Sunday, 11 May 2025
NEWS FEED

'อัษฎางค์' อึ้ง!! ชาวต่างชาติยังไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตะวันต่อขบวนเสด็จฯ พร้อมย้ำ!! ขนบธรรมเนียมที่เป็นของตนเอง ต้องยึดมั่นเอาไว้ อย่าหลงตามฝรั่ง

(2 เม.ย. 67) อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ชาวต่างชาติทราบข่าวตะวันบีบแตรไล่ขบวนเสด็จ โดยระบุรายละเอียดว่า เมื่อสักครู่เรียก Uber กลับบ้าน วันนี้ไม่ได้ขับรถเข้าเมืองเพราะหาที่จอดรถยาก

น้องอิงลูกชายถามว่า ไม่กลัวเหรอที่เรียก Uber ตอนค่ำ ๆ

ผมตอบว่า กลัวทำไม

น้องอิงบอกว่า อิงกับม่ามี๋ไม่กล้าเรียก Uber ตอนมืด ๆ

ผมตอบว่า ปกติพ่อก็ขับรถเอง โดยเฉพาะมืด ๆ ค่ำ ๆ ไม่เคยนั่ง Uber เหมือนกัน

พอเรียก Uber ปรากฏว่าได้คนขับเป็นคนแอฟริกันผิวดำ เลยนึกถึงการทักเรื่องปลอดภัยของลูกชาย ซึ่งคนดำก็มีภาพพจน์ที่ดูน่ากลัวเป็นปกติ ก็เลยชวนคนขับรถคุย จะได้รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง

คนดำคนนี้ขับรถคัมรี่ใหม่เอี่ยม ถามได้ความว่า เขาเป็นเจ้าของภัตตาคารอาหารไนจีเรียอยู่ใน New Town เพิ่งเลิกกิจการมาขับ Uber ได้ 3 วันเท่านั้น เพราะกิจการไม่ค่อยดี นอกจากมาขับ Uber แล้วยังทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนด้วย

พอพูดถึงเมืองจีน เขาเลยถามผมว่า เป็นคนจีนรึเปล่า

ผมตอบว่า ผมเป็นคนไทย

เขาก็พูดขึ้นทันทีว่า I love Thailand ฉันรักเมืองไทย ผู้หญิงไทยสวย

ผมเลยแซวว่า ตกลงรักเมืองไทยหรือสาวไทย

เขาตอบว่า ทั้งคู่ แล้วหัวเราะใหญ่

ผมถามว่า เคยไปที่ไหนของเมืองไทย

เขาตอบว่า บางกอก

เขาเรียกกรุงเทพว่า บางกอก แบบคนไทยชัด ๆ เลย โดยไม่ได้เรียกว่า Bangkok (ผมเจอคนต่างชาติที่เรียกกรุงเทพฯ ว่าบางกอก อยู่เนือง ๆ )

แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า

ฉันเห็นข่าว ที่มีเด็กผู้หญิงบีบแตรไล่ขบวนเสด็จของ King (เขาเข้าใจผิดไปนิดนึงว่า ขบวนเสด็จของกรมสมเด็จพระเทพฯ เป็นขบวนเสด็จของ King)

ผมเลยพูดว่า คุณรู้ใช่มั้ยว่า ทุกประเทศในโลก ก็มีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษสำหรับประมุขของชาติหรือบุคคลสำคัญ เช่น บุคคลในราชวงศ์

เขาตอบว่า ใช่ เป็นแบบนั้น

แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า เด็กรุ่นใหม่พวกนี้ โดนชาติตะวันตกล้างสมองละมั้ง

เขายังพูดต่อไปว่า…

ทุกประเทศต่างมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของตนเอง เราต้องยึดมั่นในวัฒนธรรมของเรา ไม่ใช่เลียนแบบฝรั่งไปเสียทุกอย่าง

