Monday, 19 May 2025
NEWS FEED

กระบี่ เตรียมพร้อม พื้นที่นำร่อง (เกาะพีพี-อ่าวไร่เลย์-เกาะไหง) รองรับนักท่องเที่ยวตามแผนภูเก็ตแซนด์บอกซ์

(27 ก.ค. 64) พันตำรวจโทหม่อมหลวงกิติบดี  ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ลงพื้นที่ตรวจสอบความพร้อมจุดตรวจท่าเทียบเรืออ่าวน้ำเมา และจุดตรวจท่าเทียบเรือไร่เลย์ ต.อาาวนาง จ.กระบี่ ก่อนจะเปิดรับนักท่องเที่ยวในต้นเดือนสิงหาคม โดยมี นายสมชาย  หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการและเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและรายงานการตรวจคัดกรองและปฏิบัติตามมาตรการตามประกาศจังหวัด ณ จุดตรวจคัดกรอง ดังนี้ 

ต้องมีเอกสารยืนยันว่าเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิค 19 ที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองครบตามจำนวน หรือ Astrazeneca 1 เข็มไม่น้อยกว่า 14 วัน อ ต้องมีเอกสารยืนยันผลการตรวจไม่พบเชื้อไวรัส โควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR หรือ Rapid antigen Test ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ยกเว้นเด็กอายุไม่เกิน 5 ปีไม่ต้องมีผลการตรวจเชื้อและให้มีการรายงานตัวที่ด่านปลายทางของจังหวัดกระบี่ ต้องใช้มาตรการความปลอดภัยที่สร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว ควบคู่มาตรการมาตรการการดูแลประชา ชนในพื้นที่ที่เข้าออกต้อง เข้มงวดและเป็นมาตรการฐานเดียวกัน และต้องลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ของจังหวัดกระบี่กำหนด (QT14) และแสดงอกสารรับรองความจำเป็น  เอกสารเกี่ยวกับสินค้าบริการ  การเดินทาง หรือเอกสารอื่น ณ ด่านตรวจจังหวัดกระบี่

สำหรับอ่าวไร่เรย์ มีการฉีดวัคซีน 100%  ของคนในพื้นที่ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว  มาตรการของจังหวัดจะเกิดสำเร็จได้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันสร้างความปลอดภัยในพื้นที่ได้มากขึ้น โดยผ่านการซักซ้อมอย่างถี่ถ้วนเป็นระบบภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการ กรณีเกิดการณ์ติดเชื้อโควิค การช่วยเหลือการดูแลรวมถึงคนพื้นที่ก็จะเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันคิดช่วยกันดูแลอย่างทั่วถึง

ข้อมูลข่าว / ภาพ
มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน 

นนทบุรี​ อำนวย น้อมรับคำสั่งไม่เลื่อนออกรางวัล หวั่นติดเชื้อคลัสเตอร์ใหม่

นนทบุรี อำนวยน้อมรับคำสั่งไม่เลื่อนออกรางวัลหวั่นติดเชื้อคลัสเตอร์ใหม่

นายอำนวย กลิ่นอยู่ ประธานสมาพันธ์คนพิการผู้ค้าสลากประเทศไทย น้อมรับคำสั่งกองสลาก หลังสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกมายืนยันไม่เลื่อนการออกรางวัลงวดประจำวันที่ 1 ส.ค.2564 ตามเดิม ส่วนงวดวันที่ 1 ก.ย.2564 ตัวแทนจำหน่ายต้องลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ ขณะที่นายอำนวยหวั่นการติดเชื้อคลัสเตอร์ใหม่ จากการค้าขายสลาก

หลังได้รับหนังสือขอเลื่อนการออกสลาก จากประธานสมาพันธ์คนพิการผู้ค้าสลากประเทศไทย นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ออกมาชี้แจงว่า สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยังคงออกรางวัลงวดประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2564 และงวดวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ตามปกติ

หลังมีการประกาศไม่เลื่อนออกรางวัล งวดวันที่ 1 และ 16 สิงหาคม 2564 จากคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล สมาพันธ์คนพิการผู้ค้าสลากประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ยอมรับคำสั่งดังกล่าวแต่ยังคงเป็นห่วงการรวมตัวของผู้ค้าขายสลาก เนื่องจากอาชีพผู้ค้าสลากยังคงกระจายการจำหน่ายไปยังหลายพื้นที่ และสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้ซื้อสลากและประชาชนจึงขอให้เลื่อนการออกสลากออกไปเพื่อระงับยับยั้งการระบาดของเชื้อโควิด-19

