Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แสวงหาความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนและระดับสากล มุ่งแก้ไขความเดือดร้อน สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืนแก่ประชาชนและสังคม

ตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่มุ่งให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแก้ไขปัญหาความมั่นคงทุกประเภท ซึ่งทวีความรุนแรง เป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นอันมาก สมควรที่จะแสวงหาความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมบูรณาการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียน ในระดับพหุภาคีและระดับสากล จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ราชอาณาจักรไทย พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.ท.อภิชาติ สุริบุญญา ผบช.กมค., พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ที่ปรึกษา ผบ.ตร.ด้านต่างประเทศ, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส.บช.ปส., พล.ต.ต.สุระพันธุ์ ไทยประเสริฐ ผบก.ตท., พ.ต.อ.พงษ์เดช คำใจสู้ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ, ป.ป.ส., กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งเเวดล้อม เดินทางไปร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ครั้งที่ 24 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (The 24th ASEAN Senior Officials Meeting on Transnational Crimes) (SOMTC) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 - 28 มิ.ย.67 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ร่วมกับผู้แทนจากชาติสมาชิก 21 ประเทศ และประเทศคู่เจรจา ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ (ประเทศคู่เจรจา SOMTC+3) ออสเตรเลีย และแคนาดา โดยมี พล.ต.ท.กงทอง พงวิจิด รองรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ และ พล.ต.ต.สุลินะ แก้วปะเสิด ปลัดกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ให้การต้อนรับ

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (SOMTC) ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการภายใต้ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ซึ่งเป็นเสาหลักที่ 1 จาก 3 เสาหลักของอาเซียน เพื่อป้องกันและต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติที่มีอยู่และเกิดขึ้นใหม่ และเน้นการติดตามผลตามแผนงานความร่วมมือ การประสานงานข้ามภาคส่วนและระดับ พหุภาคี การยกระดับความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาข้างต้นและประเทศผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภายใต้ความร่วมมือป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ใน 10 สาขา ได้แก่ การลักลอบค้าอาวุธ การก่อการร้าย การฟอกเงิน การละเมิดลิขสิทธิ์ทางทะเล การลักลอบขนคนโดยผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ อาชญากรรมทางไซเบอร์ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การลักลอบค้ายาเสพติด และการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า โดยประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการป้องกันปราบปรามการลักลอบค้ายาเสพติด และการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า ซึ่งทุกประเทศที่ร่วมประชุมได้ร่วมติดตามผลการปฏิบัติและพร้อมดำเนินการตามแผนความร่วมมือ ผลการประชุมหารือเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาชญากรรมทางไซเบอร์ในประเทศไทย มีการฉ้อโกงออนไลน์และการหลอกลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ ผนวกกับการหลั่งไหลของทุนจีนเข้ามาในภูมิภาค โดยคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์มีจำนวนมากถึงร้อยละ 70 ของคดีที่ได้รับแจ้งทั้งหมด ซึ่งกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้ใช้เทคโนโลยีและประสานองค์การตำรวจสากลให้การสืบสวนและการจับกุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับการค้ามนุษย์และลักลอบขนคน ในปัจจุบันมีเหตุปัจจัยกระตุ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปและตะวันออกกลาง ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย และการเปิดประเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต้องปรับตัวให้เท่าทันเพื่อแก้ไขปัญหา สำหรับการลักลอบค้ายาเสพติด ประเทศไทยเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านยาเสพติดเพื่อประชาคมที่มั่นคงของอาเซียน พ.ศ.2559 - 2568 และเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งศูนย์ความร่วมมืออาเซียนด้านยาเสพติด (ASEAN-NARCO) เป็นหน่วยงานกลางประสานความร่วมมือ ปัจจุบันประเทศไทยสามารถจับกุม และตรวจยึดของกลางยาเสพติดได้ในจำนวนมากขึ้น ในขณะที่ราคาขายปลีกมีแนวโน้มลดลง สำหรับการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า มีการนำเทคโนโลยีระบบ นิติวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรม DNA มาใช้เพื่อระบุตัวตน และจำแนกแหล่งที่มาของสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทั้งนี้ การบริหารจัดการชายแดนแบบเชิงรุก ทำให้คดีและผู้กระทำผิดลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ยังได้กล่าวขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซีย ที่ให้ความร่วมมือในการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญของไทย พร้อมทั้งบริหารจัดการส่งตัวผู้ต้องหากลับประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นรูปแบบความร่วมมือที่เป็นแบบอย่าง โดยประเทศไทยมีความพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศสมาชิก ตลอดจนหน่วยงานความมั่นคงทั้งในและระหว่างภูมิภาค ที่จะส่งเสริมความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับสากล เคียงข้างและร่วมมือกันป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและปัญหาความมั่นคงทุกประเภท นำไปสู่ความสำเร็จในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภทในภาพรวม เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนมีความปลอดภัย มีสันติภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมภาคีเครือข่าย มอบรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม “โครงการอาสาตาจราจร” ผู้ช่วย ผบ.ตร.เน้นย้ำเคารพกฏเพื่อลดอุบัติเหตุ “จราจรสอนวินัยชาติ”

