Sunday, 15 June 2025
ECONBIZ

'นายกฯ' ต้อนรับ 'DP World' หารือโอกาสลงทุนไทย พร้อมชูจุดแข็งทางภูมิศาสตร์ เชื่อมทะเล 2 ฝั่งมหาสมุทร

(3 ก.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกลุ่มบริษัทและผู้บริหารธุรกิจโลจิสติกส์และ Supply Chain ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ‘Dubai Port World (DP World)’ เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในประเทศไทย และการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งของภูมิภาค

โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “เราได้พูดคุยเกี่ยวกับภาพรวมของเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนในโครงการต่างๆ ของประเทศไทยเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งของภูมิภาคโดยอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ที่เชื่อมทะเลทั้ง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งจะเป็นประตูให้กับการคมนาคมขนส่งและการค้าในระดับภูมิภาคและระดับโลก”

นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ต้องการให้นักลงทุนจากทั่วโลกมีส่วนร่วมในการลงทุนในประเทศไทยเพื่อก้าวสู่ประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่ครบวงจร พร้อมแสดงให้เห็นถึงทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของประเทศไทยและการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รู้สึกดีใจที่ได้พบกับผู้บริหารและฝ่ายบริหารของ DP World อีกครั้งที่ประเทศไทย จากก่อนหน้านี้ที่พบกันในงาน World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา 

นอกเหนือจากภารกิจในการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคอาเซียนที่กรุงเทพฯ แล้ว DP World ยังประกอบกิจการท่าเทียบเรือขนถ่ายตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบังในจังหวัดชลบุรี ซึ่งถือเป็นท่าเรือนานาชาติที่คับคั่งที่สุดในประเทศไทย

สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกลุ่มบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DP World กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง และยินดีที่จะรับฟังข้อมูลโครงการต่างๆ ของประเทศไทย

“DP World ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง อย่างไรก็ตาม แรงเสียดทานทางเศรษฐกิจและอุปสรรคจาก Supply Chain ทำให้เกิดความท้าทายด้วยความเชี่ยวชาญในการบริหารท่าเรือและท่าเทียบเรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ไปจนถึงการขนส่ง โลจิสติกส์ และเทคโนโลยีด้านการขนส่ง เรามั่นใจว่าจะทำให้การค้าราบรื่น” บิน สุลาเย็ม กล่าว

DP World ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในดูไบ มีพนักงาน 111,000 คนในกว่า 75 ประเทศ ทำหน้าที่สนับสนุนเจ้าของสินค้าตั้งแต่ท่าเรือและท่าเทียบเรือไปจนถึงบริการทางทะเลและโลจิสติกส์ มีขีดความสามารถในการบริหารตู้สินค้าได้ถึง 10% ของตู้สินค้าทั่วโลก ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก DP World มีพนักงานกว่า 7,000 คน และมีท่าเรือและท่าเทียบเรือ 19 แห่ง

ถอดรหัสโอกาสจาก ‘ผืนป่า’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ หากมนุษย์รู้จักบริบาลป่า ป่าก็พร้อมบริบาลมนุษย์กลับคืน

จากรายการทันข่าววุฒิสภา เมื่อวันที่ 2 ก.ค.67 ได้เชิญ 'อาจารย์วีระศักดิ์ โควสุรัตน์' รองประธาน กมธ. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา มาร่วมพูดคุยถึงประเด็น ‘เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า’ แบบเจาะลึก โดยเนื้อหาดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้…

อ.วีระศักดิ์ มองว่า ในสมัยหนึ่ง มนุษย์มองเรื่องของ ‘ป่า’ เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก โดยมนุษย์จะบริบาลหรือดูแลรักษาป่าไว้เพื่อรักษาความชื้น เพื่อให้เป็นที่อยู่ให้สัตว์ป่า หรือก็คือ…มองป่าในเชิงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แล้วก็เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม หากมองในมิติดังกล่าวมากเกินไป ก็อาจจะทำให้ ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างป่า กับ มนุษย์ ค่อย ๆ เกิดช่องว่าง ป่าจะเป็นได้เพียงแค่ผู้ช่วยที่ทำให้เกิดอากาศดี และเป็นที่ธำรงไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพบางประเภทให้กับมนุษย์เท่านั้น

ทว่า ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มเข้าไปรุกล้ำป่ามากขึ้น หรือก็คือ…แทบจะไม่มีพื้นที่ไหน ที่ไม่มีมนุษย์เข้าไปอยู่อาศัย และใช้ประโยชน์จากป่า และเริ่มมองหา ‘เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า’ อย่างจริงจัง แต่เป็นการหาประโยชน์ที่ขาดซึ่งบริบาลป่าควบคู่กันไป ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะองค์ความรู้ และบุคลากรที่พร้อมจะช่วยบริบาลป่าได้อย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนกับสังคมปัจจุบันที่เข้าสู่ ‘ยุคสูงวัย’ แต่ขาดระบบในการดูแลจัดการคนกลุ่มนี้ รวมถึงคนที่มีความชำนาญในการมาดูแลพวกท่าน เป็นต้น

ทั้งนี้ เหตุผลที่เทียบ ‘เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า’ กับ ‘ยุคสูงวัย’ นั้น เพราะ อ.วีระศักดิ์ พยายามจะเน้นย้ำให้เห็นถึงมิติของการบริบาล หรือการดูแล เพื่อให้ป่าพร้อมที่จะกลับมาดูแลมนุษย์คืนกลับต่อไป ไม่ใช่มองป่าเป็นเพียงเศรษฐกิจที่เอาไว้กอบโกย แต่ไม่เคยคืนหรือดูแลป่าไม้กลับ

“เดิม ‘ชาวตะวันตก’ ที่เข้ามาได้สัมปทานป่าไม้ในประเทศไทยในยุคช่วงหลังล่าอาณานิคม เคยแนะนำให้ประเทศไทยสร้าง ‘กลุ่มป่าไม้’ หรือ หน่วยงานราชการที่ว่าด้วยเรื่องป่าไม้กันมาแต่ก็ตั้งแต่ช่วงนั้น เพื่อคุ้มครองป้องกันไม่ให้ป่าถูกบุกรุกและถูกทำลาย เพราะเขามองเห็นว่าในอนาคตกลุ่มคนที่เข้ามาทำลาย และเข้าไปได้เศรษฐกิจจากป่ากลับไปนั้น จะทำให้ป่าไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย และนานวันป่าก็ยิ่งมีแต่ต้องมอบเศรษฐกิจให้แก่มนุษย์ฝ่ายเดียวมากขึ้น ผ่านการมอบสัมปทานให้กับภาคเอกชน ที่ตัดป่าไม้ไปเพื่อการส่งออกไม้ในเชิงของอุตสาหกรรม ไปทำเฟอร์นิเจอร์ ไปต่อเรือ รวมไปถึงกลุ่มที่ลักลอบตัดไม้ไปขาย ซึ่งปัจจุบันก็คงเห็นแล้วว่าป่าไม้ในไทยถูกตัดกันจนเหี้ยนแล้วจริง ๆ” 