นายอำนวยกล่าวว่า ตนขอแถลงการณ์วิงวอนให้สำนักงานสลาก ทราบว่าการที่ต้องออกไปขายสลากอาจเป็นจุดทำให้เป็นการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้เนื่องจากว่าถ้าทางเราไม่รับสลาก ตามที่สำนักงานสลากกำหนดซึ่งในงวดที่สำนักงานสลากกำหนดเป็นงวดวันที่ 16 สิงหาคม เราก็อาจจะถูก ตัดสิทธิ์ได้ฉะนั้นก็เลยจำเป็นจะต้องน้อมรับแต่ว่าในความเห็นของเรา แม้ว่าจะขาดรายได้ ทางเราก็ไม่อยากจะเป็นจุดที่แพร่กระจายเชื้อโควิด เพราะว่าการขายในตลาดไม่ได้มีแต่ทางเราเท่านั้น มีคนขายหลายหมื่นถึงแสนคนถ้าคนเหล่านี้ เคลื่อนที่ออกไปอาจจะเป็นพาหะนำโรคไปก็ได้และอาจจะเป็นพาหะนำเชื้อไปสู่สังคมและครอบครัว อยากฝากคณะกรรมการกองสลากว่ากรุณานึกถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยคำสั่งของศูนย์ศบค.ออกมาแล้วว่า ให้งดการรวมตัวงดการเคลื่อนที่และออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น 

ภาพ-ข่าว กำพลศิลป์ วงษ์เดือน
ผู้สื่อข่าวนนทบุรี

“เฉลิมชัย” พอใจตัวเลขส่งออกสินค้าเกษตรเติบโตสูงสุดในรอบ​ 10​ ปี ผลไม้ครองแชมป์ขยายตัวสูงสุด​ 185% สั่งเร่งเครื่องปฏิรูปข้าวครบวงจรหวังทวงแชมป์คืน พร้อมปรับกลยุทธ์แก้ปัญหา​ ”มังคุด” ฝ่าวิกฤตโควิด19

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้(28 ก.ค.)ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แสดงความพอใจที่สินค้าเกษตรมีส่วนช่วยเศรษฐกิจสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศในเดือนมิถุนายน 71,473.5 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวสูงถึง 59.8% 

นับเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี และเป็นการขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่องโดยผลไม้ครองแชมป์การส่งออกที่อัตราเติบโตสูงสุดถึง 185.10% โดยราชาแห่งผลไม้คือทุเรียนขยายตัว 172% และราชินีแห่งผลไม้คือมังคุดขยายตัว 488.26% เป็นการทำลายสถิติการส่งออกในอดีตที่ผ่านมา ตามมาด้วย การส่งออกยางพาราขยายตัว 111.9% มันสำปะหลังขยายตัว 81.5%

สำหรับการส่งออกข้าวที่มีตัวเลขติดลบทั้งปริมาณและมูลค่านั้น รัฐมนตรีเกษตรฯ.ถือเป็นวาระเร่งด่วนในการแก้ปัญหาและได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ​ เร่งปฏิรูปข้าวแบบครบวงจรเพื่อสร้างศักยภาพใหม่หวังที่จะทวงแชมป์กลับคืนมาโดยใช้​ "5​ ยุทธศาสตร์ปฏิรูปเกษตร​ 4.0” เป็นหัวใจของการพัฒนาโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่การผลิต การแปรรูปและการตลาดภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตโดยบูรณาการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกระทรวงพาณิชย์ สมาคมชาวนาและทุกภาคีภาคส่วน

นอกจากนี้ยังสั่งการให้คณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board)ปรับแผนกลยุทธ์รับมือกับผลกระทบจากโควิด19

โดยเฉพาะลำไยภาคเหนือและผลไม้ภาคใต้ช่วงฤดูพีคสูงสุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม​ ซึ่งเริ่มเห็นผลกระทบจากมาตรการโควิด19​ รุนแรงมากขึ้น​ เช่น​ มังคุดในภาคใต้​ แม้ความต้องการของตลาดยังสูงอยู่แต่กลไกการค้าและการขนส่งเพื่อส่งออกติดขัดอย่างมากทำให้การนำมังคุดจากสวนไปสู่ตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดเกิดปัญหาตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมาและให้ฟรุ้ทบอร์ดออก​ 7​ มาตรการเพิ่มเติมเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาโดยด่วน

นายอลงกรณ์​ กล่าวต่อไปว่า 
ระหว่างวันที่​ 28-29​ กรกฎาคมนี้ นายสินิตย์  เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้(ฟรุ้ทบอร์ด)และคณะได้ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชเพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหามังคุดราคาตกต่ำตามข้อสั่งการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์และดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

สำหรับตัวเลขการส่งออกเดือนมิถุนายน 2564 มีมูลค่า 23,699.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือ 738,135.34 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 43.82% ถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 11 ปี โดยมีสินค้าสำคัญที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด5อันดับแรกได้แก่ 1.ผลไม้ขยายตัว 185.10% 2.อัญมณีและเครื่อง ด้วยมูลค่า ประดับ ขยายตัว 90.48% 3.รถยนต์และอุปกรณ์ชิ้นส่วนยานยนต์ ขยายตัว 78.5% 4.เครื่องจักรกล ขยายตัว 73.13% และ5.เคมีภัณฑ์ขยายตัว 59.82% ประการสำคัญคือ ตลาดหลักและตลาดรองมีอัตราการขยายตัวทุกตลาดโดยตลาดหลักขยายตัว 41.2% ประกอบด้วยจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป  CLMV อาเซียน เป็นต้น ส่วนตลาดรองขยายตัว 49.5% ได้แก่ เอเชียใต้ อินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาติน ออสเตรเลีย เป็นต้น