ฝรั่งพวกนั้นคิดแต่จะแผ่อิทธิพลไปแทรกแซงชาติต่าง ๆ เราไม่ควรหลงกล

โอโห้ พี่ไนจีเรีย อดีตเจ้าของภัตตาคารหมาด ๆ และกำลังเริ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ที่อาศัยขับ Uber เป็นอาชีพเสริมในช่วงที่กำลังตั้งหลักใหม่ พูดถูกใจผมจริง ๆ

พี่ไนจีเรีย พูดย้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง เรื่องการที่พวกเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง เราต้องยึดมั่นเอาไว้ อย่าหลงทางไปกับฝรั่งจนลืมความเป็นตัวเรา

ผมเคยมีเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนดำจากประเทศแอฟริกาใต้หลายคนมาก่อน คนดำในแอฟริกามีวัฒนธรรมคล้าย ๆ คนเอเชีย คล้าย ๆ คนไทยหลายอย่าง เช่น การมีนิสัยสนุกสนานและอ่อนโยน มีวัฒนธรรมการเคารพนับถือผู้ใหญ่ เพื่อนผิวดำแอฟริกัน เรียกผมว่า กูรู ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกผู้ใหญ่ที่เขานับถือ

ส่วนคนดำที่เราเข้าใจว่าเป็นคนอันตรายนั้น ไม่ใช่คนดำจากแอฟริกา แต่เป็นคนอเมริกันแอฟริกัน คือคนผิวดำที่เป็นคนอเมริกัน ซึ่งในอเมริกาจะมีคนดำเป็นคนอันตรายที่มักก่อเหตุร้าย

ตอนที่รถวิ่งมาถึงบ้านแล้ว พี่ไนจีเรียก็ยังคุยไม่จบ พอลงรถแล้วผมเลยกดเงินให้ทิปไปหลายตังค์ด้วยความประทับใจในทัศนคติดี ๆ ที่มีต่อเมืองไทย รวมทั้งคำพูดที่ว่า คนไทยควรรักษาความเป็นไทยเอาไว้ (ที่ออสเตรเลีย เราจ่ายเงินค่าสินค้าทุกอย่าง รวมทั้งค่ารถเมล์ รถแท็กซี่หรือ Uber ได้จากมือถือ จากบัตรเครดิตหรือเดบิตของธนาคาร ที่ลิงก์ผ่าน Apple Pay หรือ Google pay)

เล่าสู่กันฟัง ว่าขนาดชาวต่างชาติยังไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตะวันต่อขบวนเสด็จ ซึ่งเป็นคำที่เขาพูดซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง

คนแอฟริกันทั้งหลายเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี และมักแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคนที่โดนกระทำจากฝรั่งผิวขาว เพราะชาติของพวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือการทำตัวเป็นผู้ร้ายในคราบผู้ดีของฝรั่งผิวขาวมาก่อนอย่างยาวนาน

เริ่มต้นจากความไม่ไว้ใจ กลายเป็นความประทับใจในที่สุด

ผบช.สตม. สั่งการเข้ม! ระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนเทศกาลสงกรานต์ เปิดปฏิบัติการฟ้าสางพื้นที่มีนบุรี รวบแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย 23 ราย

พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. รับนโยบาย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิดที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบหลักของ สตม. โดยสั่งการและกำชับให้เพิ่มความเข้มในการตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย  โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่รับผิดชอบงานสืบสวน เน้นการบูรณาการกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2567 พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 ได้จัดให้มีพิธีปล่อยแถวเพื่อระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่บริเวณถนนข้าวสาร และสั่งการให้ดำเนินการตามนโยบาย ผบช.สตม.ในการ X-RAY พื้นที่เสี่ยงโดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในสังกัด กก.สืบสวน บก.ตม.1 สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่จากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และ กอ.รมน.กทม. รวมกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 40 นาย ประชุมวางแผนเพื่อเข้าตรวจสอบบุคคลต่างด้าวหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เมียนมาร์ ลาว และเวียดนาม ที่พักอาศัยอยู่บริเวณจุดต่างๆ ในซอยเจริญพัฒนา แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. ซึ่งได้รับการร้องเรียนและแจ้งเบาะแสจากประชาชน ทั้งทางช่องทางสื่อกระแสหลัก และโซเชียลมีเดีย ว่ากลุ่มแรงงานข้ามชาติจำนวนมากใช้เป็นที่พักอาศัย และรอรับการว่าจ้างให้ใช้แรงงานในกิจการก่อสร้างหารายได้แบบรายวัน