จากจุดนี้ อ.วีระศักดิ์ จึงมองว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องมาสนทนากันอย่างจริงจังถึง ‘เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่าในยุคปัจจุบัน’ โดยระหว่างช่วงแรมปีที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษานวัตกรรมและเทคโนโลยี ได้มีการไปร่วมพูดคุยกันอย่างจริงจังที่จังหวัดแพร่ โดยต่างเห็นพ้องต้องกันว่า จะฟื้นฟูให้ ‘โรงเรียนป่าไม้แพร่’ ฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นสะพานไปสู่เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่าแห่งยุคปัจจุบัน

อ.วีระศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า นี่เป็นเสมือนการชุบชีวิตโรงเรียนป่าไม้แพร่ให้ฟื้นกลับมาใหม่ ในฐานะของ ‘สถาบันการศึกษา’ โดยจะมีกิจกรรมหลักสูตรที่เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาเรียนเพื่อรับเป็นเครดิตในระดับปริญญาได้เป็นครั้งแรก หลังโรงเรียนป่าไม้แพร่ของกรมป่าไม้ถูกปิดตัวไปกว่า 30ปี

ทั้งนี้ หลักสูตรที่เปิด นอกจากการเรียนเรื่องการปลูกป่า รักษาป่า การพัฒนาพันธุ์ไม้ป่า การใช้ประโยชน์จากวัสดุที่เก็บได้จากป่ามาทำมูลค่าเพิ่ม เช่น ทำถ่านกัมมันต์จากเปลือกไม้ จากฟาง จากขี้เลื่อยแล้ว ยังมีหลักสูตรรุกขกรตัดแต่งกิ่งไม้ การออกแบบผลิตภัณฑ์จากไม้ การตรวจพิสูจน์ไม้ การสกัดสารสำคัญทางชีวภาพจากพืช การเพาะเลี้ยงสัตว์ การบริหารป่าชุมชน การทำสวนป่า การทำฝายในป่า ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้พื้นที่ตั้งโรงเรียนป่าไม้แพร่ได้กลับมามีชีวิตชีวา และสามารถถ่ายทอดความรู้ความชำนาญจากผู้มีทักษะความรู้กระจายให้ผู้มาเข้าหลักสูตรได้หลากหลาย

นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรที่ว่าด้วยการเพาะพันธุ์กล้าไม้ ทั้งไม้ทั่วไป ไม้เฉพาะ ไม้เศรษฐกิจ (ไม้สัก-ไม้พะยูง) และไม้หายากด้วย ซึ่งเดิมหน่วยงานไหน สถาบันการศึกษาใดจะเพาะ แล้วไปจำหน่ายก็ตามแต่บทบาทของแต่ละหน่วย เพียงแต่ถ้าถามว่าแล้ว ความรู้ในการ การเพาะพันธุ์นั้น พอจะสอนกันได้หรือไม่ ก็นำมาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสถาบันแห่งนี้ เพื่อช่วยให้เกิดการต่อยอดสร้างเศรษฐกิจจากผืนป่า ที่นำไปพัฒนาต่อทางอุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์ เชื้อเพลิง และอื่น ๆ ได้ต่อไป

ในอดีตแต่ดั้งเดิมนั้น โรงเรียนป่าไม้แพร่เคยถูกสร้างมาเพื่อสร้างข้าราชการที่จะบรรจุมาทำงานด้านการทำไม้ การชักลากไม้ ซึ่งเน้นการตัดสางเพื่อเปิดพื้นที่ให้ไม้ป่าสามารถเติบโตให้ลำต้นอ้วนพีมากขึ้น แต่ภายหลังเมื่อทางการไทยเปลี่ยนมาใช้การให้สัมปทานตัดไม้แก่เอกชน จึงปิดโรงเรียนป่าไม้แพร่ไป ปรากฏว่าเอกชนที่ได้รับสัมปทานกลับเน้นการตัดไม้ในพื้นที่ให้หมด เพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนที่สุด และยังมักลักลอบตัดไม้นอกแปลงสัมปทานไว้ด้วย จนเมื่อมาถึงสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หลังพายุไต้ฝุ่นเกย์ทำให้เกิดซุงถล่มไหลลงจากเขา ทับหมู่บ้านที่อยู่ตอนล่างมากมาย รัฐบาลจึงสั่งเปลี่ยนนโยบายให้ปิดป่าเลิกสัมปทานทำไม้ทั้งหมดนับแต่นั้น

นั่นจึงทำให้โรงเรียนป่าไม้แพร่ไม่ได้รับเหตุจูงใจให้เปิดขึ้นมาอีก จนภายหลังจากปี 2562 มีการแก้ไขกฎหมายให้คนอยู่กับป่าได้ ยกเลิกการห้ามตัดไม้หวงห้าม ทำให้มีประชาชนปลูกไม้มีค่าเพิ่มขึ้นในที่ดินตนเอง แต่องค์ความรู้ในการบำรุงรักษา และการทำไม้เริ่มหายไป ดังนั้น การฟื้นฟูหลักสูตรทักษะการจัดการป่า การดูแลต้นไม้ และสร้างมูลค่าเพิ่มจากป่า จึงเป็นฐานความรู้ที่จะทวีความสำคัญต่อการรักษาและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีคุณภาพได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อ ๆ ไป

ดังนั้นโรงเรียนป่าไม้แพร่ ก็จะเป็นต้นแบบหนึ่ง ที่เชื่อว่าหลักสูตรและความรู้เหล่านี้ เมื่อนำไปขยายกระจายต่อ จะสร้างความตระหนักรู้ และประโยชน์เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนและผู้คนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ใกล้ป่าหันกลับมาอยากจะปลูกป่ากันมากขึ้น

แม้เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่ายุคใหม่ จะดูน่าสนใจเพียงใด แต่ อ.วีระศักดิ์ เชื่อว่า บางคนที่พอได้ฟังแบบนี้แล้ว ก็อาจจะมีบางมุม เช่น ถ้าการตัดไม้ทำลายป่า เป็นเรื่องไม่ดี เขาก็จะไม่ตัด แต่เช่นเดียวกันเขาก็จะไม่ปลูกด้วย ฉะนั้นเศรษฐกิจว่าด้วยผืนป่านี้ยุคใหม่นี้ จึงต้องมีการผลักดันเพื่อให้คนส่วนใหญ่เริ่มเห็นคุณค่า และเข้าใจว่าป่านั้นสามารถเป็นเศรษฐกิจได้ โดยที่ไม่กระทบและทำลายป่า แถมยังช่วยรักษ์โลกไปในเวลาเดียวกัน เช่น ในยุโรป จะมีการอนุญาตให้ตัดไม้ในป่าที่มีการกำหนดขอบเขตปลูก เพื่อไปต่อยอดเศรษฐกิจการค้าไม้ในตลาดโลก พร้อมกระตุ้นให้เกิดการใช้งานไม้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อลดโลกร้อน อาทิ การก่อสร้างที่ใช้ไม้ทดแทน ‘ปูนซีเมนต์’ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักหนึ่งที่ทำให้โลกร้อน เนื่องจากกระบวนการผลิตประกอบไปด้วยการเผาในอุณหภูมิหลายพันองศา แถมต้องใช้พลังงานเชื้อเพลิงมากมาย เพื่อให้ได้ปูนสำเร็จออกมา และผลกระทบจากกระบวนการเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น กลับกันถ้าผู้คนหันมาสร้างอาคารสูงที่ทำด้วยไม้มากขึ้น ผลลัพธ์ที่ว่าไปก็จะหายไป แถมมีการพิสูจน์ออกมาแล้วว่า การก่อสร้างด้วยไม้ให้น้ำหนักที่เบากว่า แต่ทนทาน แถมไม่ก่อให้เกิดโลกร้อน ทั้งในเชิงโครงสร้างและเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เหมือนกับที่ IKEA กำลังทำอยู่กับการสร้างพื้นที่ป่าไม้ของตนเองในสวีเดน ซึ่งมีมากกว่าพื้นที่ป่าไม้ของกรมป่าไม้สวีเดน ถึง 5 เท่า เป็นต้น 

