Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

ตอบอีกครั้ง!! เหตุผลที่ผู้ผลิต 'แอนิเมชัน 2475' ไม่นำเข้าโรงหนัง 'ปล่อยชมฟรี-สร้างความเข้าใจ' เหตุการณ์จริงช่วง 2475 แค่นี้พอ

(25 มิ.ย. 67) จากเพจ '2475 Dawn of Revolution' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

“เมื่อต้นเดือน มีการสอบถามว่าทำไมเราไม่กล้าเอาหนังเข้าโรง จะได้รู้ว่าแอนิเมชันมันดังจริงมั้ย คนจะยอมเสียเงินมาดูสักกี่คน ผมก็ได้ทำโพสต์อธิบายไปแล้วว่า การเอาหนังเข้าโรงมันไม่ใช่ง่าย ๆ ซึ่งพวกเรามองแค่การฉายเป็นรอบพิเศษตามโอกาสต่าง ๆ เมื่อทาง รทสช. เห็นเข้า ก็ติดต่อมาขอจัดรอบพิเศษ ซึ่งเราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะมอบประสบการณ์ฉายโรงให้กับผู้ที่สนใจรับชม”

“แต่หลังจากเราประกาศฉายรอบพิเศษในโรงไป ก็ยังมีการถามมาอีกว่าทำไมไม่เอาเข้าโปรแกรมตามปกติ เพื่อแข่งขันกับหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้”

“ผมขอเรียนอย่างนี้ครับว่า…”

“แอนิเมชันนี้เป็นงานประวัติศาสตร์ เป้าหมายคือ เน้นให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ 2475 ดังนั้น เราจึงเลือกที่จะฉายออนไลน์ให้ชมฟรีทางยูทูบ เพื่อให้คนดูเข้าถึงง่าย ไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์”

“การเข้าโรงภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่ายที่ต้องให้ผู้จัดจำหน่าย ค่าประกันโรง และ ยังมีค่าโปรโมท อื่น ๆอีกมากมาย ทางคนดูเองก็ต้องเสียเงินมาดู และทางเราไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะเอามาทำอะไรแบบนี้” 

“และต่อให้เราฉายโรง ได้รายได้ 1 ล้าน ก็เท่ากับตั๋วหนังประมาณ 5พันใบ หรือมีคนดูเพียง 5 พันคนเท่านั้น  (และยังต้องแบ่งรายได้ครึ่งนึงให้โรงหนังอีกนะครับ)” 

“เมื่อเทียบกับ การฉายยูทูบ ที่มีคนดูวันแรก 1.2 แสน เพราะมันเข้าถึงง่ายกว่า เราจึงมองว่า ถ้าจุดประสงค์ของเราคือต้องการให้เข้าถึงคนมาก ๆ ยูทูบจึงเหมาะสมที่สุดครับ” 

“ตอนนี้ก็เริ่มมีถามมาอีกว่าทำไมไม่เอาเข้า Netflix  ทำไมไม่เข้า Prime ไม่เข้า Disney เรื่องสตรีมมิ่งเคยคุยไว้แล้วครับ เขาบอกว่า หนังเราลงยูทูบให้ดูฟรีไปแล้ว เขาคงไม่รับ (แม้เราจะยืนยันว่าให้ลงฟรีๆ ก็ได้ แค่อยากเพิ่มช่องทางการรับชม)”

“เมื่อเราตัดสินใจไปแล้วว่า ลงยูทูบให้ดูฟรี ก็ต้องตามนั้นครับ เราคงไม่ไปลบออกเพื่อหวังจะลง Netflix”

“ในส่วนของโรงภาพยนตร์ เมื่อวานผมก็ตอบไปหลายท่านว่า ผมไม่เอาแอนิเมชันเข้าโปรแกรมฉายตามปกติครับ เพราะมันไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ สมมติว่า ถ้าผมต้องจ่ายเงินประกันค่าโรง 2 ล้าน แล้วสุดท้ายคนมาโหรงเหรง ผมว่าผมเอา 2 ล้านนั้น มาจัดรอบพิเศษ สัก 30-40 รอบ ทั่วประเทศ น่าจะดีกว่าครับ”