ต่อมาในวันที่ 2 เม.ย.2567 เวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบตามจุดต่างๆ ในซอยเจริญพัฒนาโดยพร้อมเพรียงกัน ตั้งแต่ช่วงแยกเจริญพัฒนา เรื่อยมาจนถึงตลาดเช้ากลางซอย ในระหว่างตรวจสอบกลุ่มคนต่างด้าว ทั้งกลุ่มที่เป็นแรงงานผิดกฎหมาย และกลุ่มที่มีเอกสารถูกต้อง ต่างตกใจแตกฮือ  วิ่งหนี บางส่วนวิ่งไปหลบซ่อนตัวตามป่ารกข้างทาง เจ้าหน้าที่ต้องกระจายกำลังวิ่งไล่ติดตาม จนสามารถจับกุมตัวได้บางส่วน ปฏิบัติการดังกล่าวใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ จึงสามารถควบคุมตัวคนต่างด้าวไว้ได้จำนวนทั้งสิ้น 23 คน มาตรวจสอบจำแนกโดยละเอียดอีกครั้งโดยใช้รถบรรทุกควบคุมผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่ได้เตรียมไว้  ผลการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่าส่วนใหญ่เป็น บุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา 22 คน สัญชาติลาว 1 คน แบ่งเป็นความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย” 16 คน และ ความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” 7 คน ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี และผลักดันออกนอกราชอาณาจักรต่อไป

อนึ่ง สตม.ขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทุกท่านทราบว่า บุคคลต่างด้าวทุกสัญชาติที่เข้ามาในราชอาณาจักร นอกจากจะต้องเข้ามาตามช่องทางอนุญาตตามกฎหมายและได้รับการตรวจลงตราโดยถูกต้องแล้ว ยังมีหน้าที่ที่จะต้องแจ้งที่พักอาศัยต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองตามมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และหากประสงค์จะทำงานในประเทศไทยจะต้องดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตทำงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยนายจ้างที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตจะมีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 มีโทษปรับสูงสุดถึง 100,000 บาท ในส่วนของเจ้าของบ้านหรือผู้ครอบครองเคหสถานยังมีหน้าที่ในการแจ้งต่อ สตม. เมื่อมีบุคคลต่างด้าวเข้ามาพักอาศัยในสถานที่ที่อยู่ในความดูแลของตน ซึ่ง สตม. จะมีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามคนต่างด้าวที่เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งนี้หากผู้ใดให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ ให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ จะมีความผิดตามมาตรา 64 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สรุปดรามา!! เลื่อนงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 งานที่ดูไม่พร้อม-ควรใช้ชื่ออื่น หากอยากจัดเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์

(2 เม.ย.67) จากผู้ใช้แพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) ได้สรุปดรามา เลื่อนงานฟุตบอลประเพณี 'จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์' ครั้งที่ 75 ไว้ว่า...

สืบเนื่องจากเฟซบุ๊ก Ajarin Pattanapanchai ของ น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โพสต์ข้อความ โดยสรุปได้ดังนี้...

งานบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ซึ่งจัดโดยสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ (สนจ.) และสมาคมธรรมศาสตร์ฯ (สมธ.) ครั้งที่ 75  มี สมธ.เป็นเจ้าภาพจัดงาน ซึ่งได้แจ้งเลื่อนการจัดงานมาตั้งแต่ปี 2564-2566 และยังแจ้งโดยวาจาว่า "จะไม่จัดงานในต้นปี  2567"

