Friday, 2 May 2025
TODAY SPECIAL

2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ครบรอบ 9 ปี แชมป์ประวัติศาสตร์ ‘เลสเตอร์ ซิตี้’ จากทีมรองบ่อนสู่ถ้วยพรีเมียร์ลีก และการตกชั้นล่าสุดที่สะเทือนใจแฟนบอล

ในค่ำคืนประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้รับการประกาศให้เป็น แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16 อย่างเป็นทางการ หลังจากผลการแข่งขันระหว่าง เชลซี กับ ทอตนัม ฮอตสเปอร์ จบลงด้วยผลเสมอ 2-2 ที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์

แม้เลสเตอร์จะไม่ได้ลงสนามในวันนั้น แต่ผลเสมอดังกล่าวทำให้คะแนนของทอตนัม ฮอตสเปอร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งลุ้นแชมป์อันดับสองในขณะนั้น ไม่สามารถไล่ตามเลสเตอร์ทัน ในช่วงสองนัดสุดท้ายของฤดูกาล ส่งผลให้ 'จิ้งจอกสยาม' คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรในปี 1884

ชัยชนะในฤดูกาลนี้ถือเป็นหนึ่งใน เรื่องราวปาฏิหาริย์ของวงการกีฬา เพราะก่อนเปิดฤดูกาล เลสเตอร์ถูกมองว่าอาจต้องหนีตกชั้น และมีอัตราต่อรองแชมป์อยู่ที่ 5,000 ต่อ 1 จากบ่อนรับพนันในอังกฤษ แต่ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี และการเล่นอย่างยอดเยี่ยมของนักเตะอย่าง เจมี วาร์ดี, ริยาด มาห์เรซ และ เอ็นโกโล ก็องเต ทีมสามารถสร้างปรากฏการณ์ 'เทพนิยายเลสเตอร์' ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2024–25 เลสเตอร์ ซิตี้ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อพวกเขาตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง หลังจากพ่ายแพ้ให้กับทีมแชมป์อย่างลิเวอร์พูล 0-1 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 นับเป็นการตกชั้นครั้งที่สองในรอบสามฤดูกาลของสโมสร โดยก่อนหน้านี้ในฤดูกาล 2022–23 เลสเตอร์จบอันดับที่ 18 ของตารางและต้องตกชั้นลงสู่แชมเปียนชิป

การตกชั้นล่าสุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาภายในสโมสร ทั้งในด้านการบริหารและผลงานในสนาม แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมและความพยายามในการปรับปรุงทีม แต่เลสเตอร์ก็ไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีพอที่จะอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้ ซึ่งการตกชั้นนี้ทำให้สโมสรต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับโครงสร้างทีมและวางแผนเพื่อกลับคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในอนาคต

เรื่องราวของเลสเตอร์ ซิตี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในวงการฟุตบอล ที่ความสำเร็จในอดีตไม่ได้รับประกันความสำเร็จในอนาคต และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสำเร็จอย่างยั่งยืน​

1 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนธรรมเนียมในราชสำนัก จากการหมอบกราบบนพื้น เป็นนั่งเก้าอี้ทำงานตามแบบตะวันตก

ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการทำงานภายในราชสำนัก โดยเฉพาะในระบบราชการหรือ 'ออฟฟิศ' จากธรรมเนียมไทยแบบเดิมที่ต้องนั่งพับเพียบหรือหมอบกราบบนพื้น มาเป็นการ 'ยืน' และ 'นั่งเก้าอี้' ตามแบบอย่างของชาวตะวันตก ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของประเทศที่เจริญแล้วในยุคนั้น

ในหนังสือ ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่ม 3 ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์ โดยกรมศิลปากร ได้เล่าว่า “เมื่อราชสำนักเลิกหมอบเฝ้าและใช้เก้าอี้ในระยะแรกๆ คนไทยยังคงนั่งเก้าอี้ไม่เป็น ผู้หญิงขึ้นไปนั่งพับเพียบ ส่วนชายนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ จนรัชกาลที่ 5 ต้องมีพระราชโองการแนะนำวิธีการนั่งเก้าอี้ โดยใช้วิธีหย่อนก้นเท่านั้นลงบนเก้าอี้ ส่วนขาให้ห้อยลงไป”​

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงพยายามปรับปรุงระเบียบแบบแผนของราชการไทยให้ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของประเทศที่เจริญและมีความเสมอภาคระหว่างผู้ปฏิบัติราชการ ซึ่งเป็นรากฐานหนึ่งของการปฏิรูประบบราชการไทยในยุคใหม่