(กระบี่)​ ร.15 พัน.1 จัดกิจกรรม 'มีแล้วแบ่งปัน'​ มอบหน้ากากอนามัยและสเปรย์แอลกอฮอล์ให้ชาวคลองท่อม

(28 ก.ค. 64) พ.อ.ธนพล นุ้ยสุข ผบ.ร.15 พัน.1 จัดกำลังพลลงพื้นที่ตั้งจุดบริการมอบหน้ากากอนามัยและสเปรย์แอลกอฮอล์แบบพกพาสำหรับล้างมือให้กับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่สัญจรไป-มาในพื้นที่ตลาดสดเทศบาลตำบลคลองท่อมใต้ อ.คลองท่อม จ.กระบี่

ทั้งนี้เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2564 รวมถึงเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (Covid-19) 

และเพื่อเป็นการลดการสัมผัส ทางหน่วยได้นำโต๊ะมาวางหน้ากากอนามัย และให้ประชาชนหยิบ ตามมาตรการในการป้องกันโรค Covid-19 ต่อไป

"อย่างไรก็ตาม เราจะร่วมเป็นกำลังใจให้ประชาชนร่วมฝ่าฟันวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน" พ.อ.ธน​พล​ กล่าว

ข้อมูลข่าว / ภาพ
มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน 

กระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน วัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐฯ จะจัดสรรให้บุคลากรด่านหน้าก่อน 5 แสนโดส ที่เหลือจัดสรรให้กลุ่มเสี่ยง

จากกรณีที่มีข่าวว่าวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จำนวน 1.5 ล้านโดส ที่จะเข้าไทยในเดือนกรกฎาคมนี้ ต่อมามีการประกาศว่าจะฉีดให้แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นลำดับแรก ประมาณกว่า 5 แสนโดส

ซึ่งระหว่างนั้น มีกระแสข่าวให้สับสนว่า การฉีดให้บุคลากรข้างต้นอาจจะเหลือ 2-3 แสนโดส และกล่าวหาว่ามีการขโมยวัคซีน กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมวิจารณ์

รวมทั้งล่าสุด ยังมีบางกลุ่มไปยื่นจดหมายเปิดผนึก ต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกาเพื่อขอให้ตรวจสอบการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) จำนวน 1.5 ล้านโดส อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง และโฆษกกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมายืนยันแล้วว่า...

วัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรก จำนวน 1.54 ล้านโดส จะเข้ามาภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เริ่มฉีดต้นเดือนสิงหาคม 2564 ในกลุ่มบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข บุคลากรด่านหน้า ไม่น้อยกว่า 5 แสนโดส ที่เหลือจัดสรรไปยังกลุ่มเสี่ยง พื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ และเพื่อควบคุมการระบาดในพื้นที่

“ข่าวการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ด่านหน้าเหลือ 2 แสนโดสนั้น ขอย้ำไม่เป็นความจริง การจัดสรรวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญของบุคลากรด้านการแพทย์และด่านหน้า เพื่อธำรงรักษาระบบสาธารณสุขของประเทศรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 บุคลากรด่านหน้าทุกคนต้องได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน”

เท่ากับว่า ไม่มีการขโมยวัคซีนไฟเซอร์ เพราะวัคซีนที่นอกเหนือจากการจัดสรรให้แพทย์ พยาบาล บุคลากร สาธารณสุขด่านหน้าแล้ว อีกส่วนจะถูกจัดสรรไปให้กับ กลุ่มผู้สูงอายุ, ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง, หญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป, ชาวต่างชาติ เน้นผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และ คนไทยที่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ คือ นักเรียน, นักศึกษา, นักกีฬา และนักการทูต ซึ่งเป็นไปตามการรายงานของ พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวไว้เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา

เท่ากับวัคซีนไฟเซอร์ ที่กำลังจะมาถึงนั้น ทีมสาธารณสุข เป็นกลุ่มที่ได้รับมากที่สุดกว่า 5 แสนโดส ก่อนจะกระจายให้กลุ่มอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ข้างต้น

ดังนั้น ขอย้ำว่า "ไม่มีการขโมยวัคซีนจากมือแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด่านหน้าอย่างแน่นอน"

สำหรับเรื่องนี้ ทางด้าน ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้เคยโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Warat Karuchit แจกแจงไปเมื่อ 25 ก.ค. 64 ความว่า...

