Monday, 19 May 2025
NEWS FEED

แอสตร้าเซนเกนก้า เผยแพร่แถลงการณ์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ระบุว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าและวัคซีนชนิด mRNA แสดงข้อมูลความปลอดภัยที่ดีและคล้ายกัน จากการศึกษาในระดับประชากรกว่าหนึ่งล้านคน

อุบัติการณ์ของการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่พบได้ยากนั้นต่ำกว่า ที่พบในผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นอย่างมาก

จากการศึกษาข้อมูลการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่เผยแพร่ในฉบับก่อนตีพิมพ์ในวารสาร เดอะ แลนเซต จากกลุ่มประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน เพื่อศึกษาอัตราการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันผิดปกติ และภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ(thrombocytopenia syndrome หรือ TTS) หลังการฉีดวัคซีนชนิด mRNA หรือวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า และเปรียบเทียบกับอัตราการเกิดภาวะดังกล่าวในประชากรทั่วไปและในกลุ่มผู้ติดเชื้อโควิด-19

ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า และวัคซีนชนิด mRNA มีความคล้ายคลึงกันและแสดงถึงประโยชน์โดยรวม ทั้งนี้ มีการศึกษาการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่พบได้ยากและภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (TTS) กับวัคซีนทั้งสองชนิด ซึ่งสอดคล้องกับอัตราที่คาดว่าจะเกิดภาวะนี้ในประชากรทั่วไป

อีกทั้งยังมีอัตราการเกิดภาวะ TTS ในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนต่ำกว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งระยะเวลาในการติดตามผลนั้นไม่เพียงพอที่จะรายงานอัตราการเกิดภาวะ TTS หลังการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าครบทั้งสองเข็ม แต่ยังคงมีการศึกษาอื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าอัตราการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่พบได้ยากนั้นจะต่ำลงหลังจากการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง

จากการวิเคราะห์โดยไม่คำนึงถึงชนิดของวัคซีนที่ใช้ พบว่าอัตราการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 นั้นสูงกว่ากลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนมาก โดยอัตราของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำสูงกว่าอัตราที่คาดการณ์ไว้ถึงแปดเท่าหลังจากการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19

เซอร์ เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (biopharmaceuticals) กล่าวว่า “ข้อมูลจากการใช้จริงนี้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าว่ามีมากกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ และสามารถช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดนี้ได้”

การศึกษานี้วิเคราะห์จากผู้ที่ได้รับวัคซีนชนิด mRNA จำนวน 945,941 ราย (ในจำนวนนี้มี 778,534 คน ได้รับวัคซีนครบทั้งสองเข็ม) ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าจำนวน 426,272 ราย โดยทำการศึกษาระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2563 ถึง 19 พฤษภาคม 2564

นอกจากนี้ยังศึกษากลุ่มผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 222,710 ราย ที่ระบุว่าติดเชื้อในระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2563 ถึง 1 มีนาคม 2564 และข้อมูลจากประชากรทั่วไป 4,570,149 คน ณ วันที่ 1 มกราคม 2017 จากฐานข้อมูลสาธารณสุขของแคว้นคาตาโลเนีย ประเทศสเปน

ผลการทดสอบนี้สอดคล้องกับรายงานล่าสุดจาก Yellow Card ซึ่งเป็นรายงานรวบรวมและบันทึกข้อมูลด้านความปลอดภัยของหน่วยงานกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (MHRA) ในสหราชอาณาจักร ซึ่งแสดงอัตราภาวะการเกิด TTS ในระดับต่ำหลังจากการฉีดวัคซีนเข็มที่สอง2

ไม่มีปัจจัยเสี่ยงหรือสาเหตุที่ชัดเจนสำหรับภาวะ TTS หลังการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งนี้แอสตร้าเซนเนก้ายังคงดำเนินการและสนับสนุนการสอบสวนอย่างต่อเนื่องในการศึกษาหาสาเหตุและกลไกที่ทำให้เกิดภาวะนี้ ทั้งนี้อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้ยากมากเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นได้เมื่อมีการตรวจพบและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า หรือชื่อ Vaxzevria ในสหภาพยุโรป (เดิมเรียก AZD1222)

