยังได้ถูกบอกเล่าผ่านอดีตสมาชิกอีกคนหนึ่งของฝ่ายแบ่งแยกดินแดนที่รู้จักกัน ในชื่อ 'มัต' วัย 34 ปี 'มัต' เล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์การเผารถยนต์และรถประจำทาง เขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าวบนพื้นฐานของการแก้แค้น เพราะเขาเห็นเพื่อนชาวบ้านหลายคนเสียชีวิตซึ่งเข้าใจว่า ถูก 'กดขี่' แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว หลังจากที่มัตหนีไปมาเลเซียและอาศัยอยู่ในรัฐยะโฮร์เป็นเวลา 4 ปีอย่างผิดกฎหมายโดยการข้ามเข้าไปทางเส้นทางธรรมชาติ "หลังจากใช้ชีวิตในรัฐยะโฮร์เป็นเวลา 4 ปี 'มัต' เล่าว่า ตนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะคิดถึงพ่อแม่ที่แก่ชรา และคิดว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาในหมู่บ้านตนจะไม่มีเวลาขอโทษพวกเขา จากนั้นผมก็ตัดสินใจกลับไปที่หมู่บ้านและไม่ทำอะไรเลยเป็นเวลา 3 เดือน และบอกกับแม่ว่าต้องการมอบตัว" 

บนพื้นฐานของความรักที่มีต่อพ่อแม่ของเขา 'มัต' ตัดสินใจยอมจำนนและถูกจัดให้อยู่ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพเช่นเดียวกันกับ 'สาและ' 'มัต' หวังเพียงว่าเพื่อนและชาวบ้านที่ยังคง 'ภักดี' ต่อกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจะคิดถึงอนาคตของตัวเองและครอบครัว 

"ตอนแรกผมไม่เชื่อ เพราะผมกลัวว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะทรมานเมื่อถูกส่งมาที่นี่ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ทันทีที่ผมมาถึงสถานที่แห่งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐไม่เพียงแต่ไม่จะหลอก แต่ยังให้ความช่วยเหลือมากมาย รวมถึงให้เบี้ยเลี้ยง บางคนถึงกับพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่มีการกดดันหรือการทรมานใด ๆ จากเจ้าหน้าที่รัฐ เราสามารถเข้า-ออก และ ได้รับเบี้ยเลี้ยง" มัตกล่าว

นี่คือคำสัมภาษณ์และเรื่องราวจริง‼️ ของอดีตสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่ 'กลับตัว' สู่เส้นทางที่ถูกต้อง ที่ออกมาถ่ายทอดเรื่องราวสู่สาธารณะชน

ตำรวจภาค 4 ตรวจเข้มสถานบริการทั่วอีสานเหนือ สร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวก่อนเทศกาลสงกรานต์

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้สั่งการให้ตำรวจภาค 4 ตรวจสอบสถานบริการ และแหล่งอบายมุข ต่างๆในพื้นที่ 12 จังหวัดภาคอีสานตอนบน โดยนำกำลังตำรวจประกอบด้วย ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์, ขอนแก่น, นครพนม, บึงกาฬ, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ร้อยเอ็ด, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู, อุดรธานี และตำรวจจาก บก.สส.ภ.4 ทั้งในและนอกเครื่องแบบ รวมทั้งฝ่ายปกครอง เข้าร่วมปฏิบัติการด้วย เน้นตรวจสอบจับกุมสถานบริการที่ผิดกฎหมาย ยาเสพติด เด็กและเยาวชนที่เข้ามาเที่ยวสถานบริการ อาวุธปืน และแหล่งอบายมุข รวมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการประมาณ 1,000 นาย ร่วมกันตรวจสถานบริการในพื้นที่รับผิดชอบ ตั้งแต่กลางดึก ของคืนวันที่ 29 มี.ค.67 ถึงเวลาประมาณ 02.00 น.ของวันที่ 30 มี.ค.67  

