Sunday, 16 February 2025
TODAY SPECIAL

15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 โศกนาฏกรรม แก๊ประเบิด จ.พังงา คร่าชีวิตไทยมุงกว่า 200 ศพ

วันนี้ เมื่อ 34 ปีก่อน เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของคนไทย และเป็นอุทาหรณ์สำหรับ 'ไทยมุง' เมื่อรถสิบล้อกับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ซึ่งบรรทุกแก๊ปไฟฟ้าไว้ในลังไม้ น้ำหนักรวมกว่า 20 ตัน มีรถตำรวจทางหลวงนำหน้า ออกเดินทางจาก จ.ภูเก็ต มุ่งหน้าไป จ.สระบุรี เพื่อนำแก๊ปไฟฟ้าไปใช้ระเบิดหิน เกิดเหตุเสียหลักพลิกคว่ำ ทำให้แก๊ปไฟฟ้าตกกระจายเกลื่อนเต็มถนนและสองข้างทาง

โดยเหตุเกิดที่บริเวณทางโค้ง สามแยกตลาดทุ่งมะพร้าว หน้าสถานีอนามัยทุ่งมะพร้าว กม.ที่ 41-42 ต.ทุ่งมะพร้าว อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ในช่วงเวลาประมาณ 17.30 น.

ชาวบ้านและผู้เห็นเหตุการณ์ได้กรูกันเข้ามาเก็บแก๊ปไฟฟ้า โดยไม่ฟังคำห้ามปรามของตำรวจว่าอาจเกิดระเบิด ทั้งยังมีรถที่สัญจรไปมา ซึ่งต้องจอดติดรอให้ยกรถที่พลิกคว่ำขวางถนนออก มีรถ บขส.กรุงเทพฯ-ภูเก็ต ผู้โดยสารเต็มคันรถ รถสองแถว 4-5 คัน และจักรยานยนต์อีกประมาณ 50 คัน ทำให้เหตุการณ์ยิ่งชุลมุน

เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง มีไทยมุงจำนวนหนึ่งนำเหล็กมางัดตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรจุแก๊ปไฟฟ้า ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดตูมสนั่นหวั่นไหว รัศมีระเบิดแผ่กว้างถึง 1 กม. อาคารโดยรอบเจอแรงระเบิดพังยับเยิน ทั้งโรงเรียนทุ่งมะพร้าว บ้านเรือน สถานีอนามัย ศาลาอเนกประสงค์ แรงระเบิดทำให้ถนนเป็นหลุมยักษ์ลึกถึง 4 เมตร ถนนถูกตัดขาด รถสัญจรไม่ได้

แรงระเบิดทำให้ไทยมุงเสียชีวิตทันที 60 ศพ สภาพศพแหลกเหลว รถ บขส. ที่จอดติดอยู่พังยับ ผู้โดยสารเสียชีวิตคารถจำนวนมาก รวมทั้งผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุรวมจำนวนกว่า 100 ศพ นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมาอีกจำนวนหนึ่ง 

ตำรวจ สภ.ท้ายเหมือง พร้อมรถบรรเทาสาธารณภัยของมูลนิธิต่าง ๆ รวมทั้งตำรวจตระเวนชายแดน จ.นครศรีธรรมราช มาช่วยกู้ซากรถ เนื่องจากเกรงจะเกิดระเบิดขึ้นมาอีก ขณะที่กำลังอีกส่วนหนึ่งพยายามเข้าควบคุมเพลิงที่ลุกไหม้อาคารรอบที่เกิดเหตุ

จากการสอบสวนเบื้องต้นคาดว่า สาเหตุของการระเบิดมาจากแรงเสียดสีที่ไทยมุงกลุ่มที่ไปงัดตู้คอนเทนเนอร์ เนื่องจากท่อแก๊ปไฟฟ้ามีคุณสมบัติจุดระเบิดได้ง่าย เพียงแต่มีแรงกระทบหรือประกายไฟจากบุหรี่หรือการอัดกระแทก ก็เกิดระเบิดขึ้นมาได้ หรืออาจจะมีไทยมุงเก็บแก๊ปไปสูบบุหรี่ไป ทำให้กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งมโหฬารของไทย ที่ในที่สุดแล้วมีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมกว่า 200 ศพ