ดังนั้นสำหรับประชาชนที่สนใจที่จะมองหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากผืนป่า อ.วีระศักดิ์ ได้แนะนำให้เริ่มจากการเข้าไปศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับป่า ศึกษาดูว่าในพื้นที่ของท่าน ดินอยู่ในจุดไหน โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถค้นหาได้ในเว็บไซต์ของกลุ่มพัฒนาที่ดิน / กรมอุทยาน / กระทรวงเกษตร และมหาวิทยาลัยที่สอนเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้-ต้นไม้ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ไม่ยาก

“เราบริบาลป่า ป่าก็จะบริบาลเราครับ” อ.วีระศักดิ์ ทิ้งท้าย

‘พีระพันธุ์’ แง้ม!! ร่างกม. ให้อำนาจพลังงานคุมราคาน้ำมัน แล้วเสร็จ วอน!! ม็อบรถบรรทุกใจเย็นๆ รออีกไม่นานได้ใช้น้ำมันราคาถูก

(3 ก.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับในปัจจุบัน โดยหากไม่มีสถานการณ์พิเศษแบบที่เคยเกิด ราคาน้ำมันในตลาดโลกก็จะไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปมาก

เมื่อถามว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถดูแลราคาน้ำมันให้ประชาชนไปจนถึงสิ้นปีได้หรือไม่ นายพีระพันธุ์กล่าวว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องกฎหมายก็ต้องดูและปรับรูปแบบซึ่งกระทรวงพลังงานเรากำลังปรับกฎหมายอยู่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงที่ต้องไปทำกฎหมาย

“รูปแบบเดิมกฎหมายเคยให้กระทรวงพลังงานมีอำนาจในการกำหนดเพดานน้ำมัน”

เมื่อถามย้ำว่าในเรื่องของเพดานน้ำมันดีเซลที่มีการกำหนดไว้จะต้องปรับลงมาหรือไม่ เพราะกลุ่มรถบรรทุกที่จะเข้ามาประท้วงอยากให้ราคาน้ำมันดีเซลลงมาอีก นายพีระพันธุ์ก็ย้ำว่าที่ผ่านมาไม่มีการเตรียมการในเรื่องนี้ไว้เลยตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา เรากำลังปรับแก้ส่วนนี้อยู่เพื่อให้ประชาชนไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับตลาดโลก

ส่วนกฎหมายจะทันเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในสมัยประชุมนี้หรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน พยักหน้าแล้วบอกว่าทัน โดยอย่างน้อยที่สุดก่อนที่จะไปสู่การพิจารณาของสภาฯ จะต้องมีการส่งร่างกฎหมายให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีดูก่อน

“ผมจะพยายามทำให้ทัน กฎหมายนั้นร่างเสร็จทันแน่นอน แต่ก็มีกระบวนการที่จะออกกฎหมายต้องมีการทำประชามติ รับฟังความคิดเห็นตรงนั้นจะทำให้ช้า ตอนนี้ตัวกฎหมายเสร็จแล้วกำลังทบทวน”

เมื่อถามว่าค่าการตลาดที่ผู้ขายน้ำมันได้รับสูง กระทรวงพลังงานจะเข้าไปดูได้หรือไม่ นายพีระพันธุ์ตอบว่ากฎหมายปัจจุบันกระทรวงไม่มีอำนาจอะไรสักอย่าง เป็นไปได้อย่างไร แล้วก็ปล่อยอยู่กันมาแบบนี้ ก็ต้องมีการแก้กฎหมายให้กระทรวงมีอำนาจ ตอนนี้ยังไม่มี

ส่วนการแก้กฎหมายจะทันกับที่กลุ่มม็อบรถบรรทุกจะเข้ามาหรือไม่ นายพีระพันธุ์ ตอบว่าในเรื่องนี้ถ้าจะรอสักหน่อย ใจเย็น ๆ จะได้ใช้ราคาน้ำมันราคาถูก ที่ผ่านมาไม่มีใครทำในส่วนนี้วันนี้ผมจะเข้ามาทำให้

'Forbes' เผย!! 50 อันดับ มหาเศรษฐีไทยปี 2567 ชี้!! ความมั่งคั่งรวมลดลง 12% เหตุการเมืองฉุด ศก.

(3 ก.ค. 67) นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) เปิดเผยผลการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทยประจำปี 2567 หรือ Thailand’s 50 Richest 2024 ว่า ปีนี้มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของไทยมีการ ‘เปลี่ยนแชมป์’ จาก ‘พี่น้องเจียรวนนท์’ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ที่ครองอันดับ 1 มานานเกือบสิบปี ไปเป็น ‘เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว’ จากธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ด้วยทรัพย์สิน 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 ล้านล้านบาท)

ฟอร์บส์ระบุว่าหลังจากเข้ารับตำแหน่งได้ไม่ถึงปี อนาคตทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน อดีตนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ก็เริ่มไม่มั่นคง เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทยที่ถูกการเมืองบั่นทอนความมั่นใจของนักลงทุน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงถึง 15% นับตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังถูกซ้ำเติมด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง จนฉุดความมั่งคั่งโดยรวมของมหาเศรษฐีเมืองไทยให้ลดลงถึงเกือบ 12% เหลือเพียง 1.53 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 5.6 ล้านล้านบาท) จากเดิม 1.73 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2566 มหาเศรษฐีไทยส่วนใหญ่ 39 คนจากการจัดอันดับปีนี้มีทรัพย์สินลดลง โดยมีเพียงแค่ ‘7 คน’ เท่านั้นที่ ‘รวยขึ้น’ สวนกระแสได้อย่างท้าทาย

ปีนี้ ‘เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว’ แซงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 ล้านล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2.6 พันล้านดอลลาร์ จากอานิสงส์รายได้ของธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ที่เติบโตกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2566 โดยสามารถขายได้ทะลุ 1.2 หมื่นล้านกระป๋องทั่วโลก 

ขณะที่ ‘พี่น้องเจียรวนนท์’ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ที่ครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานานเกือบสิบปี ถูกโค่นลงมาอยู่อันดับ2 ในปีนี้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สิน 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.06 ล้านล้านบาท) หรือลดลงจากปีที่แล้ว 5 พันล้านดอลลาร์ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาหุ้นที่ตกลงของบริษัท ‘ผิงอัน อินชัวรันซ์’ (Ping An Insurance) ในประเทศจีน ทำให้ขาดทุน 2.7 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

