Sunday, 11 May 2025
NEWS FEED

สามเณร 17 ปี สอบผ่านเปรียญ 9 สำเร็จ ทำสถิติ อายุน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของคณะสงฆ์ไทย

(30 มี.ค.67) ที่วัดสามพระยา กองบาลีสนามหลวง ประกาศผลสอบบาลีสนามหลวง ประจำปี 2567 ในชั้นเปรียญเอก ได้แก่ ประโยค ป.ธ.9 สอบผ่าน 76 รูป ประโยค ป.ธ.8 สอบผ่าน 165 รูป และประโยค ป.ธ.7 สอบผ่าน 226 รูป

สำนักเรียนที่มีผู้สอบผ่านในรับเปรียญ 9 มากที่สุดได้แก่สำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม มีพระภิกษุและสามเณรสอบได้มากที่สุดรวม 25 รูป

ในจำนวนนี้มีสามเณรภานุวัฒน์ กองทุ่งมน อายุ 17 ปี สอบผ่านได้ด้วย นับเป็นสามเณรอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลีชั้นสูงสุด

‘กรมควบคุมโรค’ ชี้ ‘แบคทีเรียกินเนื้อ’ ระบาดใน ‘ญี่ปุ่น’ แต่ที่ไทย ยังไม่รุนแรง เน้น มาตรการป้องกัน เหมือนโรคโควิด ‘สวมหน้ากาก-ล้างมือ’ สงสัยให้โทร.1422

(30 มี.ค.67) กรมควบคุมโรค ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่อง การเพิ่มขึ้นของโรคแบคทีเรียกินเนื้อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' ในประเทศญี่ปุ่น ว่า

กรณีที่ในขณะนี้ ข่าวการเพิ่มขึ้นของโรคแบคทีเรียกินเนื้อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' ในประเทศญี่ปุ่น ที่ทางการญี่ปุ่นกำลังสืบค้นหาสาเหตุของการเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกัน โควิด 19 ร่วมกับอาจมีสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วยนั้น

กรมควบคุมโรค ขอเรียนชี้แจงเบื้องต้นว่า เชื้อแบคทีเรีย 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' นี้ เป็นเชื้อก่อโรคที่มีมานานแล้ว และมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ ก่อให้เกิดอาการแสดงของโรคได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่อาการน้อยหรือปานกลาง ได้แก่ การติดเชื้อของคอหอย ต่อมทอนซิล และระบบทางเดินหายใจ หรืออาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง ส่วนหนึ่งของผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรง (ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย) ได้แก่

มีการอักเสบอย่างรุนแรงของผิวหนังชั้นลึก หรือเกิดภาวะช็อกที่อาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยหนึ่งในอาการแสดงของโรคและอยู่ในระบบเฝ้าระวังของประเทศไทยคือ 'โรคไข้อีดำอีแดง หรือ Scarlet fever' ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่ต้อง เฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เกิดได้ทุกช่วงอายุแต่มักเป็นในเด็กวัยเรียน ติดต่อจากคนสู่คนโดยการใกล้ชิดและหายใจรับละอองฝอยของเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ที่มีเชื้อ หรือละอองเชื้อโรคสัมผัสกับตา จมูก ปาก หรือสัมผัสผ่านมือ สิ่งของเครื่องใช้ เช่น จาน ชาม แก้วน้ำ เป็นต้น อาการที่พบ คือ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ไข้ และอาจมีผื่นนูนสากๆ ตามร่างกาย (จากเชื้อสร้างสารพิษ) สัมผัสแล้ว มีลักษณะคล้ายกระดาษทราย

กลุ่มเสี่ยงของโรคจะเป็นเด็กวัยเรียน อายุ 5 - 15 ปี ที่อยู่รวมกัน จำนวนมาก เช่น เด็กนักเรียนในโรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก ฯลฯ จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567 พบผู้ป่วย 4,989 ราย ไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต สำหรับปี พ.ศ. 2567 ยังไม่พบรายงาน

ส่วนในกรณีอาการรุนแรงนั้น จากระบบโครงสร้างฐานข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (43 แฟ้ม) ของประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 - 2566 กรณี Toxic Shock Syndrome พบว่า มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล จำนวน 204 ราย เฉลี่ยปีละ 41 ราย และมีแนวโน้มลดต่ำลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยในปี พ.ศ. 2566 พบผู้ป่วย จำนวน 29 ราย

ส่วนกรณีโรคแบคทีเรียกินเนื้อหรือโรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) ซึ่งอาจเกิดได้จากแบคทีเรียหลายชนิด (โดย 1 ในเชื้อสาเหตุคือ 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ') จากการติดตามใน พ.ศ. 2562 - 2566 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั้งสิ้น 106,021 ราย มีจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยภาวะดังกล่าว 1,048 ราย คิดเป็นอัตราป่วยตายประมาณร้อยละ 1.0 แนวโน้มการรายงานผู้ป่วยคงที่และลดลงในปี พ.ศ. 2566 โดยมีอัตราป่วย 27.35 ต่อแสนประชากร (จากเดิมร้อยละ 32.5 ต่อแสนประชากร) พบรายงานผู้ป่วยตลอดทั้งปีแต่สูงสุดในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมของทุกปี

จากการติดตามข้อมูลดังกล่าว ยังไม่พบว่าอุบัติการณ์การติดเชื้อนี้มีการเพิ่มขึ้น หรือรุนแรงขึ้นในประเทศไทย

การติดเชื้อนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ดังนั้นการไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ การได้รับยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง รวดเร็ว เหมาะสม จะช่วยให้ลดความรุนแรงของโรค และช่วยลดการแพร่เชื้อสู่คนรอบข้างได้ ในรายที่อาการเป็นมากอาจต้องร่วมกับการผ่าตัดเนื้อตายออก กลุ่มเสี่ยงที่อาจจะมีอาการรุนแรง คือ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเป็นผู้ที่มีรอยโรคที่ผิวหนังมาก่อน

เนื่องจากการแพร่ระบาดหลักของเชื้อนี้เป็นทางระบบทางเดินหายใจ (โดยอาจร่วมกับการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งหรือหนองจากแผล ในกรณีมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง) และการติดเชื้อนี้พบได้ทุกช่วงอายุ

ดังนั้นมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 จึงสามารถช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อนี้เช่นกัน การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก หรือเมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรต้องระมัดระวังควรสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ไม่ใช้ภาชนะ เช่น แก้วน้ำ ช้อน ร่วมกับผู้อื่น และรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด

โดยกรมควบคุมโรคยังคงติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อ 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' ในญี่ปุ่นนี้อย่างต่อเนื่อง ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก แนะนำประชาชน ถ้ามีไข้ เจ็บคอ ร่วมกับมีผื่นสากนูน หรือตุ่มหนองที่ผิวหนัง หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก ควรรีบไปพบแพทย์ (โดยเฉพาะถ้าหลังกลับจากต่างประเทศ ภายในช่วง 1 สัปดาห์แรก) เพื่อรับการวินิจฉัย รักษา และแยกโรคอย่างถูกต้อง การเดินทางไปต่างประเทศ ยังคงต้องรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอ หากมีข้อสงสัยประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

‘จอย ศิริลักษณ์’ ทำบุญให้ ‘ตั้ว ศรัณยู-ผู้เสียชีวิต’ ระหว่างชุมนุมพันธมิตร ย้ำ!! ศาลฯ ‘ยกฟ้อง’ ให้กับทุกท่าน ที่ทำความดี เพื่อประเทศชาติ

(30 มี.ค.67) หลังจากศาลพิพากษา 'ยกฟ้อง' คดีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมปิดล้อมสนามบิน ช่วงปี 2551 โดยยกฟ้องจำเลยทั้ง 67 คนทุกข้อหา

ล่าสุดนักแสดงสาว 'จอย ศิริลักษณ์ ผ่องโชค' หนึ่งในผู้ต้องหาคดีดังกล่าว ได้ออกมาโพสต์ภาพทำบุญตักบาตรพระ เพื่อเป็นสิริมงคลและอุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับจากการชุมนุมผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ด้วยแคปชันว่า

“ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลนี้ให้ พี่ตั้ว ศรัณยู น้องโบว์ สารวัตรจ๊าบ 'ผู้เสียชีวิตระหว่างชุมนุมพันธมิตร' และ 'ผู้เสียชีวิตระหว่างต่อสู้คดี' ขอให้ทุกท่านโปรดรับรู้ว่า ศาลพิพากษา 'ยกฟ้อง' ท่านได้กระทำคุณงามความดีเพื่อประเทศชาติโดยแท้ ขอให้กุศลที่ท่านทั้งหลายได้เสียสละจนวาระสุดท้ายนั้น จงเป็นบารมีหนุนนำทุกท่านตลอดไป ทุกภพชาติ สาธุ”

ทหารเรือ ทำ pcr ช่วยเหลือชาวต่างชาติหยุดหายใจ รอดชีวิตหวุดหวิด

น้ำใจทหารเรือ ใช้วิชาที่กองทัพเรือ ฝึกสอนการทำ pcr (ปั๊มห้วใจ) ช่วยเหลือชาวเนเธอร์แลนด์ หมดสติรอดชีวิตหวุดหวิด

เหตุการณ์ รายนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อ วันที่ 29 มี.ค.67 ระหว่างเวลา 16.00 น. - 17.000 น.  ในขณะที่ พ.จ.ท.นิวัฒน์ กังหัน กำลังพลในสังกัด ร.ล.บางปะกง กองเรือฟริเกตุที่ 2 กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ (กฟก.2 กร.)  ได้พบเห็นเหตุการณ์ชาวต่างชาติหมดสติในรถยนต์ บริเวณลานจอดรถห้างแมคโคร สาขาสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรีโดยมีภรรยาชาวไทย ของชาวต่างชาติคนดังกล่าวเข้ามาขอความช่วยเหลือ พ.จ.ท.นิวัฒน์ฯ และภรรยา จึงเข้าไปทำการช่วยเหลือ 