สธ.แถลง อย่างเป็นทางการแล้วครับ ก็ประมาณที่เราพูดกันไป สำหรับวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส

1.) ยืนยันว่า ข่าวที่ว่าวัคซีนไฟเซอร์สำหรับบุคลากรการแพทย์ เหลือแค่ 2 แสนโดส เป็น "ข่าวปลอม"

2.) อย่างน้อย 5 แสนโดส จัดสรรให้กับบุคลากรทางการแพทย์ บวกด้วย จำนวนที่เกิน

3.) เป็นความสมัครใจ ไม่มีการบังคับฉีดยี่ห้ออะไรทั้งสิ้น

4.) ผลการทดสอบประสิทธิผล พบกว่า SV+SV+AZ สูงกว่าทุกแบบ รวมทั้ง PZ+PZ ด้วย

5.) ไม่มีการเรียกเก็บเงินใด ๆ ทั้งสิ้น

6.) นอกจากบุคลากรทางการแพทย์ วัคซีนไฟเซอร์ล็อตนี้จะจัดสรรไปยังกลุ่มเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง (และกลุ่มอื่น ๆ เช่น ชาวต่างชาติ) ไม่มี VIP หรือ VVIP ใด ๆ

7.) ไม่มีวัคซีนหายใด ๆ ทั้งสิ้น (ยังไม่มา จะหายได้ไง?!)


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000073407

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4802334673115467&id=100000169455098


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'กรณ์' นำทีมพรรคกล้า เดินหน้าเปิด 'ศูนย์กล้าดูแลแห่งที่ 3' ช่วยตัดวงจรระบาดในชุมชน ย้ำรัฐมีสต๊อกฟาวิพิราเวียร์เพียบ ขอรัฐเร่งปลดล็อกปัญหา การกระจายยาควรถึงผู้ติดเชื้อทุกคน ยกโมเดลจุดตรวจศูนย์ราชการ ตรวจเจอแจกยาทันที เสนอรัฐใช้ส่วนราชการเร่งกระจายแจกยาทุกบ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นำทีมพรรคกล้า เดินหน้าร่วมมือกับชุมชนเปิด 'ศูนย์กล้าดูแล' แห่งที่ 3 ที่วัดพระไกรสีห์ (น้อย) เขตบางกะปิ เป็นศูนย์พักคอยให้กับพระ เณร บุคลากรในวัด และคนในชุมชน ที่ติดเชื้อโควิด-19 มาดูแลที่ศูนย์ รับการดูแลเบื้องต้นระหว่างรอเตียงรักษาพยาบาล ตัดวงจรการระบาดในชุมชน โดยศูนย์แห่งนี้มีเตียงรองรับทั้งหมด 12 เตียง และจะมีผู้ติดเชื้อเข้ามาที่ศูนย์ในคืนนี้ 2 คน

นายกรณ์ กล่าวว่า เรื่องที่สำคัญตอนนี้คือการเข้าถึงการรักษาพยาบาลโดยเร็ว พรรคกล้าเคยเสนอให้ปลดล็อกหลายเรื่อง โดยเฉพาะการเข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งจำนวนยาไม่น่าจะมีปัญหา เพราะทราบว่าในสต๊อกมี 4 ล้านเม็ด และภายในสิ้นเดือนนี้จะมีถึง 20 ล้านเม็ด แต่ปัญหาที่เป็นคอขวดอยู่คือการแจกจ่ายยาให้ถึงมือผู้ป่วย ซึ่งจากประสบการณ์ของกลุ่มกล้าอาสา พรรคกล้า พบว่าผู้ป่วยใช้เวลารอยา 4 - 6 วัน ทั้งที่ทุก ๆ วันมีผลอย่างมากต่ออาการและความเสี่ยงต่อชีวิต

"ที่ผ่านมามีข่าวว่า ที่ศูนย์ราชการเริ่มแจกจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ทันที หลังจากการตรวจพบเชื้อด้วยวิธี Antigen Test แต่จำนวนศูนย์ที่มีความพร้อมแจกจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ให้ผู้ติดเชื้อได้ทันทีมีน้อยมาก ถ้าเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อกักตัวอยู่ที่บ้านหรือที่อยู่ตามศูนย์พักคอย การเข้าถึงยาทั่วประเทศจึงเป็นไปอย่างล่าช้า จึงต้องปลดล็อกเงื่อนไขและอุปสรรคทั้งหมดให้ได้โดยเร็ว" นายกรณ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเร่งทำวันนี้คือการตรวจเชื้อเชิงรุก เพื่อนำไปสู่การแยกตัว โดยมีระบบรองรับ เช่น ศูนย์พักคอยชุมชนอย่างที่พรรคกล้าทำอยู่ตอนนี้ หรือการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) แต่ที่สำคัญที่สุดคือผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลโดยเร็ว ซึ่งพรรคกล้ากำลังจับมือกับกลุ่มแพทย์แผนไทย จัดชุดยาสมุนไพรให้เข้าถึงผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อและมีอาการระดับสีเขียวอยู่ เพื่อให้ผู้ติดเชื้อสามารถรักษาตัวทันที แต่หากรัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถจัดยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับทุกคนที่ตรวจพบเชื้อ ซึ่งแยกตัวอยู่ตามบ้านหรือศูนย์พักคอยได้ ยิ่งจะเป็นผลดี สามารถลดการพึ่งพาเตียงรักษาได้มากในอนาคต เพราะยาสามารถจำกัดอาการได้