นอกจากนี้ ยังนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการปรับตัวของสังคมไทยเข้าสู่ระบบบริหารจัดการแบบตะวันตก อันมีอิทธิพลต่อโครงสร้างราชการ ระบบกฎหมาย และวัฒนธรรมองค์กรของไทยในเวลาต่อมา

๑ พฤษภาคม วันคล้ายวันบรมราชาภิเษกสมรส ทรงพระเจริญ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ในเย็นวันนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้อง ว.ป.ร. พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรสกับ พลเอก หญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา พระยศในขณะนั้น พร้อมทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา พลเอก หญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา เป็น สมเด็จพระราชินีสุทิดา พระอัครมเหสี ทรงดำรงตำแหน่งพระอิสริยยศ ฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์

ในครั้งนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระยศในขณะนั้น ทรงลงพระนามาภิไธยในฐานะทรงเป็นสักขีพยาน และพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ลงนามในสมุดจดทะเบียนราชาภิเษกสมรส ในฐานะสักขีพยาน ในวาระศุภมงคลนี้ด้วย

ต่อมาในวันที่ ๔ พฤษภาคม ปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ตามพระราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระราชินีสุทิดา ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ตามราชประเพณีสืบมา

ตลอดระยะเวลาแห่งการครองคู่เป็นพระมิ่งขวัญแห่งแผ่นดิน ทั้งสองพระองค์ทรงตั้งมั่นพระราชปณิธานที่จะ 'สืบสาน รักษา ต่อยอด' แนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระคู่ขวัญคู่พระบารมี เสริมพลังรักแห่งแผ่นดินให้มีความร่มเย็น ทรงถักทอร้อยรักแผ่นดินไทยให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังรักที่มีต่อปวงพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ผ่านโครงการในพระราชดำริ และพระราชกรณียกิจต่างๆ นานัปการ ดังเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นความรักที่หาที่สุดมิได้

เนื่องในโอกาสมหามงคลวันคล้ายวันบรมราชาภิเษกสมรส วันที่ ๑ พฤษภาคมได้เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ พระชนมายุยิ่งยืนนาน พระบารมีแผ่ไพศาลเป็นร่มโพธิ์ทองฉัตรแก้ว ปกเกล้าปกกระหม่อมปวงพสกนิกรชาวไทยตราบจิรัฐิติกาล

30 เมษายน พ.ศ. 2231 สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทอดพระเนตรสุริยุปราคากับคณะทูตฝรั่งเศส ปูทางสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสมัยอยุธยา

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระโอรสของพระเจ้าปราสาททองและพระราชเทวี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 27 ของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงปกครองประเทศด้วยพระปรีชาสามารถและวิสัยทัศน์ที่ล้ำลึก ทั้งด้านการทหาร การทูต และการส่งเสริมวัฒนธรรมและวิทยาการ โดยเฉพาะการเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก ซึ่งในขณะนั้น ฝรั่งเศสเป็นประเทศหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับกรุงศรีอยุธยาอย่างใกล้ชิด พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการศึกษาและการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงการสังเกตดาราศาสตร์ผ่านกล้องดูดาวที่พระองค์ทรงได้รับการช่วยเหลือจากคณะบาทหลวงฝรั่งเศส ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่พระองค์และข้าราชการไทย

โดยในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 เป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทย เนื่องจากในวันดังกล่าว สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่เกิดขึ้น ณ พระที่นั่งเย็น พระที่นั่งตำหนักกลางทะเลชุบศร เมืองลพบุรี โดยมีคณะบาทหลวงฝรั่งเศสและข้าราชบริพารฝ่ายไทยร่วมทอดพระเนตรด้วยกัน เหตุการณ์นี้ถือเป็นการแสดงออกถึงพระราชความสนใจในวิทยาการและการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ซึ่งพระองค์ทรงมุ่งมั่นที่จะนำความรู้จากตะวันตกมาปรับใช้ในการปกครองและพัฒนาประเทศไทยในด้านต่าง ๆ

การทอดพระเนตรสุริยุปราคาในครั้งนี้สะท้อนถึงความสนพระทัยของสมเด็จพระนารายณ์ในวิทยาการและความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ พระองค์ไม่เพียงแต่สนใจในเรื่องการทหารและการปกครองเท่านั้น แต่ยังทรงมีพระราชวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาอาณาจักรอยุธยาในด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคแห่งการเรียนรู้และเปิดรับความรู้จากต่างประเทศ