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ถูกคิดค้นและพัฒนาร่วมกันโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและบริษัท วัคซีเทค ซึ่งก่อตั้งโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วัคซีนดังกล่าวพัฒนาโดยการนำส่วนของสารพันธุกรรมที่ใช้ในการถอดรหัสการสร้างหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ใส่ในโครงของอะดีโนไวรัส ซึ่งก่อให้เกิดโรคไข้หวัดทั่วไปในลิงชิมแปนซีที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงและไม่สามารถแบ่งตัวได้

โดยหลังจากฉีดวัคซีน เซลส์ในร่างกายมนุษย์จะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนที่มีลักษณะเดียวกันกับหนามโปรตีนผิวเซลล์ของไวรัสโคโรนา SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในกรณีที่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายในภายหลัง

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ในกว่า 80 ประเทศ ครอบคลุม 6 ทวีปทั่วโลก ทั้งนี้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้ากว่า 800 ล้านโดส ได้ถูกส่งมอบให้แก่กว่า 170 ประเทศทั่วโลก รวมถึงกว่า 100 ประเทศผ่านกลไกการจัดซื้อและจัดสรรวัคซีนของโครงการโคแวกซ์ โดยในสหราชอาณาจักร โดยเป็นที่รู้จักกันในชื่อวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า


ที่มา : https://www.naewna.com/local/591124


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อนุทิน” เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบชุดตรวจ Antigen Test Kit จำนวน 1.1 ล้านชุด และเครื่องช่วยหายใจ 102 เครื่อง ที่รัฐบาลสวิตส์เซอร์แลนด์บริจาคแก่ประเทศไทย  

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเช้าของวันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการรับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งรัฐบาลประเทศสวิตเซอร์แลนด์บริจาคแก่รัฐบาลไทย โดยมีนางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (H.E. Mrs. Helene Budliger Artieda) เอกอัครราชทูตสวิสเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ในการมอบ ทั้งนี้ เวชภัณฑ์ดังกล่าว ประกอบด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit จำนวน 1.1 ล้านชุด และ Ventilator(เครื่องช่วยหายใจ) จำนวน 102 เครื่อง โดยขนส่งมาในเที่ยวบินที่ LX180 สายการบิน SWISS Air ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) เมื่อ เวลา 05:20 น. ของช่วงเช้าที่ผ่านมา

“รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้ขอบคุณในไมตรีที่รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์มอบแก่ประเทศไทยเสมอมา โดยชุดตรวจ Rapid Antigen Test ที่ได้รับทั้งหมดจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะใช้แจกจ่ายแก่ประชาชน และเป็นอุปกรณ์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในการดำเนินการตรวจเชิงรุกในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ขณะที่เครื่องช่วยหายใจจะกระจายไปยังโรงพยาบาลที่ยังขาดแคลนอุปกรณ์ต่อไป”น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากชุดตรวจ  Antigen Test Kit ที่ได้รับบริจาคแล้ว รัฐบาลยังอยู่ระหว่างการจัดหาชุดตรวจอีก 8.5 ล้านชุดเพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ด สปสช.) ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน ครั้งที่ 8/2564 (วาระพิเศษ) เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2564 ได้อนุมัติการจัดหาภายใต้วงเงิน 1,014 ล้านบาท โดยขณะนี้กรมควบคุมโรคกำลังวางแผนจะกระจายชุดตรวจให้ประชาชนได้ใช้ต่อไป 

"ทหารจิตอาสา” เข้าดำเนินการรื้อถอน และขนย้ายสิ่งของที่ได้รับความเสียหาย จากผลกระทบจากพายุลมกระโชกแรง ในพื้นที่ อ.เหนือคลอง จ.กระบี่

เมื่อ 28 ก.ค. 64 พ.อ.ธนพล นุ้ยสุข ผบ.ร.15 พัน.1/ผอ.ศบภ.ร.15 พัน.1 จัดกำลังพลชุดจิตอาสาพระราชทานของหน่วย ลงพื้นที่เข้าดำเนินการช่วยเหลือและขนย้ายสิ่งของ รวมถึงรื้อต้นไม้ที่ล้มทับใส่บ้านเรือนของประชาชนในพื้นที่ ต.ตลิ่งชัน อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุฝนฟ้าคะนองลมกระโชกแรง ทำให้มีบ้านเรือนได้รับความเสียหายจำนวน 25 หลังคาเรือน โดยหน่วยได้ประสานกับหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่และได้เข้าดำเนินการรื้อถอนและขนย้ายสิ่งของที่ได้รับความเสียหาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนต่อไป