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวด้วยว่า ในกรุงเทพมหานคร วันนี้อาสาสมัครของพรรคกล้าหลายเขต รับหน้าที่รับยาจากหน่วยงานราชการ วิ่งไปส่งตามบ้านผู้ที่กักตัวอยู่ ซึ่งพรรคกล้ายินดีช่วยเหลือและพร้อมอาสาในทุกแง่มุม ที่จะช่วยผู้ป่วยเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาลได้โดยเร็ว แต่อดคิดไม่ได้ว่าหน่วยงานราชการที่มีกำลังพลจำนวนมากในหน่วยงานต่าง ๆ น่าจะทำหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่านี้


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"มีแล้วแบ่งปัน" หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 มอบเครื่องอุปโภคให้กับเด็กผู้ยากไร้ ณ สถานสงเคราะห์บ้านเกื้อกูล เชียงราย

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 ได้จัดกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์มอบสิ่งของเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชน "มีแล้วแบ่งปัน" เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตามพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยประชาชน

หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 จึงสนองพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการจัดพิธีรับมอบสิ่งของเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564

โดยมี พันเอก สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนาสกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 พร้อมด้วย พันเอก วิชา ภู่ทอง รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 และ พันเอก ภูเบศ มาแก้ว รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 ได้ออกเดินทางไปมอบสิ่งของอุปโภคบริโภค ให้กับเด็กพิเศษ ณ สถานสงเคราะห์บ้านเกื้อกูล บ้านศรีวิเชียร หมู่ที่ 8 ตำบลท่าสุด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ในครั้งนี้ต่อไป


ภาพ/ข่าว  สันติ วงศ์สุนันท์ / ผู้สื่อข่าวเชียงราย

โควิด-19 ระบาดหนัก เวียดนาม ประกาศเคอร์ฟิวนครโฮจิมินห์ จุดศูนย์กลางแพร่เชื้อห้ามประชาชนออกนอกบ้านเด็ดขาด ในขณะที่มาเลเซีย “สาหัส” ติดโควิดรายวันเกิน 1.7 หมื่น ยอดสะสมทะลุ 1 ล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันอาทิตย์ 25 กรกฎาคม ที่โฮจิมินห์ซิตี ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในเวียดนาม ได้ออกประกาศการบังคับใช้เคอร์ฟิวทั่วเมือง ตั้งแต่วันจันทร์ 26 กรกฎาคม เป็นต้นไป

หน่วยงานเทศบาลนครโฮจิมินห์ซิตีตัดสินใจประกาศเคอร์ฟิวช่วง 18.00-06.00 น. โดยสั่งห้ามประชาชนทั่วเมืองเดินทางออกนอกบ้านทุกกรณี ระงับกิจกรรมทุกประเภทระหว่างช่วงเคอร์ฟิว ยกเว้นกิจกรรมทางการแพทย์ฉุกเฉินหรือการประสานงานที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19

โฮจิมินห์บังคับใช้กฎการรักษาระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวดที่สุดของเวียดนามภายใต้คำสั่งข้อที่ 16 ของรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. โดยสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน ห้ามรวมตัวกันเกิน 2 คน และระงับบริการขนส่งสาธารณะ

อนึ่ง กระทรวงสาธารณสุขของเวียดนามรายงานว่าโฮจิมินห์ซิตีมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสม 60,425 ราย นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดครั้งล่าสุดในเวียดนามช่วงปลายเดือนเมษายนจนถึง 19.00 น. ของวันอาทิตย์ 25 ก.ค.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียระบุ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมในประเทศขณะนี้ทะลุ 1 ล้านคนแล้ว หลังจากวันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 17,045 คน ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมใกล้แตะ 8,000 คน มีผู้กำลังป่วยอยู่กว่า 114,000 คน ในจำนวนนี้อาการหนัก 869 คน และตรวจหาเชื้อไปแล้วกว่า 16 ล้านคน ท่ามกลางการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้า ที่ทำให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ กระนั้นก็ตามทางการมาเลเซียยังไม่มีแนวคิดประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

นายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซิน ของมาเลเซีย กล่าวว่า การรณรงค์ฉีดวัคซีนให้แก่ผู้สูงวัยดูเหมือนกำลังได้ผล เพราะยอดผู้สูงวัยอาการหนักเริ่มลดลง ทำให้ทางการตัดสินใจเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ผู้ใหญ่ทุกคนในรัฐสลังงอร์และกรุงกัวลาลัมเปอร์