วันนี้ (27 มิ.ย. 67) เวลา 10.00 น. ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ , คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , คุณนิตยา ลีธีระกุล ผู้แทน สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 , คุณอัจฉรา บัวสมบูรณ์ ผู้แทน สถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัล และเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถ ที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือนเมษายน และพฤษภาคม 2567 รวมรางวัลทั้งสิ้น 20 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 100,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล

เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด

พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งร่วมขับเคลื่อนสังคมให้น่าอยู่ โดย “จราจรสอนวินัยชาติ” โครงการนี้ทำให้กระตุ้นเตือนภาคประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนให้มีความระมัดระวัง ทุกวินาทีมีผู้เสียชีวิตได้เสมอ และต้องขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกองค์กรที่ร่วมสนับสนุนโครงการมาโดยตลอด นับแต่เริ่มโครงการมาจนถึงปัจจุบัน สังคมมีความตื่นตัว มีคลิปการกระทำผิดกฎจราจรจากภาคประชาชนส่งมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้ แสดงถึงความสนใจ ใส่ใจกับปัญหาการจราจร และจะเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ ยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น

นอกจากนี้ พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ต้องการไปจับกุมใคร หรือให้ใบสั่งใคร แต่จะเน้นการเตือน จดชื่อ-นามสกุล หมายเลขทะเบียนรถ เก็บไว้ในระบบ หากพบการกระทำผิดเกิน 3 ครั้ง จึงจะดำเนินการจับปรับ ซึ่งผู้ที่ถูกจับกุมนั้นจะสามารถตรวจสอบประวัติของตนเองได้ด้วย ตำรวจเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในเรื่องของการควบคุมและบังคับใช้กฎหมาย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุคือความเสี่ยง ที่อาจสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้

และในช่วงนี้เป็นช่วงเปิดภาคการเรียน สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน เพิ่มความระมัดระวังในขณะขับขี่บริเวณโดยรอบสถานศึกษา โดยเฉพาะบริเวณทางข้าม หรือ ทางม้าลาย ขอให้ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ลดความเร็วในการขับขี่ ชะลอความเร็วเมื่อเข้าเขตทางข้าม และหยุดรถให้ นักเรียน นักศึกษา และคนเดินเท้า ทุกครั้ง สำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ทั้งผู้ปกครอง และเยาวชนให้สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งเพื่อป้องกันและลดความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยขอให้สถานศึกษาทุกแห่งมีมาตรการกระตุ้นเตือน จัดกิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา ใช้รถใช้ถนนตามกฎแห่งความปลอดภัย

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสาตาจราจร เพจตำรวจทางหลวง  เพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100  คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้ว ยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน

สื่อมวลชนได้ 'เฮ' นายก 2 สมาคมฯ 'ไชยยงค์' ได้รับเลือกตั้ง สว. สื่อมวลชนได้รับอนิสงค์

วันนี้ 27 มิถุนายน 2567 รายงานจากสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ( สนต.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ว่ามีสมาชิกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ และ สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย(สนพท.)หลายร้อยคนได้ร่วมแสดงความยินดีกับนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมฯทั้ง 2 สมาคมฯ  ที่ได้รับความไว้วางใจด้วยการเลือกเป็นว่าที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งมีเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อสารมวลชนในกลุ่ม 18 อีก 9 คน