“ถ้าจังหวัดไหนอยากดูในโรงภาพยนตร์จริง ๆ ลองรวมตัวกันส่งเสียงดัง ๆ ถ้ามีคนเรียกร้องมาก ๆ ก็อาจจะหาทางจัดที่นั่นได้ครับ ผมเชื่อว่า ถ้ามีคนจำนวนมากต้องการ เราสามารถหาทางจัดอีเวนต์ได้ครับ รวมกันไปดูเป็นรอบพิเศษ แบบนี้สนุกกว่าเยอะ”  

“แอนิเมชันของเราก็มีความเฉพาะตัวของเรา ไม่จำเป็นต้องไปแข่งขันกับหนังเรื่องไหนหรอกครับ เพราะมันคนละแนวทาง คนละเป้าหมาย สิ่งที่ได้มันต่างกัน และผมมั่นใจว่า แอนิเมชันของเรา ผลิตมาเพื่อให้ใช้เรียนรู้ในระยะยาว ที่จะอยู่กับชาติไทยไปเป็นสิบปี เป็นร้อยปีครับ (ซึ่งมีการติดต่อมาเพื่อขอบรรจุแอนิเมชันเป็นหนังอนุรักษ์แล้วครับ)” 

“และยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีวิธีต่อยอดอีกมากมายครับ ซึ่งกำลังคุยกันอยู่ บางส่วนขออุบไว้ก่อนนะ เชื่อว่าเป็นสิ่งดี ๆ ที่ทุกท่านจะต้องชื่นใจครับ” 

“เพิ่มเติม เรื่องการประกวดเอารางวัลอะไรนั่น ผมเรียนตรง ๆ นะครับ ตอนที่พวกผมกำลังตัดสินใจว่าจะเผยแพร่ในช่องทางไหน มีคนถามผมว่า ‘อยากได้เงินหรือกล่อง’ ด้วยความสัตย์จริง ผมตอบไปว่า ‘ผมแค่ทำงานนี้ออกมาแล้วอยากให้มันทำประโยชน์ได้’ นั่นล่ะครับ จึงได้ข้อสรุปว่า Youtube” 

“ขอบคุณครับ”

'สำนักข่าวอิศรา' ขุดเจอ 'อดีต ผอ.สำนัก กทม.' โพสต์ภาพลูกชายบวช แต่ซูมเสื้อเจอปักชื่อ บ.วาล็อคฯ คู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกายให้ 'กทม.'

(25 มิ.ย. 67) สำนักข่าวอิศรา เปิดเผยว่า บริษัท ชนะพัฒน์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ธุรกิจแห่งที่ 2 ของ นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์ กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ที่ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกาย ให้กับกรุงเทพมหานคร จำนวนหลายสัญญา มูลค่างานหลายสิบล้านบาท เพื่อขอสัมภาษณ์เป็นทางการ แต่ไม่สามารถติดต่อใครได้

ขณะที่ จากการสอบถามข้อมูลเพื่อนบ้านที่พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียง หลายรายยืนยันตรงกันว่า ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ เป็นข้าราชการเกษียณอายุแล้ว เคยทำงานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ย้อนกลับไปตรวจสอบข้อมูลอดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. ในช่วงปี 2564 ที่มีนามสกุล ศรีรัตนพัฒน์ เหมือน นายสรวิชญ์ ที่มีการตรวจสอบพบข้อมูลไปก่อนหน้านี้

โดยจากการใช้วิธีตามรอยข้อมูลบุคคลในโลกออนไลน์ หรือ Digital Footprint พบว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ และนามสกุล อดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. รายนี้อยู่

เมื่อสืบค้นโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กดังกล่าว ย้อนหลัง ไปถึงเดือน ก.พ.2566 พบว่า มีการโพสต์ข้อความขอบพระคุณ ผู้ที่มีร่วมงานบวชลูกชาย พร้อมภาพจำนวนหนึ่งไว้

ในภาพมีผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว ถือพานเตรียมเข้าพิธีอุปสมบท แต่เมื่อสังเกตตัวอักษรที่ปักอยู่ตรงอกบนเสื้อสีขาว พบว่า มีการปักเป็นชื่อของบริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เอาไว้

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ได้พยายามติดต่อไปยังกรุงเทพมหานคร เพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่ออดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. รายนี้ อีกครั้ง แต่ไม่มีใครให้ข้อมูลได้

