Saturday, 10 May 2025
NEWS FEED

“ย้อนตำนานเส้นทางเสด็จ 2498”

“ย้อนตำนานเส้นทางเสด็จ 2498”

“คุณยายตุ้ม จันทนิตย์” หญิงชราวัย 102 ปี (เกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2396) บ้านธาตุน้อย ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม ห่างจากจุดที่ทางราชการกำหนดให้เป็นจุดรับเสด็จ ประมาณ 700 เมตร ก็ไม่ต่างจากครอบครัวอื่น ๆ ที่ลูกหลานได้นำ "คุณยายตุ้ม จันทนิตย์" ไปรอรับเสด็จด้วย

โดยตามคำบอกเล่าของ นางเพ็ง จันทนิตย์ (ลูกสะใภ้) และนางหอม แสงพระธาตุ (น้องสาวของนางเพ็ง) ได้ความว่า ลูกหลานได้นำคุณยายตุ้มไปรอบรับเสด็จตั้งแต่เช้าโดยนางหอมฯ เป็นผู้จัด "ดอกบัวสีชมพู" ให้แก่คุณยายจำนวน 3 ดอก เพื่อนำขึ้นจบบูชาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพาออกไปรอเฝ้ารับเสด็จที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ได้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นที่ชาวไทยคุ้นตา ประทับใจในหัวใจเป็นที่สุด 

และตามที่ท่านเจ้าคุณพระราชธีราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดนครพนม/เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ให้ความรู้ “ดอกบัวในใจยังคงบานไม่มีโรยรา” บนเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินทางสามแยกชยางกูร - เรณูนคร ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม

เมื่อบ่ายวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรภาคอีสานเป็นครั้งแรก คุณยายไปรอรับเสด็จพร้อมดอกบัวสายสีชมพู จำนวน 3 ดอก ตั้งแต่เช้าจนบ่าย

แสงแดดแผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจความจงรักภักดีของหญิงชรา ยังคงเบิกบาน เมื่อในหลวงเสด็จมาถึง ตรงมาที่คุณยายได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจนเหนือศีรษะ แสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง
 
 
 

'กองทัพบก' จัดพิธีบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศลครบรอบ 5 ปี ‘วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร’

ชุมพร​ -​ (13 ต.ค.​ 64)​ พล.ต เสนีย์ ศรีหิรัญ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที 44 ประธาน ในพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 10 รูป ถวายเป็นพระราชกุศล พิธีวางพวงมาลา และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาส วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยกำลังพลของมณฑลทหารบกที่ 44 ณ สโมสรนายทหารค่ายเขตอุดมศักดิ์

พล.ต.เสนีย์ ศรีหิรัญ กล่าวว่าเนื่องในโอกาส วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มณฑลทหารบกที่ 44 จัดพิธีน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2564 พล.ต เสนีย์ ศรีหิรัญ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที 44 พร้อมด้วยกำลังพล ที่ได้มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ต่างน้อมจิตตั้งมั่น เพื่อร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี แห่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปวงพสกนิกร ใต้ร่มพระบารมีทั่วราชอาณาจักรต่างประจักษ์ชัดแจ้ง ในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

โครงการในพระราชดำริ หลายพันโครงการ ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ แก่ประเทศชาติ ทั้งได้พระราชทาน หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแนวทางให้ประชาชนได้ดำเนินชีวิต โดยใช้ความรู้ และสติปัญญาเป็นภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนของประเทศต่างๆ ที่ได้น้อมนำแนวทางพระราชทานไปปฏิบัติ พระเกียรติคุณแผ่ไพศาล ขจรขจายไปทั่วทิศานุทิศ

ตำรวจภูธรภาค 1 ระดมสิ่งของช่วยบรรเทาทุกข์ ครอบครัวตำรวจ - ประชาชน ที่น้ำท่วมจมใต้บาดาล ในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคกลาง

วันที่ 12 ตุลาคม ที่ลานด้านหน้าอาคารอเนกประสงค์ ตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.พีระพงศ์ วงษ์สมาน พล.ต.ต.อุดร ยอมเจริญ รอง ผบช. ร่วมปล่อยขบวนคาราวานรถยนต์บรรทุกสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในพื้นที่รับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1