ผลการปฏิบัติ ได้ทำการตรวจสอบใบอนุญาตสถานบริการ 32 แห่ง พบว่ามีใบอนุญาต ตรวจสอบสารเสพติดผู้มาใช้บริการกว่า 1,000 คน ตรวจสอบอายุนักเที่ยวในสถานบริการกว่า 2,700 คน  นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ตรวจตราดูแลความปลอดภัยประชาชนที่ไปเที่ยว และประชาสัมพันธ์ กำชับผู้ประกอบการทุกแห่ง มิให้จัดให้มีการมั่วสุม จำหน่ายหรือมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, ระมัดระวัง มิให้มีการพกพาอาวุธ โดยเฉพาะอาวุธปืน มีด หรือสิ่งที่จะเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น เข้าไปในสถานบริการ, มิให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการและปิดสถานบริการตามเวลาที่กฎหมายกำหนด

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ให้กวดขันปราบปราม จับกุมสถานบริการผิดกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ที่จะมาเที่ยวภาคอีสานในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีกด้วย สำหรับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ใกล้จะถึงนี้ ตนได้สั่งกำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่เข้มงวดในการตรวจตราสถานบริการ จับกุมแหล่งอบายมุข ยาเสพติด อาวุธปืน และดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด พล.ต.ท.สรายุทธ กล่าวทิ้งท้าย

‘ดีอี - สธ.’ จับมือพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพประชาชนไว้บนระบบเดียวกัน ยกระดับ 30 บาท

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันเปิดโครงการ ‘พัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย’ ภายใต้กิจกรรมที่ 1 ‘การพัฒนาบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ’ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยนายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงดีอีและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยภายในงานได้มีการเสวนา ในหัวข้อ ‘ความเป็นมาของโครงการ เป้าหมาย การใช้บริการ Cloud การ Exchange ข้อมูล’ ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายแพทย์สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญและมุ่งมั่นให้บริการแก่ประชาชน โดยจัดให้มีระบบคลาวด์กลาง GDCC เพื่อให้บริการด้านการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยสำหรับหน่วยงานภาครัฐ สนับสนุนบริการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ การพัฒนาระบบสารสนเทศแพลตฟอร์มกลางบนคลาวด์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ รพ.สต.ทั่วประเทศ ที่ขาดแคลนบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และงบประมาณ ซึ่งระบบนี้จะได้รับการดูแล ปรับปรุงและพัฒนาจากหน่วยงานส่วนกลางแบบออนไลน์ เป็นการลงทุน สำหรับการพัฒนาและดูแลระบบที่มีต้นทุนต่ำ แต่สามารถเชื่อมโยงการดูแลสุขภาพทุกระดับ ระบบสารสนเทศจะมีระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) ในรูปแบบ Private Cloud ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ช่วยลดงบประมาณให้กับภาครัฐ ในระยะยาวได้ โดยกระทรวงดีอีจะดำเนินการจัดหา พัฒนา ดูแลระบบคลาวด์กลางสำหรับข้อมูลสุขภาพที่มีความปลอดภัย พร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“สดช. และ สธ. ในฐานะหน่วยงานรัฐผู้ดำเนินงานให้บริการโครงการคลาวด์กลาง เชื่อมั่นว่าระบบนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการขับเคลื่อนสู่ Health 4.0 อย่างเป็นระบบ ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแค่เป็นการปรับปรุงการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่สำคัญในการเดินหน้าของประเทศไทยสู่ Health 4.0 ที่จะช่วยสร้างพื้นที่ในการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมในด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวย้ำ 

ขณะที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายเร่งผลักดันการพัฒนาระบบสุขภาพระดับชาติ เพิ่มขีดความสามารถด้านสาธารณสุข สร้างบทบาทของนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนทุกคน ทุกพื้นที่ มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ‘แอปพลิเคชันหมอพร้อม’ แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานกว่า 25.4 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลในสังกัดให้เป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการ มีการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพของประชาชนบนฐานข้อมูลที่มีความปลอดภัย ช่วยให้ประชาชนเข้ารับบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็วลดการรอคอยและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้

“สำหรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 เป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้งปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ และส่วนกลาง ให้อยู่บนระบบเดียวกัน รวมทั้งยกระดับการทำงานหน่วยงานรัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย พร้อมระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล ISO 27001 ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจรกรรม และสามารถนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งยังรองรับการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลภาครัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ร้านยา ร้านแล็บที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ทราบข้อมูลสุขภาพชุดเดียวกัน เช่น ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร การรักษาที่ผ่านมา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ม่วนคัก! 'ระเบียบวาทะศิลป์-รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' เข้าร่วมคณะซอฟต์พาวเวอร์

เสริมทัพคณะซอฟต์พาวเวอร์ ให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม มีการอัพเดตจากทางคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรี โดยเพจเฟสบุ๊ก THACCA บอกข่าวว่า 'ทีมหมอลำ' เข้าร่วมเป็นหนึ่งของการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ประเทศไทย เพราะนี่คือส่วนผสมสำคัญที่ทำให้คนรู้จัก 'ไทย' ผ่านดนตรีในอีกมุมมอง สำหรับรายชื่อคณะอนุกรรมการฯ ชุดใหม่ ที่เข้ามาเสริมทีม ประกอบด้วย 

- สุมิตรศักดิ์ พลล้ำ ประธานภาคีหมอลำ และเจ้าของวงหมอลำ 'ระเบียบวาทะศิลป์' 
- ปราณี พระจันทร์ ผู้บริหารวงหมอลำ 'รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' 

สำหรับ 'ระเบียบวาทะศิลป์' และ 'รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' เป็นวงหมอลำที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดวงหมอลำแห่งยุคสมัย รวมถึงเป็นทีมเครือข่ายภาคีหมอลำประเทศไทยด้วย

โดยรายชื่อ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม “ด้านดนตรี” ประกอบด้วย

1. วิเชียร ฤกษ์ไพศาล (ประธาน) - ประธานและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเวย์-ที ครีเอชั่น จำกัด, ผู้ก่อตั้ง จีนี่ เร็คคอร์ดส์ และอดีตผู้บริหารบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
2. ชลากรณ์ ปัญญาโฉม - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัล บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ ผู้บริหาร บริษัท ทีป๊อป อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด
3. ภาวิต จิตรกร - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) และ กรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
4. พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส มิวสิค จำกัด
5. ณฐพล ศรีจอมขวัญ - ประธานกรรมการ บริษัทลิขสิทธิ์ดนตรี ประเทศไทย จำกัด และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสไปร์ซซี่ดิสก์ จำกัด

6. พงศ์นรินทร์ อุลิศ - ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคทเรดิโอ จำกัด
7. สามขวัญ ตัมสมพงษ์ - กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอท เดอะ ดั้ก มิวสิค จำกัด
8. คาล คงขำ – กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด
9. สุมิตรศักดิ์ พลล้ำ - ประธานภาคีหมอลำ ผู้บริหารวงหมอลำระเบียบวาทะศิลป์
10. ปราณี พระจันทร์ - ผู้บริหารวงหมอลำรัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์