ขณะที่ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา เคยติดต่อไปยังสำนักแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ที่ปรากฏชื่อผู้บริหารรายที่มี นามสกุลเหมือนกับ นายสรวิชญ์ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า ผู้บริหารรายนี้เกษียณอายุราชการไป 2-3 ปีแล้ว และไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน

จึงทำให้ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า อดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. รายนี้ มีความสัมพันธ์อย่างไร นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์? รวมไปถึงความสัมพันธ์กับผู้ชายในภาพ ที่ใส่เสื้อสีขาว ปักอักษรชื่อ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ตามข้อมูลที่ตรวจสอบพบล่าสุดด้วย

สำหรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกรณีนี้ ที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบไปแล้ว สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ

>> ข้อมูลบริษัท จำนวนโครงการฯ ที่ได้รับ

- นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์ เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ที่ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกาย ให้กับกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ช่วงปี 2564 - 2567 รวมจำนวน 9 โครงการ คิดเป็นวงเงินกว่า 65,394,600.00 บาท (เท่าที่ตรวจสอบพบ) และขายทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ จำนวน 2 ชุด วงเงิน 4,998,000 บาท กับ กทม.ในช่วงปี 2566 ด้วย

- นายสรวิชญ์ ศรีรัตนพัฒน์ ยังเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ชนะพัฒน์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ที่ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญางานซ่อมแซม และขายครุภัณฑ์ตู้เสริมโครงสร้างสำหรับวางเครื่องออกกำลังกาย ให้กับ กทม. รวม 4 สัญญา เป็นเงินทั้งสิ้น 1,656,919.19 บาท ใช้วิธีเฉพาะเจาะจงทั้งหมด วงเงินจัดซื้อไม่เกิน 5 แสนบาท /โครงการ

>> ข้อสังเกตการณ์จัดซื้อจัดจ้าง

ขณะที่งานในส่วนของ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด นั้น สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบข้อสังเกตสำคัญ คือ

- โครงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้งพร้อมติดตั้ง 2 ชุด โดยวิธีคัดเลือก วงเงินตามสัญญา 3,495,000 บาท ปีงบประมาณ 2565 กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กำหนดราคากลางจัดซื้อ เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 4 ต.ค.2564 หรือเป็นช่วงเวลาห่างกันเพียงแค่ 14 วันเท่านั้น ขณะที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เป็นหนึ่งในเอกชนที่ถูกใช้เป็นแหล่งสืบราคากลางด้วย

หลังจากนั้น บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ก็ปรากฏชื่อเป็นคู่สัญญาขายเครื่องออกกำลังกาย ให้กับกรุงเทพมหานคร จนถึงปี 2567 รวมจำนวน 9 โครงการ คิดเป็นวงเงินกว่า 65,394,600.00 บาท

- ซื้อทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ กทม. สืบราคากลาง จากบริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด วันที่ 13 ก.ค.2566 ขณะที่ บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด แจ้งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แก้ไขวัตถุประสงค์ทำธุรกิจขายทุ่นลอยน้ำ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.2566 หรือห่างกันประมาณ 5 เดือนเท่านั้น

>> ข้อมูลส่วนตัว

- จากการตรวจสอบพบว่า ในช่วงจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เมื่อวันที่ 4 ต.ค.2564 แจ้งมีอายุ 28 ปี ระบุอาชีพเป็นนักธุรกิจ

- เมื่อตรวจสอบข้อมูลนามสกุล ‘ศรีรัตนพัฒน์’ ของ นายสรวิชญ์ พบว่า เหมือนกันนามสกุล ของอดีตผู้บริหารสำนักแห่งหนึ่งของ กทม. ในช่วงปี 2564

ส่วนข้อมูลเชิงลึกๆ อื่นหากตรวจสอบพบเพิ่มเติม จะนำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของกทม. ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานตรวจสอบ สรุปผลการตรวจสอบว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายเกิดขึ้นแต่อย่างใด

ผู้เกี่ยวข้องทุกรายถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่

‘ชาวเน็ต’ ชื่นชม!! ‘วัดตระพังทอง’ ติดป้ายประกาศ ‘ห้ามปล่อยปลาดุก’ เหตุเป็นตัวทำลายระบบนิเวศ เชื่อ!! หลายคนไม่รู้ - หวังให้ทุกวัดทำตาม

(25 มิ.ย. 67) กลายเป็นไวรัลที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์อย่างมากมาย สำหรับ วัดตระพังทอง อ.เมือง จ.สุโขทัย ที่ทางวัดได้มีการติดป้ายประกาศไว้บริเวณริมเกาะกลางน้ำรอบวัด โดยมีข้อความระบุดังนี้

‘เตือนคนทำบุญห้ามปล่อยปลาดุก ทำลายระบบนิเวศ’

พร้อมกันนี้ ยังระบุเพิ่มเติมว่า “ปล่อยปลาอย่างไรให้ได้บุญ ?”