พล.ต.ท.จิรพัฒน์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 1 ได้สร้างความเสียหาย สร้างความเดือดร้อน และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชน ตำรวจภูธรภาค 1 จึงเป็นศูนย์กลางในการรับบริจาคสิ่งของ จากผู้มีจิตศรัทธาเพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชน รวมทั้งครอบครัวข้าราชการตำรวจที่ได้รับผลกระทบ

พล.ต.ท.จิรพัฒน์ เปิดเผยต่อว่า การปล่อยขบวนคาราวานรถยนต์ที่บรรทุกสิ่งของ ทั้ง ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ผักกาดดอง นมกล่อง UHT น้ำดื่ม หน้ากากอนามัย และกระดาษชำระ ที่รวบรวมได้ ส่งไปช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พี่น้องประชาชนและครอบครัวข้าราชการตำรวจ ในพื้นที่ทั้ง 8 จังหวัด ประกอบด้วย นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ลพบุรี และสระบุรี ซึ่งประชาชน 69,833 คน และข้าราชการตำรวจ 194 นาย ได้รับผลกระทบและได้รับความเดือดร้อน 

 

แพทย์ชี้ 'ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน' ภัยเงียบสุดร้าย วอนทุกคนใส่ใจ - รับมืออย่างเร่งด่วน

วันลิ่มเลือดอุดตันโลก : ประเทศไทยผนึกกำลังพันธมิตรทั่วโลก เดินหน้ารณรงค์กระตุ้นให้ประชาชนทั่วไป ผู้บุคลากรทางการแพทย์ และผู้กำหนดนโยบาย "ตื่นรู้และเท่าทันปัญหาภาวะลิ่มเลือดอุดตัน" และหันมาให้ความสำคัญกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เป็นภัยเงียบด้านสุขภาพที่มีจำนวนผู้ป่วยมากขึ้นทั่วโลก

ข้อมูลโดย ศาสตราจารย์นายแพทย์พันธุ์เทพ อังชัยสุขศิริ สาขาวิชาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุ ประเทศไทยผนึกกำลังพันธมิตรทั่วโลกเดินหน้ารณรงค์ในวันลิ่มเลือดอุดตันโลก เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนทั่วไป บุคลากรทางการแพทย์ และผู้กำหนดนโยบาย "ตื่นรู้และเท่าทันปัญหาภาวะลิ่มเลือดอุดตัน" และหันมาให้ความสำคัญกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เป็นภัยเงียบด้านสุขภาพที่มีจำนวนผู้ป่วยมากขึ้นทั่วโลก

โครงการรณรงค์ขององค์การสากลเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันและกลไกการห้ามเลือด (International Society on Thrombosis and Haemostasis: ISTH) เนื่องในโอกาสวันลิ่มเลือดอุดตันโลกได้ร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรกว่า 3,000 แห่งจากกว่า 120 ประเทศ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ตลอดจนการป้องกันและรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตัน

ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าลิ่มเลือด สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะทางการแพทย์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้มากมาย ซึ่งรวมไปถึงอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน และเส้นเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (VTE) โดยภาวะ VTE เกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดอย่างน้อยหนึ่งก้อนที่ก่อตัวขึ้นในหลอดเลือดดำส่วนลึก ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นที่ขา (deep vein thrombosis หรือ DVT) และสามารถไหลไปทางกระแสเลือดและอุดตันอยู่ในปอด (ภาวะที่เรียกว่า pulmonary embolism หรือ PE)

ศาสตราจารย์เบเวอร์ลีย์ ฮันท์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ OBE แห่งจักรวรรดิอังกฤษ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนวันลิ่มเลือดอุดตันโลก กล่าวว่า "แม้ข้อเท็จจริงที่ว่า 1 ใน 4 ของคนทั่วโลกกำลังจะเสียชีวิตจากภาวะลิ่มเลือดอุดตัน แต่ภาวะดังกล่าวเป็นเรื่องที่มักถูกมองข้ามและนับเป็นปัญหาเร่งด่วนด้านสาธารณสุข" ในปีนี้ ปัญหาด้านลิ่มเลือดมีการหยิบยกขึ้นมาบนเวทีโลก เนื่องจากมีการวิจัยที่พบว่าผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง รวมถึงโรคปอดอักเสบจากเชื้อโควิด มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน 