14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2419 อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ยื่นจดสิทธิบัตรโทรศัพท์อย่างเป็นทางการ

14 กุมภาพันธ์ คือวันที่มีการจดสิทธิบัตรโทรศัพท์อย่างเป็นทางการ และเป็นวันแห่งความขัดแย้งระหว่าง 2 นักประดิษฐ์ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ และ เอลิชา เกรย์ เพราะพวกเขาต่างก็ประดิษฐ์โทรศัพท์ด้วยกันทั้งคู่ แถมมาจดทะเบียนในวันเดียวกัน

สำหรับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ คือวันที่คนส่วนใหญ่ต่างรู้ว่าเป็นวันแห่งความรัก แต่ยังเป็นวันที่สำคัญอีกวันหนึ่งในประวัติศาสตร์อีกด้วย นั่นคือวันที่ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ได้ยื่นจดสิทธิบัตรเครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาจนถึงปัจจุบัน

ย้อนกลับไปในอดีต อินโนเซนโซ มันเซตติ นักประดิษฐ์ชาวอิตาเลียน คือบุคคลแรกที่มีแนวคิดเรื่องการสื่อสารในรูปแบบของเสียง แต่มันก็เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น แต่ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ และ เอลิชา เกรย์ คือผู้ที่สามารถทำให้แนวคิดนี้กลายเป็นความจริง พวกเขาสามารถประดิษฐ์เครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์ได้เป็นผลสำเร็จในเวลาไล่เลี่ยกัน และได้จดสิทธิบัตรอย่างเป็นทางการในวันเดียวกันคือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1876 (พ.ศ. 2419) แต่บิดาแห่งโทรศัพท์ที่โลกรู้จักกลับมีแต่เพียงเบลล์คนเดียวเท่านั้น 

สำหรับนักประดิษฐ์ทั้ง 2 ท่าน คือ เอลิชา เกรย์ เป็นชาวอเมริกัน เกิดในปี ค.ศ. 1835 (พ.ศ. 2378) เป็นวิศวกรมากความสามารถที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนโลยีหลายอย่าง ส่วน อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ นั้นเป็นชาวสกอตแลนด์ เขาเกิดในปี ค.ศ. 1847 (พ.ศ. 2390) สมาชิกในครอบครัวของเบลล์หลายคนเป็นผู้พิการทางหู เขาศึกษาเกี่ยวกับผู้ที่มีปัญหาด้านการได้ยินจนเชี่ยวชาญ สามารถใช้ภาษามือในการสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว และมีความสามารถในการแยกแยะเสียงต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด

ในช่วงทศวรรษที่ 70 เกรย์ทำงานเป็นวิศวกรอยู่ในรัฐอิลลินอยส์ เขาได้ใช้เวลาทั้งหมดทุ่มไปกับการประดิษฐ์ "โทรเลขพูดได้" หรือโทรศัพท์ ซึ่งสามารถส่งข้อความในรูปแบบของเสียงได้ครั้งละหลาย ๆ ข้อความ และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เบลล์ประกอบอาชีพเป็นครูสอนคนหูหนวกอยู่ที่เมืองบอสตัน สหรัฐฯ ก็ใช้เวลาที่ว่างเว้นจากการสอนหนังสือมาประดิษฐ์เครื่องมือสื่อสารที่มีจุดประสงค์ไม่ต่างจากเกรย์ เพียงแต่เกรย์ประสบผลสำเร็จก่อน โดยเขาได้นำผลงานไปสาธิตโชว์ที่โบสถ์ไฮแลนด์ ปาร์ค ในปี ค.ศ. 1874 (พ.ศ. 2417) ในขณะที่เบลล์ประดิษฐ์ได้เป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1876 (พ.ศ. 2419) ซึ่งช้ากว่าเกรย์ไป 2 ปี