นายไชยยงค์ฯ เปิดเผยว่า การเลือกตั้ง สว.ปี 67 เหนื่อยต้องใช้ความอดทนสูง กว่าผ่านด่านแต่ละด่านอยากเย็นแสนเข็นมาก เมื่อได้รับความไว้วางใจจากผู้สมัคร สว.ทั้ง 20 กลุ่มอาชีพแล้ว จะทำหน้าที่ในสภา ตามบทบาทและหน้าที่ที่กฏหมายกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญให้ดีที่สุด ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และผู้อยู่ในแวดวงวิชาชีพสื่อมวลชนให้มีสวัสดิภาพ และสวัสดิการเช่นเดียวกับวิชาอาชีพอื่นๆ

“โดยเฉพาะปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งตนคลุกคลีพื้นที่มา 20 กว่าปี เพื่อสะท้อนให้รัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐรับรู้ในบางสิ่งบางอย่าง เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการนำเอาความรู้และประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงการวิชาชีพสื่อมวลชนมา 40 กว่าปี”

‘ครม.’ มีมติปรับเงื่อนไขชดใช้ทุน ‘นักเรียนทุน จ.ภ.’ สถาบันโคเซ็น ญี่ปุ่น เตรียมปฏิบัติงานตามผู้ให้ทุนกำหนด หลังสำเร็จการศึกษา

(27 มิ.ย. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอดังนี้...

1. เห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย (นักเรียนทุน จ.ภ.) ระยะที่ 2 โดยผู้รับทุนจะเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานชดใช้ทุน หรือหน่วยงานของรัฐที่ผู้ให้ทุนกำหนด และรับเดือนตามที่หน่วยงานนั้น ๆ กำหนด เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของระยะเวลาที่ได้รับทุนตามสัญญา โดยหน่วยงานชดใช้ทุน ให้หมายความรวมถึงภาคอุตสาหกรรมสถาบันไทยโคเซ็น และหน่วยงานของรัฐ ภาคอุตสาหกรรมให้หมายความถึง ภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพและกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคตในประเทศไทย โดยไม่จำกัดภูมิภาคในประเทศไทยและไม่จำกัดสัญชาติของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร ให้หมายความถึง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยธุรการขององค์การของรัฐที่เป็นอิสระ กองทุนที่เป็นนิติบุคคล หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ และหน่วยงานที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐ

2. เห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน จ.ภ. ระยะที่ 1 โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน จ.ภ. ระยะที่ 2 ตามข้อ 1. เนื่องจากเป็นการให้ทุนการศึกษาในลักษณะเดียวกันกับการดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาต่อสำหรับนักเรียนทุน จ.ภ. ไปศึกษาต่อ ณ National Institute of Technology (KOSEN) ของประเทศญี่ปุ่น (สถาบันโคเซ็น)

“คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย (นักเรียนทุน จ.ภ.) ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ซึ่งผู้รับทุนจะเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานชดใช้ทุนหรือหน่วยงานของรัฐที่ผู้ให้ทุนกำหนดและรับเงินเดือนตามที่หน่วยงานนั้น ๆ กำหนด เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของระยะเวลาที่ได้รับทุนตามสัญญา โดยหน่วยงานชดใช้ทุน ให้หมายความรวมถึงภาคอุตสาหกรรม สถาบันไทยโคเซ็น และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้เพื่อให้เงื่อนไขการชดใช้ทุนของนักเรียนทุน จ.ภ. ทั้ง 2 ระยะ ซึ่งเป็นทุนประเภทเดียวกันมีแนวทางเหมือนกันและเป็นการขยายสถานที่การปฏิบัติงานเพื่อรองรับนักเรียนทุน จ.ภ. ที่สำเร็จการศึกษาให้สามารถเข้าปฏิบัติงานได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งเพื่อให้การจัดสรรทุนดังกล่าวเกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีความต้องการกำลังคนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่มีความรู้ ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ” นายคารม กล่าว

'อลงกรณ์' เปิดตัว 'เอฟเคไอไอ.' ดันไทยสู่มหาอำนาจอาหารโลก ผนึก 'หอการค้า-สภาอุตสาหกรรมฯ' ขับเคลื่อนนวัตกรรมพลิกโฉมประเทศ

“…เราต้องกำหนดเกมและนำประเทศเข้าสู่สนามแข่งที่เราเก่งมีศักยภาพ นั่นคือเกษตรและอาหาร… “
อลงกรณ์….