สำหรับมหาเศรษฐีคนอื่น ๆ ใน 5 อันดับแรกของไทยยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในแง่ของอันดับ มีเพียงความมั่งคั่งเท่านั้นที่ปรับตัวลดลง ‘เจริญ สิริวัฒนภักดี’ แห่งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด อยู่ในอันดับ 3 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.68 หมื่นล้านบาท) หรือลดลงจากปีก่อนถึงกว่า 1 ใน 4 
ส่วนอันดับ 4 ที่ตามมาติด ๆ คือ ‘ครอบครัวจิราธิวัฒน์’ ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สิน 9.9 พันล้านดอลลาร์ (3.64 แสนล้านบาท) หรือลดลง 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยกลุ่มเซ็นทรัลเพิ่งกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของห้างสรรพสินค้า Selfridges ในกรุงลอนดอน เมื่อเดือนพ.ย. 2567

ขณะที่ ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ อยู่ในอันดับ 5 โดยมหาเศรษฐีธุรกิจพลังงานและโทรคมนาคมรายนี้เคยสร้างความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปรากฏชื่อในทำเนียบของฟอร์บส์เมื่อ 6 ปีก่อน แต่ล่าสุดในปีนี้ ถือเป็นปีแรกที่ความมั่งคั่งตกลงเหลือเพียง  9.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.38 แสนล้านบาท) ลดลงจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1.13 หมื่นล้านดอลลาร์

สำหรับมหาเศรษฐีคนอื่นๆ ที่มีความมั่งคั่งลดลงมากในปีนี้ ได้แก่ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ จาก Energy Absolute ซึ่งมีความมั่งคั่งลดลงถึง 2 ใน 3 ทำให้อันดับตกลงจากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว มาอยู่อันดับ 32 ในปีนี้ ท่ามกลางราคาหุ้นที่ร่วงลงหนักเนื่องจากความกังวลเรื่องหนี้สินจากการขยายธุรกิจไปยังตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่

ขณะที่ ‘อาลก โลเฮีย’ แห่ง Indorama Ventures มีความมั่งคั่งลดลง 310 ล้านดอลลาร์ เหลือ 1.2 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ โดยเป็นผลจากความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านปิโตรเคมีในจีนและยุโรปที่หดตัวลง
สำหรับ 10 อันดับมหาเศรษฐีไทย 2567 มีดังต่อไปนี้

1.เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว 
- ทรัพย์สิน 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 ล้านล้านบาท)
  เพิ่มขึ้น 2.6 พันล้านดอลลาร์

2.พี่น้องเจียรวนนท์ 
- ทรัพย์สิน 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.06 ล้านล้านบาท)
  ลดลง 5 พันล้านดอลลาร์

3.เจริญ สิริวัฒนภักดี 
- ทรัพย์สิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.68 หมื่นล้านบาท)
  ลดลง 3.6 พันล้านดอลลาร์

4.ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 
- ทรัพย์สิน 9.9 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.64 แสนล้านบาท)
  ลดลง 2.5 พันล้านดอลลาร์

5.สารัชถ์ รัตนาวะดี 
- ทรัพย์สิน 9.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.38 แสนล้านบาท)
  ลดลง 2.1 พันล้านดอลลาร์

6.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ 
- ทรัพย์สิน 3.8 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.39 แสนล้านบาท)
  เท่ากับปีที่แล้ว

7.อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และครอบครัว 
- ทรัพย์สิน 3.6 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 แสนล้านบาท)
  เพิ่มขึ้น 100 ล้านดอลลาร์

8.วานิช ไชยวรรณ 
- ทรัพย์สิน 3.3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.21 แสนล้านบาท)
  ลดลง 600 ล้านดอลลาร์

9.ครอบครัวโอสถานุเคราะห์ 
- ทรัพย์สิน 2.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 8.10 หมื่นล้านบาท)
  ลดลง 300 ล้านดอลลาร์

10.ประยุทธ มหากิจศิริ 
- ทรัพย์สิน 2.15 พันล้านดอลลาร์ (ราว 7.91 หมื่นล้านบาท)
  (ไม่มีข้อมูล)

หมายเหตุ: เทียบกับ 50 อันดับเศรษฐีไทยปี 2566

‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ ประกาศขึ้นราคา ‘ผงชูรส’ ถุงใหญ่ 4% หลัง ‘มันสำปะหลัง’ วัตถุดิบหลักที่ใช้ผลิตแพงขึ้น

เมื่อวานนี้ (2 ก.ค.67) รายงานข่าวกรมการค้าภายใน ระบุกรณีที่สินค้าอุปโภคบริโภคทยอยปรับขึ้นราคา โดยเฉพาะเครื่องปรุงรส และเครื่องดื่ม ประเภทกาแฟ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบมีราคาแพงขึ้นและค่าขนส่งที่ปรับตัวสูง ล่าสุดผู้ผลิตผงชูรสยี่ห้อหนึ่งประกาศปรับราคาขึ้น 4% ซึ่งกรมการค้าภายในระบุว่า สามารถปรับราคาได้เพราะไม่ใช่สินค้าควบคุม แต่ต้องทำหนังสือแจงปรับราคามายังกรม 

มร.อิชิโระ ซะกะกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากสถานการณ์ภัยแล้ง ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดต่ำ โดยเฉพาะมันสำปะหลังซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ผลิตผงชูรสปรับราคาขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้เบื้องต้นบริษัทได้ตัดสินใจปรับขึ้นราคาในส่วนของผงชูรส 4% ที่เป็นถุงบรรจุขนาดใหญ่ ส่วนขนาดที่ใช้ในครัวเรือนยังคงราคาเดิม

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ประกอบการและผู้ผลิตรายอื่นยังไม่ส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นราคา ทั้งนี้ กรมการค้าภายในจะติดตามราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างใกล้ชิด 

'ครม.' ไฟเขียว!! ยกเลิก 'ดิวตี้ฟรี’ ขาเข้า 8 สนามบิน 1 ปี หนุนเพิ่มการใช้จ่ายในประเทศไทยกว่า 3,000 ล้านบาท

(2 ก.ค. 67) ที่ มรภ.นครราชสีมา นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมครม.สัญจร ว่าครม.รับทราบแนวทางการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้...

1.แนวทางการหยุดการดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ขาเข้าของผู้ประกอบการ 

2.ผลประโยชน์และผลกระทบของการหยุดการดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขา

ทั้งนี้ปัจจุบันผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ผ่านทางท่าอากาศยานนานาชาติ สามารถซื้อสินค้าโดยได้รับสิทธิยกเว้นอากร ตามหลักเกณฑ์ อาทิ ซื้อเพื่อใช้เองเป็นการส่วนตัวหรือใช้ในวิชาชีพ ราคารวมกันไม่เกิน 2 หมื่นบาท, บุหรี่ปริมาณไม่เกิน 200 มวน ซิก้าร์ หรือยาเส้น ปริมาณไม่เกินอย่างละ 250 กรัม หรือหลายชนิดรวมกันปริมาณไม่เกิน 250 กรัม ส่วนสุราปริมาณไม่เกินหนึ่งลิตร ทำให้การจับจ่ายในการบริโภคและการซื้อสินค้าภายในประเทศมีน้อยลง 

กระทรวงการคลัง จึงมีแนวคิดที่จะศึกษาความเหมาะสมในการยกเลิกการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าดิวตี้ฟรี ขาเข้า รวมถึงการยกเว้นอากรของที่ซื้อจากร้านดิวตี้ฟรี สำหรับผู้โดยสารขาเข้า เพื่อส่งเสริมการบริโภคและการใช้สินค้าภายในประเทศให้กระจายหมุนเวียนในประเทศ เกิดประสิทธิภาพและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 

โดยปัจจุบันมีนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านดิวตี้ฟรี ขาเข้า 3 ราย ในท่าอากาศยานนานาชาติ 8 แห่งทั่วประเทศ ยอดจำหน่ายสินค้า รวมเป็นจำนวน 3,021.75 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการร้านค้า ทั้ง 3 ราย ยินดีที่จะหยุดการดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านดิวตี้ฟรีขาเข้า ตามนโยบายของรัฐบาล จนกว่ารัฐบาลจะมีการยกเลิกนโยบายดังกล่าว

สำหรับผลประโยชน์และผลกระทบของการหยุดการดำเนินการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรด้านคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านดิวตี้ฟรี 1 ปี จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มการจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปเพิ่มขึ้นประมาณ 570 บาท ขณะที่ผู้เดินทางชาวไทย อาจจะเลือกใช้จ่ายซื้อสินค้าปลอดอากรจากประเทศต้นทางเพื่อทดแทนหรือใช้จ่ายซื้อสินค้าประเภทเดียวกันในประเทศเพิ่มมากขึ้น 

ส่วนผู้ประกอบการคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านดิวตี้ฟรี สูญเสียรายได้อากรขาเข้าส่วนของการจำหน่ายสินค้าในร้าน แต่คาดว่าจะส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านค้าและผู้เกี่ยวข้องในภาคการท่องเที่ยว ร้านค้าทั่วไป เสมือนได้รับเม็ดเงินหมุนเวียนใหม่เพิ่มเติมสูงสุด 3,460 ล้านบาทต่อปี สร้างโอกาสและส่งผลเชิงบวกต่อการผลิต การลงทุน และจ้างงานได้ต่อ ขณะที่รายได้ของภาครัฐ จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนกระจายสู่ผู้ประกอบการร้านค้าในวงกว้างขยายฐานการจัดเก็บภาษีของภาครัฐ และภาษีมูลค่าเพิ่ม และคาดว่าจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม ขยายตัวได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.012 ต่อปี

‘รมว.ปุ้ย’ รับหนังสือคัดค้าน ‘โครงการเหมืองแร่โพแทช’ ยัน!! จะดูแลเคร่งครัด ไม่ให้กระทบ ‘สิ่งแวดล้อม-สุขภาพปชช.’

(2 ก.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังรับข้อเรียกร้องจากผู้แทนเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ที่ขอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายเหมืองแร่โพแทชของประเทศไทย ก่อนการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ณ จังหวัดนครราชสีมา โดยสาระสำคัญหลัก ๆ ของกลุ่มผู้เรียกร้อง คือ ขอให้ยกเลิกแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ฉบับที่ 2 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโพแทชทั้งหมด ขอให้ทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) สำหรับการพัฒนาเหมืองแร่โพแทช และขอให้เร่งรัดตรวจสอบและแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่โพแทชในพื้นที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมาโดยเร่งด่วน

นางสาวพิมพ์ภัทราฯ เปิดเผยต่อว่า แม้รัฐบาลจะมีนโยบายในการผลักดันการนำแร่โพแทชขึ้นมาใช้ประโยชน์ แต่ก็ให้ความสำคัญต่อการป้องกันและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ด้วยเช่นกัน สำหรับในกรณีโครงการเหมืองแร่ไทยคาลิ ได้รับประทานบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 มีพื้นที่ประมาณ 9,005 ไร่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2562 มีการร้องเรียนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองแร่ ในประเด็นเรื่องดินเค็มทำการเกษตรไม่ได้ บ่อน้ำสาธารณะไม่สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้ ซึ่งที่ผ่านมามีการตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อตรวจสอบในประเด็นผลกระทบที่ประชาชนได้รับหลายคณะ ทั้งในระดับจังหวัดและในระดับกรม มีการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายครั้ง ซึ่งผลการตรวจสอบในชั้นนี้ยังไม่สามารถชี้ชัด

ได้ว่าผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาจากโครงการเหมืองแร่โพแทชและเกลือหินของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด โดยผลการตรวจสอบข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น แผนที่การแพร่กระจายของคราบเกลือ พบว่าพื้นที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความเค็มมาแต่เดิม อย่างไรก็ดี ล่าสุด จังหวัดนครราชสีมาได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งชุด โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้แทนชุมชนในพื้นที่เพื่อตรวจสอบในประเด็นข้อเรียกร้องและผลกระทบอีกคณะหนึ่งสำหรับประเด็นเรื่องแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 เป็นแผนที่มีการจัดทำและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึง 2570 นั้น ได้ผ่านการวิเคราะห์ทางวิชาการ การประชาพิจารณ์ ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ และ คณะรัฐมนตรี เป็นไปตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 กำหนดไว้

อย่างไรก็ดี ได้ทราบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเริ่มทบทวนแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ อีกครั้งในปี 2568 ซึ่งจะได้นำประเด็นข้อเรียกร้องต่าง ๆ รวมทั้งข้อเสนอในเรื่องการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ไปประกอบในการทบทวนแผนดังกล่าวด้วย

“ดิฉันขอยืนยันว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจะกำกับดูแลการดำเนินโครงการเหมืองแร่โพแทชให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด พยายามนำทรัพยากรแร่ขึ้นมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ในขณะเดียวกันก็พยายามลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด โดยในการบริหารจัดการแร่จะต้องคำนึงถึงดุลยภาพทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพประชาชนประกอบกันด้วย” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

‘เคทีซี ทัช’ สุขุมวิท 33 คว้ารางวัลการออกแบบสถาปัตยกรรม 2024 ดีไซน์สวยงาม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์การใช้งานอย่างลงตัว

(2 ก.ค. 67) ‘เคทีซี’ เผยศูนย์บริการ ‘เคทีซี ทัช’ (KTC TOUCH) ได้รับรางวัลระดับโลกด้านการออกแบบสถาปัตยกรรม ‘Silver Winner of The International Architecture & Design Awards 2024’ สาขา Interior Professional Environment Design จาก Architecture & Design Community โดยชนะใจกรรมการด้วยการออกแบบสถานที่ที่สวยงาม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานอย่างลงตัว

นางสาวชนิดาภา สุริยา ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริการลูกค้าและสนับสนุนธุรกิจ ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ‘เคทีซี ทัช’ สำนักงานใหญ่บนถนนสุขุมวิท 33 ออกแบบโดย dwp I Design Worldwide Partnership บริษัทที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบระดับสากล ซึ่งมีแนวคิดการออกแบบที่เรียกว่า ‘THE ATMOSPHERE’ ใช้ความหลากหลายของงานตกแต่งในการแบ่งโซนพื้นที่ ใช้แสงไฟและเส้นสายเล่นระดับทับซ้อนกัน สร้างเป็นเลเยอร์ภายในพื้นที่ เพื่อสื่อถึงชั้นบรรยากาศ ภายใต้แนวคิดการตกแต่งที่ผสมผสานความทันสมัย เรียบง่าย อบอุ่น และสะดวกสบายเข้าด้วยกัน เน้นความหรูหราด้วยสีคอปเปอร์โทน (Copper Tone) เพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมให้กับผู้มาใช้บริการด้วยความรู้สึกของพื้นที่ร่วมกัน อีกทั้งการเลือกใช้วัสดุที่ไม่เพียงเสริมความรู้สึกหรูหรา แต่ยังแสดงถึงความยั่งยืน โดยการนำไม้เก่ามาตกแต่งเพิ่มคุณค่า และเพิ่มความสวยงามให้กับพื้นที่

