เปิดเจอโปรจึ้ง ดีลผู้พันวันอังคาร KFC 9 ชิ้น 169.-
ที่ KFC ทุกสาขา (ยกเว้น ท่าอากาศยานดอนเมือง, สนามบินสุวรรณภูมิ, วังหลังพิเศษ)

ที่ KFC ทุกสาขา (ยกเว้น ท่าอากาศยานดอนเมือง, สนามบินสุวรรณภูมิ, วังหลังพิเศษ)
‘ท่านพุทธทาสภิกขุ’ คือหนึ่งในภิกษุที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยให้ความเคารพนับถือ แม้ปัจจุบันท่านจะละสังขารไปกว่า 30 ปี แต่ยังมีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ นั่นคือ ‘สวนโมกขพลาราม’ วันนี้ถือเป็นวันครบรอบ 89 ปี ของการก่อตั้งสถานที่แห่งนี้
สวนโมกขพลาราม ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2475 แต่เดิม ณ สถานที่แรก สร้างขึ้นที่วัดร้างตระพังจิก อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในครั้งนั้น ท่านพุทธทาสภิกขุ พร้อมด้วยโยมน้องชาย และคณะธรรมทานอีก 4-5 คน ได้ออกเสาะหาสถานที่ที่มีความวิเวก และเหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
กระทั่งได้มาเจอกับวัดร้างแห่งนี้ บนเนื้อที่กว่า 60 ไร่ จึงได้จัดทำเพิงที่พักแบบเรียบง่าย พร้อมกับเข้าอยู่เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2475 ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาในปีนั้นพอดี โดยที่มาของชื่อ ‘สวนโมกขพลาราม’ เนื่องมาจากบริเวณวัดดังกล่าวมีต้นโมก และต้นพลาขึ้นอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีความหมายโดยนัยว่า ‘เป็นสวนป่าอันมีกำลังแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์’
ต่อมาในปี พ.ศ.2486 สวนโมกข์ได้ย้ายมาอยู่ที่ ‘วัดธารน้ำไหล’ บริเวณเขาพุทธทอง ริมทางหลวงหมายเลข 41 อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี โดยท่านพุทธทาสมีความปรารถนาให้สวนโมกข์เป็นสถานที่แสวงหาความสงบและศึกษาธรรม ภายในวัดจึงมีโรงมหรสพทางวิญญาณ ซึ่งเป็นอาคารที่รวบรวมภาพศิลปะ คำสอนในศาสนานิกายต่าง ๆ รวมทั้งมีภาพพุทธประวัติมากมาย
นอกจากนี้รอบบริเวณวัดยังเป็นสวนป่าร่มรื่น ที่เต็มไปด้วยปริศนาธรรม โดยปราศจากโบสถ์และศาลาอย่างวัดทั่วไป ต่อมาภายหลังจากท่านพุทธทาสมรณภาพในปี พ.ศ.2536 สวนโมกข์แห่งนี้ก็ยังคงมีพระภิกษุและพุทธศาสนิกชน เดินทางมาตักบาตร ฟังธรรม และปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์อยู่เรื่อยมา นับถึงวันนี้ ผ่านมาแล้วกว่า 93 ปี สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงทำหน้าที่ช่วยฝึกจิต ชำระใจ และนำทางผู้คนให้ค้นพบกับความสงบ เหมือนดังเช่นที่เป็นมานับจากวันแรก
วันนี้ เมื่อ 57 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา ณ วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร พระอารามหลวง ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
วัดพระธาตุเชิงชุมฯ ถือเป็นวัดที่มีความสำคัญในจังหวัดสกลนคร เป็นพระอารามหลวงที่พระบรมวงศานุวงศ์ แทบทุกพระองค์เคยเสด็จฯ บำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯมาทรงงานยังพื้นที่จังหวัดสกลนคร
โดยครั้งที่มีความสำคัญครั้งหนึ่ง คือเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ ในขณะทรงผนวชและดำรงพระยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงถวายสักการะองค์พระธาตุเชิงชุมและหลวงพ่อพระองค์แสน ณ วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2521
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้แทนพระองค์ในการต้อนรับ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 (Pope John Paul II) ประมุขแห่งวาติกัน ซึ่งเสด็จเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรก ณ ท่าอากาศยานทหาร กองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง
โดยในระหว่างการเยือนไทยนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาได้เสด็จไปเยี่ยมค่ายผู้อพยพที่พนัสนิคม และทรงรณรงค์เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพเหล่านั้น อีกทั้งยังทรงบริจาคเงินสดช่วยเหลือผู้ลี้ภัยอินโดจีน เป็นจำนวน 1 ล้านบาท
ขณะที่ภาพที่ยังคงตราตรึงในความทรงจำอย่างมิรู้ลืมเลือน ก็คือ การก้มลงจูบผืนแผ่นดินไทยขององค์สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์นปอลที่ 2 และภายหลังจากเยือนประเทศไทย พระองค์ยังได้เสด็จเยือนสาธารณรัฐเกาหลี ปาปัวนิวกินี และหมู่เกาะโซโลมอน อีกด้วย
'Land Aircraft Carrier' มีรูปแบบเป็นรถตู้ไฟฟ้าที่มีเครื่องบินแบบพับเก็บได้ติดตั้งอยู่ด้านหลังรถ หากต้องการใช้งานสามารถปล่อยขึ้นบินขึ้นได้ทันที เริ่มใช้จริงในจีนก่อน และมีแผนขยายสู่ต่างประเทศในอนาคต