11. พลกฤต ศรีสมุทร - กรรมการผู้จัดการ บริษัท วายยูพีพี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด และ บริษัท แร็พอิสนาว จำกัด
12. พิเศษ จียาศักดิ์ - กรรมการเครื่องหมายการค้า และ ที่ปรึกษา บจ.ลิขสิทธิ์ดนตรี (ประเทศไทย) จำกัด
13. อนุชา โอเจริญ – ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Rats Records
14. อรศิริ ประวัติยากูร - หัวหน้าฝ่ายโปรเจ็กต์ต่างประเทศ ค่ายสมอลล์รูม และ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์, เทนเซ็นต์ ไทยแลนด์ (สื่อ, บันเทิง)
15. พงศ์สิริ เหตระกูล - ผู้บริหารค่ายเพลง NO1R และสื่อ Nylon Bangkok
16. นัดส์ เจดีย์ - ผู้ก่อตั้ง Loudly Prefer
17. อนันต์ ลือประดิษฐ์ - ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการอำนวยการสื่อ The People
18. ปิยะพงษ์ หมื่นประเสริฐดี - ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการบริษัท ฟังใจ จำกัด 
19. ลลิส วรพชิรากูร (เลขานุการ) - ที่ปรึกษาและนักวางแผนกลยุทธ์เชิงพาณิชย์และการมีส่วนร่วมด้วยนวัตกรรม (ธุรกิจสร้างสรรค์และบันเทิง)

‘โจ มณฑานี’ โพสต์ ‘ยูทูบเบอร์เกาหลี’ ปลื้ม คนไทย ให้เกียรติ ยืนเคารพ ‘เพลงชาติเกาหลี’ ทึ่ง!! ไม่เคยเห็นมาก่อน

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) ‘โจ มณฑานี ตันติสุข’ นักเขียน นักจัดรายการวิทยุ พิธีกรและวิทยากรการเงิน ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ยูทูบเบอร์เกาหลี ที่มีความประทับใจต่อคนไทย โดยได้ระบุว่า ...

เวลาเจอคนไทยบางจำพวกที่ประชดว่าทำไมต่างจังหวัดไม่เห็นเจริญเหมือนกรุงเทพ หรือเอาประเทศเราไปเปรียบกับเกาหลีใต้ ว่าเรายังไม่พัฒนา ยังดักดาน ไม่เจริญเท่าเค้าเลย พี่โจมักจะตอบเสมอว่า..ขึ้นกับว่าคุณวัดความเจริญที่ตึกระฟ้า ที่ไฮเทคโนโลยี 
***หรือวัดกันที่ความเจริญของจิตใจประชาชน**

คลิปนี้พี่โจเจอจากช่องยูทูบ 'มุมมองเพื่อนบ้าน' ค่ะ ดูแล้วปลื้มปริ่ม ตื้นตัน ใน “ความเจริญทางจิตใจของพี่น้องชาวไทยร่วมชาติ” จริงๆ ค่ะ เพราะยูทูบเบอร์เกาหลีผู้พูดไทยชัดมาก เขาไปดูบอลไทยเตะกับเกาหลี แต่ไปนั่งฝั่งกองเชียร์ไทยซะงั้น

แต่เมื่อเพลงชาติเกาหลีกระหึ่มขึ้นเขาตกใจมากที่เห็นกองเชียร์ไทย 50,000 กว่าชีวิตพร้อมใจลุกขึ้นยืนเคารพเพลงชาติเกาหลี อย่างมีระเบียบมีมารยาทงดงามยิ่ง ซึ่งเขาไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนในชีวิต 

และในคอมเมนต์ใต้คลิปของคนเกาหลีล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันไม่มีแตกแถวเลยว่าชื่นชมตื้นตันใจและขอบคุณคนไทยจริงๆ หลายคอมเมนต์ยังจดจำได้อีกว่าคนบางประเทศเมื่อได้ยินเพลงชาติเกาหลีในสนามฟุตบอล ก็ต่างส่งเสียงโห่ฮาป่า ตะโกนไล่อย่างไม่เคารพและเกรงใจ
นอกนั้นยังมีอีกหลายคอมเมนต์มาขอบคุณคนไทยที่ส่งทหารไทยไปช่วยรบในสงครามเกาหลี 