ภาพ/ข่าว  มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน

คณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เตือน ปืนฉีดแอลกอฮอล์ เสี่ยงอันตราย ไม่มีประโยชน์ เสียเงินฟรี ทำให้เชื้อโรคฟุ้งกระจาย

เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข และรักษาราชการ แทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ทำให้ปืนฉีดแอลกอฮอล์กำลังได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการของประชาชนเป็นอย่างมาก สำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยา (อย.) มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ไม่แนะนำให้ซื้อปืนฉีดแอลกอฮอล์มาใช้เนื่องจากละอองฝอยที่ออกมา จากเครื่องมีขนาดเล็กมาก ทำให้ตัวน้ำยาสัมผัสพื้นผิวไม่เพียงพอซึ่งจะลดประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค เตือนเสี่ยงอันตราย ไม่มีประโยชน์ เสียเงินฟรี แถมยังทำให้ เชื้อโรคฟุ้งกระจาย

หากเข้าตาหรือสูดดมอาจทำให้เคืองตา เวียนหัว คลื่นไส้ ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ เป็นอันตราย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่สำคัญหากใช้ปืนที่มีแสงยูวีฆ่าเชื้อโรคบนร่างกายโดยตรงอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังและเป็นอันตรายต่อดวงตา

ดังนั้น ปืนฉีดแอลกอฮอล์นอกจากจะไม่มีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อโรคแล้วยังเป็นอันตรายต่อสุภาพอีกด้วย วิธีการฆ่าเชื้อบนพื้นผิวและวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่ได้รับอนุญาตจาก อย. เทราดหรือเช็ดบนพื้นผิวหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ทำความสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ให้เปียกตามระยะเวลา ที่กำหนด และปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก หากพื้นผิวที่สกปรกมากจะลดประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค ก่อนซื้อ ตรวจสอบเลข อย. ที่ www.fda.moph.go.th หัวข้อ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กลุ่มคนพิการกว่า 5,000 คน ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ พร้อมให้กำลังบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่จิตอาสา 

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่ ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจคนพิการที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยได้รับการสนับสนุนจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดสรรโควตาวัคซีนโควิด-19 ให้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวง พม. เพื่อฉีดให้กับคนพิการ จำนวนกว่า 5,000 คน พร้อมทั้งสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่จิตอาสาในการให้บริการแก่คนพิการในวันนี้ ระหว่างเวลา 08.00 – 16.00 น. อีกทั้ง กระทรวง พม. ได้นำเจ้าหน้าที่ พก. มาอำนวยความสะดวกเพื่อให้คนพิการที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้รับความดูแลอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนด้านสถานที่จากบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง และการลงทะเบียนล่วงหน้าและข้อความยืนยันการฉีดวัคซีนโควิด-19 จาก AIS

นายจุติ กล่าวว่า สำหรับวันนี้ ขอขอบคุณบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง สถาบันวิทยาลัยจุฬาภรณ์ การเคหะแห่งชาติ ภาคเอกชน และประชาชนทุกคน ที่ได้มาบูรณาการร่วมกันช่วยบริการในเรื่องของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับสมาคมคนพิการทั้ง 7 สมาคม และผู้ถือบัตรคนพิการทุกคน จะได้ใช้สิทธิตรงนี้ สำหรับสถานที่และระบบ มีการจัดการที่ทำได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งตนมาตรวจเยี่ยมเพื่อมาดูให้ไม่มีข้อบกพร่อง หรือถ้ามีข้อบกพร่องจะได้นำไปแก้ไขปรับปรุง เพื่อบริการประชาชนให้ดีมากยิ่งขึ้น

นายจุติ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่อยากจะฝากไว้ คือวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ เป็นวิกฤติที่สาหัส ขอเป็นกำลังใจให้กันและกัน รวมทั้งผู้อุปถัมภ์ทั้งหลาย ทุกคนทำเพื่อคนไทย ทำเพื่อประเทศไทย ตนขอขอบคุณในนามรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตนทราบมาว่ามีความต้องการให้เราขยายไปทุกจังหวัด และจะได้นำไปดำเนินการในต่างจังหวัดให้เป็น One Stop Service เพื่อบริการผู้ที่ยังไม่มีโอกาสได้ฉีดวัคซีนโควิด-19  ทั้งนี้ ตนขอขอบคุณราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ดูแลในส่วนนี้ เราทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความสุจริตใจ สำหรับวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ แต่ช่วยให้เราลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตหรือป่วยหนัก ดังนั้น หลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ขอให้ทุกท่านยังคงรักษาระยะห่าง ล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย และตนขอให้ทุกคนอยู่ด้วยความไม่ประมาท ขอให้ปลอดภัยทุกท่าน