“ไม่แนะนำให้ปล่อยถ้าเป็นไปได้ เพราะส่วนใหญ่กลายพันธุ์มา มันแดกปลาตัวอื่นที่เล็กกว่าหมด ปล่อยปลาดุกลงแหล่งน้ำ เหมือนปล่อยฝูงซอมบี้บุกหมู่บ้าน ทำบุญ แต่จะได้บาปแทน”

ซึ่งหลังจากโพสต์ถูกเผยแพร่ ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็น และชื่นชมวัดเป็นอย่างมาก ที่มีส่วนช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้โทษของการ ‘ปล่อยปลาดุก’ พร้อมระบุอีกว่า หากทุกวัดติดป้ายประกาศแบบนี้ก็คงดี เพราะยังมีหลายคนที่ไม่รู้ ว่าการปล่อยปลาดุกเป็นการทำลายระบบนิเวศ

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2566 ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญระบบนิเวศน้ำจืด เคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงเรื่องดังกล่าวไว้ว่า ปลาดุก 1 ตันกินสัตว์น้ำประมาณ 1,800,000 ตัวต่อปี ปลาดุกที่นิยมปล่อยกันส่วนใหญ่เป็น ปลาดุกบิ๊กอุย เป็นลูกผสมของ ปลาดุกอุย ของไทยกับ ปลาดุกรัสเซีย เพื่อให้ได้ปลาดุกตัวใหญ่ แต่ปัจจุบันมีปลาดุกอื่นมาผสมอีก ซึ่งปลาดุกเดิมกินไม่เลือก พอผสมพันธุ์ใหม่ยิ่งตัวใหญ่ กินจุขึ้นกว่าเดิม เมื่อมีคนนำมาปล่อยจึงทำให้เกิดปัญหาต่อระบบนิเวศ 

ทรภ.1 จัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่และเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติ

วันที่ 25 มิถุนายน 2567 ทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) จัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่และการเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ณ โรงเรียนโสตศึกษาเทพรัตน์ อ.บางสะพาน จว.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมี นาวาเอก กฤษดา จิระไตรพร รองเสนาธิการ ทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธานในพิธี สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชุมชน ให้สามารถร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายชาวประมง ผู้นำชุมชน โรงเรียน และประชาชนในพื้นที่ทุกภาคส่วน โดยกิจกรรมประกอบด้วย การพัฒนาโรงเรียน การปรับปรุงภูมิทัศน์ การส่งมอบป้ายธนาคารปู การปล่อยพันธ์ุปูที่เพาะพันธุ์ได้จากธนาคารปู การมอบอุปกรณ์สำหรับทาสี ผ้าห่ม และหน้ากากอนามัย รวมทั้ง การเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและบกพร่องทางสติปัญญา อีกด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ สหภาพแรงงานฮอนด้าแห่งประเทศไทย และรายการร้องทุกข์ลงป้ายนี้ ไทยพีบีเอส  มอบรถเข็นวีลแชร์ เสริมกำลังใจผู้สูงอายุ กทม 

วันที่ 25  มิถุนายน 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วย นายวสันต์ มหิงษา ผู้บริหารสหภาพแรงงานฮอนด้าแห่งประเทศไทย และ นางกานดา จำปาทิพย์ บรรณาธิการรายการ สถานีประชาชน ไทยพีบีเอส   พร้อมด้วย ทีมงานมวลชนสัมพันธ์ กลุ่มไทย สมายล์ กรุ๊ป 
ลงพื้นที่  ณ เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้รับการติดต่อประสานขอรับบริจาครถเข็นวีลแชร์ จากสหภาพแรงงานฮอนด้าแห่งประเทศไทย เพื่อมอบให้ ผู้สูงอายุ ในพื้นที่  เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 ราย คือ นางโฉมยา  หวังสะเล็บ อายุ 86 ปี พักอาศัย ณ บ้านเลขที่ 1998 ถ.ประชาชนร่วมใจ แขวงทรายกองดินใต้  เขตคลองสามวา  กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่ชราภาพ ไม่สามาถช่วยเหลือตัวเองได้ และทางบ้านมีฐานะยากจน จึงได้มามอบให้ในวันนี้  โดยมูลนิธิได้รับการบริจาครถวีลแชร์ จาก กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป ผู้ให้บริการรถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 

“การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ  มามอบในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน เติมกำลังใจ ให้แก่ ผู้สูงอายุ ถือเป็นกิจกรรมหลักที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ที่มีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบุคคลทั่วไป  ทั้งนี้ ท่านที่มีความประสงค์จะร่วมบริจาคหรือสมทบทุน ให้แก่ มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ สามารถติดต่อได้ที่ เพจมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ หรือ ติ๊กต๊อก มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์” นางเธียรรัตน์ กล่าว

สวนนงนุชพัทยาต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำประเทศไทยพร้อมคณะ ร่วมกันปลูกต้นไม้และเข้าเยี่ยมชม

วันนี้ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ต้อนรับนายนอเศเรดดีน ไฮดารี ( H.E. Mr. Nassereddin Heidari) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย เยี่ยมชมสวนนงนุชพัทยาพร้อมปลูกพันธุ์ไม้เพื่อการอนุรักษ์ ณ สวนรุกขชาติ เชิงเขาบันไดกฤษ

โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำประเทศไทย ได้ปลูกต้นกระท้อนซึ่งเป็นไม้ผลเขตร้อนยืนต้น ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในบริเวณ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกระท้อนมีสีสะดุดตา เป็นต้นไม้ที่ทนแล้งได้ดี หลังจากนั้นได้เยี่ยมชมสวนสวย บนเนื้อที่ 1,700 ไร่ หุบไดโนเสาร์ และเนริส์เชอร์รี่พันธุ์ไม้ต่างๆ ที่ทางสวนนงนุชพัทยาได้เก็บรวบรวมมากถึง18,000 ชนิด 

ทั้งนี้ทางสวนนงนุชพัทยาได้ขออนุญาติจากกรมป่าไม้เพื่อทำสวนรุกขชาติ ให้แก่ประเทศไทย จำนวนกว่า 43 ไร่ ซึ่งดำเนินโครงการรวบรวมพันธุ์ไม้และปลูกไม้ยืนต้นชนิดต่างๆที่มีมูลค่าและหายากจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งค่าใช้จ่ายและค่าดำเนินการในการรวบรวมและการปลูกพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลบำรุงรักษาโดยสวนนงนุชพัทยา

'ดร.สุวินัย' โพสต์อาลัยถึง 'บำรุง คะโยธา' หลังจากไปด้วยอาการสงบ ภูมิใจและดีใจที่เคยเป็น 'สหายร่วมรบ' กันในสมัยกลุ่มพันธมิตรฯ

(25 มิ.ย.67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กไว้อาลัยแด่ คุณบำรุง คะโยธา โดยระบุว่า…

“หมากนิพพานของผู้บำเพ็ญอภิมรรค (2) : ไม่เสพอารมณ์ทั้ง 7”

“หลังจากที่เขาฝึกเคล็ด ‘กรรมฐานของมหาเทพ’ หรือเคล็ดลมปราณกรรมฐานเพื่อจิตอมตะที่คุรุเทพถ่ายทอดให้เขา ตัวเขาก็ทุ่มเทชีวิตจิตใจของเขาเข้าสู่มรรควิถีโพธิสัตว์อย่างเต็มตัว

“นี่เป็นการแสวงหาส่วนบุคคล เพื่อความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณอย่างก้าวกระโดดใหญ่ของตัวเขาเอง”

“ทุกค่ำคืนที่เขาล้มตัวลงนอน เขาก็พาตัวเองเข้าสู่โลกแห่ง ‘การตายก่อนตาย’ ”

“เมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็เข้าสู่ ‘โลกแห่งความรู้ตัว’ บางครั้งความคิดต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตแวบเข้ามา แต่เขาก็ตัดความอาลัยเหล่านั้นลงโดยเร็ว”