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์ เปิดเผยวันนี้ (27 มิ.ย.67) ว่า 

สถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์ (FKII Thailand) ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วและจะเป็นหนึ่งการงัด อัปเกรดประเทศไทยสู่มหาอำนาจอาหารโลกโดยนวัตกรรม เทคโนโลยีและการวิจัยด้วยแพลตฟอร์มความร่วมมือกับทุกภาคีภาคส่วน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“ประเทศไทยส่งออกสินค้าอาหารเป็นอันดับ 12 ของโลก และเป้าหมายต่อไปคือการก้าวสู่ท็อปเทนเพื่อเป็นมหาอำนาจอาหารของโลก โดยสถาบันเอฟเคไอไอ.องค์กรเครือข่ายนวัตกรรมพร้อมจับมือกับหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาเอสเอ็มอี. องค์กรเอกชน องค์กรเกษตรกร ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) สถาบันการศึกษาและหน่วยงานภาครัฐพัฒนาอาหารและเกษตรมูลค่าสูง ยกระดับรายได้ของเกษตรกรและผู้ประกอบการ เพิ่มจีดีพี.ของประเทศด้วยขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพใหม่ของประเทศ ซึ่งในเฟสแรกของการทำงานเอฟเคไอไอ.จะโฟกัสกิจกรรมส่งเสริมต่อยอดด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร อาหาร อีคอมเมิร์ซ ไครเมทเทค เอไอและดิจิตอล เทคโนโลยีภายใต้ 12 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตและแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เศรษฐกิจคาร์บอน (Carbon Economy) เศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation Economy)และ เศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) เพื่อตอบโจทย์อนาคตทั้งโอกาสและภัยคุกคามเช่นภาวะโลกรวนโลกร้อนทะเลเดือด ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร การเพิ่มของประชากรและสังคมสูงวัย ประเด็นเอไอ.-เทคโนโลยี ดิสรัปชั่น สงครามและความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ ผมเชื่อว่า โอกาสมีอยู่ในทุกวิกฤติและหนึ่งในโอกาสของประเทศไทยคือภาคเกษตรและอาหาร เราต้องกำหนดเกมและนำประเทศเข้าสู่สนามแข่งที่เราเก่งมีศักยภาพ “

ทั้งนี้ในงานเปิดตัวสถาบันเอฟเคไอไอ.เมื่อวานนี้ที่หอประขุมสวนเสียงไผ่ ทาวน์อินทาวน์มีการปาฐกถาและบรรยายพิเศษเช่น หัวข้อ : FKII กับ เศรษฐกิจนวัตกรรมสู่การอัพเกรดประเทศไทยโดยอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
หัวข้อ : นวัตกรรมอุตสาหกรรมเพื่อการรับมือความท้าทายของโลกยุคใหม่
โดยนายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

หัวข้อ : ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของไทยกับโอกาสในโลกยุคใหม่ 
โดยดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ 
รองประธานหอการค้าไทย
และนายธรรศ ทังสมบัติ
รองประธานหอการค้าไทย

หัวข้อ : Innovation ใน carbon credit สำหรับประเทศไทย 
โดย นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ 
นายกสมาคมธุรกิจไม้

หัวข้อ : สถานการณ์ล่าสุด ความท้าทาย และ ทางออกของ AI eCommerce ไทย 
โดยนายภาวัต พุฒิดาวัฒน์ 
ประธานกรรมการบริหารบริษัท GoShip จํากัด

หัวข้อ : Value Chain ของการสร้างเกษตรมูลค่าสูงสู่ตลาดโลก
โดยนส.ภัททดา สามัคคี 
กรรมการผู้จัดการบริษัท PDI Trading จํากัด อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการพืชผักผลไม้ไทย

หัวข้อ : ข้อเสนอต่อก้าวใหม่ของานFKII
โดยนายกฤชฐา โภคาสถิตย์ 
เลขาณุการคณะทํางานฯ  FKII Thailand 

หัวข้อ : แผนการดําเนินงานของ FKII Thailandกับโจทย์อนาคตของโลกและของไทยโดยนายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ผู้อำนวยการสถาบันเอฟเคไอไอ.และ
ประธานสถาบันทิวา
โดย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ประธานคณะที่ปรึกษาเอฟเคไอไอ.กล่าวสรุป
ถึงวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่และนวัตกรรม