แต่ สมธ. กลับมีจดหมายแจ้ง สนจ. ว่าจะจัดงานในวันที่ 30 มี.ค. 2567 ขอไปร่วมประชุมและแถลงข่าวการจัดงาน ซึ่งบอกล่วงหน้าแค่ 10 วัน ซึ่ง สนจ. ได้ประชุมและตอบกลับไปว่าไม่พร้อมร่วมจัดงาน เนื่องจาก จะชนกับงานประจำปีของ สนจ. คืองานวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 26 มี.ค. 2567

อีกทั้ง ชุมนุมเชียร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่ผู้รับผิดชอบในการจัดงานบอลประเพณี ได้ออกมาออกประกาศในสื่อ Social Media ว่า สนจ. เป็นต้นเหตุที่ทำให้งานเลื่อนออกไป จึงอยากให้ สมธ.ออกมาชี้แจงให้ชัดเจน  

ทั้งนี้ หากนิสิต นักศึกษาทั้งสองสถาบัน อยากจะจัดเตะบอลเชื่อมความสัมพันธ์กัน ก็ทำได้ ไม่ต้องใช้ชื่องานบอลประเพณี ธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 หรอก (แต่อาจหาสปอนเซอร์ได้ไม่มาก)

#งานบอลจุฬาธรรมศาสตร์

รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” เพื่อชื่นชมและเป็นขวัญกำลังใจกับตำรวจจราจร 2 นาย ที่ใช้ความรู้และทักษะการปฐมพยาบาล ช่วยเหลือประชาชนจนปลอดภัย

วันนี้ (2 เม.ย.67) เวลา 13.00 น. ที่ห้องพรหมนอก ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้แก่ตำรวจจราจร 2 นาย คือ ส.ต.อ.กฤษณชัย ศรีเจริญ ผบ.หมู่ (จร.) สน.ชนะสงคราม ช่วยชีวิตเด็กสำลักอาหารติดคอ และ ส.ต.ต.อนุชิต ฆารไสว ผบ.หมู่ (จร.) สน.คลองตัน ทุบกระจกรถยนต์ ทำการ CPR ช่วยชีวิตชายประสบอุบัติเหตุหมดสติภายในรถ ซึ่งมีปรากฎคลิปภาพ 2 เหตุการณ์ จนมีกระแสชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก 

กรณีแรก เมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 เวลาประมาณ 09.00 น. ส.ต.อ.กฤษณชัย ศรีเจริญ ผบ.หมู่ (จร.) สน.ชนะสงคราม ขณะขับรถจักรยานยนต์ปฏิบัติหน้าที่บริเวณถนนจักรพงษ์ ได้สังเกตเห็นเด็กชายยืนก้มหน้าบ้วนน้ำลายได้สติดี จึงรุดเข้าไปสอบถามได้ความว่า มีอาหารติดอยู่ที่คอ ส.ต.อ.กฤษณชัยฯ จึงได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการรัดกระตุกที่ท้องเหนือสะดือใต้ลิ้นปี่ ตามหลักการปฐมพยาบาล ทำให้อาหารที่ติดอยู่บริเวณลำคอหลุดออกมา จนเด็กชายคนดังกล่าวปลอดภัย

กรณีที่สอง เมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 เวลาประมาณ 11.00 น. ขณะที่ ส.ต.ต.อนุชิต ฆารไสว ผบ.หมู่ (จร.) สน.คลองตัน ปฏิบัติหน้าที่อำนวยการจราจรอยู่บริเวณถนนพัฒนาการ ได้รับแจ้งทางวิทยุว่ามีอุบัติเหตุรถยนต์และรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกันบริเวณปากซอยพัฒนาการ 20 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร จึงได้เดินทางไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พบว่ามีผู้บาดเจ็บเป็นชายนอนคว่ำหน้าหมดสติอยู่ภายในรถยนต์ และประตูรถยนต์ล็อคอยู่ไม่สามารถเปิดได้ ส.ต.ต.อนุชิตฯ จึงได้ตัดสินใจทุบกระจกรถยนต์เพื่อเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บออกจากรถยนต์คันดังกล่าว และได้ทำการ CPR อย่างต่อเนื่อง เพื่อรอเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาต่อไป