และมีอยู่คอมเมนต์หนึ่งที่ทำพี่โจน้ำตาแตกไปเลยค่ะ คือคอมเมนต์ที่เขาจำได้ว่า..ตอนเกาหลีไม่มีข้าวจะกิน อดอยากทั้งแผ่นดินนายกเกาหลีได้เดินทางมากราบทูลขอพระราชทาน 'ข้าว' จาก “ในหลวงของประเทศไทย” เพื่อให้ชาวเกาหลีรอดตาย

(พี่โจแคปคอมเมนต์คนเกาหลีแบบแปลออโต้มาให้แล้วนะคะ)

นี่ละค่ะ คือความเจริญศิวิไลซ์ที่แท้จริง และยิ่งใหญ่กว่าซอฟต์พาวเวอร์ใดในโลก
นั่นคือ #ความใจสูงของคนไทย จริงๆ ค่ะ

ดูคลิปแล้วน้ำตาเอ่อด้วยความสุดปิติและสุดภาคภูมิหัวใจจริงๆ   
https://youtu.be/mQBKVIof5NQ?si=uwFSZrKb0ImAOEtW

ลิงก์ต้นฉบับช่องเกาหลีนะคะ ลงคลิป 17 ชม. คนดูจะสองแสนวิวแล้วววว!!
ช่วยกันไปกดไลก์เขียนคอมเมนต์ให้กำลังใจเจ้าของช่องกันเยอะๆ นะคะ https://youtu.be/7ul2zcQmK48?si=rq71OvSucvgZOd87 นาทีที่ 8 กว่าค่ะ

ลูกสาวชูวิทย์ ลงสตอรี่ไอจี สยบทุกข่าวลือ ย้ำ!! คุณพ่อยังไม่เสียชีวิต โชว์ภาพชูวิทย์ ยิ้มสดใส ให้กล้อง

(30 มี.ค.67) จากกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้เดินทางไปรักษาตัวจากโรคมะเร็งในต่างประเทศ ตั้งแต่ พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 5 เดือนแล้ว

ล่าสุด ต๊ะ ตระการตา กมลวิศิษฎ์ ลูกสาวของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ได้โพสต์ภาพคู่กับคุณพ่อชูวิทย์ ลงในสตอรี่ไอจี บัญชี trakarntakamolvisit โดยภาพดังกล่าวคาดว่าถูกถ่ายที่ต่างประเทศ โดย นายชูวิทย์ มีใบหน้าสดใสยิ้มแย้มให้กล้อง

โดย ต๊ะ ตระการตา ระบุข้อความไว้ในภาพว่า “มีข่าวลือว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว ขอย้ำนะคะ พ่อต๊ะยังไม่ตายนะคะ”

‘ท่านอ่อง’ โพสต์ ข้อความลงในเพจ เตรียมพบกับ ‘CMIC ประเทศไทย’ ศูนย์ข้อมูลที่ล้ำสมัย เพื่อช่วยเหลือ ปชช.-การแพทย์ไทย

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) ดร.นายแพทย์ จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ โอรสองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้โพสต์ข้อความลงในเพจ Chakriwat Vivacharawongse ว่า

“ขอบคุณครับคุณ Rick สำหรับความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายและคำแนะนำสำหรับ CMIC ประเทศไทย ในวันนี้ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำและชี้แนะให้ผมไปในทิศทางที่ถูกต้อง พบกับ CMIC ประเทศไทย เร็วๆ นี้ครับ!”

สำหรับ CMIC ดร.นายแพทย์ จักรีวัชร ได้อธิบายในเพจ Chakriwat Medical Information Center ว่า

มารู้จัก 'CMIC' กับนายแพทย์จักรีวัชร! – โปรเจกต์ล่าสุดของ CMIC
CMIC: จุดประสงค์ของศูนย์ข้อมูลการแพทย์จักรีวัชร 