จากการสังเกตอาการในเบื้องต้น พบชายชาวต่างชาติ ทราบชื่อภายหลัง นายซาคาเรียส ครกเค่ สัญชาติเนเธอร์แลนด์ นอนหมดสติอยู่ภายในรถยนต์ลักษณะนอนหงาย ไม่รู้สึกตัว พ.จ.ท.นิวัฒน์ฯ และภรรยา จึงได้ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ในการนำ นายซาคาเรียส ลงจากรถมาในพื้นที่โล่งแจ้ง อาการเบื้องต้นไม่หายใจ ไม่มีชีพจร 

พ.จ.ท.นิวัฒน์ฯ เริ่มทำการ cpr และรีบโทร. แจ้ง 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากการทำ cpr นายซาคาเรียส เริ่มหายใจได้เอง เริ่มมีชีพจร แต่ยังไม่ได้สติ จึงจับนอนตะแคง แต่นายซาคาเรียส หยุดหายใจอีกครั้ง จึงได้ทำการ cpr ต่อในครั้งที่ 2 หลังจากนั้น มีพยาบาลมาช่วยสังเกตอาการ 2 คน พบว่ามีชีพจรได้สักพักก็หยุดหายใจอีกครั้ง ต่อมามีกำลังพลของกองทัพเรือ ในบริเวณนั้น เข้ามาช่วยทำ cpr อีกครั้ง จนกระทั่งรถพยาบาลฯ มาถึงและรีบนำตัวส่ง รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อย่างเร่งด่วน

ปัจจุบัน นายซาคาเรียส ครกเค่ รักษาตัวอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤติโรคหัวใจ (CCU) รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ซึ่งทางญาตไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาตัวและบันทึกภาพ

จากการสอบถามทราบว่า พ.จ.ท.นิวัฒน์ ฯ เป็นอาสาสมัครกู้ชีพของ กฟก.2 รุ่นที่ 2 ตามโครงการอาสาสมัครกู้ชีพ กฟก.2 ที่จัดอบรมที่ รพ.อาภากรเกียรติวงษ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ เดือนละ 60 นาย จึงมีความมั่นใจในการช่วยเหลือชีวิตผู้ประสบเหตุดังกล่าว 

ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าว นับเป็นกำลังพลของกองทัพเรือ ที่ใช้ความรู้ความสามารถที่ได้รับการฝึกอบรมมา ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงยิ่งในการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ สมควรได้รับการยกย่องและเป็นแบบอย่างที่ดีต่อกำลังพลของกองทัพเรือ ตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ที่มอบไว้ แก่หน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ มุ่งสู่เป้าหมาย “กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่น และภาคภูมิใจ – The Trusted Navy”

ตำรวจ - กสทช. - กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดปฏิบัติการ TAKE DOWN SCAMMER ทลายฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ค้น 3 จุด นครศรีธรรมราช รวบ 63 ต่างชาติ - ไทย ซุกโรงแรม โกดังของมือ 2 ยึดซิมผีนับพัน

จากนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขัน ปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รอง ผบ.ตร. ) รักษาราชการแทน ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยตำรวจในพื้นที่บูรณาการหาข่าว ปราบปรามขยายผลให้ถึงผู้บงการ ยึดทรัพย์ และนำตัวมาดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้ปรากฏทางการสืบสวนพบว่า มีกลุ่มแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติมาตั้งฐานอยู่ทางภาคใต้ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. บูรณการกำลังเข้าปฏิบัติการ

วันนี้ ( 29 มีนาคม 2567 ) เวลา 16.30 น. ที่ สภ.ฉวาง จว.นครศรีธรรมราช พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านอาชญากรรมเทคโนโลยี ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช. ) ด้านกฎหมาย ในฐานะประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ นายไตรรัตน์ วิริยะศิรติกุล รักษาการ เลขาธิการ กสทช. พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงผลการปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการหลอกลวงประชาชนทางออนไลน์เครือข่ายใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี( ผบช.สอท. ) , พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8, พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5, พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลง

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ เปิดเผยว่า จากการสืบสวนสอบสวนเชิงรุกของตำรวจ ร่วมกับ กสทช.และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ผนวกกับการตรวจสอบแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ตำรวจ สอท. 5 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายค้นจากศาล เข้าตรวจค้น 3 จุด จุดแรกโรงแรมแห่งหนึ่งในตำบลจันดี อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรรมราช และอีก 2 จุด คือ บ้านพัก ใน อ.ฉวาง ขยายผลไปยัง โกดังจำหน่ายสินค้าญี่ปุ่นมือสอง ในพื้นที่ อ.นาบอน จ.นครศรีธธรมราช พบผู้ต้องหา และของกลางจำนวนมาก โดยพบความเชื่อมโยงกัน สถานที่ดังกล่าวถูกใช้เป็นฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ที่ทำเป็นขบวนการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน โดยจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้ 63 ราย สัญชาติไทย 12 ราย สัญชาติอื่น 51 ราย พร้อมของกลางประกอบด้วย

1. คอมพิวเตอร์ 223 เครื่อง
2. โทรศัพท์มือถือ และซิมการ์ดผี 1,300 รายการ
3. เราเตอร์กระจายสัญญาณ 12 เครื่อง
4 .สมุดบัญชีธนาคาร ( บัญชีม้า )  80 เล่ม

ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า ดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหา ในความผิด ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ, พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าวฯ, พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, พ.ร.บ.โทรคมนาคมฯ, พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ ประกาศ กสทช. เรื่อง การยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการฯ และจะมีการขยายผลการกระทำผิดไปถึงทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการยึดทรัพย์อย่างเด็ดขาด

“แก๊งนี้ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ โดยในครั้งนี้ทางทูตตำรวจจีน และญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมตรวจสอบการกระทำผิดเพื่อนำไปสู่การขยายผลการกระทำผิดในประเทศจีนและญี่ปุ่นต่อไป ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เป็นการตอบสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง” พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าว 

ด้าน พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบการสื่อสารข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์  และซักถามกลุ่มผู้ต้องหาพบว่าแก๊งหลอกลวงทางออนไลน์แก๊งนี้มีพฤติการณ์ดังนี้

• หาเหยื่อผ่านทางช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแอปพลิเคชันเทเลแกรม
• ชักชวนเหยื่อให้ช่วยแนะนำรีวิวโรงแรม รีสอร์ท ที่พัก ต่าง ๆ โดยล่อลวงว่าจะได้รับรางวัลตอบแทนเป็นที่พัก หรือตั๋วเครื่องบินฟรี
• หลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ
• เมื่อเหยื่อหลงกลจะส่งข้อความแนบลิงก์เพื่อยืนยันการรับรางวัล ทั้งที่ความจริงเป็นลิงก์อันตราย ติดตั้งแอปฯ ควบคุมโทรศัพท์มือถือจากระยะไกล ( รีโมท )
• จากนั้นคนร้ายจะใช้ข้อมูลส่วนตัวที่เหยื่อให้ไว้เข้าถึงบัญชีธนาคารผ่านโมบายแบงก์กิ้ง ดูดเงินออกจากบัญชีของเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีกลอุบายหลอกให้ลงทุนด้วยวิธีต่าง ๆ ด้วย
 
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวด้วยว่า ในการจับกุมครั้งนี้ ตำรวจ กสทช. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ  ได้ทำการรื้อถอน และตรวจยึดอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, รวมทั้งซิมการ์ด ซึ่งเป็น ซิมผี ไม่ได้ลงทะเบียนหรือลงทะเบียนไม่ถูกต้องตามกฎหมายและประกาศ กสทช.กำหนด ไปตรวจสอบทางเทคนิคเพื่อขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความมุ่งมั่นในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างจริงจัง เด็ดขาด

ทั้งนี้ขอย้ำเตือนภัยแก่พี่น้องประชาชนขอให้ระมัดระวังไม่หลงเชื่อกลลวงของมิจฉาชีพออนไลน์ ที่ใช้อุบายต่าง ๆ ในการล่อลวง และหากตกเป็นเหยื่อสามารถแจ้งเหตุ อายัดเงินด่วน ได้ทางสายด่วน โทร.1441 ศูนย์ AOC โดยไม่มีช่องทางไลน์ หรือเพจเฟซบุ๊กใด ๆ และสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th ช่องทางเดียวเท่านั้น โดยไม่มีช่องทางไลน์ หรือเพจเฟซบุ๊ก

อดีตสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ชี้ การต่อสู้ ความรุนแรง ขัดแย้งกับคำสอน ย้ำ!! ถ้าคิดแต่จะต่อต้านรัฐบาล เราจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าว Utusan TV ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ อดีตสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย โดยได้ระบุว่า...

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของประเทศไทยได้ปลูกฝังความเชื่อที่ศาสนาและชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนั้นถูกกดขี่ แต่ความจริงก็คือชาวมุสลิมได้รับอิสระในการเผยแพร่คำสั่งสอนศาสนาและความเชื่อที่แท้จริง AFIQ MOHD SHAH นักข่าว พร้อมด้วยช่างภาพ ABDUL RAZAK AID และช่างวิดีโอ WAN AIZZAT JAIL ANI ได้เข้ามาจัดทำรายงานพิเศษ เรื่อง 'ค้นหาสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย' ออกมาตีแผ่สู่สาธารณะ โดยล้วงลึกถึงเรื่องราวของอดีตสมาชิกของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ 'กลับตัว' สู่เส้นทางที่ถูกต้อง คือ สาและ (ชื่อสมมุติ) ผู้ซึ่งได้ตระหนักว่าความเชื่อและอุดมการณ์ที่ 'ปลูกฝัง' ในสมาชิกทุกคนไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม 

สาและ ปัจจุบันอายุ 54 ปี ได้เล่าให้ทีมข่าว Utusan TV ฟังว่า "ไม่ว่าการต่อสู้ของเราจะเป็นอย่างไร หากเราหนีจากการต่อสู้ของศาสนทูตของอัลลอฮ์นั้นเป็นการต่อสู้ที่ขัดแย้งกับศาสนา ดังนั้นผมจึงเห็นว่าการต่อสู้ของพวกเขาไม่เหมือนกับการต่อสู้ของศาสนทูตของอัลลอฮ์" 