แต่ปัญหามาเกิดขึ้นเพราะเรื่องลิขสิทธิ์ โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1876 (พ.ศ. 2419) ทนายของเกรย์เดินทางไปยื่นคำร้องขอจดสิทธิบัตรแสดงความเป็นเจ้าของเครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์ที่สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐฯ โดยเขาเขียนในใบคำร้องว่าขอแจ้งจดสิทธิบัตร แต่ไม่ได้อธิบายรายละเอียดโดยแจ้งว่าเกรย์จะตามมาระบุด้วยตนเองในภายหลัง ในวันเดียวกันนั้นทนายของเบลล์ก็ได้ยื่นเรื่องขอจดสิทธิบัตรเช่นกัน

ด้วยความที่ในสมัยนั้นการตรวจสอบทางกฎหมายยังไม่เข้มข้นเหมือนในปัจจุบันที่ว่าใครจะจดลิขสิทธิ์อะไรก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัด และเนื่องจากทั้งคู่มาจดทะเบียนสิทธิบัตรในวันเดียวกันแถมยังสิ่งประดิษฐ์แบบเดียวกันอีกด้วย จึงเกิดเป็นปัญหาฟ้องร้องกันขึ้น แต่สุดท้ายเบลล์ชนะคดีและได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์โทรศัพท์ เพราะในใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมระบุไว้ว่าเบลล์มาจ่ายเงินค่าธรรมเนียมก่อน และในลำดับการยื่นคำร้องนั้น เบลล์อยู่ลำดับที่ 5 ส่วนเกรย์อยู่ลำดับที่ 39 ซึ่งแปลว่าเบลล์มายื่นเรื่องก่อน เมื่อเบลล์ชนะคดีในครั้งนั้นเขาได้ตั้งบริษัท อเมริกัน เบลล์ เทเลโฟน (American Bell Telephone) ขึ้นมาและเริ่มประดิษฐ์โทรศัพท์อย่างจริงจัง ส่วนเกรย์นั้นได้ตั้งบริษัท เวสเทิร์น ยูเนียน เทเลกราฟ (Western Union Telegraph) และได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโทรเลขต่อไป

13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ไทยเสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้ ฝรั่งเศส แลกกับเมืองจันทบุรี ที่ถูกยึดไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ ร.ศ. 112

วันนี้ เมื่อ 122 ปีก่อน ไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ตรงข้ามเมืองจำปาศักดิ์ และเมืองมโนไพรฝั่งให้ฝรั่งเศส แลกกับเมืองจันทบุรี ที่ฝรั่งเศสยึดไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2437)

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411-2453) การแผ่อิทธิพลของมหาอำนาจตะวันตกรุนแรง และแข็งกล้า ยิ่งกว่าสมัยใด ๆ..... มหาอำนาจตะวันตกที่คอยคุกคามไทยทางด้านตะวันออกคือ.....ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสได้ขยายอำนาจมาทางตะวันออกของแหลมอินโดจีน จนครอบครองญวนทั้งประเทศ รวมทั้งเขมรส่วนนอก ทั้งหมดด้วย แต่ความต้องการของฝรั่งเศสไม่ได้หยุดนิ่งแค่นั้น ยังมีความต้องการที่จะครอบครองดินแดนที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด ซึ่งขณะนั้นมีดินแดนบางส่วนที่อยู่ภายใต้ครอบครองของไทย การขยายตัวของฝรั่งเศส จึงสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยเรื่อยมา.......โดยเฉพาะ.. ความพยายามที่จะ แทรกแซงในดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำ โขง ในระยะแรกฝรั่งเศสได้แทรกแซงโดยวิธีการทูต แต่เมื่อเห็นว่าไม่ประสบผลสำเร็จจึงใช้นโยบายเรือปืนข่มขู่ไทย บริเวณปากแม่น้ำ ในที่สุดก็นำไปสู่วิกฤตกาลที่เรียกว่า "วิกฤตกาล ร.ศ. 112" เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2536 ผลของการรบปรากฏว่าฝ่ายไทยยอมจำนน และทำสัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2436

ตามสัญญาและอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 นี้นอกจากจะทำให้ไทยจะต้องเสียดินแดนริมฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเสียค่าปรับเป็นจำนวนมากแล้ว ฝรั่งเศสยังยึดจันทบุรีไว้เป็นหลักค้ำประกัน ตามสัญญาข้อ 6 ซึ่งระบุไว้ว่า "ฝรั่งเศสจะยึดจันทบุรีไว้จนกว่าไทยจะปฏิบัติตาม สัญญา ดังกล่าวครบถ้วน และจนกว่าจะเกิดความสงบเรียบร้อยทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำโขงในระยะ 25 กิโลเมตร"

การยึดครองจันทบุรีของกองทหารฝรั่งเศสนั้นไม่ได้ยึดทั้งเมือง แต่จะยึดเฉพาะบริเวณอันเป็นที่ตั้งของกองทหารคือค่ายทหารในเมืองจันทบุรี กับค่ายทหารที่ปากน้ำแหลมสิงห์ โดยได้เข้ายึดตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2436 เป็นต้นมา จนกระทั่งได้ถอนออกไปเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2447 ภายหลังจากการได้ลงนามในอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2446 .........ผลของสนธิสัญญาฉบับนี้..............ฝรั่งเศสจะยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี แต่จะไปยึดตราดและด้านซ้ายแทนตามพิธีสารฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2447

ฝรั่งเศส...ได้เข้าปกครองจังหวัดตราดตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2447 แต่เป็นการปกครองดินแดนแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น ปรากฏว่าฝรั่งเศสปกครองเมืองตราดมาถึง วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2450 จึงถอนทหารออกไป ทั้งนี้ หลังจากที่ไทยทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ (ลงวันที่ 23 มีนาคม 2450) ได้มีการตกลงในหลักการสำคัญคือ แลกเปลี่ยนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ กับด่านซ้าย และตราดรวมทั้งหมู่เกาะที่อยู่ภายใต้แหลมลิง (ในตำบลบางปิด อำเภอแหลมงอบในปัจจุบัน) ลงไทย อย่างไรก็ดีไทยไม่ได้รับมอบดินแดนคืนทั้งหมด เพราะเมืองประจันตคีรีเขตร (เกาะกง)ไม่ได้รับกล่าวถึงในสนธิสัญญา รวมเวลาที่เมืองตราดอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ประมาณ 3 ปี....

12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 วันมาฆบูชา หนึ่งในวันสำคัญของชาวพุทธ ที่เกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการ หรือ จาตุรงคสันนิบาต

วันมาฆบูชา ย่อมาจาก “มาฆปูรณมีบูชา” หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ตกช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม) ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 3) ซึ่งวันมาฆบูชาปี 2568 ตรงกับวันที่ 12 ก.พ.

วันมาฆบูชา เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน คือ พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา คัมภีร์ปปัญจสูทนีระบุว่าครั้งนั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระภิกษุ 1,250 รูป ได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระภิกษุทั้งหมดนั้นเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระภิกษุทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต” หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4

เดิมนั้นไม่มีพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น การประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือ มีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ และมีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น ในช่วงแรก พิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป ต่อมา ความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร

ปัจจุบัน วันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์และประชาชนประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ‘เนลสัน แมนเดลา’ อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ หลังถูกจำคุกนาน 27 ปี

‘เนลสัน แมนเดลา’ (Nelson Mandela) อดีตประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของประเทศแอฟริกาใต้ ที่ได้รับการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย 

เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักต่อต้านนโยบายแยกคนต่างผิวออกจากกัน ที่เริ่มจากเคลื่อนไหวโดยใช้สันติวิธีตามแนวทางของมหาตมะ คานธี แต่ต่อมาเขาเป็นผู้นำกลุ่มติดอาวุธของพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา (African National Congress หรือ ANC) กระทั่งถูกจับ และถูกตั้งข้อหากบฏ ทำให้เขาต้องติดคุกเป็นเวลา 27 ปี ที่เกาะร็อบเบ็น (Robben Island) การถูกคุมขังนี้ได้กลายมาเป็นกรณีตัวอย่างของความอยุติธรรมของนโยบายแยกคนต่างผิวที่ถูกกล่าวถึงไปทั่ว ขณะเดียวกันชื่อเสียงของเขาก็เพิ่มพูนมากขึ้นและกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะ ผู้นำชนผิวดำคนสำคัญที่สุดในแอฟริกาใต้