“มีแต่การฝึกลมปราณกรรมฐานเท่านั้นที่นำความพึงพอใจอย่างใหญ่หลวงให้แก่ตัวเขา ทำให้ตัวเขาไม่มุ่งมาดปรารถนาอื่นใดอีกในชีวิตที่เหลือ”

“สิ่งที่ผู้บำเพ็ญลมปราณกรรมฐานต้องระมัดระวังมากที่สุดคือ การเกิดอารมณ์ 7 ชนิด ซึ่งได้แก่
(1) ความแตกตื่น (驚)
(2) ความกลัว (慴)
(3) ความลังเลสงสัย (疑)
(4) ความฟุ้งซ่านสับสน (惑)
(5) ความประมาท (緩)
(6) ความโกรธ (怒)
(7) ความใจร้อนหงุดหงิด (焦)”

“เพราะอารมณ์ทั้ง 7 นี้คือข้อห้ามในการฝึกลมปราณกรรมฐาน และเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การฝึกจิตของผู้บำเพ็ญไม่ประสบความสำเร็จ”

“การบำเพ็ญลมปราณกรรมฐานทุกวัน คือการบ่มเพาะถนอมบำรุงพลังชีวิตควบคู่ไปกับการ "ดูจิต" เจริญวิปัสสนา โดยไม่เสพอารมณ์ใด ๆ โดยเฉพาะอารมณ์ทั้ง 7 จนกระทั่งจิตของผู้บำเพ็ญนิ่งเองดุจบ่อน้ำที่สงบงันจนสามารถสะท้อนดวงจันทร์ได้อย่างสวยงามหมดจด ผลที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือตัวผู้บำเพ็ญสามารถจดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างมีสติรู้ตัวบ่อย ๆ ได้”

“ผู้บำเพ็ญอภิมรรคย่อมใช้การฝึกลมปราณกรรมฐานเพื่อเข้าถึงตัวตนที่แท้จริง (真我) ได้อย่างล้ำลึก ด้วยวิธีการนี้เอง เขาย่อมสามารถมีอิทธิพลต่อจักรวาลรอบตัวเขา และจะไม่ถูกกระทบใด ๆ จากความเป็นอนิจจังของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางโลก”

“ตบะและขันติของเขาย่อมมีขึ้นเอง เพราะมีขันติ เขาจึงเป็นผู้เที่ยงธรรม มีใจเป็นธรรมได้ และเพราะเขามีใจเป็นธรรม เขาจึงมีใจที่เปิดกว้าง เป็นคนที่ใจกว้าง และเพราะเขาเป็นคนที่ใจกว้าง เขาจึงสามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างงามสง่า”

“ความใจกว้างและวัตรปฏิบัติที่งดงามของเขา ทำให้ตัวเขาสามารถเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตที่เปี่ยมพร้อมไปด้วยความจริง ความดีและความงามได้”

“เพราะฉะนั้น เขาจึงกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอภิมรรค (道) ในที่สุด มันเป็นแค่เรื่องของเวลาว่าเมื่อไรเท่านั้น”

“คติประจำใจของผู้บำเพ็ญอภิมรรค
- ไม่แสวงหาความรุ่งโรจน์บนความเจ็บปวดของผู้อื่น
- ยอมละทิ้งตนเอง ผ่อนตามคนอื่นเสมอ
- ถนอมรักกับทุกสิ่ง สามารถรักโลกใบนี้ดุจรักตัวเอง
- ไม่ยึดติดในวัตถุ ไม่หลงใหลในอำนาจลาภยศสรรเสริญทางโลก
- แสวงหาทุกสิ่งจากภายในตัวเองด้วยการเจริญลมปราณกรรมฐาน
- มุ่งบ่มเพาะคุณธรรมต่าง ๆ ภายในตัวเอง จนกระทั่งมีจิตบริสุทธิ์ดุจทารกอีกครั้ง”

“ด้วยความปรารถนาดี
สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai

“หมายเหตุ : คุณบำรุง คะโยธา เดินทางไกลครั้งสุดท้าย ด้วยอาการสงบ ณ บ้านกุดตาใกล้ ต.สายนาวัง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ วันที่ 24 มิถุนายน 2567 เวลา 16.25 น.”