นอกจากนี้ ยังพบว่าภาวะลิ่มเลือดเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ยากมากภายหลังจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 บางชนิด ศาสตราจารย์เบเวอร์ลีย์ กล่าวเสริมว่า "ในปีแห่งความวุ่นวายที่เกิดจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เราได้พบว่าการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เกี่ยวข้องกับโควิดในอัตราที่สูงขึ้น อันเกิดจากผู้ป่วยโรคโควิด-19 สิ่งที่เกิดนี้ ความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดใน ผู้ป่วยโควิด-19 ร่วมกับสาเหตุอื่นของลิ่มเลือดที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล สามารถลดลงได้หากใช้ยาละลายลิ่มเลือดอย่างยา thromboprophylaxis” 

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยมีปัญหาลิ่มเลือด เช่น ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (DVT) และหรือภาวะเส้นเลือดอุดตันที่ปอด (PE) ภาวะเหล่านี้จะไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 นอกเหนือจากความเชื่อมโยงกับโรคโควิด-19 แล้ว ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าในประเทศไทย ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการหายใจลำบากกะทันหัน ส่งผลให้เกิดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ถึง 30% 

นอกจากนี้ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ องค์การอนามัยโลก (GLOBOCAN) พบว่าสิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดในประเทศไทย คือภาวะ VTE ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดมานานกว่า 20 ปี และในปี 2563 ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่รวม 190,636 ราย (เฉลี่ยวันละ 522 ราย) โดยมีอัตราการเสียชีวิต 124,866 ราย (เสียชีวิตเฉลี่ย 14 รายต่อชั่วโมง)

ศาสตราจารย์นายแพทย์พันธุ์เทพ อังชัยสุขศิริ สาขาวิชาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ประเทศไทยจำเป็นต้องตระหนักและทำความเข้าใจเรื่องภาวะลิ่มเลือดอุดตันมากขึ้น และต้องทำงานร่วมกันระหว่างประชาชนทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์ โดยทุกคนสามารถดูแลตัวเองและทำการสอบถามแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงหรือสิ่งที่ควรปฏิบัติหากพบสัญญาณเตือนหรืออาการที่น่าเป็นห่วง”

สำหรับผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และอยู่ระหว่างการรับการรักษา หากผู้ป่วยมีการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล สามารถขอให้แพทย์ทำการประเมินความเสี่ยงภาวะ VTE ได้

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินสาย "ฟื้นฟูหลังน้ำลด" มอบเครื่องอุปโภคบริโภค และเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในพื้นที่รวม 5 จังหวัด

 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ มอบหมายให้ฝ่ายสังคมสงเคราะห์  นำโดย นายพินัย ศรีพนาสณฑ์ ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จัดทีมลงพื้นที่แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคในโครงการ "ฟื้นฟูหลังน้ำลด"  ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง  น้ำปลา และน้ำมันพืช แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์  นครราชสีมา ลพบุรี สุโขทัย  และ ชัยภูมิ รวม 5 จังหวัด  4,000 ชุด  พร้อมมอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตรายละ 20,000 บาท รวม 10 ราย รวมงบประมาณเป็นเงินทั้งสิ้น 1,600,000 บาท (หนึ่งล้านหกแสนบาทถ้วน) โดยมีสมาคม / มูลนิธิแต่ละจังหวัดเป็นผู้ประสานงานให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ร่วมในพิธี



โดยวันที่ 12 ตุลาคม 2564)มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายพินัย ศรีพนาสณฑ์ ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ฯ มูลนิธิ นำทีมลงพื้นที่แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอจตุรัส จังหวัดขัยภูมิ จำนวน 1,000 ชุด ๆ ละ 350 บาท รวมมูลค่า 350,000 บาท (สามแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) โดยมี มูลนิธิชัยภูมิสามัคคีสงเคราะห์ เป็นผู้ประสานงานให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ร่วมในพิธี

เมื่อเกิดอุทกภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมกู้ชีพ กู้ภัย พร้อมเรือท้องแบน และ โรงครัวเคลื่อนที่เพื่อประกอบอาหารกล่อง พร้อมถุงยังชีพ ชุดยาเวชภัณฑ์ และอาหารสุนัขและแมว  นำแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย เพื่อการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ในเบื้องต้น หลังจากนั้น ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำปลา และน้ำมันพืช พร้อมมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท ทั้งนี้ หากมีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถขอรับเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ 
 