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเปิดอาคารโรงกลั่นแอลกอฮอล์ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เพื่อค้นคว้าน้ำมันเชื้อเพลิงและเริ่มผลิตเอทานอลจากอ้อย ตามแนวพระราชดำริเกี่ยวกับพลังงานทดแทนด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สำหรับการศึกษาวิจัยภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาเริ่มตั้งแต่การทดลอง ปลูกอ้อยหลายพันธุ์ เพื่อคัดเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุดนำมาทำแอลกอฮอล์ นอกจากอ้อยที่ผลิตได้ภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาแล้วยังออกไปรับซื้อ อ้อยจากเกษตรกรเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบอีกด้วย
โรงงานแอลกอฮอล์ซึ่งมีทั้งเครื่องหีบอ้อย ถังหมัก หอกลั่นขนาดเล็ก เริ่มเดินเครื่องการผลิตครั้งแรกในปี พ.ศ.2529 สามารถผลิตแอลกอฮอล์ 91 เปอร์เซ็นต์ได้ในอัตรา 2.8 ลิตรต่อชั่วโมง
ต่อมาเนื่องจากวัตถุดิบมีไม่เพียงพอ จึงเปลี่ยนมาใช้กากน้ำตาล และมีการสร้างอาคารศึกษาวิจังหลังใหม่ภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
สำหรับแอลกอฮอล์ที่ผลิตได้ในช่วงแรกยังไม่สามารถนำไปผสมกับเบนซินได้ จึงนำผลผลิตที่ได้ไปทำเป็นน้ำส้มสายชูต่อมาก็ทำเป็นแอลกอฮอล์แข็งใช้อุ่น อาหารให้กับทางห้องเครื่องของสวนจิตรลดา เนื่องจากเดิมใช้แอลกอฮอล์เหลว ครั้งหนึ่งเมื่อมีการขนส่งแอลกอฮอล์เหลวไปยังพระตำหนักในภาคเหนือ รถเกิดอุบัติเหตุทำให้ไฟไหม้รถทั้งคัน เพราะแอลกอฮอล์เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี จึงได้มีการคิดนำแอลกอฮอล์มาทำเป็นเชื้อเพลิงแข็งเพื่อความปลอดภัยแทน
โรงงานแอลกอฮอล์มีการปรับปรุงการกลั่นเรื่อยมาต่อมาก็สามารถผลิต แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95 เปอร์เซ็นต์ หรือที่เรียกว่าเอทานอลได้เป็นผลสำเร็จ
วันนี้ เมื่อ 151 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งคณะรัฐมนตรีชุดแรกของไทยขึ้นบริหารประเทศ เรียกการบริหารงานของรัฐมนตรีชุดนี้ว่า สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงแต่งตั้งสภาขึ้น 2 สภา คือ 1. สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) (รัฐมนตรีสภา) มีสมาชิกจำนวน 12 คน เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2417 ทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ-ออกกฎหมาย
2. สภาที่ปฤกษาในพระองค์ (ที่ปรึกษาในพระองค์) หรือ ปรีวีเคาน์ซิล (Privy Council) มีสมาชิกจำนวน 49 คน เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2417 สมาชิกส่วนใหญ่เป็นพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและดูแลบ้านเมือง-ราษฎรต่างพระเนตรพระกรรณ
ถือเป็นต้นกำเนิดของคณะบุคคลที่พระมหากษัตริย์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยและเป็นที่ปรึกษาพระเจ้าแผ่นดิน
สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ประกอบไปด้วย สมาชิกผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาจำนวน 12 คน มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาและความคิดเห็นต่าง ๆ ในด้านนิติบัญญัติ และเมื่อข้อราชการใดที่ประชุมสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินมีมติเห็นชอบ ก็ให้ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป
ทั้งนี้ผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง ต้องทำพิธีสัตยานุสัตย์ สาบานต่อหน้าพระพักตร์และถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เพื่อให้มีความตั้งใจปฏิบัติหน้าที่จนเต็มกำลังความสามารถโดยไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง และรักษาความลับ เพื่อให้การปฏิรูปการเมืองการปกครองบรรลุตามวัตถุประสงค์
การประชุมของสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน จะต้องมีสมาชิกมาประชุมร่วมกันตั้งแต่ 7 นายขึ้นไป จึงจะนับว่าครบองค์ประชุม ผลการประชุมทุกครั้งต้องกราบทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ เมื่อทรงเห็นชอบด้วย ผลของการประชุมหรือมติของสภาจึงจะมีผลบังคับใช้ต่อไป