“ขอน้อมส่งดวงวิญญาณของคุณบำรุงกลับสู่ ‘ดาวนักสู้’ ภูมิใจและดีใจที่เราเคยเป็น ‘สหายร่วมรบ’ กันในสมัยการต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรฯ (ปี พ.ศ. 2549-2556)”

ก.แรงงานอัพสกิลผู้ฝึกสอนมวยไทย รองรับการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ เพิ่มทักษะให้เป็นมืออาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ให้ชุมชนในท้องถิ่น

วันที่ 25 มิถุนายน 2567 นางสาวบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานภายใต้การนำของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันสังคมเด่น เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” กรมพัฒนาฝีมือแรงงานเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรสำหรับการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) เพื่อรองรับการให้บริการนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมวยไทยเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นับเป็นศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่งที่สร้างความภาคภูมิใจของประเทศไทย ด้วยเป็นกีฬาที่มีรูปแบบการต่อสู้ที่สวยงาม มีความโดดเด่น ด้านเทคนิคการกอดคอต่อสู้ ซึ่งเป็นการใช้ทั้งกายและใจ สำหรับการต่อสู้ที่ใช้ร่างกายเป็นอาวุธ โดยเป็นที่รู้จักว่าเป็นนวอาวุธ ซึ่งประกอบด้วย การโจมตีจากร่างกาย ทั้ง หมัด ศอด เข่า และเท้า ในมวยไทย ก่อให้เกิดอาวุธที่มีอานุภาพ  รูปแบบการไหว้ครูที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ท่วงท่าซึ่งประกอบไปด้วยแม่ไม้มวยไทยที่มีความหลากหลายและน่าตื่นตาตื่นใจ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ มวยไทยจึงเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในชาวต่างชาติในฐานะกีฬาและสื่อทางวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยเหตุผลเหล่านี้อาชีพนักกีฬามวยไทยจริงสามารถสร้างอาชีพ และรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นจำนวนมาก ส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจ ในเขตพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีศิลปะการต่อสู้ประเภทมวยไทยที่มีชื่อเสียงโดนเด่นสวยงามในนาม “มวยไชยา” มีเอกลักษณ์พิเศษ 7 ด้าน คือ 1) การตั้งท่ามวยหรือการจดมวย 2) ท่าครูหรือท่าย่างสามขุม 3) การว่ายครูร่ายรำ 4) การคาดเชือก จะพันมือด้วยเชือกด้ายดิบหรือเชือกหลักแจวตั้งแต่ข้อมือจนถึงสันหมัด 5) การแต่งกาย 6) การฝึกซ้อมมวยไชยา 7) แม่ไม้มวยไชยา กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจึงเร่งพัฒนาหลักสูตรสำหรับการฝึกอบรมยกระดับฝีมือ สาขาผู้ฝึกสอนมวยไทย ระดับ 1 เพื่อเพิ่มทักษะ (Up Skill) เสริมสร้างความรู้ พัฒนาการให้บริการ สร้างงานสร้างรายได้

นางสาวสุขศรี ไล่กสิกรรม ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เล็งเห็นศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของผู้ให้บริการสนามมวยที่มีจำนวนมากและมีความสามารถในการให้บริการที่มีชื่อเสียงประดับประเทศทั้งพื้นที่เกาะสมุย และอำเภอไชยา อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์มวยไทยไชยาที่มีความโด่ดเด่น จึงมอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 11 สุราษฎร์ธานีดำเนินการจัดฝึกอบรมหลักสูตร ผู้ฝึกสอนมวยไทย ระดับ 1 จำนวน 30 ชั่วโมง กำหนดการจัดฝึกอบรมระหว่าง 22 – 26 มิถุนายน 2567 ณ วิทยาลัยการอาชีพไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยวิทยากรวีรบุรุษเหรียญเงินโอลิมปิกเกมส์ สาขามวยสากลสมัครเล่น ชาวสุราษฎร์ธานี ร้อยตรีวรพจ เพชรขุ้ม ทำหน้าที่วิทยากร ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้รับความรู้และพัฒนาทักษะ ด้านการสอนมวยไทย วิทยาศาสตร์การกีฬาสำหรับมวยไทย การสอนทักษะมวยไทย และองค์ความรู้เรื่องมวยไทยและแนวทางการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาผู้ฝึกสอนมวยไทย เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ ส่งเสริมให้แรงงานในท้องถิ่นเป็นแรงงานฝีมือ สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฝึกกีฬามวยไทยและนักท่องเที่ยว