‘แมนเดลา’ ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ซึ่งเหตุการณ์นั้นมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ในวันที่ได้รับการปล่อยตัว ‘แมนเดลา’ ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อประชาชนทั้งประเทศ เขาประกาศเจตนารมณ์ในการแสวงหาสันติภาพและการประนีประนอมกับชนผิวขาวกลุ่มน้อยในประเทศ แต่ก็ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่ากองกำลังติดอาวุธของเอเอ็นซีจะยังคงอยู่ เขายังกล่าวอีกว่าเป้าหมายหลักของเขา คือ การนำสันติภาพมาสู่ชนผิวดำพื้นเมืองซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ และให้สิทธิ์แก่คนเหล่านี้ในการออกเสียงทั้งในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ

การเลือกตั้งแบบหลากชนชาติครั้งแรกในแอฟริกาใต้โดยที่พลเมืองทุกคนมีสิทธิเสียงเท่ากัน เกิดขึ้นในวันที่27เมษายน พ.ศ. 2537 ซึ่งพรรคเอเอ็นซีชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 62% และ ‘แมนเดลา’ ในฐานะผู้นำพรรคเอเอ็นซี ได้เข้าพิธีรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 โดยเขาเป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของประเทศและเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2537 จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542 เขาได้เปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการเหยียดสีผิวหรือชนกลุ่มน้อยต่างๆ และได้รับการยกย่องจากนานาชาติสำหรับการอุทิศตนเพื่อการประสานไมตรีทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ

‘แมนเดลา’ ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากกว่า 250 รางวัลตลอดช่วงเวลา 4 ทศวรรษ โดยรางวัลที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ. 2536

10 กุมภาพันธ์ วันอาสารักษาดินแดน หน่วยพลเรือนอาสาผู้เสียสละเพื่อบ้านเมือง

จากจุดเริ่มต้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงก่อตั้ง 'กองเสือป่า' เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2454 เพื่อฝึกอบรมข้าราชการและพลเรือน ได้เรียนรู้วิชาทหารเพื่อฝึกซ้อมเตรียมกำลังในยามปกติ ทำหน้าที่อาสาสู้ศึกในยามสงคราม โดยถือว่าเป็น 'กองกำลังกึ่งทหาร' ที่จัดตั้งขึ้น เป็นหน่วยงานแรกในประเทศไทย

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้พระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ. 2497 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2497 (จึงถือว่าเป็นวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน) โดยกำหนดให้จัดตั้ง 'กองอาสารักษาดินแดน' เป็นองค์การ ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคล ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้กรมการปกครอง (โดยสำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดน) เป็นหน่วยบริหารจัดการ โดยมีแนวคิดในการจัดตั้งดังนี้

การป้องกันประเทศเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน มีกำลังสำรองไว้ช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ ทั้งในยามปกติและในยามสงคราม

กองอาสารักษาดินแดน แบ่งส่วนราชการออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

ส่วนกลาง มีกองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน (บก.อส.) เป็นหน่วยบริหารจัดการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน (ผบ.อส.)

ส่วนภูมิภาค มีกองบังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัด (บก.อส.จ.) เป็นหน่วยบริหารจัดการ

โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้บังคับการกองอาสารักษาดินแดนจังหวัด (ผบ.อส.จ.)