สาและ ได้เข้าร่วมกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในปี 1992 หลังจากจบการศึกษาด้านศาสนาอิสลาม เดิมที เขาสนใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าวที่พยายามต่อสู้เพื่อได้เอกราชให้กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยหลังจากเข้าร่วมกลุ่มเขาได้รับมอบหมายให้ปลูกฝังอุดมการณ์ในหมู่คนหนุ่มสาวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเพื่อยกระดับจิตวิญญาณและการแก้แค้นต่อรัฐบาลไทย 

"ทุกครั้งที่มีการบรรยาย มันจะต้อง เกี่ยวข้อง กับศาสนา จะถูกหรือผิดก็ว่าไปตามอุดมการณ์" อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เริ่มมองหาคนที่มีประสบการณ์และมีความรู้เพื่อเจาะลึกคำสอนที่แท้จริงของ (อิสลาม)

"ตัวอย่าง เช่น ศาสนทูตของอัลลอฮ์เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อออกไปทำสงคราม ห้ามฆ่าเด็ก สตรี นักศาสนา และอย่าทำลายการเกษตร แต่ผมเห็นว่าเมื่อการต่อสู้ของกระบวนนี้ ผู้หญิง เด็ก และผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน จากการต่อสู้ของศาสนทูตของอัลลอฮ์ " จากจุดนั้นผมเริ่มคิดว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ถูกต้องตามคำสั่งสอนของศาสนทูตของอัลลอฮ์ หนึ่งในนั้นคือการฝึกฝนน้อยลง นั่นคือจุดที่ผมคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด" 

สาและ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การต่อสู้ที่จุดประกายโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนนั้นไร้ประโยชน์เพราะศาสนาอิสลามมีอิสระที่จะปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเต็มที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนดังกล่าว

"ถ้าผมต้องการต่อสู้เพื่อศาสนา ผมเห็นว่ารัฐบาลสยามได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างเต็มที่ โรงเรียนสอนศาสนาเกิดขึ้นเหมือนเห็ด" ในแง่ของการศึกษา การเผยแพร่ความรู้ด้านศาสนา และ การชักจูงในการประกอบศาสนกิจนั้น ไม่มีอุปสรรคใด ๆ และแม้แต่สำนักงานใหญ่ของ การเผยแพร่ความรู้ด้านศาสนา และการประกอบศาสนากิจ ก็สามารถเปิดได้ ดังนั้นเราต้องคิดให้รอบคอบ มองโลกให้กว้างขึ้น" สาและ กล่าว 

ในเวลาเดียวกัน สาและได้เน้นว่าการละเว้น 'ญิฮาด' ในการก่อความรุนแรงนั้น ญิฮาดสำหรับตัวคุณเองและครอบครัวของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนรอมฎอนนี้จะดีกว่า เขายังต้องการเห็นคนรุ่นใหม่ในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ มีความรู้ และสามารถนำไปสู่การเป็นสังคมที่ดีที่สุดได้ "เป็นความหวังของเรา ถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับ ศาสนาหรือโลก มีแต่ความคิดต่อต้านรัฐบาล เราจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้"  คนที่ต่อสู้เรื่องนี้จริง ๆ มีไม่มากนัก ในบรรดาคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย มี 3 ประเภทนั่นคือ 1) ที่ไม่รู้อะไรเลย 2) ที่ไม่ชอบกลุ่มแบ่งแยกดินแดน  3) ผู้ที่สนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดน และผมเห็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย และไม่ชอบพวกเขา (กลุ่มแบ่งแยกดินแดน) นั้นมีมากกว่า

ทั้งนี้ หลังจากแยกตัวออกจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดน สาและได้ตัดสินใจ 'ยอมมอบตัว' ต่อรัฐบาลไทย และถูกจัดให้อยู่ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยไม่มีการกดดันหรือถูกทรมานใด ๆ 

ประสบการณ์ เดียวกันนี้ ยังได้ถูกบอกเล่าผ่านอดีตสมาชิกอีกคนหนึ่งของฝ่ายแบ่งแยกดินแดนที่รู้จักกัน ในชื่อ 'มัต' วัย 34 ปี 'มัต' เล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์การเผารถยนต์และรถประจำทาง เขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าวบนพื้นฐานของการแก้แค้น เพราะเขาเห็นเพื่อนชาวบ้านหลายคนเสียชีวิตซึ่งเข้าใจว่า ถูก 'กดขี่' แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว หลังจากที่มัตหนีไปมาเลเซียและอาศัยอยู่ในรัฐยะโฮร์เป็นเวลา 4 ปีอย่างผิดกฎหมายโดยการข้ามเข้าไปทางเส้นทางธรรมชาติ "หลังจากใช้ชีวิตในรัฐยะโฮร์เป็นเวลา 4 ปี 'มัต' เล่าว่า ตนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะคิดถึงพ่อแม่ที่แก่ชรา และคิดว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาในหมู่บ้านตนจะไม่มีเวลาขอโทษพวกเขา จากนั้นผมก็ตัดสินใจกลับไปที่หมู่บ้านและไม่ทำอะไรเลยเป็นเวลา 3 เดือน และบอกกับแม่ว่าต้องการมอบตัว" 