นอกจากนี้มีผู้บริหารภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการภาคประชาสังคมและเกษตรกรกว่า120คนร่วมงานอย่าง คึกคักเช่น นพ.บุญเทียม เขมาภิรัตน์ อดีตรมช.คมนาคม ดร.เอกพร รักความสุข อดีตรมช.แรงงาน นายเกียรติ สิทธิอมร อดีตประธานผู้แทนการค้า ประเทศไทย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัด กระทรวงการคลัง ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (GPI) ดร.เกษมสันต์ วีระกุล ประธานบริษัทSE-ED ม.ล สุภาพ ปราโมช สมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเชีย พลเอก พลเอก ดร.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ นายกสมาคมภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ นายราม คุรุวาณิชย์ นักวิชาการอิสระและเซเลปTikTok ชื่อดังดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ที่ปรึกษาและอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร นายประพันธ์ บุณยเกียรติ อดีตประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย นาง ลักขณา นะวิโรจน์ ภัทรประสิทธิ์ ผู้บริหารกลุ่มบริษัทThe mall - ตลาดไท - กูรเมย์ นายมงคล เจริญสุข ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม นายพรพล เอกอรรถพร อดีตผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ นายกสมาคมธุรกิจไม้ ประธานผลิตภัณฑ์ไม้ Asian อุปนายกสมาคมเครื่องเรือนไทย นายตฤณ วุ่นกลิ่นหอม นายกสมาคมดิจิตอลเทรด ดร.สุทัศน์  ครองชนม์  นายกสมาคมไทย IoT นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด อดีตคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ นายณฐกร สุวรรณธาดา อดีตกรรมการคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อการเกษตร นายสุเมฆ ปัณฑรานุวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย นายสานิตย์ จิตต์นุพงศ์ สำนักงานโครงการข้าวรักษ์โลก ฯลฯ

ตำรวจภาค 4 ชู 'ร้อยเอ็ดโมเดล' สร้างชุมชนเข้มแข็ง ปูพรมเด็ดปีกนักค้า 73 ราย ผู้เสพ 1,632 ราย ขยายผลยึดทรัพย์ 188 รายการ กว่า 7.7 ล้านบาท

ตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งแก้ไขปัญหายาเสพติดทั่วประเทศ โดยให้จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดและอาชญากรรม พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้ระดมสรรพกำลัง ทั้งตำรวจในจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดใกล้เคียง กวาดล้างจับกุมยาเสพติด และบูรณาการกับหน่วยงานจังหวัดร้อยเอ็ด ดำเนินมาตรการป้องกันและบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด รวมทั้งเปิดปฏิบัติการเด็ดปีกค้ารายย่อยทั้ง 12 จังหวัด ในพื้นที่ตำรวจภาค 4 มาอย่างต่อเนื่อง  ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.67 เวลาประมาณ 19.30 น. ชุดปราบปรามยาเสพติดของ ภ.จว.ร้อยเอ็ด นำโดย พ.ต.ท.สมนึก ปัญญา สว.สส.ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้ร่วมกันจับกุมขบวนการค้ายาบ้า รวม 7 คน ผู้ต้องหา ขบวนการค้ายาบ้า คือ นายศักดิ์ศรี, นายวิรัตน์, นายพชร, นายสุรชาติ, นายนัฐพล, นายประทีป และนายสามารถ พร้อมของกลางยาบ้า 1,280,000 เม็ด อาวุธปืน 2 กระบอก รถยนต์กระบะ 3 คัน  

โดยตำรวจชุดจับกุมได้สืบสวนทราบว่า จะมีขบวนการค้ายาเสพติดขนลำเลียงยาบ้าล็อตใหญ่ จากจังหวัดมุกดาหาร เพื่อไปส่งลูกค้าที่จังหวัดกาฬสินธุ์ จึงนำกำลังเฝ้าสกัดจับกุม ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.67 เวลาประมาณ 19.30 น. พบรถกระบะยี่ห้อ Isuzu สีขาว ทะเบียน 7 กข 45XX ขับขี่ผ่านมาบนถนนเส้นตัดใหม่ มุกดาหาร – กาฬสินธุ์ ต.คำนาดี อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด มีพิรุธน่าสงสัยจึงเข้าทำการตรวจค้นผลการตรวจค้น พบยาบ้าจำนวน 350 มัด จำนวน 700,000 เม็ด เม็ด และปืนพกสั้น 2 กระบอก ซุกซ่อนอยู่ในรถ มีนายสุรชาติ เป็นผู้ขับขี่ และนายพชร นั่งไปด้วย จากนั้นได้ขยายผลไปจับกุมนายศักดิ์ศรี และนายวิรัช ซึ่งใช้รถยนต์กระบะ ยี่ห้อเชฟโรเลต สีเทา ทะเบียน กฉ 81xx ทำหน้าที่เป็นรถนำทาง และได้ติดตามไปตรวจค้นบ้านพัก ใน อ.เมือง จ.มุกดาหาร พบยาบ้าอีกจำนวน 580,000 เม็ด และจับกุมนายนัฐพล , นายประทีป และนายสามารถ ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดรับว่าเป็นยาบ้าที่เตรียมขนไปส่งลูกค้า จึงยึดเป็นของกลาง (รวมยาบ้า 1,280,000 เม็ด) จากนั้นจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่ง พงส.สภ.โพนทอง ดำเนินคดี