ผ่านมาถึงวันนี้ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ถือเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปการเมืองการปกครองของประเทศไทย เปรียบเสมือน ‘คณะรัฐมนตรี’ ที่ดำเนินการด้านกฎหมาย และให้คำปรึกษาในการบริหารราชการแผ่นดิน อันเป็นพื้นฐานการปกครองสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ได้พ้นจากเก้าอี้รักษาการนายกฯ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ขัดรัฐธรรมนูญ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นเก้าอี้รักษาการนายกฯ พร้อมกับ 9 รัฐมนตรี ที่ร่วมลงมติเห็นชอบให้ย้ายนาย ถวิล เปลี่ยนศรี
กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจากนายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภาในขณะนั้น ได้ร้องขอให้ศาลพิจารณาว่า สถานภาพความเป็นรัฐมนตรีของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 182 (7) ประกอบมาตรา 268 หรือไม่ จากกรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาแล้วเห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโยกย้าย นายถวิล พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเร่งรีบอย่างผิดสังเกต ซึ่งไม่เป็นไปตามการปฏิบัติราชการปกติ ถือเป็นการกระทำที่รวบรัด ปราศจากเหตุผลอันสมควรที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการที่ย้าย นายถวิล เลขาธิการ สมช. ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ คือความประสงค์ให้ตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ว่างลง เพื่อโอนย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้น มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. แทน อันจะทำให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่างลง เพื่อย้าย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. ในขณะนั้น ซึ่งกำลังจะเกษียณอายุราชการ และเป็นเครือญาติของนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทน
ดังนั้น การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้สถานะการเป็นนายกรัฐมนตรี เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อประโยชน์ของตัวเอง มีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รวมถึงรัฐมนตรีในขณะนั้นจำนวน 9 คนที่ร่วมมีมติดังกล่าวก็ให้พ้นตำแหน่ง ถือว่ามีส่วนร่วมในการก้าวก่ายแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการด้วย
หลังจากนั้นอีก 15 วันต่อมา (วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557) ทหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ จึงได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจการปกครอง นับถึงวันนี้ เป็นระยะเวลา 11 ปีแล้ว
ย้อนไปในห้วงเวลาแห่งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และในวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 พระองค์ท่าน และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีพร้อมด้วย พระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท
ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล พร้อมทั้งเสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ให้คณะทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศ เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ สืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์
วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 เป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากเป็นวันที่มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาลที่ 9) ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง ตามโบราณราชประเพณีของราชวงศ์จักรี
พระราชพิธีครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่พระองค์เสด็จนิวัติประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2494 หลังสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายและรัฐศาสตร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การบรมราชาภิเษกถือเป็นการประกาศพระราชอำนาจในการครองราชย์อย่างเป็นทางการต่อประชาชนและนานาประเทศ
ในพระราชพิธี พระองค์ได้มีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งกลายเป็นหลักการสำคัญในการทรงงานตลอดรัชสมัยที่ยาวนานกว่า 70 ปี และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพสกนิกรไทย
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในครั้งนั้นยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจนานัปการที่พระองค์ทรงริเริ่ม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย ทั้งในด้านเกษตรกรรม น้ำ การศึกษา และเศรษฐกิจพอเพียง