ปัจจุบันการให้วัคซีนต้านโควิด-19 ทำได้โดยการฉีดเพียงอย่างเดียว แต่ในอนาคตวัคซีนต้านโรคนี้อาจอยู่ในรูปของยาชนิดผง หรือแม้แต่ยาเม็ดที่สามารถขนส่ง เก็บรักษา และใช้งานได้ง่าย

สำนักข่าว BBC ได้รวบรวมข้อมูลการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนั้นการกระจายวัคซีนไปยังบางประเทศ ด้วยปัจจัยและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ไม่เอื้อต่อการขนส่งและการเก็บรักษา ทำให้ ประชากรบางพื้นที่เข้าถึงการกระจายของวัคซีนได้ยาก ดังนั้นในปัจจุบันจึงเริ่มมีการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ขึ้นสำหรับวัคซีนเพื่อให้เหมาะต่อการกระจายไปสู่พื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านต่าง ๆ ได้มากขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะการพัฒนาวัคซีนให้อยู่ในรูปแบบผง

นายยูฮัน แวบอร์ย ซีอีโอของบริษัทอีโคโนโว (Iconovo) บริษัทเวชภัณฑ์ชนิดสูดพ่นเจ้าของห้องแล็บแห่งนี้กล่าวว่า "มันผลิตได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำมาก"

"คุณแค่ดึงแผ่นพลาสติกขนาดเล็กออกมา จากนั้นวัคซีนชนิดสูดดมก็พร้อมใช้งาน แล้วคุณก็แค่ใส่มันไว้ในปากแล้วหายใจลึก ๆ เพื่อสูดมันเข้าไป" เขาอธิบายการใช้งานของอุปกรณ์ชนิดนี้

Iconovo บริษัท ผลิตเวชภัณฑ์ร่วมมือกับ ISR สตาร์ตอัปในกรุงสตอกโฮล์มที่วิจัยด้านภูมิคุ้มกันวิทยา ซึ่งเป็นผู้พัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ชนิดผง การผลิตวัคซีนชนิดนี้ทำโดยใช้โปรตีนที่สร้างขึ้นโดยเลียนแบบโปรตีนของเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 (ต่างกับวัคซีนของไฟเซอร์, โมเดอนา และแอสตร้าเซนเนก้า ที่ใช้ RNA หรือ DNA มาถอดรหัสพันธุกรรมให้ได้เป็นโปรตีนชนิดนี้)

คุณสมบัติโดดเด่นอีกอย่างของวัคซีนชนิดผงนี้คือสามารถทนอุณหภูมิสูงได้ถึง 40 องศาเซลเซียส ซึ่งต่างจากวัคซีนที่เรามีอยู่ในปัจจุบันที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้งานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่อยู่ในรูปแบบของเหลวและต้องเก็บรักษาในที่อุณหภูมิต่ำ ซึ่งบางครั้งอาจต่ำถึง -70 องศาเซลเซียส ซึ่งเรียกว่า "ระบบลูกโซ่ความเย็น" ไม่เช่นนั้นวัคซีนก็จะสูญเสียประสิทธิภาพในการใช้งานไป

ศาสตราจารย์ อูลา วินควิสต์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ISR และอาจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาประจำสถาบันคาโรลินสกา หนึ่งในมหาวิทยาลัยการแพทย์ชั้นนำของสวีเดน กล่าวว่า ตัวแปรสำคัญคือวัคซีนชนิดผงนั้น สามารถกระจายได้ง่ายมากโดยไม่ต้องใช้ระบบลูกโซ่ความเย็น และสามารถให้วัคซีนแก่ประชาชนโดยไม่ต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์

ปัจจุบัน ISR กำลังทดสอบวัคซีนต้านโควิดชนิดผงกับเชื้อสายพันธุ์เบตา และสายพันธุ์อัลฟา โดย ISR เชื่อว่า วัคซีนชนิดนี้อาจมีประโยชน์อย่างมากในการเร่งให้วัคซีนต้านโควิดในแอฟริกา ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีบริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิดในทวีปของตนเอง นอกจากนี้การที่มีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนกว่า ประกอบกับมีกระแสไฟฟ้าอย่างจำกัดก็นำไปสู่ความท้าทายใหญ่ในการเก็บรักษาและจัดส่งวัคซีนต้านโควิดก่อนที่จะหมดอายุลง