มีหน่วยระดับปฏิบัติ เรียกโดยรวมว่า กองร้อยอาสารักษาดินแดน (ร้อย.อส.) และมีกำลังพลระดับปฏิบัติ ที่สำคัญ ได้แก่ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน เรียกโดยย่อว่า สมาชิก อส. ซึ่งมีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ

9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 ในหลวง ร.9 พระราชทานชื่อ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Suvarnabhumi Airport’

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นภาษาอังกฤษว่า 'Suvarnabhumi Airport' และพระราชทานความหมายของคำว่า 'สุวรรณภูมิ' คือ 'แผ่นดินทอง' แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า 'Golden Land'

สำหรับประวัติความเป็นมาของสนามบินสุวรรณภูมินั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่รัฐบาลทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร ได้ซื้อที่ดินหนองน้ำ 20,000 ไร่ บริเวณหนองงูเห่า จังหวัดสมุทรปราการในปี พ.ศ. 2516 สำหรับสร้างสนามบินใหม่

จากนั้นเป็นระยะเวลาเกือบ 30 ปีต่อมา รัฐบาลของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้เห็นว่า สนามบินมีความสำคัญต่อการส่งเสริมและพัฒนาความเจริญด้านเศรษฐกิจ สังคม การท่องเที่ยว และด้านอื่นของประเทศเป็นอย่างมาก รัฐบาลจึงกำหนดให้ การก่อสร้าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องร่วมกันดำเนินการแบบบูรณาการ เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย จึงได้เร่งการก่อสร้างตั้งแต่เดือน มกราคม พ.ศ. 2545

สนามบินได้เปิดทดลองใช้ในเช้าวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 โดยมีสายการบินภายในประเทศ 6 สายการบินร่วมทดลอง ได้แก่ การบินไทย นกแอร์ ไทยแอร์เอเชีย บางกอกแอร์เวย์ พีบีแอร์ และ โอเรียนท์ไทย โดยมีจำนวนผู้โดยสาร 4,800 คน จาก 24 เที่ยวบิน โดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เดินทางจากสนามบินดอนเมืองมายังสนามบินสุวรรณภูมิ 

ต่อมา ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร คณะรัฐประหารตัดสินใจยึดกำหนดการเปิดสนามบินอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ตามเดิม

8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ‘จ่าคลั่ง’ ก่อเหตุกราดยิงที่โคราช โศกนาฏกรรมครั้งเลวร้ายที่สุดของไทย

ยังคงจำฝังใจคนไทย สำหรับเหตุการณ์กราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 กรณีจ่าสิบเอก จักรพันธ์ ถมมา ใช้ปืนยิงผู้บังคับบัญชาและญาติถึงแก่ความตาย แล้วหลบหนีเข้ามาในตัวเมือง กราดยิงผู้คนตามรายทาง ก่อนเข้าไปซ่อนตัวหลบอยู่ในห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จับบุคคลในห้างเป็นตัวประกัน

สำหรับเหตุการณ์ในวันนั้นเริ่มขึ้น เวลาประมาณ 15.30 น. 8 กุมภาพันธ์ 2563 จ่าสิบเอก จักรพันธ์ ใช้ปืนยิงผู้บังคับบัญชา คือ พันเอก อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ อายุ 48 ปี ผู้บังคับกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 และนางอนงค์ มิตรจันทร์ อายุ 65 ปี แม่ยายของพันเอก อนันต์ฐโรจน์ ถึงแก่ความตายที่บ้านพักในตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ขณะที่นายหน้าวิ่งหนีไป จึงถูกไล่ยิงเข้าข้างหลังแต่ไม่เสียชีวิต

จากนั้น จ่าสิบเอก จักรพันธ์ ไปชิงอาวุธสงครามออกมาจากคลังอาวุธกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ตำบลไชยมงคล โดยยิงทหารเวรกองรักษาการณ์ และทหารดูแลคลังอาวุธ มีพลทหารบาดเจ็บ 1 นาย เสียชีวิตอีก 1 นาย ต่อมา จ่าสิบเอก จักรพันธ์ ขับรถฮัมวีหลบหนีออกไปทางด้านหลังค่าย มุ่งไปทางวัดป่าศรัทธารวม ตำบลหัวทะเล เพราะทราบว่าภรรยาของผู้บังคับบัญชาออกไปทำบุญที่วัดป่าศรัทธารวม ได้กราดยิงผู้คนตามรายทางถึงแก่ความตายรวม 9 คน คนร้ายกราดยิงกระสุนนับร้อยนัด โดยยิงคนในรถเสียชีวิตและบาดเจ็บ และยังยิงเด็กนักเรียนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ แถมเดินไปยิงซ้ำอีก จากนั้นมีตำรวจมา 2 นาย ไม่ทันลงจากรถก็ถูกยิงจนพรุนเสียชีวิต แต่ปรากฏว่าได้ทราบว่าภรรยาของผู้บังคับบัญชาไปกินข้าวที่เทอร์มินอล 21 โคราช