กลุ่มชาวสวนปาล์ม สภาเกษตรกรฯ ยื่นหนังสือเสนอถึง “พลเอกประยุทธ์” ยกเลิกมาตรการปรับลดสัดส่วนผสมขั้นต่ำ ของไบโอดีเซล บี7 และน้ำมันดีเซลธรรมดา เป็นร้อยละ 6 !!หวั่นส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์ม

วันที่ 12 ตุลาคม 2564 เวลา 09.00 น. ณ ศาลากลางจังหวัดกระบี่ เลขที่ 9/10 ถนนอุตรกิจ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ นายพันศักดิ์ จิตรรัตน์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยนายอธิราษฎร์ ดำดี คณะทำงานด้านปาล์มน้ำมัน สภาเกษตรกรจังหวัดกระบี่ / ท่านอาจารย์เอนก ลิ่มศรีวิไล และพนักงานสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดกระบี่ 

เข้ายื่นหนังสือข้อเสนอให้ยกเลิกมาตรการปรับลดสัดส่วนผสมขั้นต่ำของไบโอดีเซล บี7 และน้ำมันดีเซลธรรมดาเป็นร้อยละ 6 ถึงท่านนายกรัฐมนตรี ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ โดยมีนายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ มารับข้อเสนอดังกล่าว

โดยมีข้อเท็จจริงเพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาดำเนินการ ดังนี้

1. น้ำมันไบโอดีเซล บี100 ไม่ได้เป็นภาระหลักของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

2. การใช้ข่าวโจมตีน้ำมันไบโอดีเซล บี100เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงทำลายขวัญและกำลังใจของเกษตรกรชาวสวนปาล์ม

3. นโยบายการใช้น้ำมันไบโอดีเซล บี100 มาผสมกับน้ำมันดีเซลจนได้รับการยอมรับมาตรฐานเป็น บี7 บี10 และบี20 เป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานสะอาด ลดมลภาวะ สร้างเศรษฐกิจในชาติ

4. รัฐบาลควรรักษานโยบายที่ได้ให้ไว้กับประชาชนมากกว่าการมองแค่เรื่องราคาน้ำมันอย่างเดียว

5. สถานการณ์ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เป็นตามกลไกตลาดโลกแต่ราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำมาเป็นระยะเวลา 10ปี ปีนี้เป็นปีแรกที่ราคาปาล์มน้ำมันดีขึ้น

6. ปาล์มน้ำมันเป็นพืชยืนต้นระยะยาว ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกได้ง่ายเหมือนพืชชนิดอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงนโยบายชั่วคราวเช่นนี้ โดยไม่มีมาตรการดี ๆ มารองรับจะก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อห่วงโซ่การผลิตปาล์มทั้งระบบ

‘สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย’ ส่งมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ ต.บางอ้อ อ.บ้านนา จ.นครนายก จำนวน 239 ราย

12 ตุลาคม 2564 ที่วัดเลขธรรมกิตติ์ ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ได้ส่งมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก จำนวน 239 ราย

โดยมีนายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก และนางสุวจี ศิริปัญโญ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครนายก พร้อมคณะกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดนครนายก นายอำนาจ แย้มศิริ ปลัดจังหวัดนครนายก นางวจิราพร อมาตยกุล นายอำเภอบ้านนา ให้การต้อนรับและกล่าวขอบคุณ สำนักงานบรรเทาทุกข์ และทีมงานในการลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้กับประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนในหลายหมู่บ้านของตำบลบางอ้อโดยทั่วหน้ากัน

 

‘หมอศุภกิจ’ แย้ม ‘อนุทิน’ ผู้อยู่เบื้องหลัง ผลักดันอังกฤษปลดไทยพ้นพื้นที่สีแดง

เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2564 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงกรณีที่สหราชอาณาจักร ปลดไทยออกจากบัญชีแดง พื้นที่เสี่ยงสูงจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ไม่สามารถเดินทางเข้าสหราชอาณาจักรได้ ยกเว้นผู้ได้รับอนุญาตตามเกณฑ์ เป็นเรื่องน่ายินดี และเป็นผลมาจากการที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมตรีและรมว.สาธารณสุข ได้พูดคุยทำความเข้าใจกับเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ซึ่งมีข้อสงสัยว่า เรื่องการรายงานการตรวจสายพันธุ์เข้าระบบ GISAID ในการหารือ