อย่างไรก็ตาม ยังต้องใช้เวลาอีกระยะก่อนที่การทดลองจะได้ผลบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์ของวัคซีนชนิดผงของบริษัท ISR ซึ่งรวมถึงเรื่องที่ว่ามันจะให้การปกป้องได้ในระดับเดียวกับวัคซีนต้านโควิดชนิดของเหลวในปัจจุบันที่ผ่านการอนุมัติจาก WHO หรือไม่

ปัจจุบัน ISR และ Iconovo ระบุว่า วัคซีนชนิดผงได้ถูกนำไปทดลองในหนู ทว่าบริษัทสามารถระดมทุนได้เพียงพอสำหรับการศึกษาในมนุษย์ในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ อย่างไรก็ตาม หากวัคซีนชนิดผงเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าใช้ได้ผลดี มันก็อาจช่วยปฏิวัติการจัดการกับโควิดของโลก ตลอดจนทำให้การเก็บรักษาและกระจายวัคซีนสำหรับโรคอื่น ๆ ทำได้ง่ายขึ้น

นพ. สเตียฟาน สวอร์ตลิง เพียเตอสน อดีตหัวหน้าแผนกสุขภาพขององค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่สถาบันคาโรลินสกา ระบุว่า วัคซีนชนิดผงนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้แก่พื้นที่ที่ยากจะเข้าถึง และอาจช่วยให้ไม่ต้องใช้คนขนกล่องเก็บความเย็นไปยังสถานที่ต่าง ๆ

นายแพทย์ชาวสวีเดนผู้นี้เปรียบผลที่จะได้จากวัคซีนชนิดผงนี้กับอาหารที่ผ่านกระบวนการฟรีซดราย (freeze-dried foods) ซึ่งดีสำหรับการแจกจ่ายไปยังสถานที่ห่างไกลต่าง ๆ ที่ไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึง อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้โดยบุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ออกค่ายผจญภัยทั่วไป

Ziccum อีกหนึ่งสตาร์ทอัปที่กำลังทดลองเทคโนโลยีที่ใช้ลม “อบแห้ง” วัคซีนซึ่งจะไม่ไปจำกัดประสิทธิภาพของวัคซีน ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้การตั้งโรงงาน "บรรจุและปิดผนึก" สำหรับวัคซีนในประเทศกำลังพัฒนาทำได้ง่ายขึ้น และช่วยให้ประเทศเหล่านี้สามารถผลิตวัคซีนขั้นสุดท้ายได้เอง โดยวัคซีนผงจะถูกผสมกับสารละลายปลอดเชื้อก่อนที่จะสร้างภูมิคุ้มกัน และฉีดเข้าสู่ร่างกายผู้รับวัคซีน

นายเยอรัน คอนรัดสน ซีอีโอ Ziccum กล่าวว่า เทคโนโลยีนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการให้วัคซีนด้วยวิธีการอื่น ๆ ได้ ตั้งแต่การสูดพ่นทางจมูก ไปจนถึงการทำเป็นยาเม็ดรับประทาน อย่างไรก็ตาม เยอรันยอมรับว่าต้องมีการศึกษาวิจัยอีกมากเพื่อพัฒนาวัคซีนรูปแบบดังกล่าว แต่ในแง่ของหลักการนั้นสามารถทำได้

Janssen ผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิดแบบฉีดเข็มเดียว ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้งานแล้วในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ได้เริ่มทำโครงการนำร่องเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของวัคซีนชนิดผงของบริษัท Ziccum

อย่างไรก็ตาม Janssen ระบุว่า งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่สำคัญกว่าในการค้นหาเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยให้การจัดส่งและการให้วัคซีนอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสามารถทำได้ง่ายขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ เทคโนโลยีวัคซีนชนิดผงยังช่วยคนที่กลัวเข็มฉีดยาได้ด้วย อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าวัคซีนชนิดที่เป็นของเหลว เพราะช่วยลดการใช้ไฟฟ้ากับตู้เย็นและตู้แช่แข็งที่ต้องใช้ในการเก็บรักษาวัคซีน ที่สำคัญยังจะช่วยให้สามารถกระจายวัคซีนไปทั่วโลกได้