จ่าสิบเอก จักรพันธ์ จึงได้ขับรถเข้าไปในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา มุ่งไปที่ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช ซึ่งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา โดยกราดยิงผู้คนตามรายทาง และจับผู้คนในห้างเป็นตัวประกัน ทั้งยิงถังแก๊ส ทำให้เกิดระเบิดและเพลิงลุกไหม้ในห้าง

จ่าสิบเอก จักรพันธ์ ยังถ่ายทอดสดตนเองขณะก่อเหตุลงเฟซบุ๊กของตัวเองอีกด้วย จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมในเช้าวันถัดมา สรุปมีผู้เสียชีวิต 31 คน บาดเจ็บ 58 คน ในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัส 32 คน เหตุการณ์กราดยิงครั้งนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย…

7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ในหลวง ร.9 เสด็จฯ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงประกอบพิธีเปิดโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง

วันนี้เมื่อ 40 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมาร และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ทรงประกอบพิธีเปิดโรงไฟฟ้าพลังไอน้ำแม่เมาะ

ย้อนกลับไปเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ถือเป็นวันอันทรงเกียรติของชาวแม่เมาะ ที่ได้ร่วมรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4-7 ซึ่งโรงไฟฟ้า ทั้ง 4 เครื่องได้ปลดระวางไปเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 โดยมีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแม่เมาะเครื่องที่ 14 หรือ MM-T14 ที่เป็นโรงไฟฟ้าเทคโนโลยีใหม่ มีประสิทธิภาพทั้งการผลิตและการควบคุมมลสารได้เท่ากับและดีกว่าโรงไฟฟ้าเดิมมารับช่วงต่อการรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน ไปพร้อมๆ กับโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 8-13

สำหรับความเป็นมาของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เกิดจากการสำรวจหาแหล่งเชื้อเพลิงในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2460 เป็นต้นมา ปรากฏว่าพบถ่านหินลิกไนต์ที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง จากนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 จึงมีพระบรมราชโองการให้สงวนแหล่งถ่านหินที่มีอยู่ในประเทศไว้ เพื่อใช้ในทางราชการเท่านั้น 

ปี พ.ศ. 2497 รัฐบาลได้ตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การพลังงานไฟฟ้าลิกไนท์ เพื่อดำเนินกิจการเหมืองถ่านหิน มีการเปิดทำเหมืองที่แม่เมาะ เพื่อผลิตถ่านลิกไนต์จำหน่ายให้แก่โรงบ่มใบยาสูบ การรถไฟ และโรงงานปูนซีเมนต์ เมื่อรัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 ได้รวมเอากิจการของการลิกไนท์ (กลน.) การไฟฟ้ายันฮี (กฟย.) และการไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือ (กฟ.อน.) รวมเป็นหน่วยงานเดียวกันคือ “การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย” เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2512 เหมืองแม่เมาะจึงอยู่ในความดูแลของ กฟผ. ตั้งแต่นั้นมา และเป็นเหมืองถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2515 ได้เริ่มโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าลิกไนต์แม่เมาะจำนวน 3 หน่วย ขนาดหน่วยละ 75 เมกะวัตต์ พร้อมกับขยายเหมืองแม่เมาะ เพื่อเพิ่มกำลังผลิตถ่านหิน จากที่เคยผลิตได้วันละแสนกว่าตันเป็นล้านตัน จนถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้ก่อสร้างและติดตั้งหน่วยผลิตไฟฟ้าเสร็จสิ้นไปแล้ว 14 หน่วย

6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ‘วันมวยไทย’ เทิดพระเกียรติ 'สมเด็จพระเจ้าเสือ' พระบิดาแห่งมวยไทย