‘เคทีซี ทัช’ สำนักงานใหญ่ ได้รับรางวัล ‘Silver Winner of The International Architecture & Design Awards 2024’ จากหน่วยงาน Architecture & Design Community โดยพิจารณาจากงานออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ทั่วโลก ภายใต้เกณฑ์การพิจารณาที่สามารถตอบโจทย์การประสานความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการออกแบบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 

“จุดเด่นหลักของ ‘เคทีซี ทัช’ แห่งนี้ คือพื้นที่เคาน์เตอร์บาร์ส่วนกลางออกแบบเพื่อเป็นจุดต้อนรับ และพักคอยสำหรับผู้มาใช้บริการ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ โดยเลือกใช้วัสดุและรูปแบบการตกแต่งที่มีแตกต่างกันและผสมผสานกันอย่างลงตัว เพื่อสร้างบรรยากาศความแปลกใหม่ให้กับพื้นที่ ด้วยวัสดุที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น หินอ่อน ไม้เก่า และคอนกรีต รวมถึงการเลือกใช้แสงไฟตกแต่งที่ออกแบบเฉพาะตัว โดยเราได้ทำงานร่วมกันกับ dwp จนได้สรรค์สร้าง ‘เคทีซี ทัช’ แห่งนี้ได้อย่างสวยหรูและตอบโจทย์ในทุกการใช้งาน”

‘สมบัติ ILINK’ ตรวจงานสายเคเบิ้ลใต้ทะเล 33 เควี ‘เกาะพะงัน-เกาะเต่า’ ผลักดันไฟฟ้าส่องสว่างทั่วทั้งเกาะ - ส่งเสริมเป็นที่ท่องเที่ยวระดับโลก

(2 ก.ค.67) คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เปิดเผยถึงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี จาก เกาะพะงันไปยังเกาะเต่า โดยระบุว่า…

“เดินทางไปเกาะสมุย เพื่อไปตรวจงานสายเคเบิ้ลใต้ทะเล 33KV ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยฝังสายไฟฟ้าแรงสูง ลึกจากพื้นทะเล ประมาณ 3 เมตร และวางจากเกาะพะงัน ไปยังเกาะเต่าครับ”

สำหรับการลากสาย Submarine Cable หรือ สายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี จากเกาะพะงันไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะทาง 48 กิโลเมตร มีมูลค่างานทั้งสิ้น 1,786,170,260 บาท โดยได้เซ็นต์สัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. ไปเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2565 โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 18 เดือน เพื่อที่จะช่วยให้เกาะเต่ามีไฟฟ้าใช้ เพื่อส่งเสริมให้เกาะเต่า เป็นที่ท่องเที่ยวระดับโลกเหมือนเกาะสมุยและเกาะพะงัน และเป็นเพชรเม็ดงามของประเทศไทยต่อไปในอนาคต

‘BYD’ ร้อนแรง!! ประกาศหั่นราคา SEAL 3 รุ่น ลดสูงสุด 126,000 บาท ถึง 31 ก.ค.นี้

(2 ก.ค. 67) หลังจากเมื่อวานมีการประกาศลดราคารถ บีวายดี รุ่นออตโต้ 3 ถึง 340,000 บาท วันนี้ บีวายดี ออกแคมเปญลดราคา บีวายดี รุ่น SEAL อย่างต่อเนื่อง

โดยลูกค้าที่ ซื้อรถไฟฟ้า BYD SEAL รุ่น Dynamic รุ่น Premium และ รุ่น Performance และได้รับใบกำกับภาษีออกในช่วงระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 โดยจะได้รับสิทธิพิเศษดังนี้

>> BYD SEAL รุ่น Dynamic ส่วนลด 126,000 บาท จากราคาขายปลีกปกติ 1,325,000 บาท เหลือราคาพิเศษ 1,199,000 บาท หลังหักส่วนลด

>> BYD SEAL รุ่น Premium ส่วนลด 50,000 บาท จากราคาขายปลีกปกติ 1,449,000 บาท เหลือราคาพิเศษ 1,399,000 บาท หลังหักส่วนลด

>> BYD SEAL รุ่น Performance ส่วนลด 100,000 บาท จากราคาขายปลีกปกติ 1,599,000 บาท เหลือราคาพิเศษ 1,499,000 บาท หลังหักส่วนลด

‘ททท.’ มั่นใจปี 68 ต่างชาติเที่ยวไทยแตะ 40 ล้านคน  เล็งดึง ‘นักท่องเที่ยวคุณภาพ’ เติม-เพิ่มรายจ่ายต่อหัว

(2 มิ.ย.67) ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ททท.จะพยายามรักษาอันดับของประเทศไทยให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนเหนือกว่าญี่ปุ่นไว้ให้ได้ แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ท่องเที่ยวของญี่ปุ่นจะมีปัจจัยเงินเยนอ่อนค่ามากระตุ้นการจับจ่ายของนักท่องเที่ยว สร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน เห็นได้จากนักท่องเที่ยวไทยเองก็นิยมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นซ้ำจำนวนมาก

“ททท.จะโฟกัสการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยให้ได้ตามเป้าหมายรัฐบาล 36.7 ล้านคนในปีนี้อย่างดีที่สุด ขณะที่รายได้ก็ต้องเดินหน้าเต็มที่เพื่อไปให้ถึงเป้ารายได้รวม 3.5 ล้านล้านบาท ถ้าเรายังสามารถรักษาแรงส่งด้านการจับจ่ายท่องเที่ยวไว้ได้ที่ 50,000 บาทต่อคนต่อทริป ก็ถือว่าน่าพอใจ ส่วนในปี 2568 ททท.มั่นใจว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน”

โดยในการประชุมบูรณาการแผนปฏิบัติการ ททท. ประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 ก.ค. และจัดแถลงใหญ่เกี่ยวกับทิศทางการทำตลาดและแผนปฏิบัติการในวันที่ 15 ก.ค. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ทาง ททท.จะมีการหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนนิยามของ ‘นักท่องเที่ยวคุณภาพ’ จากเดิมนิยามไว้ว่าเป็นกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 60,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพราะจากการวิเคราะห์พฤติกรรมการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ในปัจจุบัน น่าจะเหลือใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว 10% ของรายได้ หรือคิดเป็น 6,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทำให้ ททท. ต้องเปลี่ยนนิยามของนักท่องเที่ยวคุณภาพว่าเป็น ‘คนรวยสองด้าน’ ด้านแรกคือ รวยด้วยพฤติกรรมการใช้จ่าย กินหรูอยู่ดี และด้านที่ 2 คือ รวยด้วยจิตสำนึก ใส่ใจด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม 

ด้าน ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า สทท.คาดหวังว่าในปี 2568 ซึ่งรัฐบาลประกาศผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ ‘ปีแห่งการท่องเที่ยวไทย’ จะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยมากถึง 40-45 ล้านคน 

ขณะที่แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญภาคการท่องเที่ยวไทย วิเคราะห์ว่า จากสถิติ 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยสะสมแล้ว 17 ล้านคน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของรัฐบาล 36.7 ล้านคน เท่ากับว่าช่วงโลว์ซีซันไตรมาส 3 ต้องดึงเข้ามาให้ได้อย่างน้อย 3 ล้านคนต่อเดือนก่อน และเร่งเครื่องในไฮซีซันไตรมาส 4 ให้ได้มากกว่า 3.5 ล้านคนต่อเดือน เฉพาะเดือน ธ.ค. ต้องให้ได้ถึง 4 ล้านคน