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 เปิดเผยว่า ตำรวจภูธรภาค 4 ได้ขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด โดยทำเป็น “ร้อยเอ็ดโมเดล” ให้เป็นพื้นที่ไม่มียาเสพติด ตั้งแต่ 4 มิ.ย.67 ดำเนินการปราบปรามนักค้า 73 ราย ดำเนินการกับผู้เสพ 1,632 ราย ขยายผลจากผู้เสพนำไปสู่การดำเนินการกับนักค้าเพิ่มเติมอีก 131 ราย ยึดทรัพย์ 188 รายการ รวมมูลค่ากว่า 7.7 ล้านบาท ใช้มาตรการสกัดกั้นไม่ให้ยาเสพติดผ่านเข้า-ออกพื้นที่ แล้วกวาดล้างจับกุมในพื้นที่ให้สิ้นซาก 

ด้านการป้องกันยาเสพติดได้ดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืน(CBTx) จัดตั้งชุด ชรบ. เพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็ง และส่งครูตำรวจ DARE ให้ความรู้เด็กและเยาวชนในการป้องกันยาเสพติด สำหรับใน อ.ธวัชบุรี มีครูตำรวจ DARE ให้ความรู้ครบทั้ง 46 โรงเรียน และได้ร่วมกับหน่วยบูรณาการในพื้นที่ ค้นหาผู้เสพยาเสพติดและผู้ป่วยจิตเวช เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู  นอกจากนี้ตำรวจภาค 4 ได้ปฏิบัติการเด็ดปีกนักค้ารายย่อยทั้ง 12 จังหวัดในภาคอีสานเหนือ ซึ่งอยู่ใน 25 จังหวัดเป้าหมาย ตามนโยบายรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง สามารถกวาดล้างจับกุมนักค้ารายย่อย 7,665 ราย ยึดยาบ้ากว่า 46 ล้านเม็ด ไอซ์ 1,429 กก. เฮโรอีน 260 กก. ยึดทรัพย์มูลค่าประมาณ 467 ล้านบาท และจะปราบปรามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ยาเสพติดหมดไปจากพื้นที่ ผบช.ภ.4 กล่าวในที่สุด

‘รร.สาธิต มศว.ปทุมวัน’ เริ่มแล้ว!! จัดกิจกรรม ‘OPEN HOUSE 2024’ เตรียมพบปะศิษย์เก่า 4 อาชีพ มาแลกเปลี่ยนความรู้ 30 มิ.ย. - 1 ก.ค.นี้

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘เปิดบ้านสาธิตปทุมวัน - PDS Open House’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ขอเชิญชวนนักเรียน ผู้ปกครอง และผู้สนใจทุกท่าน ร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับศิษย์เก่าสาธิตปทุมวันในกิจกรรม ‘พบศิษย์เก่าสาธิตปทุมวัน’ จัดโดยสมาคมศิษย์เก่าสาธิตปทุมวัน”

“พบปะพูดคุยกับพี่ ๆ ศิษย์เก่าสาธิตปทุมวันหลากหลายอาชีพที่จะมาถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานให้แก่น้อง ๆ และผู้ที่สนใจทุกคน ตั้งแต่เวลา 09.00 - 15.30 น. ในวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 ณ ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ I ชั้น 2 อาคารสาธิตปทุมวัน 4 ในงานเปิดบ้านวิชาการสาธิตปทุมวัน : PDS OPEN HOUSE 2024 ‘สนุกรู้ สนุกคิด สไตล์สาธิตปทุมวัน’ ณ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน”

“ลุ้นรับของรางวัลจากพี่ ๆ ศิษย์เก่าและสมาคมศิษย์เก่าสาธิตปทุมวัน”