1. เพื่อช่วยให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่างๆ ตลอดจนสามารถถามคำถามกับแพทย์ผู้รักษาเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของตนเพื่อการดูแลรักษาที่ดีขึ้นและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์และผู้ป่วย โดยเราเริ่มต้นจากการเขียนบทความเกี่ยวกับสถานการณ์สมมุติทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคต่างๆที่พบบ่อยโดยใช้ภาษาที่ง่ายและสนุกเพื่อให้ประชาชนอ่านอย่างไม่เบื่อและได้รับความรู้จากการอ่าน นอกจากการเขียนบทความแล้วเรายังได้จัด CMIC Outreach Program เพื่อออกไปพบปะกับประชาชนจริงๆ และพูดคุยให้ความรู้เกี่ยวกับโรคของพวกเขา

2. ช่วยเหลือนักศึกษาแพทย์และแพทย์จบใหม่ในการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมตัวสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมของสหรัฐอเมริกา (USMLE) โดยจัดทำคลิปวิดีโอให้ความรู้ตลอดจนแนะนำกลยุทธ์ในการทำข้อสอบ ในเร็วๆ นี้ทาง CMIC จะมีโครงการใหม่ คือ Qbank เป็นการนำข้อสอบที่เหมือนกับการสอบจริงมาลงในแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทำ โดยจะมีการอัปเดตข้อสอบอย่างสม่ำเสมอ

เราหวังว่าจะได้จัดตั้ง CMIC office ในประเทศไทยเพื่อนำโครงการเหล่านี้ไปช่วยเหลือประชาชนไทยและนักศึกษาแพทย์/แพทย์ไทยให้มากขึ้นและใกล้ชิดยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยโครงการจะใช้เงินลงทุนจากเอกชนทั้งหมด

ทั้งนี้ CMIC ย่อมาจากคำว่า 'Chakriwat Medical Information Center'

บลูเทค ซิตี้ เปิดทุ่งสมุนไพรป่าชายเลนตอนรับคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการเชื่อมโยงประโยชน์ จากการลงทุนสู่การพัฒนาพื้นที่และชุมชน

วันนี้ (29 มี.ค. 2567 ) ที่ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน ต.เขาดิน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา กุลพรภัสร์ วงค์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ ได้ให้การต้อนรับศาสตราจารย์ มณฑล แก่นมณี ประธานอนุกรรมการ การขับเคลื่อน การเชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสูการพัฒนาพื้นที่ชุมชน รวมทั้งคณะติดตาม ได้ร่วมลงพื้นที่มาเยี่ยมชมผลงานประชุมหารือและรับฟังแนวทางการดำเนินงาน "เขาดิน โมเดล" โดย คุณกุลพรภัสร์ วงค์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ กล่าวว่า ในภาคธุรกิจเราสนใจทำธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้ตั้งชื่อว่า BlueTech City ที่หมายถึงธุรกิจสีฟ้า เป็นธุรกิจพลังงานสะอาดเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่คนในสังคมไทยทุกชนชั้นวรรณะ ส่วนในภาคสังคมชุมชนท้องถิ่น เรามุ่งมั่นสร้างการอยู่ร่วมกันของอุตสาหกรรมกับชุมชน อย่างมีความสุขที่ยั่งยืน ซึ่งจากประสบการณ์ที่เราลงพื้นที่พบว่าการสร้างมิตรภาพในชุมชน ต้องใช้ใจทำงาน ใช้ใจแลกใจ โดยเราสามารถสรุปเป็นประสบการณ์ที่ทำสำเร็จ ในรูปแบบ "5 ก. โมเดล ดังนี้ ก.ที่ 1-เกียรติ คือ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน เอาใจเข้ามาใส่ใจเรา ชาวบ้านมีปัญหาเราจะละเลยอยู่เฉยมิได้ จึงทำให้เกิดโครงการหมู่บ้านบลูเทคที่แก้ปัญหาที่อยู่อาศัย ทำให้ชาวบ้านมีบ้านเป็นของตนเอง ส่งผลให้เรามีเพื่อนบ้านที่ช่วยเหลือเกื้อกลูกันจนทุกวันนี้ ก.ที่ 2.กล้า คือ หัวใจต้องมีความกล้าหาญ กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้าเปลี่ยน จึงทำให้เกิดโครงการทุ่งสมุนไพรป๋าชายเลน ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่มีใครกล้าคิดกล้าทำในเชิงพาณิชย์ จนในวันนี้เราสามารถโชว์ผลงานได้ทั้งเวชสำอางและผ้าย้อมสีธรรมชาติจากสมุนไพรป่าชายเลน ในพื้นที่ของเรา ก.ที่ 3. แก้ใข คือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นนักแปรปัญหาเป็นปัญญา มองหาโอกาสมากกว่าข้อจำกัด ก.ที่ 4.แกร่ง คือ การมีหัวใจภายในที่กล้าแกร่ง อดทนต่ออุปสรรคและปัญหา และ ก.ที่ 5 - กตัญญู คือ การมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณและแผ่นดินไทย
จากการมีอุดมการณ์ 5 ก.โมเดล ส่งผลให้เรามีกัลยาณมิตรมาช่วยงานมากมาย อย่าง 
โดยในวันนี้มีไฮไลท์ เด่นๆ อยู่ 4 เรื่อง คือ

1. ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง จาก เหงือกปลาหมอ
2. ผ้าย้อมสีสมุนไพรป่าชายเลน เป็นผ้าโลว์คาร์บอน
3. อาหารจากป่าชายเลน
4. การเพาะพันธุ์ลูกปูคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจชุมชน
นอกจากนั้น เรายังมีแผนในอนาคตที่จะจัดตั้งศูนย์วิจัยมาตรฐานผลิตภัณฑ์ รวมทั้งพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ดูงานสู่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และเป็นพื้นที่ฝึกงานของกลุ่ม Start Up ให้เป็นซิลิกอนวัลเลย์ เมืองนวัตกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ในเร็วๆนี้ โดยการจัดแสดงผลงานในรูปแบบ Blue'Tech City Model ในวันนี้ จะเป็นต้นแบบการพัฒนาสู่สังคมชุมชนท้องถิ่น นำไปสู่การอยู่ร่วมกันของอุตสาหกรรมกับชุมชน อย่างมีความสุข
ที่ยั่งยืนต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใยชาวสระแก้ว มอบศาลาที่พักผู้โดยสาร เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน และเพื่อเป็นที่หลบแดดหลบฝน ณ บริเวณหน้าโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์
และ นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีมลงพื้นที่มอบศาลาที่พักผู้โดยสาร เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน และเพื่อเป็นที่หลบแดดหลบฝน ณ บริเวณหน้าโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จำนวน 2 หลังติดกัน รวมเป็นมูลค่า 400,000 บาท (สี่แสนบาทถ้วน)  โดยมี นายสุเทพ ชัยวัฒน์ ปลัดจังหวัดสระแก้ว เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย คณะมูลนิธิสว่างสระแก้วธรรมสถาน เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ บริเวณหน้าโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จ.สระแก้ว

โครงการสร้างศาลาที่พักผู้โดยสาร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ดำเนินการมาแล้วเป็นเวลา 18 ปี นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2549  โดยมูลนิธิฯ ได้เล็งเห็นและห่วงใยประชาชนซึ่งมีจำนวนไม่น้อยใช้บริการรถโดยสารประจำทางเป็นกิจวัตรประจำวัน บางครั้งประสบปัญหา เรื่องไม่มีที่หลบแดดและฝนในขณะรอขึ้นรถโดยสาร ปัจจุบัน โครงการดังกล่าว ได้ขยายการดำเนินงานไปทั่วทุกภาคของประเทศ จนถึงขณะนี้ได้ดำเนินการสร้างไปแล้ว รวมจำนวน 246 หลัง