เพราะถ้าวางเป้าหมายรายเดือนแบบนี้ ก็สามารถจี้ลงไปในรายละเอียดแผนได้ว่าจะดึงนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะสั้นเท่าไร ตลาดระยะไกลอีกเท่าไร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ต้องใช้งบประมาณและเครื่องมือใดบ้างในการบูสต์ยอดเพิ่มจากการเติบโตแบบออร์แกนิก เพราะตอนนี้อะไรทำได้เร็ว ต้องรีบทำเพื่อความชัวร์ ให้ได้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเดือนละ 3.5 ล้านคนตั้งแต่เดือน ก.ย. ก็จะช่วยเซฟตัวเลขให้ได้ตามเป้าหมาย หากต้องรอข่าวดีเรื่องจำนวนเที่ยวบินช่วงตารางบินฤดูหนาว 2567/2568 เท่ากับว่าต้องรอนานถึงปลายเดือน ต.ค. ทั้งที่สามารถลุยทำการตลาดตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้ได้เลย

อย่างตลาด ‘นักท่องเที่ยวจีน’ เดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 ถ้าอยากให้ไปถึงเป้าหมาย 8 ล้านคนในปีนี้ ก็ต้องทำเพิ่ม ให้ไดเรกชันชัดเจนว่าต้องเจาะตลาดอย่างไร เพราะจากการประเมินแนวโน้มล่าสุดของภาคเอกชนคาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะปิดที่ 7 ล้านคน น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ พอเห็นสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้า ‘ญี่ปุ่น’ ช่วง 5 เดือนแรกแล้ว ประเมินว่าปีนี้มีสิทธิ์เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปญี่ปุ่นแซงไทยเป็นครั้งแรก จากปัจจัยเงินเยนอ่อนค่าหนัก อย่างไรก็ตาม เรื่องจะโดนญี่ปุ่นแซงหรือไม่นั้น ไม่ใช่ปัญหา การไปถึงเป้าหมายรัฐบาลดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยให้ได้ 36.7 ล้านคนต่างหากที่สำคัญกว่า! ทาง ททท.ต้องเร่งเช็กยอดจองที่นั่งเครื่องบินล่วงหน้าว่าติดปัญหาเรื่องอะไร เพื่อเร่งเติมตลาดให้ทัน เช่น การทำเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีนและรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม แม้ปีนี้ภาคการท่องเที่ยวไทยจะอยู่ในยุคฟื้นตัว กลับไปมีนักท่องเที่ยวต่างชาติใกล้เคียงภาวะปกติ แต่ก็ต้อง ‘บริหารความเสี่ยง’ ระหว่างปีให้ดีในยุคเศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วย ‘ความไม่แน่นอน’ ไม่ใช่ว่าจะไปรอไฮซีซัน 3 เดือนสุดท้าย เพราะอาจเจอเหตุการณ์อื่นๆ มาเซอร์ไพรส์กลับ ทำยอดหก หลุดเป้าหมายได้

“ส่วนเป้าหมายรายได้รวมการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาทในปีนี้ ลืมไปได้เลย เพราะล่าสุดตัวเลขยอดการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวต่ำกว่ายุคก่อนโควิดด้วยซ้ำ เฉลี่ย 46,000 บาทต่อคนต่อทริปเท่านั้น จากปี 2562 ก่อนโควิดเฉลี่ยอยู่ที่ 49,000 บาทต่อคนต่อทริป หลังได้รับผลกระทบจากปัญหากำลังซื้อและเศรษฐกิจโลก อีกปัจจัยคือการเข้ามาของตลาดระยะสั้น เช่น มาเลเซีย ที่นิยมเดินทางข้ามแดน เข้ามาพักไม่นานแค่ 2-3 วัน ทอนภาพรวมค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายลดลง” แหล่งข่าวกล่าว

'คุ้มภัยโตเกียวมารีนฯ' แจง!! ยังรับประกันภัยรถ EV แต่ขอคิดเบี้ยประกันลูกค้าใหม่เป็นรายกรณี

(2 ก.ค. 67) จากกรณีโบรกเกอร์ประกันภัย ประกาศว่าคุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แจ้งหยุดรับประกันภัยรถไฟฟ้า หรือ รถ EV โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา จึงทำให้ลูกค้าเกิดข้อสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ล่าสุด  คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า บริษัทฯ ยังคงรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า และได้แจ้งเปลี่ยนแปลงแนวทางการเสนอเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 

โดยบริษัทฯ ขอพิจารณาจากปัจจัยเรื่องความผันผวนของราคารถยนต์ไฟฟ้าป้ายแดง และรถยนต์มือสอง ที่ส่งผลกระทบต่อทุนประกันภัยและให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 โดยบริษัทฯ ได้แจ้งแนวทางการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าดังนี้

>> ลูกค้าปัจจุบัน (ต่ออายุ) : บริษัทฯ จะดูแลการต่ออายุประกันภัยตามปกติ โดยเบี้ยประกันภัยรถยนต์จะพิจารณาจากประวัติการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน

>> ลูกค้ารายใหม่ (ป้ายดำ/โอนย้าย) : บริษัทฯ ขอระงับการใช้อัตราเบี้ยประกันภัยตามอัตราเบี้ยสำเร็จรูปที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ชั่วคราว โดยทุกท่านยังสามารถสอบถามอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับงานโอนย้ายผ่านเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ได้ โดยจะพิจารณาทุนประกันและเสนออัตราเบี้ยประกันภัยเป็นกรณีๆ ไป

สำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์ บริษัทฯ ยังคงรับประกันภัยและดูแลลูกค้าทุกรายที่เข้าร่วมโครงการกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์ ตามพันธกิจที่มีต่อคู่ค้าและลูกค้า

โดย บริษัทฯ กำลังศึกษาข้อมูลเพื่อให้สามารถนำเสนออัตราเบี้ยประกันภัยและทุนประกันภัยที่เหมาะสมได้ในอนาคต บริษัทฯ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา

‘สคบ.’ จ่อออก กม.คุ้มครอง ‘นักช็อปออนไลน์’ ผ่านมาตรการส่งดี แกะกล่องเช็กสินค้าก่อนจ่าย หากมีปัญหา ‘ปฏิเสธ-ขอเงินคืนได้’

(2 ก.ค. 67) นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาเปิดเผยว่า ประชาชนจำนวนมากได้สะท้อนความเดือดร้อนจากการสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์หรือแอปพลิเคชันช็อปปิงออนไลน์ มายังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หลายกรณี โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของ สินค้าไม่ตรงปก ติดต่อไม่ได้ และบางกรณีผู้บริโภคไม่ได้สั่งซื้อสินค้าแต่มีพัสดุจัดส่งไปยังที่บ้าน โดยมีการเรียกเก็บเงิน ณ ที่จัดส่งปลายทาง

ผู้บริโภคสั่งซื้อสินค้าแล้วเกิดปัญหาในรูปแบบต่างๆ แต่กลับไม่สามารถติดต่อผู้ขายได้ หรือติดต่อได้แต่ไม่ได้รับการแก้ไข