ขณะที่ อิงริด โครมันน์ โฆษกแนวร่วมนวัตกรรมเพื่อเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาด (Coalition for Epidemic Preparedness Innovations หรือ Cepi) เตือนว่า วัคซีนชนิดผงยังอยู่ในขั้นต้นของการพัฒนา และ "ยังมีงานให้ต้องทำอีกมาก" เช่น การทำให้เป็นวัคซีนชนิดหลัก และการเพิ่มกระบวนการผลิตให้ใหญ่ขึ้น

"แต่หากมันประสบความสำเร็จ มันก็อาจช่วยให้เข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น มีขยะน้อยลง และทำให้โครงการให้วัคซีนมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง" เธอกล่าว


ที่มา: BBC News


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นาตาชา เปลี่ยนวิถี เผยคุณพ่อเกชา จากไปด้วยโรคชรา หลังรักษาอาการป่วยจากโควิดหายแล้ว

หลังการสูญเสียของนางแบบสาว แอนนา นาตาชา เปลี่ยนวิถี ที่เสียคุณพ่อ เกชา เปลี่ยนวิถี โดยคุณพ่อเกชาเพิ่งเข้ารับการรักษาตัวจากอาการโควิด-19 ก่อนที่จะเสียชีวิต แต่ล่าสุด แอนนา นาตาชา ได้เปิดเผยกับทีมข่าวบันเทิงไทยรัฐว่า คุณพ่อเกชา จากไปด้วยโรคชรา เพราะอาการโควิด-19 ได้รับการรักษาจนหายแล้วกำลังจะได้กลับบ้าน

"ป๋า ไปฝังที่ราชบุรีเรียบร้อยแล้วค่ะ ป๋าอยู่โรงพยาบาลเกือบ 2 อาทิตย์ เข้าโรงพยาบาล เมื่อวันที่อังคารที่ 13 ก.ค. ป๋าไปเพราะว่ามีเชื้อโควิด แต่ได้รับการรักษาแล้วให้ยาทั้งหมดแล้ว จนอาการโควิดดีหมดหายไป ไม่เหนื่อยไม่หอบ คุณหมอเตรียมให้กลับบ้านแล้ว อาการโควิดหายไปหมดแล้ว แต่อยู่ดี ๆ เมื่อคืนหัวใจเต้นช้าลง อ่อนแรงไปเอง คุณหมอบอกว่าน่าจะมาจากวัยชราตามอายุขัย

ส่วนอาการโควิดคงที่ ดีรักษาหายหมดแล้ว เมื่อคืนหมอเตรียมโทรมาให้กลับบ้านแล้ว แต่อยู่ ๆ เมื่อคืนหัวใจเต้นช้าลงและค่อย ๆ หมดลง แล้วป๋าอายุ 95 แล้วค่ะ (นิ่งร้องไห้) ตอนนี้พาป๋าไปฝังแล้วค่ะ พาไปไว้ที่บ้านที่ป๋าบอกเอาไว้ค่ะ"


ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2151940


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

หมอมนูญ แนะ การใส่หน้ากากอนามัยในบ้าน ป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตายกครัวเรือน

ในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนจะรับคนไข้เข้านอนในโรงพยาบาล ทุกคนไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตาม จะได้รับการตรวจว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ และตรวจซ้ำภายใน 72 ชั่วโมงหลังเข้านอนในโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในโรงพยาบาล

มีการศึกษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองบอสตัน ระหว่างเดือนกันยายน 2020 - เมษายน 2021 โรงพยาบาลนี้มีเตียงทั้งหมด 803 เตียง 28% เป็นห้องคู่ มีคนไข้เข้านอนในห้องคู่ทั้งหมด 11,290 คน คนที่เข้านอนในห้องคู่ต้องไม่มีอาการของโรคโควิด ในจำนวนนี้ 25 คน ตรวจวันแรกให้ผลลบ ตรวจซ้ำใน 3 วัน ให้ผลบวก หมายความว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากนอกโรงพยาบาล

มีคนไข้ที่นอนในห้องคู่กับผู้ติดเชื้อ

ทั้งหมด 31 คน อายุเฉลี่ย 64 ปี ปรากฏว่า 12 จาก 31 คน ติดเชื้อจากคนไข้ที่นอนในห้องเดียวกัน คิดเป็น 39% ส่วนใหญ่ติดเชื้อภายใน 5 วัน