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

## มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

‘เพจดัง’ แฉ!! ‘ร้านสุดโหด’ ทำโทษพนักงานมาสาย คว้าไม้เรียวฟาดกระหน่ำ แทนหักเงินนาทีละ 5 บาท

(29 มี.ค. 67) กลายเป็นประเด็นที่กำลังถูกพูดถึงไปทั่วโลกในขณะนี้ เมื่อทางบัญชี @RedSkullxxx ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอผ่านทางเอ็กซ์ (X) เผยเหตุการณ์สุดช็อก

โดยระบุข้อความว่า “ลูกน้องเข้าสายปรับนาทีละ 5 บาท ถ้าไม่ให้หักเงินก็เปลี่ยนเป็นตีแทน นี่โกรธผัวแล้วมาลงกะลูกน้องป่าววะ หมดยุคทาสแล้วอิ…”

พร้อมแนบคลิปวิดีโอ หญิงสาวรายหนึ่ง ใช้ไม้เรียว กำลังฟาดชายคาดว่าเป็นพนักงานแบบรัว ๆ เสียงดังฟังชัด ท่ามกลางพนักงานคนอื่น ๆ ที่ยืนดู

ทั้งนี้ เมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกโซเชียล มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ มองว่าการกระทำดังกล่าวรุนแรงเกินกว่าเหตุ และเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะเป็นการทำร้ายร่างกาย วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกรมแรงงานเข้าตรวจสอบ

>> ความคิดเห็นส่วนหนึ่งจากชาวเน็ต : 

- “มาอีกคนละคิดว่าทำแบบนี้แล้วไม่ผิด จะหักเงินเดือน หรือ ให้พักงานอะไรก็ทำไป แต่ทำแบบนี้ผิดแน่นอน ต่อให้เจ้าตัวยินยอมก็เถอะ เดี๋ยวก็จะมีเหตุผลหรือตรรกะแปลก ๆ ที่เข้าข้างตัวเองอีก”
- ลูกน้องก็ยอมเนอะ อยากถามว่า คนหรือxวายที่ยอมให้เขาตี ส่วนอีคนที่ออกกฎกับคนที่ตีxึงเป็นคนแบบไหน แล้วหักนาทีละ 5 บาท xึงจ่ายเงินเขาวันละเท่าไหร่ ถ้าวันละ 300 มาสาย 60 นาที เท่ากับไม่ได้ค่าแรง แล้วxึงจะทำงานทำไม แถมผิดกฎหมายด้วย เป็นxูแค่เห็นกฎ xูก็เดินออกจากร้านแล้ว คนนะไม่ใช่xวาย!

- นี่ ที่ทำงานรึ ? ถึงจะมีข้อตกลงกันไว้ ขอเถอะอย่าลงโทษกันด้วยการตีเลย ให้น้อง ๆ เขาทำเลยเวลาให้ ทำอย่างอื่นทดแทน ให้หักเงินก็ไม่มีใครอยากให้หักหรอก เขาถึงยอมให้ตีไง เพราะ 5 บาท 10 บาท มันก็คือเงิน สำคัญมากสำหรับคนที่มีรายได้รายวัน ซื้อน้ำกินก็ยังดี แต่น้อง ๆ เองก็ปรับปรุงตัวอย่างไปสายอีก
- มันตั้งกฎได้นะ ทำนองว่าสายกี่ครั้ง ๆ ก็ใบเตือน สะสมไปเรื่อย ๆ ไว้หักโบนัส เบี้ยขยัน อะไรก็ว่าไป ใช้แบบนี้พนักกงานฟ้องกรมแรงงานได้นะว่าใช้ความรุนแรงในสถานที่ประกอบการ

- คุกแน่นอน
- แล้วก็คือยอมให้เขาตี?
- แจ้งทำร้ายร่างกายได้ไหมอะ
- เป็นxูจะถีบให้
- แบบนี้ก็ได้เหรอ
- ฟ้องทำร้ายร่างกายเลย

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top