ขณะที่ อธิบดีกรมการแพทย์มาเลเซีย เรียกร้องให้ประชาชนเชื่อมั่นในวัคซีนและข้อมูลของรัฐบาล ต้องรับการฉีดวัคซีนและยึดมั่นตามขั้นตอนปฏิบัติมาตรฐานที่รัฐบาลประกาศ เพราะขณะนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปเป็นการแพร่ระบาดสำหรับผู้ไม่ฉีดวัคซีน ขอให้ทุกคนร่วมกันทำให้ทุกคนและสถานที่ทุกแห่งปลอดภัย

ด้านรัฐวิกตอเรีย ของออสเตรเลีย รายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รายใหม่ลดลง ทำให้เกิดความหวังว่า จะยุติมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ตามแผน

กระนั้นก็ตามในส่วนของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งอยู่ติดกัน เตรียมขยายระยะเวลาบังคับใช้คำสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ภายในบ้าน เนื่องจากยอดคนป่วยไม่ลด


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/590622


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ที่ประชุมครม. เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ภาครัฐและเอกชน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ภาครัฐและเอกชน ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ มีกรอบวงเงินรวม 3.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะใช้จ่ายจาก พ.ร.ก.เงินกู้ แบ่งออกเป็น

1.) มาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กรอบวงเงิน 23,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครอง 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน พร้อมจัดสรรค่าใช้จ่ายให้แก่สถานศึกษาเพื่อช่วยจัดการเรียนรู้ และลดหรือตรึงค่าใช้จ่ายในโรงเรียนเอกชนให้เท่ากับปีการศึกษา 2563

2.) มาตรการการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมาย คือ นิสิต/นักศึกษาชาวไทย ระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ระยะเวลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

สำหรับแนวทางการดำเนินการ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ จะได้รับส่วนลดเป็นลักษณะร่วมจ่ายระหว่างรัฐและสถาบันอุดมศึกษาในอัตรา 6:4 โดยค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษาส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ลด 50% / 50,001-100,000 บาท ลด 30% และเกิน 100,000 บาท ลด 10% โดยส่วนลดสูงสุดรวมกันไม่เกิน 50% ส่วนสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน ค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษา รัฐสนับสนุนในอัตรา 5,000 บาท/คน นอกจากนี้ กระทรวงอว. ยังขอให้พิจารณาเพิ่มเติม ทั้งขยายเวลาผ่อนชำระ จัดหาอุปกรณ์/โปรแกรมสำหรับยืมเรียนออนไลน์ รวมทั้งลดค่าหอพักด้วย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รศ.พญ.ประภาพร พิสิษฐ์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิต้านทาน โพสต์ข้อความอธิบายการฉีดวัคซีนสลับไขว้ (ซิโนแวคเข็มแรก - แอสตราเซเนกาเข็มสอง)

รศ.พญ.ประภาพร พิสิษฐ์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิต้านทาน จาก ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ก Prapaporn Pisitkun ระบุว่า...

การจะหยุดการระบาดของโควิดและให้ระบบสาธารณสุขไปต่อได้คนส่วนใหญ่จะต้องมีภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโควิด

สถานการณ์การติดเชื้อโควิดในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะยังระบาดกันต่อเนื่องอย่างที่ทุกคนได้เห็นข่าวตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและข่าวของโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่แทบจะไม่เหลือเตียงรับผู้ป่วยแล้ว

ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (ที่ปลอดภัย) มากกว่าการจะปล่อยให้แต่ละคนติดเชื้อแล้วสร้างภูมิคุ้มกันเอง (อันนี้ไม่ปลอดภัย)

ในสถานการณ์ปัจจุบันทุกภาคส่วนกำลังพยายามบริหารจัดการวัคซีนให้ผู้คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้และได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการฉีดวัคซีนแบบสลับไขว้ระหว่าง SV1/AZ2 (ซิโนแวคเข็มแรก - แอสตราเซเนกาเข็มสอง) โดยมีข้อมูลเบื้องต้นว่ากระตุ้นภูมิป้องกันโควิดได้ แต่ก็ยังมีผู้กังวลใจหลังไมค์มาถามหมอกันมากมายว่ามันจะได้ผลจริงไหม?

วันนี้หมอเลยจะมาเล่าเรื่องการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยการใช้วัคซีนแต่ละชนิดสลับกันว่าระบบภูมิคุ้มกันของเราจะตอบสนองต่อวัคซีนเหล่านี้อย่างไร มีข้อมูลบ้างไหมที่จะสนับสนุนว่าการทำแบบนี้น่าจะได้ผลหรือไม่?

Q1 : ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองต่อวัคซีนโควิดอย่างไร?