อย่างไรก็ตาม สำหรับในกิจกรรม ‘พบศิษย์เก่าสาธิตปทุมวัน’ จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กับ 4 ข้อหัวที่มีทั้งหมด 4 อาชีพที่น่าสนใจ เช่น พี่หมอขอเล่า, นักกฎหมายเราทำอะไรกันบ้าง, คุยง่ายง่าย Style เด็กการเงิน, โลกยุคใหม่กับอาชีพที่น่าสนใจ เป็นต้น

‘ดีอี’ ระดม 400 หน่วยงาน รุกปราบ ‘ข่าวปลอม’ ตัดวงจร ‘โจรออนไลน์’

วันที่ 26 มิถุนายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวในเป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ ‘การใช้งานระบบสำหรับประสานงานการตรวจสอบข่าวปลอมฯ’ ภายใต้โครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม (Anti Fake News Center: AFNC) ว่า รัฐบาลตระหนักและให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาของข่าวปลอม โดยมอบหมายให้กระทรวง ดีอี เป็นผู้ดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานรัฐและเอกชน ในการต่อสู้กับข่าวปลอม โดยได้พัฒนาเครือข่าย fact checking ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานรัฐและเอกชน กว่า 400 หน่วยงาน ร่วมเป็นเครือข่าย นับว่าเป็นเครือข่าย fact checking ที่ใหญ่ที่สุดของไทย ร่วมมือกัน ในแก้ปัญหาข่าวปลอม และช่วยยืนยัน ข้อเท็จจริง สำหรับประชาชน

สำหรับการดำเนินการของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ได้ใช้เครื่องมือ social listening tool คัดกรองข้อมูลที่เปิดเผยบนพื้นที่สาธารณะ ทั้งจากโซเชียลมีเดียและข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตที่เปิดเผย จำนวน 95 ล้านข้อความต่อเดือน (หรือเฉลี่ยวันละ 3.1 ล้านข้อความ) ข้อความข่าวที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมด 2.9 หมื่นข้อความ ข้อความเรื่องที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบทั้งหมด 791 เรื่อง ซึ่งจะส่งเข้าสู่ระบบ fact checking โดยได้รับผลการตรวจสอบแล้ว 444 เรื่อง และได้ทำการเผยแพร่เรียบร้อยแล้ว 215 เรื่องต่อเดือน (ข่าวปลอม 152 เรื่อง ข่าวจริง 50 เรื่อง ข่าวบิดเบือน 13 เรื่อง)

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี ได้มีนโยบายสำหรับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 3 เรื่องโดย 1. ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยให้ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ พัฒนาเทคนิควิธีการและเครื่องมือสนับสนุนการทำงานมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบัน ศูนย์ฯ ได้นำเอาระบบ AI มาใช้ในการสืบค้น รวบรวม วิเคราะห์ ข้อมูล ข่าวสาร ข้อความ ที่มีการกล่าวถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ ในโลกอินเทอร์เน็ตบนสื่อสังคมออนไลน์ในทุกช่องทางที่เป็นที่นิยมใช้งานกัน อาทิ Facebook, X (Twitter), Instagram, TikTok และระบบสามารถหาข้อมูลจากข้อความ (text) รวมทั้ง ภาพ วีดีโอ กราฟฟิก ตลอดจน ค้าหาต้นโพส และเฝ้าระวังได้อัตโนมัติ เป็นต้น

2. เร่งแก้ปัญหาข่าวปลอมในหมวดอาชญากรรมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นข่าวปลอมการหลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ หรือการปล่อยกู้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ข่าวปลอมรับสมัครงาน การสร้างอาชีพ หารายได้เสริม โดยอ้างความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำการเผยแพร่ต่อๆกัน จนกระทั่งสูญเสียทรัพย์สินส่วนบุคคล และสร้างความเดือดร้อนอย่างเป็นวงกว้างในสังคม โดยเผยแพร่ข่าวเตือนภัย 155 ข่าวต่อเดือน เข้าถึง ประชาชน (reach) 18.6 ล้านครั้งต่อเดือน

3. ขยายเครือข่ายความร่วมมือ ทั้งเครือข่าย fact checking และเครือข่ายให้ความรู้และแจ้งเตือนข่าวปลอม อาทิ ความร่วมมือกับ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดช่องทางการให้ความรู้และแจ้งเตือนภัยจากข่าวปลอมหรือภัยออนไลน์สำคัญ ผ่านทางแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยมีสถิติการแจ้งเตือน การเข้าถึงของประชาชน (reach) มากกว่า 22 ล้านครั้งต่อเดือน