ในรัชสมัยของพระองค์ การทูตกับฝรั่งเศสมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการส่งคณะราชทูตไปยังฝรั่งเศสเพื่อสร้างความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ซึ่งในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสภายใต้การปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ให้ความสำคัญกับการส่งคณะทูตและนักวิทยาศาสตร์มายังประเทศไทย การเชื่อมสัมพันธ์ทางการทูตนี้นอกจากจะส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการทหารแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการเปิดประตูสู่วัฒนธรรมตะวันตกในประเทศไทยอีกด้วย

เหตุการณ์ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 เป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในฐานะพระมหากษัตริย์ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล ทั้งในด้านการปกครอง การทหาร และการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการสนใจในดาราศาสตร์และการสังเกตการณ์สุริยุปราคา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในการพัฒนาประเทศผ่านการศึกษาความรู้จากต่างประเทศ การทอดพระเนตรสุริยุปราคาครั้งนี้จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความรู้ในวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเปิดรับนวัตกรรมและวิทยาการจากโลกภายนอก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอาณาจักรอยุธยาในหลายมิติ

Pet Hotel Bangkok คือโรงแรม 5 ดาวที่ให้บริการดูแลและรับฝากสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณ

Pet Hotel Bangkok คือโรงแรม 5 ดาวที่ให้บริการดูแลและรับฝากสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณ

Pet Hotel Bangkok ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 103 มีห้องหลายขนาดตั้งแต่ 1.4-2.8 ตร. ม.

วันที่ 29 เมษายนของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งของประเทศไทย เนื่องในวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร

วันที่ 29 เมษายนของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งของประเทศไทย เนื่องในวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน พุทธศักราช 2548 เวลา 18.35 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ท่ามกลางความปีติยินดีของพระบรมวงศานุวงศ์และพสกนิกรทั่วประเทศ

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงได้รับการดูแลและอบรมพระองค์อย่างประณีตให้เจริญพระชันษาอย่างสมพระเกียรติ ทรงมีพระจริยวัตรงดงาม สุภาพอ่อนน้อม และทรงแสดงออกถึงความตั้งใจจริงในการศึกษาเล่าเรียนในทุกด้าน ทั้งด้านภาษา ศิลปวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี อีกทั้งยังทรงสนพระทัยในกิจกรรมจิตอาสาและงานสาธารณประโยชน์ เพื่อสืบสานแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการปลูกฝังให้เยาวชนมีความรักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์

ในโอกาสวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ หน่วยงานราชการ หน่วยงานเอกชน และประชาชนทั่วไป ต่างพร้อมใจจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและถวายพระพรชัยมงคล อาทิ การจัดพิธีถวายพานพุ่ม การบำเพ็ญกุศลถวายพระราชกุศล การจัดนิทรรศการเผยแพร่พระประวัติและพระราชกรณียกิจ ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมจิตอาสาในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคม โดยสำนักพระราชวังได้เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมลงนามถวายพระพรได้ทั้งทางออนไลน์และในสถานที่ราชการที่กำหนด

ทั้งนี้ สำนักพระราชวัง ขอเชิญชวนประชาชนร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ วันที่ 29 เมษายน 2568 ผ่านระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์ https://wellwishes.royaloffice.th/home/index/43 ระหว่างวันที่ 28 – 30 เมษายน 2568

28 เมษายน พ.ศ. 2493 ‘วันพระราชพิธีสมรส’ ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ แบบอย่างแห่งความรักและความผูกพัน วันประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จักรีไทย

ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ วังสระปทุม ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จักรีและประเทศไทย

พระราชพิธีครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนในประเทศอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นการเฉลิมฉลองการรวมกันของสองพระองค์ที่ถือเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงและความสุขให้แก่ประเทศชาติ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ได้รับการยกย่องเป็นพระราชินีนาถและทรงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทั้งสองพระองค์ทรงถือเป็นแบบอย่างของความรักชาติและความทุ่มเทในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทย การพระราชพิธีสมรสในครั้งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความผูกพันระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี

เหตุการณ์ดังกล่าวมีความสำคัญไม่เพียงแต่ในด้านการเมืองและการปกครองเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของการปกครองและสังคมไทยที่ยาวนานและมั่นคง

27 เมษายน พ.ศ. 2382 รัชกาลที่ 3 กับการ ‘ห้ามค้าฝิ่น’ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประกาศประวัติศาสตร์ที่วางรากฐานนโยบายควบคุมยาเสพติด

เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงมีพระบรมราชโองการให้พิมพ์ประกาศห้ามสูบฝิ่นและค้าฝิ่นในพระราชอาณาจักร ถือเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมสารเสพติดในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งในขณะนั้นการใช้ฝิ่นเริ่มแพร่หลายและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงความมั่นคงของเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม

ประกาศดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อขจัดภัยจากฝิ่นที่เริ่มทำลายรากฐานของครอบครัวและสังคม โดยเนื้อหาในประกาศระบุชัดถึงโทษของผู้กระทำผิด ทั้งในด้านการครอบครอง ค้า หรือเสพฝิ่น โดยให้ลงโทษตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เพื่อลดจำนวนผู้เสพและยับยั้งการแพร่ระบาดของฝิ่นในราชอาณาจักร

การประกาศห้ามสูบและค้าฝิ่นครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความห่วงใยของรัชกาลที่ 3 ต่อสุขภาพประชาชนและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง นับเป็นหนึ่งในพระราชกรณียกิจที่สำคัญในด้านสาธารณสุขและการบริหารราชการแผ่นดินในยุคต้นของประเทศไทย

นอกจากนี้ ประกาศดังกล่าวยังสะท้อนถึงการปรับตัวของสยามต่อสถานการณ์โลกในยุคนั้น โดยเฉพาะจากผลกระทบของสงครามฝิ่นในจีน ที่แสดงให้เห็นถึงภัยร้ายแรงของฝิ่นต่อสังคมและประเทศชาติ ซึ่งไทยได้เรียนรู้และเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันภายในประเทศ

26 เมษายน พ.ศ. 2431 จุดเริ่มต้นแห่งสาธารณสุขไทย รัชกาลที่ 5 ทรงเปิด ‘ศิริราช’ โรงพยาบาลแห่งแรกของชาติ เพื่อดูแลประชาชนทุกชนชั้น

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธีเปิดโรงพยาบาลศิริราชอย่างเป็นทางการ นับเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทย ที่จัดตั้งขึ้นด้วยพระราชดำริเพื่อให้บริการรักษาพยาบาลแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง สะท้อนพระมหากรุณาธิคุณและวิสัยทัศน์อันก้าวไกลในด้านสาธารณสุขของพระองค์

โรงพยาบาลศิริราชก่อตั้งขึ้นบนพื้นที่ฝั่งธนบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาสถานพยาบาลที่สามารถรองรับผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรสที่สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคบิดในวัยเยาว์

การเปิดโรงพยาบาลศิริราชถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยอย่างมีระบบและยั่งยืน ต่อมาโรงพยาบาลแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานศึกษาของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เป็นที่ตั้งของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ตลอดเวลากว่า 130 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลศิริราชมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพประชาชนไทย ทั้งในด้านการรักษา การวิจัย และการพัฒนาวิชาชีพทางการแพทย์ พร้อมยึดมั่นในอุดมการณ์การให้บริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ สมดังพระราชปณิธานของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงวางรากฐานไว้ตั้งแต่วันแรกแห่งการก่อตั้ง

25 เมษายน พ.ศ. 2148 ครบรอบปีที่ 420 วันสวรรคต ‘สมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ รำลึกพระมหากษัตริย์ผู้ปลุกสำนึกรักชาติให้คนไทยชั่วนิรันดร์

วันที่ 25 เมษายน พุทธศักราช 2148 เป็นวันสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากเป็นวันที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จสวรรคต ขณะมีพระชนมพรรษา 50 พรรษา ขณะนั้นพระองค์ทรงยกทัพไปยังเมืองหาง เพื่อจะตีเมืองอังวะของพม่า และสวรรคตระหว่างการตั้งทัพอยู่ที่เมืองสวางคบุรี (เมืองสองแควในจังหวัดพิษณุโลกปัจจุบัน)

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกอบกู้เอกราชของชาติไทยจากพม่า โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญคือ ยุทธหัตถี ที่ทรงกระทำกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและอิสรภาพของไทย

พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของผู้นำที่กล้าหาญ เสียสละ และทรงอุทิศพระวรกายเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ภายใต้การปกครองของพระองค์ ประเทศชาติมีความมั่นคง แข็งแกร่ง และได้รับการฟื้นฟูจากภัยสงคราม จนสามารถยืนหยัดเป็นอิสระได้อีกครั้ง

ปัจจุบัน วันที่ 25 เมษายนของทุกปี ได้รับการน้อมรำลึกในฐานะ วันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีการจัดกิจกรรมวางพวงมาลา พิธีถวายราชสักการะ และจัดงานทางประวัติศาสตร์ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ และปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top