เมื่อร่างกายเจอเชื้อโรคครั้งแรกจากการฉีดวัคซีน ระบบภูมิคุ้มกันหลายตำแหน่งจะถูกกระตุ้น และเพื่อที่ร่างกายจะได้มีภูมิป้องกันต่อการติดเชื้อครั้งหน้าร่างกายจะสร้างเซลล์ที่มีความทรงจำ (Memory cell) หรือสร้างแอนติบอดีขึ้นมา โดยจะเริ่มมีการสร้างในปริมาณไม่มากในช่วงสัปดาห์ที่ 1-2 และถ้าไม่มีตัวกระตุ้นอีกระดับของภูมิคุ้มกันจะลดลง

เพราะฉะนั้นหมายความว่าถ้าเราได้วัคซีนเพียง 1 เข็ม ภูมิคุ้มกันจะขึ้นไม่สูงมาก แต่เมื่อเราทิ้งระยะห่างไปสักพักแล้วฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 2 จะเห็นได้ว่าระดับของแอนติบอดีจะขึ้นไปสูงมากขึ้น และจะมีผลป้องกันการติดเชื้อมากขึ้น ถึงแม้ว่าระดับภูมิคุ้มกันที่ขึ้นนั้นไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นจากการฉีดวัคซีนนี้จะสามารถลดอาการและความรุนแรงของการติดเชื้อได้

เนื่องจากการระบาดของเชื้อโควิดรอบนี้ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีอาการรุนแรงและมีจำนวนมากเกินกว่าศักยภาพของระบบสาธารณสุขของไทยไปมาก การได้รับการฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 2 เข็มจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาให้กับผู้ป่วยไม่ให้มีอาการรุนแรงจนต้องเข้าห้องไอซียู (ซึ่งไม่มีเตียงเหลือแล้ว) และทำให้บุคลากรการแพทย์มีกำลังเพียงพอที่จะให้การดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ

Q2 : ระบบภูมิคุ้มกันจะงงไหม ถ้าให้เข็มแรกเป็นชนิดหนึ่งแล้วเข็มสองเป็นอีกชนิดหนึ่ง ระบบภูมิคุ้มกันเราจะรู้ไหมว่าอันนี้เป็นเข็มสอง? (จะสูญเปล่าไหม)

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าระบบภูมิคุ้มกันของเราทุกคนมีความฉลาดกว่าที่เราคาดคิดไว้มาก ๆ

วัคซีนแต่ละชนิดหรือคนละเทคโนโลยีเป็นเพียงวิธีการที่แตกต่างกันในการที่จะส่งชิ้นส่วนของเชื้อโรคเข้าไปให้เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันให้รู้จัก (ดูจากโพสต์หมอก่อนหน้านี้) โดยจุดหมายปลายทางที่วัคซีนทุกชนิดจะจัดส่งข้อมูลของเชื้อโรคไปที่เซลล์ชนิดเดียวกันซึ่งก็คือ Antigen-presenting cells หรือ APC และเมื่อ APC รู้จักหน้าตาของเชื้อโรคก็จะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันด่านหลังทั้ง B และ T เซลล์ เพื่อสร้างภูมิป้องกันโควิด

ดังนั้น ไม่ว่าครั้งแรก (Prime) กับครั้งที่สอง (Boost) จะเป็นวัคซีนคนละชนิดแต่การส่งชิ้นส่วนของเชื้อโรคไปที่เซลล์เดียวกัน เซลล์เม็ดเลือดขาวจะรับรู้ว่าเป็นการกระตุ้นครั้งที่ 1 และซ้ำครั้งที่ 2

ดังนั้น โดยหลักการทางภูมิคุ้มกันการฉีดวัคซีนที่ต่างชนิดกันจึงกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้

นอกเหนือจากนี้แล้ว การฉีดวัคซีนคนละชนิดอาจทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อตำแหน่งของเชื้อโรคที่แตกต่างกันซึ่งอาจส่งเสริมฤทธิ์ของการกระตุ้นภูมิให้ดีขึ้น (ในทางทฤษฏี)

Q3 : มีข้อมูลบ้างไหม (ในทางปฏิบัติ) ที่จะสนับสนุนว่าการฉีดวัคซีนแบบสลับนี้น่าจะได้ผลหรือไม่?

การต่อสู้กับ Pandemic COVID ครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทราบกันดีว่าจะต้องมีการใช้วัคซีนหลายประเภทเพื่อจัดการกับเชื้อโควิดที่มีการกลายพันธุ์เหล่านี้ และจะมีการขาดแคลนวัคซีนเนื่องจากมีความต้องการอย่างมากทั่วโลก จึงมีผู้วิจัยทำการศึกษาการสลับวัคซีนชนิดต่าง ๆ แล้วดูผลของการสร้างแอนติบอดี และการตอบสนองของ T cells โดยในงานวิจัยนี้ได้ใช้วัคซีนทั้ง 4 ประเภทที่ทำขึ้นในประเทศจีนเพื่อ Proof of concept ว่าการฉีดวัคซีนไขว้แบบไหนจะมีการกระตุ้นภูมิได้ดีที่สุด โดยวัคซีนเข็มแรกและเข็มสองจะฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์ และเจาะเลือดที่ 2 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2