6 กุมภาพันธ์ "วันมวยไทย" ศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัวของชนชาติไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจากบรรพชน เทิดพระเกียรติ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 "สมเด็จพระเจ้าเสือ" พระบิดาแห่งมวยไทย

"มวยไทย” ศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัวของชนชาติไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจากบรรพชน ที่ได้รับการสืบทอดมาสู่ชนรุ่นปัจจุบัน เป็นศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัว ที่ฝึกฝนให้ร่างกายใช้อวัยวะทุกส่วนเป็นอาวุธได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ มือ เท้า เข่า ศอก รวมถึงศีรษะ จึงเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ครบเครื่องมีพิษสงรอบด้าน 

จนเกิดการถ่ายทอดและมีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ได้รับความนิยมไปทั่วไม่เฉพาะในเมืองไทย แต่ยังได้รับความนิยมไปทั่วโลก ถือเป็นกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุผลดังกล่าว กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้ประกาศขึ้นทะเบียนมวยไทยเป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขากีฬาภูมิปัญญาไทย เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เพื่อสร้างความตระหนักให้คนไทยเห็นคุณค่า ห่วงแหนและยกย่ององค์ความรู้ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย 

เพื่อให้มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่านี้ ได้รับการอนุรักษ์ สืบสานและต่อยอด เป็นพลังในการกระตุ้นการท่องเที่ยว สร้างสรรค์เศรษฐกิจไทยให้มั่นคง

จากความสำคัญของมวยไทย กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้ร่วมมือกับภาคเอกชน ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลักดันให้มีการสถาปนา "วันมวยไทย” โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 เห็นชอบให้ กำหนดวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันมวยไทย 

ซึ่งตรงกับวันเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (สมเด็จพระเจ้าเสือ)  พระบิดาแห่งมวยไทย พระมหากษัตริย์ไทยที่มีพระปรีชาสามารถด้านมวยไทยเป็นที่ประจักษ์

พระเจ้าเสือ เป็นพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ที่เสด็จออกไปชกมวยกับสามัญชน ทรงแต่งกายเป็นชาวบ้าน ให้ทุกคนเข้าใจว่า เป็นนักมวยจากเมืองกรุง ชาวบ้านให้ความสนใจมาก เพราะสมัยนั้น นักมวยกรุงศรีอยุธยามีชื่อเสียงมาก ทำให้ได้คู่ชกเป็นนักมวยฝีมือดีจากเมืองวิเศษไชยชาญ ถึงสามคน ทยอยเข้ามาชกทีละคน ได้แก่ นายกลาง หมัดตาย นายใหญ่ หมัดเหล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดด้วยต่างฝ่ายก็มีฝีมือ

แต่ด้วยพระปรีชาสามารถและความชำนาญในศิลปะมวยไทย ที่ได้ทรงฝึกหัดและศึกษาจากสำนักมวยหลายสำนัก จึงทำให้พระองค์สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ติดต่อกันถึง 3 คนได้ โดยที่คู่ต่อสู้ต่างได้รับความบอบช้ำเป็นอันมาก ทำให้ได้รับรางวัลเป็นเงินหนึ่งบาท ฝ่ายผู้แพ้ได้สองสลึง เหตุการณ์นี้จึงเป็นตำนานบทหนึ่งที่ทรงแสดงพระปรีชาสามารถการต่อสู้ด้วยมวยไทย

จากการที่พระเจ้าเสือทรงพระปรีชาสามารถด้านการชกมวย มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ทรงคิดและสร้างสรรค์ท่าแม่ไม้ กลมวยไทยขึ้นมาเป็นแบบเฉพาะพระองค์ เรียกว่า "มวยไทยตำรับพระเจ้าเสือ” จากที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในสมัยรัชการที่ 5 

ซึ่งเป็นตำรามวยตำรับพระเจ้าเสือที่เก่าแก่ที่สุด เป็นมรดกทางภูมิปัญญาจากบรรพชนที่ได้รับการถ่ายทอดมาสู่ชนรุ่นหลัง และสืบสานมาจนถึงทุกวันนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top