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ตนขอชื่นชมการปฏิบัติงานของตำรวจจราจรทั้ง 2 นาย ที่มีไหวพริบปฏิภาณ สามารถนำองค์ความรู้ด้านการปฐมพยาบาลและทักษะด้านการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ได้รับการอบรม มาช่วยเหลือชีวิตของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และทันท่วงที จึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ และเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการตำรวจและสังคมต่อไป

"พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ"ขานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี กำชับ "พล.ต.อ.ธนาฯ" ,"พล.ต.ท.ธัชชัยฯ" และ ผบช.สอท.เร่งปราบอาญาชญากรรมไซเบอร์ อย่างจริงจังให้เป็นรูปธรรมตามกำหนดเวลา 30 วัน 

วันนี้ (2 เมษายน 2567) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปมอบนโยบายในการปฎิบัติหน้าที่ให้กับกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมื่อวานนี้ (1 เมษายน 2567) ที่ บช.สอท. นั้น สาระสำคัญที่นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายและสั่งการคือ ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับต้องขับเคลื่อนเร่งรัดการปราบปรามจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย ที่ใช้กลโกงหลอกลวงพี่น้องประชาชน หรือ คอลเซ็นเตอร์ และเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งการจับกุมจะต้องขยายผลถึงขบวนการ ผู้เกี่ยวข้องในการกระทำผิด ทำลายโครงสร้าง บัญชีม้าต่างๆ อย่างเด็ดขาด โดยผลการปฏิบัติงานต้องเป็นที่ประจักษ์และเป็นรูปธรรมภายใน 1 เดือน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ กล่าวว่า ตนได้สั่งการกำชับ พล.ต.อ.ธนา ชูวงษ์ รอง ผบ ตร รับผิดชอบการสืบสวนสอบสวน และ บช.สอท. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส. ตร.) และ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ให้ขับเคลื่อนตามนโยบายและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างจริงจังและบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตามกำหนดเวลาที่นายกรัฐมนตรีได้กำหนดไว้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ไว้วางใจของพี่น้องประชาชนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการตรวจสอบและปราบปรามเว็บพนันออนไลน์ด้วย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นตัวแทนบุตรหลาน ประกอบพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณไร้ญาติ เนื่องในเทศกาลเช็งเม้ง ประจำปี 2567 ณ สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จ.สมุทรสาคร และ สุสานวัดดอนกุศล (สุสานเก่าของมูลนิธิ) เขตสาทร กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันอังคารที่ 2 เมษายน 2567) และเมื่อวันพุธที่ 27 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก และนายสุหัทย์ ไพรสานฑ์กุล กรรมการ พร้อมด้วย นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ  นำทีมเจ้าหน้าที่บริหาร และพนักงาน เป็นตัวแทนบุตรหลาน ประกอบพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณไร้ญาติ เนื่องในเทศกาลเช็งเม้ง ประจำปี 2567 โดยเครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย เครื่องคาวหวาน กระดาษเงิน-กระดาษทอง และดอกไม้หอม ณ สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร และ สุสานวัดดอนกุศล (สุสานเก่าของมูลนิธิ) เขตสาทร กรุงเทพฯ

เทศกาลเช็งเม้ง กำหนดจัดขึ้นในระหว่างเดือน 2-3 ของจีน ซึ่งจะอยู่ในช่วงประมาณต้นเดือนเมษายนของทุกปี เป็นเทศกาลที่แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยมีอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื้อ ที่สืบทอดมายาวนานกว่าพันปี ก่อนวันพิธี จะมีการทำความสะอาดหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ หลังจากนั้นในวันพิธีจะมีการเซ่นไหว้อาหารคาวหวาน เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ เมื่อไปอยู่อีกภพหนึ่ง

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

'ต่อตระกูล' สลดใจ!! นิสิตจุฬาฯ ด้อยค่าตัวเอง ลบหลู่ 'พระเกี้ยว' สวนทางเจตจำนงอดีตนิสิตจุฬาฯ ที่ขอไว้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