โดยเราจะสนใจดูผลของการฉีดวัคซีนเชื้อตาย (Sinopharm) และ adenovirus vector (Cansino) ซึ่งเป็นสูตรวัคซีนที่ใกล้เคียงกับที่ประเทศไทยได้เริ่มฉีดกันแล้ว

สำหรับบุคคลทั่วไปอาจดูรูปกราฟแล้วงง ๆ หมอจะสรุปให้ฟังง่าย ๆ คือการฉีดวัคซีนสลับกันระหว่างเชื้อตายและ adenoviral vector สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันชนิดแอนติบอดี้ได้มากกว่าการฉีดวัคซีนเชื้อตายอย่างเดียว (2 เข็ม) หรือ adenoviral vector (1 เข็ม) โดยพบว่าไม่มีความแตกต่างกันของระดับ neutralizing antibody ระหว่างกลุ่มที่ฉีดเชื้อตายก่อนแล้วตามด้วย adenovirus vector เมื่อเปรียบเทียบกับ adenovirus vector ก่อนแล้วตามด้วยวัคซีนเชื้อตาย

แต่ถ้าวัดระดับแอนติบอดีต่อ Spike protein จะพบว่าการฉีดวัคซีนเชื้อตายแล้วตามด้วย adenovirus vector จะให้ระดับแอนติบอดีที่สูงกว่าการฉีดสลับกัน

อย่างไรก็ตามในการศึกษานี้ไม่ได้เปรียบเทียบระดับแอนติบอดีของการฉีดสลับระหว่างวัคซีนเชื้อตายกับ adenovirus vector เปรียบเทียบกับการฉีด adenovirus vector 2 เข็ม จึงทำให้ไม่ทราบว่าประสิทธิภาพของการฉีดจะเป็นอย่างไร ถ้าเปรียบเทียบกับการฉีด Adenovirus vector 2 เข็ม นอกจากนี้ชนิดของ Adenovirus ที่ใช้จาก Cansino ก็แตกต่างจาก AZ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน

แต่ผลที่ได้จากการศึกษานี้บ่งชี้ว่าการฉีดแบบสลับนี้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าการให้วัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มอย่างชัดเจน (อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/22221751.2021.1902245)

Q4 : มีหลักฐานไหมว่าการฉีดวัคซีนสลับชนิดกันนั้นจะมีประสิทธิภาพดีในบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนแบบสลับชนิด?

ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการสลับการฉีดระหว่าง mRNA กับ adenovirus vector

ล่าสุดมีอาจารย์หลายท่านรีวิวแล้ว หมอแนะนำให้ติดตามอ่านเพจ อาจารย์มานพ ซึ่งรีวิวไว้หลายเปเปอร์

สำหรับการไขว้สูตรอย่างที่กำลังทำกันในเมืองไทยเกิดขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดของวัคซีนที่มีให้ใช้ในขณะนี้

(หวังว่าข้อจำกัดนี้จะหมดไปในเร็ววัน) และคงต้องมีการเก็บข้อมูลของประเทศไทยเองว่าประสิทธิภาพจะเป็นอย่างไรเพื่อนำมาปรับสูตรวัคซีนที่เหมาะสมกับสถานการณ์การระบาดและชนิดของเชื้อกลายพันธุ์ต่อไป

>> ข้อแนะนำ

ผู้เกี่ยวข้องควรเตรียมจัดหาวัคซีนให้หลากหลายชนิดและมากเพียงพอ เพราะว่ามีแนวโน้มที่จะต้องได้ใช้วัคซีนไขว้ชนิดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกัน และมีความจำเป็นที่จะต้อง Boost ให้ผู้ที่ได้รับ Sinovac ไปแล้ว 2 เข็ม (ถึงแม้จะไม่ใช่บุคลากรการแพทย์)

>> Take home message

- การฉีดวัคซีนที่มีในปัจจุบันเพื่อลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยติดเชื้อโควิด (อยากให้รีบไปฉีดกัน)

- การฉีดวัคซีน 1 เข็ม (Prime) มีประสิทธิภาพน้อยกว่าการฉีด 2 เข็ม (Prime + Boost) ดังนั้นควรต้องไปรับวัคซีนเข็มสองตามกำหนด

- วัคซีนทุกชนิดส่งข้อมูลลักษณะหน้าตาของเชื้อให้ที่เซลล์ชนิดเดียวกัน (APC) และสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันปลายทางได้เหมือนกัน (การฉีดวัคซีนไขว้ หรือ Heterologous Prime-Boost สามารถกระตุ้นภูมิได้)

- การฉีดวัคซีนแบบไขว้ระหว่างวัคซีนเชื้อตายกับ adenovirus vector สามารถกระตุ้นภูมิได้ดีกว่าการฉีดเชื้อตายสองเข็ม (ดังนั้นใครที่ได้ Sinovac มาแล้ว 1 เข็มควรดีใจที่จะได้ AZ เป็นเข็มที่สอง เพราะกระตุ้นภูมิได้ดีขึ้น)


ที่มา : https://siamrath.co.th/n/265689

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4484985728187317&id=100000278023117


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top