บนพื้นฐานของความรักที่มีต่อพ่อแม่ของเขา 'มัต' ตัดสินใจยอมจำนนและถูกจัดให้อยู่ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพเช่นเดียวกันกับ 'สาและ' 'มัต' หวังเพียงว่าเพื่อนและชาวบ้านที่ยังคง 'ภักดี' ต่อกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจะคิดถึงอนาคตของตัวเองและครอบครัว 

"ตอนแรกผมไม่เชื่อ เพราะผมกลัวว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะทรมานเมื่อถูกส่งมาที่นี่ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ทันทีที่ผมมาถึงสถานที่แห่งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐไม่เพียงแต่ไม่จะหลอก แต่ยังให้ความช่วยเหลือมากมาย รวมถึงให้เบี้ยเลี้ยง บางคนถึงกับพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่มีการกดดันหรือการทรมานใด ๆ จากเจ้าหน้าที่รัฐ เราสามารถเข้า-ออก และ ได้รับเบี้ยเลี้ยง" มัตกล่าว

นี่คือคำสัมภาษณ์และเรื่องราวจริง‼️ ของอดีตสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่ 'กลับตัว' สู่เส้นทางที่ถูกต้อง ที่ออกมาถ่ายทอดเรื่องราวสู่สาธารณะชน

ตำรวจภาค 4 ตรวจเข้มสถานบริการทั่วอีสานเหนือ สร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวก่อนเทศกาลสงกรานต์

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้สั่งการให้ตำรวจภาค 4 ตรวจสอบสถานบริการ และแหล่งอบายมุข ต่างๆในพื้นที่ 12 จังหวัดภาคอีสานตอนบน โดยนำกำลังตำรวจประกอบด้วย ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์, ขอนแก่น, นครพนม, บึงกาฬ, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ร้อยเอ็ด, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู, อุดรธานี และตำรวจจาก บก.สส.ภ.4 ทั้งในและนอกเครื่องแบบ รวมทั้งฝ่ายปกครอง เข้าร่วมปฏิบัติการด้วย เน้นตรวจสอบจับกุมสถานบริการที่ผิดกฎหมาย ยาเสพติด เด็กและเยาวชนที่เข้ามาเที่ยวสถานบริการ อาวุธปืน และแหล่งอบายมุข รวมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการประมาณ 1,000 นาย ร่วมกันตรวจสถานบริการในพื้นที่รับผิดชอบ ตั้งแต่กลางดึก ของคืนวันที่ 29 มี.ค.67 ถึงเวลาประมาณ 02.00 น.ของวันที่ 30 มี.ค.67  

ผลการปฏิบัติ ได้ทำการตรวจสอบใบอนุญาตสถานบริการ 32 แห่ง พบว่ามีใบอนุญาต ตรวจสอบสารเสพติดผู้มาใช้บริการกว่า 1,000 คน ตรวจสอบอายุนักเที่ยวในสถานบริการกว่า 2,700 คน  นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ตรวจตราดูแลความปลอดภัยประชาชนที่ไปเที่ยว และประชาสัมพันธ์ กำชับผู้ประกอบการทุกแห่ง มิให้จัดให้มีการมั่วสุม จำหน่ายหรือมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, ระมัดระวัง มิให้มีการพกพาอาวุธ โดยเฉพาะอาวุธปืน มีด หรือสิ่งที่จะเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น เข้าไปในสถานบริการ, มิให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการและปิดสถานบริการตามเวลาที่กฎหมายกำหนด

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ให้กวดขันปราบปราม จับกุมสถานบริการผิดกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ที่จะมาเที่ยวภาคอีสานในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีกด้วย สำหรับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ใกล้จะถึงนี้ ตนได้สั่งกำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่เข้มงวดในการตรวจตราสถานบริการ จับกุมแหล่งอบายมุข ยาเสพติด อาวุธปืน และดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด พล.ต.ท.สรายุทธ กล่าวทิ้งท้าย

‘ดีอี - สธ.’ จับมือพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพประชาชนไว้บนระบบเดียวกัน ยกระดับ 30 บาท

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันเปิดโครงการ ‘พัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย’ ภายใต้กิจกรรมที่ 1 ‘การพัฒนาบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ’ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยนายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงดีอีและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยภายในงานได้มีการเสวนา ในหัวข้อ ‘ความเป็นมาของโครงการ เป้าหมาย การใช้บริการ Cloud การ Exchange ข้อมูล’ ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายแพทย์สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญและมุ่งมั่นให้บริการแก่ประชาชน โดยจัดให้มีระบบคลาวด์กลาง GDCC เพื่อให้บริการด้านการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยสำหรับหน่วยงานภาครัฐ สนับสนุนบริการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ การพัฒนาระบบสารสนเทศแพลตฟอร์มกลางบนคลาวด์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ รพ.สต.ทั่วประเทศ ที่ขาดแคลนบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และงบประมาณ ซึ่งระบบนี้จะได้รับการดูแล ปรับปรุงและพัฒนาจากหน่วยงานส่วนกลางแบบออนไลน์ เป็นการลงทุน สำหรับการพัฒนาและดูแลระบบที่มีต้นทุนต่ำ แต่สามารถเชื่อมโยงการดูแลสุขภาพทุกระดับ ระบบสารสนเทศจะมีระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) ในรูปแบบ Private Cloud ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ช่วยลดงบประมาณให้กับภาครัฐ ในระยะยาวได้ โดยกระทรวงดีอีจะดำเนินการจัดหา พัฒนา ดูแลระบบคลาวด์กลางสำหรับข้อมูลสุขภาพที่มีความปลอดภัย พร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“สดช. และ สธ. ในฐานะหน่วยงานรัฐผู้ดำเนินงานให้บริการโครงการคลาวด์กลาง เชื่อมั่นว่าระบบนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการขับเคลื่อนสู่ Health 4.0 อย่างเป็นระบบ ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแค่เป็นการปรับปรุงการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่สำคัญในการเดินหน้าของประเทศไทยสู่ Health 4.0 ที่จะช่วยสร้างพื้นที่ในการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมในด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวย้ำ 