ความเสี่ยงในการติดเชื้อสัมพันธ์กับปริมาณเชื้อไวรัสโควิด-19 (cycle threshold value < 21) ของคนแพร่เชื้อ เชื้อยิ่งมาก โอกาสแพร่เชื้อยิ่งมาก เวลานอนในห้องเดียวกันทั้งคนแพร่เชื้อและคนรับเชื้อไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย เตียงห่างกันประมาณ 2 เมตร มีผ้าม่านกั้นระหว่างเตียงตลอดเวลา คนที่รับเชื้อไม่ได้สัมผัสตัว ไม่ได้พูดคุย หรือใกล้ชิดกับคนที่แพร่เชื้อ แต่ใช้ห้องน้ำเดียวกัน มีการทำความสะอาดพื้นผิวพื้นที่ในห้องผู้ป่วยทุกวัน การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า เชื้อโควิดแพร่กระจายทางอากาศ โดยเชื้อโรคออกมากับลมหายใจของคนแพร่เชื้อ แล้วคนรับเชื้อ หายใจเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศ ไม่ได้เกิดจากหายใจหยดละอองขนาดใหญ่จากการอยู่ใกล้ชิดในระยะ 1-2 เมตร หรือติดทางการสัมผัสกับคนที่แพร่เชื้อ

ช่วงที่ทำการศึกษายังไม่มีการระบาดของสายพันธุ์เดลตา ถ้าเป็นสายพันธุ์เดลตา เปอร์เซ็นต์ของคนติดเชื้อคงมากกว่า 39% แน่นอน

เชื้อสายพันธุ์เดลตาติดต่อกันได้ง่ายมาก เนื่องจากปริมาณเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาในทางเดินหายใจมากกว่าสายพันธุ์เดิม 1,000 เท่า

การป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิดทำได้ยาก ขนาดโรงพยาบาลนี้ มีการคัดกรองก่อนจะอนุญาตให้เข้านอนในห้องคู่ วันแรกต้องไม่มีอาการ และตรวจแยงจมูกโควิดต้องมีผลลบ ยังพบว่าหลังจากนั้น 3 วัน ตรวจโควิดซ้ำเปลี่ยนเป็นบวก ทำให้คนที่นอนห้องเดียวกันร้อยละ 39 ติดเชื้อแม้จะเว้นระยะห่าง ไม่กินอาหารร่วมกัน ไม่อยู่ใกล้ชิดกัน เพียงแต่นอนในห้องเดียวกัน หายใจอากาศในห้องเดียวกัน โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย

การระบาดในประเทศไทยรอบนี้ติดกันในบ้านครัวเรือนเดียวกันมากที่สุด ทำให้การล็อกดาวน์ได้ผลน้อย การป้องกันการติดเชื้อในบ้านเดียวกันเป็นเรื่องยากมาก ๆ สมาชิกในบ้านสามารถติดเชื้อนอกบ้านและนำเชื้อเข้าบ้านถึงแมัไม่มีอาการ ยิ่งเป็นเชื้อสายพันธุ์เดลตาติดเกือบยกครัวเรือน ถึงเวลาแล้วที่คนในบ้านคงต้องใส่หน้ากากอนามัยเหมือนเวลาออกนอกบ้าน เริ่มจากคนที่ออกนอกบ้านทุกวัน เช่นคนที่ต้องออกไปทำงานข้างนอก คนที่ไปจับจ่ายซื้อของ ซื้ออาหาร ไปทำธุระธนาคาร ไปรษณีย์ ควรล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล ก่อนและทันทีที่เข้าบ้าน ควรใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาระหว่างอยู่ในบ้าน เผื่อเป็นโรคโควิดจะได้ไม่แพร่เชื้อให้คนในบ้านที่ไม่ได้ออกไปไหนเลย


ที่มา : https://www.facebook.com/604030819763686/posts/1998601896973231/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ประชาสุขใจ มทบ.44 ช่วยเหลือบรรเทาทุกบำรุงสุขให้กับประชาชน ชาวเกษตรกร และชาวสวนมังคุด กู้วิกฤติราคาผลผลิตตกต่ำ ในสถานการณ์โควิด - 19

เมื่อวันที่ 28 ก.ค.64 เวลา 17.00 น. พล.ต.เสนีย์ ศรีหิรัญ ผบ.มทบ.44 จัดกำลังจิตอาสาพระราชทานของหน่วย ในการคัดเลือกบรรจุและยานพาหนะ ในการขนส่งผลผลิตมังคุดช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร เนื่องจากประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และจากเกิดอุทกภัยในประเทศจีน ทำให้ประสบปัญหาในการส่งออก