“ดีอี ได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ที่มีผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้าง ความตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์ โซเชียล เป็นเกราะป้องกันตัวให้กับประชาชน สร้างความสุขที่อย่างยั่งยืนให้กับสังคม ซึ่งประชาชนสามารถตรวจสอบ ติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ที่ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ตลอด 24 ชั่วโมง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว

เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เปิดมูลนิธิ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์

พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดพร้อมทั้งตัดริบบิ้น ในพิธีเปิดมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ พลเรือตรี ประทีป ตังติสานนท์ รองเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ในฐานะประธานมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ กล่าวถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์การจัดตั้งมูลนิธิในครั้งนี้ว่า เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสวัสดิการบุคลากรรวมถึงพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และกิจกรรมต่างๆ ของโรงพยาบาล  เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนการรักษาพยาบาลผู้ป่วยของโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ให้มีประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลดียิ่งขึ้น และเพื่อดำเนินการด้านสาธารณประโยชน์และให้ความร่วมมือกับองค์การการกุศล โดยไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด โดยมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ได้จดทะเบียนถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งในการนี้ ได้มีหน่วยงานราชการ พ่อค้า ประชาชน รวมถึงผู้มีจิตอันเป็นกุศล ได้ร่วมในพิธีดังกล่าวและได้ร่วมบริจาคเงินเพื่อเป็นสายธารบุญให้แก่มูลนิธิ โดยได้จัดพิธีรับมอบเงินบริจาค ณ ห้องประชุมลุมพิกานนท์ และ จัดพิธีเปิดมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ณ ห้องมูลนิธิฯ บริเวณส่วนตรวจโรคผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ให้เกียรติเป็นประธาน กล่าวเปิดและตัดริบบิ้น เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ พร้อมกันนี้ ได้ปฏิบัติตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติงาน ผู้บัญชาการทหารเรือ ประจำปี งบประมาณ 2567 เรื่อง การเพิ่มขีดความสามารถการกู้ชีพขั้นพื้นฐานให้กับ กำลังพลกองทัพเรือ และนโยบายเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ประจำปีงบประมาณ 2567 เรื่อง การพัฒนาศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการด้านการแพทย์ฉุกเฉินทาง ทะเล ให้สมบูรณ์ ได้มาตรฐาน มีความยั่งยืน และต่อยอดการพัฒนางานด้าน เวชศาสตร์ทางทะเลอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายดังกล่าว พลเรือตรี สรรชัย เลิศวีระศิริกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากร เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มีดำริให้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะการกู้ชีพโรงพยาบาล อาภากรณ์เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ เพื่อดำเนินการฝึกอบรมการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) และการใช้เครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ (AED) ให้แก่กำลังพลกองทัพเรือ และประชาชน ตั้งแต่ วันที่ 6 ตุลาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน

เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมดังกล่าว เป็นการรองรับการพัฒนากำลังพลกองทัพเรือ และเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉิน พื้นที่ชายฝั่งและอ่าวไทยตอนบน 11 จังหวัดชายทะเล เพื่อให้เกิดความเหมาะสมตรงตามวัตถุประสงค์สอดคล้องกับภารกิจที่หน่วยดำเนินการ จึงได้ขออนุมัติ เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ซึ่งได้ดำเนินการฝึกอบรมให้แก่กำลังพลกองทัพเรือ เกินค่าเป้าหมาย 10,000 คน ในการนี้ กรมแพทย์ทหารเรือ ขอชื่นชมและแสดงความภาคภูมิใจ จากกรณีที่กำลังพลกองทัพเรือได้ช่วยชีวิตชาวต่างชาติโดยการทำ CPR ทำให้ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีและทำการส่งต่อ เพื่อทำการรักษาจนปลอดภัย และได้มีการมอบโล่ห์ประกาศเกียรติคุณให้กับ พันจ่าเอก นิวัฒน์ กังหัน ผู้ให้การช่วยเหลือชาวต่างชาติจนปลอดภัย และมอบใบประกาศนียบัตรให้กับหน่วยที่ผ่านการอบรม โดยได้กระทำพิธีดังกล่าว ณ ห้องศูนย์ฝึกอบรม ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ โรงพยาบาล อาภากรณ์เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top