ขณะที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายเร่งผลักดันการพัฒนาระบบสุขภาพระดับชาติ เพิ่มขีดความสามารถด้านสาธารณสุข สร้างบทบาทของนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนทุกคน ทุกพื้นที่ มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ‘แอปพลิเคชันหมอพร้อม’ แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานกว่า 25.4 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลในสังกัดให้เป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการ มีการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพของประชาชนบนฐานข้อมูลที่มีความปลอดภัย ช่วยให้ประชาชนเข้ารับบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็วลดการรอคอยและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้

“สำหรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 เป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้งปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ และส่วนกลาง ให้อยู่บนระบบเดียวกัน รวมทั้งยกระดับการทำงานหน่วยงานรัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย พร้อมระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล ISO 27001 ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจรกรรม และสามารถนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งยังรองรับการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลภาครัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ร้านยา ร้านแล็บที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ทราบข้อมูลสุขภาพชุดเดียวกัน เช่น ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร การรักษาที่ผ่านมา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ม่วนคัก! 'ระเบียบวาทะศิลป์-รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' เข้าร่วมคณะซอฟต์พาวเวอร์

เสริมทัพคณะซอฟต์พาวเวอร์ ให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม มีการอัพเดตจากทางคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรี โดยเพจเฟสบุ๊ก THACCA บอกข่าวว่า 'ทีมหมอลำ' เข้าร่วมเป็นหนึ่งของการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ประเทศไทย เพราะนี่คือส่วนผสมสำคัญที่ทำให้คนรู้จัก 'ไทย' ผ่านดนตรีในอีกมุมมอง สำหรับรายชื่อคณะอนุกรรมการฯ ชุดใหม่ ที่เข้ามาเสริมทีม ประกอบด้วย 

- สุมิตรศักดิ์ พลล้ำ ประธานภาคีหมอลำ และเจ้าของวงหมอลำ 'ระเบียบวาทะศิลป์' 
- ปราณี พระจันทร์ ผู้บริหารวงหมอลำ 'รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' 

สำหรับ 'ระเบียบวาทะศิลป์' และ 'รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' เป็นวงหมอลำที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดวงหมอลำแห่งยุคสมัย รวมถึงเป็นทีมเครือข่ายภาคีหมอลำประเทศไทยด้วย

โดยรายชื่อ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม “ด้านดนตรี” ประกอบด้วย

1. วิเชียร ฤกษ์ไพศาล (ประธาน) - ประธานและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเวย์-ที ครีเอชั่น จำกัด, ผู้ก่อตั้ง จีนี่ เร็คคอร์ดส์ และอดีตผู้บริหารบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
2. ชลากรณ์ ปัญญาโฉม - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัล บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ ผู้บริหาร บริษัท ทีป๊อป อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด
3. ภาวิต จิตรกร - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) และ กรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
4. พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส มิวสิค จำกัด
5. ณฐพล ศรีจอมขวัญ - ประธานกรรมการ บริษัทลิขสิทธิ์ดนตรี ประเทศไทย จำกัด และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสไปร์ซซี่ดิสก์ จำกัด

6. พงศ์นรินทร์ อุลิศ - ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคทเรดิโอ จำกัด
7. สามขวัญ ตัมสมพงษ์ - กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอท เดอะ ดั้ก มิวสิค จำกัด
8. คาล คงขำ – กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด
9. สุมิตรศักดิ์ พลล้ำ - ประธานภาคีหมอลำ ผู้บริหารวงหมอลำระเบียบวาทะศิลป์
10. ปราณี พระจันทร์ - ผู้บริหารวงหมอลำรัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์