ผู้บริโภคเลือกชำระเงินค่าสินค้าโดยการเก็บเงินปลายทาง แต่เมื่อเกิดปัญหากลับไม่ได้รับเงินคืน เนื่องจากผู้ให้บริการขนส่งสินค้าให้เหตุผลว่า จ่ายเงินให้กับผู้ขายสินค้าไปแล้ว ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย

ล่าสุดจากปัญหาดังกล่าว สคบ. ได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา ‘เรื่องให้ธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าโดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน’ ซึ่งจะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เดือนกรกฎาคมนี้

ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่นี้ ช่วยแก้ปัญหาให้นักชอปออนไลน์ โดยการใช้ ‘มาตรการส่งดี (Dee-Delivery)’ ซึ่ง ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้า ต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับ ผู้ส่งสินค้า-ผู้ประกอบธุรกิจ-ชื่อสกุล ผู้รับเงิน-หมายเลขติดตามพัสดุให้ชัดเจน

กำหนดให้ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าถือเงินค่าสินค้าเป็นระยะเวลา 5 วัน ก่อนนำส่งเงินให้กับผู้ขาย เพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสแจ้งเหตุที่ขอคืนสินค้าและขอเงินคืนได้
สามารถเปิดดูสินค้าก่อนชำระเงินได้ หากพบว่ามีปัญหา สามารถปฏิเสธการชำระเงินและไม่รับสินค้าได้

บทสรุป!! มหากาพย์ 'สะพานสีมาธานี' ไม่ทุบยกระดับ 'ภูเขาลาด-ชุมทางถนนจิระ' หวัง!! ไร้ม็อบค้านการก่อสร้าง ลุยเดินหน้าโครงการทางคู่สายอีสานต่อ

เมื่อวานนี้ (1 ก.ค.67) เพจ 'โครงสร้างพื้นฐานประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ข้อความอัปเดตกรณีรถไฟทางคู่สายอีสาน ระบุว่า...

จบซักที!!! มหากาพย์ สะพานสีมาธานี สรุปไม่ทุบยกระดับยาวจากภูเขาลาด-ชุมทางถนนจิระ เดินหน้าต่อ ทางคู่สายอีสานต่อได้ซักที!!! หวังว่าคนโคราชจะพอใจ เดินหน้าโครงการได้เต็มที่!!!

วันนี้ รัฐมนตรีช่วยคมนาคม ได้ลงพื้นที่ติดตามงานในพื้นที่ ปากช่อง-โคราช ในโครงการทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง ในพื้นที่ตลอดเส้นทาง ซึ่งมีจุดติดขัดปัญหาในเส้นทาง โดยเฉพาะ โครงการทางคู่ สายอีสาน สัญญาที่ 2 คลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ

โดยมีปัญหามาจากการร้องเรียนของชาวโคราชให้แก้ปรับแก้แบบ ช่วงผ่านกลางเมือง จากสถานีภูเขาลาด - ชุมทางถนนจิระ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการเรียกร้องให้ ทุบสะพานข้ามทางรถไฟ ข้างโรงแรมสีมาธานี แล้วทำทางรถไฟยกระดับ เปิดแยกริมทางรถไฟ (ถนนสืบสิริ) พร้อมทำทางลอดแทนสะพานเดิม แต่ก็มีอีกกลุ่มออกมาคัดค้าน เพราะเกรงปัญหาจราจรช่วงทุบสะพานสีมาธานี

ข้อมูลจาก รมช. คมนาคม

“สัญญาที่ 2 ช่วงคลองขนานจิตร - ชุมทางถนนจิระ อยู่ระหว่างการแก้ไขรูปแบบการก่อสร้างเป็นทางยกระดับ ช่วงสถานีโคกกรวด - ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 16 กิโลเมตร และปรับกรอบวงเงินเพื่อให้สอดคล้องกับโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ช่วงโคกกรวด - นครราชสีมา งานสัญญาที่ 3 - 5 เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าต่องบประมาณสูงสุด โดยคาดว่าจะเสนอคณะกรรมการรถไฟฯ ได้ภายในเดือนสิงหาคม 2567”

จนสุดท้าย ก็ออกมาเป็นทางเลือกล่าสุด คือ...

- ทำทางยกระดับข้ามสะพานสีมาธานี ทั้งทางคู่ และความเร็วสูง ตั้งแต่สถานีภูเขาลาด ผ่านกลางเมืองโคราช ตามเส้นทางเดิม ระยะทาง 16 กิโลเมตร

- มีทางรถไฟระดับดิน (แบบปัจจุบัน) เพื่อให้รถไฟเข้าโรงซ่อมรถไฟ (คาดการณ์)
- ไม่ทุบสะพานสีมาธานี 

ซึ่งทางเลือกนี้ ก็ลงตัวทุกฝ่ายทั้งคนที่กลัวทางรถไฟไปผ่ากลางเมืองทำให้เป็นเมืองอกแตก และ รถไฟที่ยังวิ่งในเส้นทางเดิมได้

โดยสถานีโคราชใหม่ (ความเร็วสูง+ทางคู่) จะแบ่งเป็น 3 ชั้น

- ชั้นระดับดิน เป็นโถงพักคอยผู้โดยสาร ซึ่งด้านหลังสถานีก็ยังมีทางรถไฟเดิม ที่เข้าโรงซ่อมรถไฟ 
- ชั้น 2 เป็นชานชาลารถไฟทางคู่ สูงจากพื้น 11 เมตร มี 4 ชานชาลา + 2 ทางผ่าน
- ชั้น 3 เป็นชานชาลารถไฟความเร็วสูง สูงจากพื้น 24 เมตร มี 4 ชานชาลา + 2 ทางผ่าน

แบบก่อสร้าง สถานีนครราชสีมา (โคราช)

https://www.facebook.com/491766874595130/posts/629142004190949/?d=n

ขั้นตอนต่อไปถ้าไม่ติดขั้นปัญหา 
- จะเสนอขออนุมัติ ภายใน 2567
- ประกวดราคา ต้นปี 2568
- เริ่มก่อสร้างกลางปี 2568 (ใช้เวลาก่อสร้าง 24 เดือน)
- คาดว่าจะเสร็จ กลางปี 2570

หวังว่า จะไม่มีใครมาตั้งม็อบค้านการก่อสร้าง ให้ทุบสะพานอีกนะครับ!!!

'คุ้มภัยโตเกียวมารีนฯ' ประกาศเลิกรับประกันภัยรถอีวีทุกยี่ห้อทุกรุ่น  หยุดรับโอนย้าย-ต่อประกันรถอีวี เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป

(2 ก.ค.67) Btimes เผย บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยประกาศข้อความเกี่ยวกับการยุติบริการรับประกันภัยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวี มีดังนี้...

บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แจ้งหยุดรับประกันภัยรถไฟฟ้า (EV) มีผลตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียด ประกอบด้วย...

>>  งดรับประกันภัยรถไฟฟ้า (EV) ทุกแบนด์ ทั้งงานใหม่ งานโอนย้าย และงานต่ออายุ
>>  ใบเตือนงานต่ออายุ ยังสามารถเสนอเบี้ยใบเตือนได้ โดยทางฝ่ายรับประกันของทาง บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะพิจารณาเป็นรายกรณี ซึ่งจะดูประวัติการเรียกร้องค่าสินไหม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top