โปรดเกล้าฯ พระราชทานเหรียญลูกเสือสรรเสริญ ปี 66 ‘2 นักเรียนฮีโร่’ ช่วยชีวิตผู้อื่นให้รอดพ้นจากเหตุร้าย

(25 มิ.ย.67) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศพระบรมราชโองการ พระราชทานเหรียญลูกเสือสรรเสริญ ประจำปี 2566 ให้แก่ลูกเสือที่ประกอบความดีความชอบ ตามพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ.2551 รวม 2 ราย

ประกอบด้วย เหรียญลูกเสือสรรเสริญ ชั้นที่ 2 นายวุฒิศักดิ์ มั่งคั่ง ลูกเสือวิสามัญ โรงเรียนนครนายกวิทยาคม จ.นครนายก

เหรียญลูกเสือสรรเสริญ ชั้นที่ 3 เด็กชายศิราพัช ศรีงาม ลูกเสือสามัญ โรงเรียนศาลาคู้ กรุงเทพมหานคร

สำหรับ นายวุฒิศักดิ์ หรือ ยูโร เมื่อครั้งเป็นนักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนนครนายกวิทยาคม เคยให้การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจมน้ำ 3 ราย เป็นพ่อ แม่ ลูก ที่ อ.เมือง จ.นครนายก นายวุฒิศักดิ์จึงกระโดดเข้าไปช่วยเหลือจนทั้ง 3 รายปลอดภัย แต่นายวุฒิศักดิ์มีอาการสำลักน้ำ ทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดและเลือดเป็นกรด กระทั่งพักรักษาจนหายเป็นปกติ เหตุเกิดวันที่ 7 พฤษภาคม 2566

ขณะที่ ด.ช.ศิราพัช เมื่อครั้งเป็นนักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนศาลาคู้ ใช้ความรู้ในการปฐมพยาบาลช่วยชีวิตเด็กอายุ 6 ขวบที่จมนํ้า เหตุเกิดวันที่ 22 ตุลาคม 2565

'นทท.ญี่ปุ่น' เคยถูกตุ๊กตุ๊กโกง 6,000 บาท คัมแบ็ก!! แต่รอบนี้เหมาแค่ 200 บาท ชวน!! มาเที่ยวไทย ต้องลอง

เมื่อวานนี้ (24 มิ.ย.67) จากกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นรายหนึ่งโพสต์ลงใน X (ทวิตเตอร์) ว่าขึ้นรถตุ๊กตุ๊กจากย่านสุขุมวิทซอย 18 (อโศก) ไปห้างธนิยะ แล้วถูกคนขับเอาเปรียบโดยเรียกค่าโดยสารไปคนละ 1,500 บาท ไปกัน 4 คน รวมเป็น 6,000 บาท จนทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลเป็นจำนวนมาก ก่อนที่กรมการขนส่งทางบกจะสั่งลงโทษ ปรับคนขับรถคันดังกล่าวจำนวน 2,500 บาท พักใช้ใบอนุญาตขับรถเป็นระยะเวลา 90 วัน และส่งตัวเข้ารับการอบรมจิตสำนึกการให้บริการที่ดีแก่ผู้โดยสารจำนวน 3 ชั่วโมง

ล่าสุด เมื่อไม่นานมานี้ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นคนเดิมก็ได้ออกมาโพสต์ภาพตนเองและเพื่อนๆ บนรถตุ๊กตุ๊กผ่าน X ชื่อ @peronen โดยโควตโพสต์เดิมที่ระบุราคาตุ๊กตุ๊กที่ถูกโกงเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ พร้อมระบุข้อความใหม่ว่า “รอบนี้ตนเองมากับเพื่อนรวมทั้งหมด 12 คน นั่งรถตุ๊กตุ๊กกัน 3 คัน โดยคันแรกถูกคิดราคาที่ 200 บาท คันที่ 2 ราคา 300 บาท คันที่ 3 ราคา 200 บาท ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าตอนแรกนึกว่าจะเสียคนละ 200 บาท พร้อมกับฝากถึงคนที่จะมาเมืองไทย คุณจะได้นั่งตุ๊กตุ๊กอย่างสบายใจ มันทั้งสนุกและคุ้นเคย”

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก็มีคนญี่ปุ่นเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top