11. พลกฤต ศรีสมุทร - กรรมการผู้จัดการ บริษัท วายยูพีพี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด และ บริษัท แร็พอิสนาว จำกัด
12. พิเศษ จียาศักดิ์ - กรรมการเครื่องหมายการค้า และ ที่ปรึกษา บจ.ลิขสิทธิ์ดนตรี (ประเทศไทย) จำกัด
13. อนุชา โอเจริญ – ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Rats Records
14. อรศิริ ประวัติยากูร - หัวหน้าฝ่ายโปรเจ็กต์ต่างประเทศ ค่ายสมอลล์รูม และ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์, เทนเซ็นต์ ไทยแลนด์ (สื่อ, บันเทิง)
15. พงศ์สิริ เหตระกูล - ผู้บริหารค่ายเพลง NO1R และสื่อ Nylon Bangkok
16. นัดส์ เจดีย์ - ผู้ก่อตั้ง Loudly Prefer
17. อนันต์ ลือประดิษฐ์ - ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการอำนวยการสื่อ The People
18. ปิยะพงษ์ หมื่นประเสริฐดี - ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการบริษัท ฟังใจ จำกัด 
19. ลลิส วรพชิรากูร (เลขานุการ) - ที่ปรึกษาและนักวางแผนกลยุทธ์เชิงพาณิชย์และการมีส่วนร่วมด้วยนวัตกรรม (ธุรกิจสร้างสรรค์และบันเทิง)

‘โจ มณฑานี’ โพสต์ ‘ยูทูบเบอร์เกาหลี’ ปลื้ม คนไทย ให้เกียรติ ยืนเคารพ ‘เพลงชาติเกาหลี’ ทึ่ง!! ไม่เคยเห็นมาก่อน

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) ‘โจ มณฑานี ตันติสุข’ นักเขียน นักจัดรายการวิทยุ พิธีกรและวิทยากรการเงิน ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ยูทูบเบอร์เกาหลี ที่มีความประทับใจต่อคนไทย โดยได้ระบุว่า ...

เวลาเจอคนไทยบางจำพวกที่ประชดว่าทำไมต่างจังหวัดไม่เห็นเจริญเหมือนกรุงเทพ หรือเอาประเทศเราไปเปรียบกับเกาหลีใต้ ว่าเรายังไม่พัฒนา ยังดักดาน ไม่เจริญเท่าเค้าเลย พี่โจมักจะตอบเสมอว่า..ขึ้นกับว่าคุณวัดความเจริญที่ตึกระฟ้า ที่ไฮเทคโนโลยี 
***หรือวัดกันที่ความเจริญของจิตใจประชาชน**

คลิปนี้พี่โจเจอจากช่องยูทูบ 'มุมมองเพื่อนบ้าน' ค่ะ ดูแล้วปลื้มปริ่ม ตื้นตัน ใน “ความเจริญทางจิตใจของพี่น้องชาวไทยร่วมชาติ” จริงๆ ค่ะ เพราะยูทูบเบอร์เกาหลีผู้พูดไทยชัดมาก เขาไปดูบอลไทยเตะกับเกาหลี แต่ไปนั่งฝั่งกองเชียร์ไทยซะงั้น

แต่เมื่อเพลงชาติเกาหลีกระหึ่มขึ้นเขาตกใจมากที่เห็นกองเชียร์ไทย 50,000 กว่าชีวิตพร้อมใจลุกขึ้นยืนเคารพเพลงชาติเกาหลี อย่างมีระเบียบมีมารยาทงดงามยิ่ง ซึ่งเขาไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนในชีวิต 

และในคอมเมนต์ใต้คลิปของคนเกาหลีล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันไม่มีแตกแถวเลยว่าชื่นชมตื้นตันใจและขอบคุณคนไทยจริงๆ หลายคอมเมนต์ยังจดจำได้อีกว่าคนบางประเทศเมื่อได้ยินเพลงชาติเกาหลีในสนามฟุตบอล ก็ต่างส่งเสียงโห่ฮาป่า ตะโกนไล่อย่างไม่เคารพและเกรงใจ
นอกนั้นยังมีอีกหลายคอมเมนต์มาขอบคุณคนไทยที่ส่งทหารไทยไปช่วยรบในสงครามเกาหลี 

และมีอยู่คอมเมนต์หนึ่งที่ทำพี่โจน้ำตาแตกไปเลยค่ะ คือคอมเมนต์ที่เขาจำได้ว่า..ตอนเกาหลีไม่มีข้าวจะกิน อดอยากทั้งแผ่นดินนายกเกาหลีได้เดินทางมากราบทูลขอพระราชทาน 'ข้าว' จาก “ในหลวงของประเทศไทย” เพื่อให้ชาวเกาหลีรอดตาย

(พี่โจแคปคอมเมนต์คนเกาหลีแบบแปลออโต้มาให้แล้วนะคะ)

นี่ละค่ะ คือความเจริญศิวิไลซ์ที่แท้จริง และยิ่งใหญ่กว่าซอฟต์พาวเวอร์ใดในโลก
นั่นคือ #ความใจสูงของคนไทย จริงๆ ค่ะ

ดูคลิปแล้วน้ำตาเอ่อด้วยความสุดปิติและสุดภาคภูมิหัวใจจริงๆ   
https://youtu.be/mQBKVIof5NQ?si=uwFSZrKb0ImAOEtW

ลิงก์ต้นฉบับช่องเกาหลีนะคะ ลงคลิป 17 ชม. คนดูจะสองแสนวิวแล้วววว!!
ช่วยกันไปกดไลก์เขียนคอมเมนต์ให้กำลังใจเจ้าของช่องกันเยอะๆ นะคะ https://youtu.be/7ul2zcQmK48?si=rq71OvSucvgZOd87 นาทีที่ 8 กว่าค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top