คณะที่ปรึกษา WHO แนะคนสูงวัย ใครรับ 'ซิโนแวค-ซิโนฟาร์ม' ควรฉีดเข็มกระตุ้น

คณะที่ปรึกษาด้านวัคซีนขององค์การอนามัยโลก (WHO) ออกคำแนะนำในวันจันทร์ (11 ต.ค.) บุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอควรฉีดเข็มกระตุ้นวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการอนุมัติจาก WHO นอกจากนี้แล้วยังระบุด้วยว่าผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคและซิโนฟาร์มของจีน ก็ควรได้รับเข็มที่ 3 เพิ่มเติมเช่นกัน

อย่างไรก็ตามคณะที่ปรึกษายุทธศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันขององค์การอนามัยโลก (Strategic Advisory Group of Experts on Immunization : SAGE) เน้นย้ำว่าพวกเขาไม่แนะนำฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับประชาชนทั่วไป แม้บางประเทศได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว

องค์การอนามัยโลกต้องการให้พักฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับประชาชนทั่วไปไปจนกระทั่งสิ้นปี เพื่อเป้าหมายฉีดวัคซีนเข็มแรกแก่ประชาชนในประเทศต่างๆ หลายสิบประเทศที่ขาดแคลนวัคซีนเสียก่อน

หน่วยงานของสหประชาชาติแห่งนี้วางเป้าหมายอยากเห็นทุกประเทศทั่วโลกฉีดวัคซีนประชากรของตนเองอย่างน้อยๆ 10% ในช่วงสิ้นเดือนกันยายน อย่างไรก็ตามมีถึง 56 ประเทศที่พลาดเป้าหมายดังกล่าว ผิดกับบรรดาชาติรายได้สูง ซึ่งมีเกือบ 90% ที่ทำได้ตามเป้า

คณะที่ปรึกษายุทธศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันขององค์การอนามัยโลกระบุว่าจะมีการทบทวนประเด็นฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่บุคคลทั่วไปในวันที่ 11 กันยายน

ปัจจุบันมีวัคซีนโควิด-19 หลายตัวที่ได้รับอนุมัติจากองค์การอนามัยโลกสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน ประกอบด้วยของไฟเซอร์-ไบออนเทค จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โมเดอร์นา ซิโนฟาร์ม ซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า เกือบทั้งหมดเป็นวัคซีน 2 เข็ม ยกเว้นของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน

ขณะเดียวกันองค์การอนามัยโลกอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินวัคซีนของภารัต ไบโอเทค แห่งอินเดียหรือไม่

คณะที่ปรึกษายุทธศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันขององค์การอนามัยโลก ได้จัดการประชุม 4 วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อทบทวนข่าวสารและข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับวัคซีนโรคโควิด-19และโรคอื่นๆ

นักเรียนหญิงชาวจีน ถูกประธานนักเรียนลงโทษให้สควอท 150 ครั้ง จนพิการตลอดชีวิต

เรื่องราวของเด็กนักเรียนหญิงวัย 14 ปี จากโรงเรียน Xianshi Vocational Senior High School ในประเทศจีน เกิดขึ้นในวันที่ 10 มิถุนายน 2020 ที่ผ่านมา ตอนเวลาประมาณ 22.00 น. ได้มีการตรวจความเรียบร้อยในหอพัก และนั่นก็คือจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้

ประธานนักเรียนของโรงเรียน และอาจารย์ ได้เดินตรวจดูความเรียบร้อยในหอพักว่ามีใครทำผิดกฎแอบนำขนมเข้ามาในหอพักหรือไม่ ตอนนั้นเองที่ประธานนักเรียนได้พบว่ามีขนมอยู่ที่เตียงของ Ren ซึ่ง Ren ก็พยายามปฏิเสธว่าขนมนั้นไม่ใช่ของเธอ แต่ไม่มีใครเชื่อเธอ สุดท้ายเธอโดนสั่งให้ทำท่าสควอท 300 ครั้ง เพื่อลงโทษ แต่เธอพูดกับประธานนักเรียนว่า เธอมีอาการเจ็บเท้ามาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน จึงลดลงจาก 300 ครั้ง เป็น 150 ครั้งแทน โดยที่ประธานนักเรียนและอาจารย์ก็ยืนดูเธอสควอทอยู่ตรงนั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top