(2 เม.ย. 67) นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

นิสิตจุฬาฯ ด้อยค่าตัวเอง พระเกี้ยว ถูกนำออกมาลบหลู่ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

หากไม่ใช้ ก็ขอพระเกี้ยว จำลองชิ้นนี้ กลับคืนมาให้นิสิตเก่าจำนวนเป็นหลายแสนคนที่เขาเห็นคุณค่าเอามาเก็บรักษาไว้ในที่เหมาะสมเถิด

หมายเหตุ : เมื่อประมาณปี 2512 นายธีรชัย เชมนะสิริ นายก สโมสรนิสิตจุฬาฯ ( สจม.) ได้ทูลขอพระราชทานพระเกี้ยวจำลอง และได้รับพระราชทานมาจากในหลวง ร.9 นิสิตได้นำมาเก็บรักษาไว้เองที่ตึกจักรพงษ์ เพื่ออัญเชิญไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของนิสิต รวมทั้งนำออกมาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจของนิสิตจุฬาฯ ในงานฟุตบอลประเพณีเป็นประจำ โดยเป็นความปรารถนาของนิสิตในยุคนั้นเองทั้งสิ้น

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ หน่วยงานกระทรวงแรงงาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ภาคเอกชน และกลุ่มไทยสมายล์ สถานีประชาชน ไทยพีบีเอส ร่วมกิจกรรมถวายความจงรักภักดี แด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ

วันที่ 2 เมษายน 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วยหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภาคเอกชน รวมถึงทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ และรายการสถานีประชาชน สถานีข่าวไทยพีบีเอส ร่วมกิจกรรมถวายความจงรักภักดี ลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์ และอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือ ตลอดจนเครื่องอุปโภคบริโภค แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ จำนวน 9 ราย ณ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มผลิตน้ำมันมะพร้าว บ้านประดู่ลาย อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ (วันที่ 2 เมษายน) แด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้พิการและผู้ยากไร้ ประกอบไปด้วย รถเข็นวีลแชร์ จำนวน 4 คัน ไม้เท้าพยุงสามขา จำนวน 1 ตัว และวอล์คเกอร์ช่วยเดิน จำนวน 2 ตัว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) มามอบให้กับ ผู้สูงอายุและผู้พิการ ตามที่ได้รับการประสานจาก นางแสงรุ้ง พึ่งสีใส แรงงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ณ ต.ไชยราช อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 2 ราย ได้แก่ นางสาวจิ๋ม พานทอง และ นายจำนงค์ วรสุทธ์ ต.นาหูกวาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 4 ราย ได้แก่ นางอุษา ชมอินทร์ นายกำพล เพชรนิล นายมานิตย์ แซ่จิว และนายสิทธิ์ เจริญรัตน์ และ ต.ไร่เก่า อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 1 ราย ได้แก่ นายสมพงษ์ โพธิ์น้อย นอกจากนี้ยังมีภาคเอกชนนำเครื่องอุปโภคบริโภค ขนมขบเคี้ยว มามอบให้กับน้องๆนักเรียน ใน ต.นาหูกวาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 2 ราย ได้แก่ นางสาวกัญญาภัค รักบุญ (มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทับสะแกวิทยา) และเด็กหญิงพรฤดี เคลือบอาบ (ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านมะเดื่อทอง) 

ซึ่งทั้งเก้าราย เป็นกลุ่มเปราะบาง มีฐานะยากจน และประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ มามอบในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน มอบกำลังใจ ให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบุคคลทั่วไป

ย้อนบทสัมภาษณ์ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เมื่อ 40 ปีก่อน ครั้งหนึ่งทรงรับเลี้ยงเด็กไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์

ย้อนบทสัมภาษณ์เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ครั้งหนึ่ง ‘สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’ ทรงพระราชทานสัมภาษณ์แก่เดวิด โลแมกซ์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี ถึงเรื่องสถานะของพระองค์ และส่วนหนึ่งของโครงการความช่วยเหลือในพระบรมราชินูปถัมภ์ ออกอากาศไปเมื่อปี พ.ศ. 2523