การดำเนินการในครั้งนี้ มี นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าฯชุมพร พานิชย์จังหวัด,เกษตรจังหวัด และนายอำเภอหลังสวน ร่วมลงพื้นที่ สำหรับการรับซื้อครั้งนี้ เป็นการประสานความร่วมมือของกองทัพบกโดยททบ.5,กระทรวงพานิชย์โดยกรมการค้าภายใน ซึ่งจะนำขึ้นไปมอบที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) เพื่อลำเลียงผลผลิตไปสู่กลุ่มผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ตรงตามเวลากำหนด ลดการเน่าเสีย และกดดันราคา จำนวน 10,000 กก. ณ สหกรณ์มังคุดท่ามะพลา ต.ท่ามะพลา อ.หลังสวน จ.ชุมพร

พี่น้องชาวสวนมังคุดมีความพึงพอใจและอุ่นใจที่เมื่อมีความเดือดร้อนทหารไม่เคยทอดทิ้ง ประชาชนในทุกโอกาส


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

“หน.ศปม.” สั่งเข้ม บังคับใช้บทลงโทษตามแห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เข้มจุดตรวจ จุดสกัด รอยต่อข้ามจังหวัด กวดขัน/คัดกรองเข้มขึ้น พร้อมสร้างความเข้าใจปชช.ชลอเดินทางข้ามจังหวัด 

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.ต. ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่าตามที่ได้มีการยกระดับมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายและการดำเนินกิจกรรมของบุคคลในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 13 จังหวัด ตามมติของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ครั้งที่ 9/2564 นั้น

 พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส/หน.ศปม.) ได้สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคง เริ่มดำเนินการจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัด และชุดสายตรวจในการลาดตระเวนเพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติ การเดินทางข้ามพื้นที่อย่างเข้มงวดในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้ง 50 เขต จำนวน 88 จุด ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีผู้ฝ่าฝืนจากมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายและการดำเนินกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดฯ ของบุคคลในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 13 จังหวัด ให้บังคับใช้บทลงโทษตามแห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 

โดยเมื่อเวลา 14.30 น. ผบ.ทสส/หน.ศปม.ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมจุดตรวจเข้มแข็ง รอยต่อพื้นที่สีแดงเข้ม จำนวน 2 จุด ได้แก่ จุดตรวจรอยต่อข้ามจังหวัดปทุมธานี บริเวณหน้าโรงพยาบาลธัญบุรี ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี และ จุดตรวจรอยต่อข้ามจังหวัดสระบุรี บริเวณใต้ทางต่างระดับหินกอง อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เพื่อติดตามการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมรับทราบปัญหาข้อขัดข้องจากการปฏิบัติงานของฝ่ายความมั่นคง 

โดย ผบ.ทสส/หน.ศปม. ให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มข้นในการกวดขัน/คัดกรองการเดินทางข้ามจังหวัดของประชาชน พร้อมทั้งขอให้สร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือประชาชนในการชะลอการเดินทางเข้าออกจังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดโดยไม่มีเหตุจำเป็น โดยให้อยู่ภายใต้มาตรการการควบคุมโรคโควิด 19 อย่างเคร่งครัด 

โอกาสนี้ ผบ.ทสส./หน.ศปม. ได้กล่าวชื่นชม ให้กำลังใจพร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกนายที่ได้ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ อย่างเต็มกำลังความสามารถ และกำชับให้เพิ่มความระมัดระวังในการดูแลสุขภาวะส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ทุกนายในขณะปฏิบัติหน้าที่ด้วย

“กองทัพไทย ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนในการปฏิบัติตนตามที่ภาครัฐกำหนดโดยเคร่งครัด งดการออกนอกเคหสถานโดยไม่มีความจำเป็นในช่วงเวลาที่กำหนด หลีกเลี่ยงหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from home) อย่างเต็มรูปแบบ ร่วมกันอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค โดยกองทัพไทยพร้อมเคียงข้างพี่น้องประชาชนและจะปฏิบัติภารกิจเพื่อดูแลประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถเพื่อก้าวผ่านวิกฤตโควิด 19 ในครั้งนี้ไปด้วยกัน”รองโฆษกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top