โดย ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ทรงเล่าเรื่องของหนูน้อยฝาแฝดที่ ‘พระราชินี’ ทรงรับเลี้ยงในพระบรมราชินูปถัมภ์ ว่า…

“พระราชินี (พระพันปีหลวง) ทรงเห็นในหมู่พสกนิกรที่มาเข้าเฝ้าเมื่อครั้งเสด็จไปที่จังหวัดหนองคาย และพระองค์ทรงพบว่า แม่ของเด็กมีลูก 9 คน และยากจนมาก ทั้งตัวแม่และลูกตัวซีดและผ่ายผอม พระองค์ตรัสถามว่าขอฝาแฝดคู่นี้ได้ไหม”

ผู้สื่อข่าวของบีบีซีถามพระองค์ว่า เพราะอะไรถึงรับฝาแฝดสองคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ทั่วประเทศมีเด็กที่ลำบากและยากจนมากมาย กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า “บางทีอาจจะเป็นรักแรกพบ”

ผู้สื่อข่าวของบีบีซีถามพระองค์ต่อว่า มีเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้พระบรมราชินูปถัมภ์อีกหรือไม่? กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า “มี ชื่อฉายฉาน เด็กคนนี้มาจากหุบกะพง ที่สหกรณ์ใกล้ ๆ กรุงเทพ เรามักไปเยี่ยมสหกรณ์ และพ่อกับแม่ของเด็กคนนี้ก็เป็นสมาชิกสหกรณ์ วันหนึ่งพ่อของเธอได้ถวายพี่สาวของเด็กคนนี้ ซึ่งหูหนวก เราส่งเธอไปเรียนที่โรงเรียนสำหรับคนหูหนวก ส่วนเด็กคนนี้ (ฉายฉาน) พ่อของเธอถวายให้เรา เพราะแม่ของเด็กคนนี้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เขาไม่สามารถดูแลลูกหลายคนได้ ตัวเขา (พ่อ) ก็ป่วยด้วยเหมือนกัน”

ผู้สื่อข่าวของบีบีซีถามพระองค์ต่อว่า เป็นเรื่องปกติหรือไม่ที่พ่อแม่ถวายลูกให้อยู่ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า “สิ่งนี้ไม่ได้ทำกันเป็นธรรมเนียม แต่ก็มีบ้างบางครั้ง”

‘จักรภพ’ ประเดิมงานแรก หลังบินกลับไทยมารับใช้ชาติ จัดทริปทัวร์พา ‘คนเสื้อแดง’ ไปเที่ยวต่างประเทศ

(2 เม.ย.67) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตแกนนำเสื้อแดง ที่เพิ่งกลับจากการลี้ภัยไปต่างประเทศ โดยอ้างว่าต้องการกลับมารับใช้ชาติ อาสาเป็นตัวกลางพาผู้ลี้ภัยกลับบ้านเกิด

ล่าสุดนายจักรภพ ประเดิมบทบาทใหม่ ด้วยการจัดทัวร์พา ‘คนเสื้อแดง’ ไปเที่ยวต่างประเทศ โดยโพสต์ล่าสุดของนายจักรภพ ระบุว่า “สวัสดีครับ ทริปยุโรปตะวันออก​ ฮังการี​ ออสเตรีย​ เช็ค​ สโลวาเกีย 28 พ.ค.-  4​ มิ.ย.​67 เดินทางด้วยกันไหมครับ ใกล้เต็มแล้วครับ​ มีที่ว่าง​ 8 ที่​ ครับ พบกับคุณจักรภพ​ เพ็ญแข ร่วมเดินทางพร้อมคณะทัวร์”

“ทัวร์เสื้อแดง​ ครั้งที่​ 84 ทัวร์ของคุณจักรภพ​ เพ็ญแข ยุโรปตะวันออก​ ฮังการี​ ออสเตรีย​ เช็ค​ สโลวาเกีย 8​ วัน​ 5​ คืน​ สายการบินเอมิเรตส์ 28 พ.ค.- 4​ มิถุนายน​ 2567”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top